เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพุธ, ธันวาคม 14, 2548

หลังยุคทักษิโณมิกส์ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ (2)

โดย ยุค ศรีอาริยะ 13 ธันวาคม 2548 18:02 น.
ผมเคยเสนอว่า ในยุคโลกาภิวัตน์ ระบบโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคทุนใหม่ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง และมีพลังอำนาจในการผนวกรวมความมั่งคั่ง โดยหากินอยู่กับการปั่นหุ้น ปั่นค่าเงิน (ฟองสบู่) ปั่นราคาน้ำมัน และปั่นอสังหาริมทรัพย์

กลุ่มทุนใหม่นี้คือทุนที่ฝรั่งเรียกว่า ทุนกาสิโน หรือ ทุนฟองสบู่ ซึ่งถือว่าเป็นทุนกาฝาก ซึ่งมีพลังอำนาจในการทำลายตัวเองค่อนข้างสูง และสามารถนำหายนะมาสู่สังคมที่รุนแรง

ปัจจุบัน กลุ่มทุนนี้ มีอำนาจเหนือระบบโลก ในกรณีของประเทศไทย ทุนกลุ่มนี้ก็กำลังแผ่อำนาจเหนือระบบการเมืองไทย

ดังนั้นคำว่า ทักษิโณมิกส์ ในที่นี้คือส่วนหนึ่งของทุนกาสิโนที่มีลักษณะไร้พรมแดน ซึ่งก่อตัวขึ้นและได้มีอิทธิพลเหนือการเมืองไทย

กลุ่มทุนนี้ เริ่มเข้ามามีอำนาจทางการเมืองผ่านระบบการเลือกตั้ง ที่ต้องใช้เงินมหาศาล เริ่มตั้งแต่ยุคพลเอกชาติชาย เนื่องจากว่ากลุ่มทุนใหม่นี้มีความสามารถระดมทุนได้จำนวนมหาศาลผ่านการปั่นห ุ้น และปั่นที่ดินและอสังหาริมทรัพย์

ผลที่ตามมา ระบบการเลือกตั้งจึงถูกลากมาเชื่อมกับกลุ่มทุนใหญ่ที่ครองอำนาจเหนือตลาดหุ้ น และมีผลทำให้ระบบการเมือง และการเลือกตั้งพัฒนากลายพันธุ์เป็น ระบบธุรกิจการเมือง หรือ Money Politics ที่สมบูรณ์แบบ

พูดอีกแบบหนึ่ง ใครมีเงินมากที่สุดก็สามารถซื้อประเทศ ซื้อ ส.ส. หรือซื้อนักการเมือง ที่ต้องการได้ ดังนั้น ส.ส. และนักการเมืองจึงแปรสภาพเป็นสินค้าประเภทหนึ่งเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น พรรคไทยรักไทยจะเลือกซื้อ ส.ส. คนไหน ก่อนอื่นเขาจะใช้วิธีสำรวจคะแนนความนิยมผู้ที่ต้องการจะสมัคร ด้วยการสำรวจโพลว่าใครมีคะแนนสูงสุดในเขตนั้นๆ และซื้อ ส.ส. คนนั้นเข้ามาในพรรค โดยไม่ต้องสนใจว่า ส.ส. คนนั้นจะมีแนวคิด หรืออุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร

นอกจากนี้ ก็ใช้ระบบผู้ว่า CEO ให้การสนับสนุนโดยตรง และใช้อำนาจการเมืองท้องถิ่นสนับสนุนอีกต่อหนึ่ง นี่คือที่มาส่วนหนึ่งของชัยชนะ และแผนการครองเมือง

ระบบ Money Politics แบบนี้ทำให้ กลุ่มคนที่มีเงิน มีอำนาจเด็ดขาดเหนือบรรดานักการเมือง ทำให้นักการเมืองเป็นเพียงลูกจ้างของบรรษัทการเมือง หรือพรรคการเมือง

ส.ส. ทั้งหมดจะถูกเลี้ยงด้วยเงิน และต้องทำหน้าที่รับคำสั่งจากนาย หาก ส.ส. คนใดเริ่มไม่มีฐานการเมือง ก็จะถูกถีบออกไป

ระบบนี้จะสร้างขึ้นได้ ก็ต้อง "จ่ายเงิน" มหาศาล แต่ระบบนี้จะถือว่าการจ่ายเงินก็คือการลงทุนแบบหนึ่งซึ่งหลังจากลงทุนไปแล้ว ก็ต้องถอนทุนคืน

หลังเลือกตั้ง ทักษิโณมิกส์จึงกลายเป็นขบวนการในการถอนทุนคืน ผ่านการสร้างอภิมหาโครงการใหญ่ๆ อย่างเช่น กรณีสร้างสนามบินขนาดใหญ่ สร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน และอภิโปรเจกต์ แบบเป็นแสนๆ ล้าน

"ขบวนการการแสวงหาประโยชน์" หรือ "กินแบบใหม่" จึงเกิดขึ้น ไม่ใช่การกินในระดับประเทศ แต่เป็นการสมคบกันกินบ้านกินเมืองในระดับระหว่างประเทศ ระหว่างทุนใหญ่ (ทักษิโณมิกส์) ที่มีอำนาจเหนือการเมืองไทย กับบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ตัวอย่างเช่นกรณี CTX เป็นการคอร์รัปชันแบบข้ามชาติ ที่ยากจะตรวจสอบและควบคุม

ในเวลาเดียวกัน การสร้างอภิมหาโปรเจกต์เหล่านี้ มีเจตนาเบื้องหลังคือ ขบวนการปั่น GNP และตามด้วยการปั่นตลาดหุ้น และตลาดเงิน ปั่นที่ดิน และตามด้วยการปั่นอสังหาริมทรัพย์

นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ต้องผลักดัน หรือนำเอาบรรดารัฐวิสาหกิจทั้งหลายเข้าตลาดหุ้น

ในขณะที่ประชาชนคนไทยตาดำๆ ก็พลอยถูกปั่นไปด้วย

นั่นคือการปั่นให้คนไทยบริโภคนิยม รวมถึงการปั่นหนี้

คนชั้นกลางก็ถูกบีบให้เอาเงินออกมาใช้ ออกมาปั่น ด้วยนโยบายดอกเบี้ยต่ำแบบติดดิน

เศรษฐกิจไทย จึงพัฒนากลายพันธุ์เป็นระบบทุนนิยมพิเศษ หรือทุนนิยมปั่นกำไร หรือที่เราเรียกว่าทุนนิยมฟองสบู่

โดยทั่วไป การปั่นเศรษฐกิจแบบนี้จะสร้างกำไร (งาม) มาก และจะทำให้บรรดาทักษิโณมิกส์มั่งคั่ง และร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แต่ในเวลาเดียวกันทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวย (นายทุนฟองสบู่) กับคนจนขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน ทักษิโณมิกส์ก็จะปิดตาประชาชน (จนๆ) ด้วยนโยบายประชานิยม โยนเงินให้คนจนไปใช้ เพื่อปั่นหนี้ และก็ขายฝันแก่คนจนว่า อีก 6 ปีข้างหน้า จะไม่มีคนจนเหลืออยู่ในประเทศไทย

ที่ผ่านมา คนไทยยังไม่ตระหนักว่าประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคทุนนิยมฟองสบู่แล้ว และทุนนิยมแบบนี้คือ ทุนนิยมที่อันตรายอย่างยิ่ง และสามารถทำลายชาติได้ทั้งระบบ

ตัวอย่างสำคัญอย่างยิ่งคือ การแตกของฟองสบู่ ปี 2540

ในช่วงนั้น คนไทยเข้าใจว่า สาเหตุที่พัง เพราะนายจอร์จ โซรอส เข้ามาตีค่า "เงิน" พูดอีกอย่างหนึ่ง เรายกความเลวทั้งหมดให้กับคนต่างชาติเท่านั้น เราลืมไปว่าทุน (ฟองสบู่) ของไทยเองก็มีส่วนโดยตรงในการสร้างหายนะครั้งนี้ โดยการกู้เงินมาจากต่างประเทศจำนวนมหาศาล เข้ามาปั่นหุ้นและปั่นอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศล่มจม

เพื่อนคนหนึ่งถือโอกาสเสริม และถามว่า

"นี่ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า โลกาภิวัตน์ทำให้ระบบเศรษฐกิจและการเมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และอันตรายอย่างยิ่ง"

อีกคนหนึ่งกล่าวว่า

"ผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไมทักษิโณมิกส์จึงคิดการใหญ่ หวังยึดครองอำนาจรัฐและยึดครองสื่อ เพราะถ้าไม่ยึดครองอำนาจทั้งหมดไว้ การปั่นเศรษฐกิจทั้งประเทศก็จะทำไม่ได้ผลตามที่ต้องการ"

เพื่อนคนนี้จึงตั้งคำถามว่า

"คุณยุคคิดว่า ความล้มเหลวของทักษิโณมิกส์ เป็นผลดีต่อประเทศไทยใช่ไหม"

ผมตอบว่า "ใช่" และกล่าวต่อว่า

"สมมติว่าไม่มีกรณีภาคใต้ ไม่มีสึนามิ ตลาดหุ้นวันนี้ อย่างน้อยก็ต้อง 1,500 ขึ้น ถ้าตามด้วยการปั่นอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการสร้างรถไฟใต้ดินทั่วกรุงเทพฯ อีก 6 ถึง 7 สาย ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ก็จะถีบตัวขึ้น ในย่านกรุงเทพฯ ยิ่งมีการสร้างเมืองใหม่ที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ การปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์ครั้งประวัติศาสตร์ก็จะเกิดขึ้นตามมาอีก"

ผมคงไม่ต้องบอกว่าการปั่นฟองสบู่ครั้งนี้ ใครจะรวย เพราะการปั่นทั้งหมด สามารถผูกขาดความรวยโดยกลุ่มทุนฟองสบู่ที่กุมอำนาจเหนือรัฐ

และถ้าฟองสบู่แตก หรือเกิดสงครามค่าเงินอีก ก็ไม่ต้องกลัวจน เพราะผู้มีอำนาจเหนือรัฐก็จะรู้ว่า รัฐจะเปลี่ยนแปลงค่าเงินอย่างไร เมื่อไร

นอกจากนี้ ทุนฟองสบู่ไทย ถือว่าเป็นทุนไร้พรมแดน ถ้าฟองสบู่จะแตกครั้งใหม่ ทุนใหญ่ก็ใช้วิธีผ่องถ่ายเงิน หรือขายเงินไทยทิ้ง และเปลี่ยนกำไรเป็นเงินต่างชาติ คนที่จะฉิบหายก็คือ "ทุนไทยขนาดกลาง" ที่เรียกว่า "พวกแมลงเม่า" และบรรดาคนไทยตาดำๆ ทั้งประเทศที่จะพลอยล่มจมเพราะการพังของเศรษฐกิจทั้งระบบ

สำหรับผม ความล้มเหลวของทักษิโณมิกส์ครั้งนี้ จึงนับว่าเป็นความโชคดีของประเทศ

ทำไมทักษิโณมิกส์ล้มเหลว

ผมกล่าวนำเสียยืดยาว เพื่อให้เพื่อนๆ เข้าใจว่า อะไรคือทักษิโณมิกส์ แต่ผมยังไม่ได้กล่าวเลยว่า ทำไมทักษิโณมิกส์จึงล้มเหลว

ผมขอย้อนกลับไปที่เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ปี 2540 เหตุการณ์การพองและแตกของฟองสบู่ครั้งนี้ ทำให้ปัญญาชนไทยจำนวนมาก เริ่มตั้งคำถามกับระบบทุนนิยมที่เรียกว่าโลกาภิวัตน์ ว่าจะนำความก้าวหน้ามาสู่ระบบโลกและสังคมไทยดังที่กล่าวอ้างหรือไม่

ปัญญาชนจำนวนหนึ่งได้ก่อกระแสการมองโลกในด้านลบขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักวิชาการชั้นนำของประเทศไทยหลายท่าน ผมเองก็ตกเข้าสู่กระแสคิดเช่นนี้

นี่คือที่มาการจัดทำหนังสือวิถีทรรศน์ เพื่อตีแผ่อันตรายของโลกาภิวัตน์ และเศรษฐกิจฟองสบู่

คำว่า "ลบ" ในที่นี้ คือการคิดสวนกระแสโลกาภิวัตน์ที่อ้างนักอ้างหนาว่าจะนำความรุ่งเรืองมาสู่โลก และประเทศต่างๆ

ในขณะเดียวกัน ก็มีชนชั้นนำหลายกลุ่ม เริ่มคิดสวนกระแสโลกาภิวัตน์ เช่นกัน ตัวอย่างที่สำคัญคือ การนำเสนอเรื่องเศรษฐกิจในเชิงชาตินิยม และแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง

ภายหลังแนวคิดแบบสวนกระแสนี้ ได้พัฒนาสู่แนวคิดว่าด้วยการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน แนวคิดเรื่องภูมิปัญญาชาวบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาตะวันออก และรวมไปถึงการหันไปหาแบบวัฒนธรรมทางเลือก เช่น การไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ การดำเนินชีวิตแบบธรรมชาติ รวมทั้งการแพทย์ทางเลือก อย่างเช่น การแพทย์แผนตะวันออก และแผนไทย

แม้ว่า การแตกของฟองสบู่ในปี 2540 นี้ จะก่อผลกระทบในวงกว้าง แต่ก็มีกลุ่มทุนฟองสบู่ขนาดใหญ่บางกลุ่มได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง ในช่วงนั้น มีกลุ่มทุนฟองสบู่ในประเทศไทยกลุ่มหนึ่งที่สามารถรู้ข้อมูลภายในเรื่องการเป ลี่ยนค่าเงิน ซึ่งผมคงไม่ต้องบอกว่ากลุ่มไหน

หมายความว่า "วิกฤตของประเทศทั้งประเทศ" กลายเป็นความร่ำรวยมหาศาลของคนเพียงหยิบมือ นี่คือที่มาของการเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการเมืองในเวลาต่อมา และนี่คือที่มาของ "ทักษิโณมิกส์" ที่ขึ้นมาคุมอำนาจเด็ดขาดเหนือระบบการเมืองไทยอย่างสมบูรณ์แบบ

ดังนั้น กลุ่มทักษิโณมิกส์จึงมองโลกาภิวัตน์ และเศรษฐกิจฟองสบู่ในแง่บวกเป็นสำคัญ

กล่าวแบบสรุปก็คือ การแตกของฟองสบู่ครั้งนี้ ทำให้เกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ในกระบวนการคิดของปัญญาชนไทย และชนชั้นนำไทย โดยแบ่งได้เป็น 2 สาย

สายหนึ่งถูกเรียกว่า พวกมองโลกในแง่ร้าย อีกสายหนึ่งคือ พวกมองโลกาภิวัตน์ด้วยความชื่นมื่น

การเปิดศึกหรือสงครามทางความคิดจึงเริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างฝ่ายที่ถูกเรียกว่า พวกนักวิชาการขาประจำกับคุณทักษิณ

ฝ่ายทักษิโณมิกส์เอง ก็พยายามสร้างกระแสชื่นชมโลกาภิวัตน์ ด้วยการพิมพ์ และเผยแพร่ รวมทั้งแปลหนังสือต่างประเทศ จำนวนนับร้อยเล่มที่ท่านนายกฯหลงใหล ซึ่งงานส่วนใหญ่ผู้เขียนมักเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่หากำไร และร่ำรวยจากระบบเศรษฐกิจฟองสบู่

นี่คือ จุดเริ่มแห่งการต่อสู้ และการเผชิญหน้ากันระหว่างทักษิโณมิกส์ กับปัญญาชนไทย (ยังมีต่อ)

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000170981

หลังยุคทักษิโณมิกส์ ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ (1)

โดย ยุค ศรีอาริยะ 12 ธันวาคม 2548 17:14 น.
ชื่อเรื่อง หลังยุคทักษิโณมิกส์ คงทำให้ผู้อ่านเดาได้ว่า ผมกำลังจะทำนาย "การสิ้นลง" หรือ "อวสานของยุคทักษิโณมิกส์" ภายใต้การนำของคุณทักษิณ

ในยุคโลกาภิวัตน์ คำว่า "หลัง" (Post-) กำลังกลายเป็นคำที่มีความหมายและถูกใช้บ่อยครั้งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำคำนี้ถูกนำมาใช้ในทางวิชาการกันมาก มากกว่ายุคสมัยใดๆ ทั้งหมด เช่น เราจะได้ยินคำว่าหลังยุคทุนนิยม (Post-capitalism) หลังยุคอุตสาหกรรม (Post-industrialized) และหลังยุคสมัยใหม่ (Post-modern) เป็นต้น

นี่คือการสะท้อนภาพของความพลิกผันในยุคโลกาภิวัตน์ ที่อภิวัฒน์ไปรวดเร็วอย่างยิ่ง รวดเร็วจนกระทั่งเราคาดคิดหรือตามไม่ทัน

นอกจากนี้ คำว่า "หลัง" ยังมีความหมายอีกประการหนึ่งว่า อนาคตกำลังไล่ล่าคุณ และเราวิ่งไล่ตามอนาคตไม่ทัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า อนาคตกำลังกำหนดความเป็นไปในปัจจุบัน

ดังนั้น การเรียนรู้อนาคต และการทำนายหรือการคาดการณ์ "อนาคต" จึงกลายเป็นศาสตร์สำคัญศาสตร์หนึ่งที่เราต้องศึกษาในยุคนี้

หรือพูดเป็นรูปธรรมก็คือ ในยุคโลกาภิวัตน์ วัตถุสิ่งของที่ถูกผลิตขึ้น พอเริ่มออกสู่ตลาด และเริ่มวางขาย ก็กลายเป็นความล้าสมัยไปแล้ว

ทักษิโณมิกส์ก็ไม่ต่างจากสินค้าการเมืองชิ้นหนึ่ง ที่เริ่มต้นได้ดีอย่างยิ่ง เพราะคนไทยกำลังต้องการสิ่งใหม่ ที่ดูดีและทันสมัยในนามของการ "คิดใหม่ ทำใหม่"

แต่น่าเสียดาย วันนี้ สินค้าการเมืองชิ้นนี้ "ตกรุ่น" ไปเสียแล้ว

ถ้าย้อนอดีต ในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์ "ทักษิณฟีเวอร์" ภาพท่านนายกฯ ปรากฏทุกหนทุกแห่ง ภาพของท่านมีผลอย่างยิ่งต่อการเลือกตั้ง จนทำให้ "ไทยรักไทย" ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากจนล้นสภา

หลังจากนั้นไม่นาน กระแสฟีเวอร์ก็เริ่มจางหายไป หายไปอย่างรวดเร็ว ความเชื่อถือและความศรัทธาโดย ตรงต่อคุณทักษิณเริ่มเสื่อมลง

วันนี้ "ทักษิโณมิกส์" กำลังขายไม่ได้ และขายไม่ออก และดูมีทีท่าว่าจะกลายเป็นสินค้าการเมืองที่ "เน่า" และ "เสีย"

แม้แต่คนที่เคยเชียร์และเคยสนับสนุน อย่างเช่น คุณสนธิ หลวงตามหาบัว ก็หันหลังให้ หรือหันกลับมาวิพากษ์อย่างรุนแรงเสียเอง หรือแม้แต่บรรดาอดีตผู้ใหญ่ภายในพรรคไทยรักไทย ไม่ว่า ผู้ใหญ่จิ๋ว หรือ ท่านเสนาะ ก็ลุกขึ้นมาท้าทายท่าน

วันนี้กลุ่มพลังที่ต่อต้านท่านนายกฯ เริ่มจับกลุ่มกัน ขยายตัวขึ้นทุกวัน และกำลังจะกลายเป็นพลังการเมืองใหม่ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้การเมื องไทย

ใบหน้าของท่านนายกฯ ที่ดูบูดบึ้ง เครียด และประหวั่นกลัวเรื่องดาวพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ดาวพุธถดถอย สะท้อนความผิดพลาดและความล้มเหลวทางการเมืองได้ดี

คำถามที่ต้องตอบคือ

อะไร คือที่มาของการพังพาบของทักษิโณมิกส์

มีบทเรียนอะไรบ้าง ที่เราควรเรียนรู้

และที่สำคัญ "จะสร้างการเมืองใหม่หลังยุคทักษิณได้อย่างไร"

แต่ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ เราคงต้องเข้าใจว่า อะไรคือที่มาของทักษิโณมิกส์ และ ทักษิโณมิกส์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยเมื่อไร และอย่างไร

วันก่อนผมไปร่วมชุมนุมและฟังคุณสนธิอภิปรายในรายการเมืองไทยรายสัปดา ห์ มีคนเข้าร่วมเกือบแสน เจอเพื่อนเก่าๆ หลายคน หลายคนเดินทางมาจากต่างจังหวัด บางคนเช่ารถมากันเป็นกลุ่มๆ เพื่อจะมาฟัง และร่วมแสดงออกทางการเมือง

บรรยากาศการเมืองแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว

บรรยากาศการเมืองแบบนี้ทำให้ผมคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ยุคที่ผมเป็นนักศึกษาอยู่ และได้มีโอกาสมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้

ตอนนั้นผมรับผิดชอบด้านการวิเคราะห์ข่าวและสถานการณ์ ให้กับฝ่ายนักศึกษา

จำได้ว่ามีข้อมูลข่าวสารไหลเข้ามาจำนวนมาก มากจนไร้ระเบียบ จนทำให้ผมเองสับสนไปหมด

ผมจึงเดินออกจากห้องข่าว ลงไปร่วมเคลื่อนไหว เดินขบวน ฟังความคิดอ่าน และการแลกเปลี่ยนของผู้ที่เข้าประชุม

สำหรับผม ประชาชน คือพลังในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ และถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด

ผมมีหลักพื้นฐานง่ายๆว่า คนที่จะเข้าใจพลวัตของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ได้คือ คนที่เข้าใจ "ใจ" ของประชาชน

วันนั้น ผมตระหนักรู้ว่าผู้คนนับแสนๆ คนออกสู่ท้องถนนด้วย "หัวใจ" ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หัวใจที่ต่อต้านผู้นำทรราชได้ผนึกเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว

ผมจึงได้บทสรุปในใจว่า

ไม่ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จะจบลงอย่างไร ประวัติศาสตร์ไทยได้เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่แล้ว ยุครัฐบาลทหารได้จบประวัติศาสตร์ของตัวเองไปแล้ว

วันนี้ หลังจากได้พบปะและคุยกับเพื่อนๆ และผู้คนที่เข้ามาร่วมชุมนุม ผมก็ได้บทสรุปไม่ต่างกัน วันของทักษิโณมิกส์ที่เคยยิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ ได้ก้าวเข้ามาใกล้ถึง "จุดจบ" แล้วเช่นกัน

ทักษิโณมิกส์กับการเมืองไทย

เพื่อนๆ ที่มาจากต่างจังหวัดกลุ่มหนึ่ง ชวนผมให้ไปนั่งทานข้าวต้มด้วยกัน อยากจะให้ผมวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองให้ฟัง

เพื่อนเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า

"จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกหรือไม่"

ผมตอบว่า

"เป็นไปได้"

เพื่อนถามต่อว่า

"ถ้าเกิดขึ้นแล้ว อนาคตการเมืองไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร"

ผมตอบว่า

"ผมไม่รู้จริงๆ แต่คิดว่า การเมืองกำลังก้าวและพัฒนาไปข้างหน้า แม้จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายกันช่วงหนึ่งก็ตาม แต่จะก้าวไปอย่างไร คงต้องเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันคิด ต้องช่วยกันเสนอเพราะประเทศนี้เป็นของพวกเราทุกคน ไม่ใช่ของคนใด คนหนึ่ง"

เพื่อนคนหนึ่งแหย่ว่า

"หมายถึงคุณทักษิณสิ"

ผมได้แต่ยิ้ม และไม่ตอบอะไร

เพื่อนถามว่า

"ทำไมการเมืองไทยจึงก้าวสู่วิกฤตเสถียรภาพของรัฐบาลได้"

ผมตอบว่า

"มีหลายเหตุปัจจัยก่อเกิดซ้อนทับกันในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญคือ การเกิดกระแสขาลงทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมืองในเวลาเดียวกัน ประสานกับการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด (ในเชิงรุก) ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามประชาชนในเขตสามจังหวัดภาคใต้ การพยายามควบรวมอำนาจทั้งภาครัฐ และควบคุมบรรดาสื่อให้อยู่ภายใต้อำนาจ

ยุทธศาสตร์เชิงรุกในทุกด้านนั้นได้ก่อศัตรูขึ้นทุกด้าน และทุกทาง รวมทั้งภายในกลุ่มชนชั้นนำเอง และภายในพรรคไทยรักไทยเอง

นอกจากนี้ ก็มีปัจจัยที่เป็นปัญหาหลัก รวมศูนย์ที่ตัวคุณทักษิณเอง ซึ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงเช่นกัน"

ผมคงขอเริ่มวิเคราะห์จากปัจจัยที่เป็นปัญหาหลักนี้ก่อน

ในวิชารัฐศาสตร์ มีคำกล่าวว่า "อำนาจ" คือที่มาของการคอร์รัปท์ (Corrupt) แต่ผมอยากจะต่อท้ายว่า ไม่เพียงแต่คอร์รัปท์เท่านั้น ยังนำหายนะมาสู่ผู้ที่หลงใหลในมายาของอำนาจด้วย

ใครหลงใหลมายาของอำนาจ และการประจบสอพลอ ก็จะทำลายตัวเองในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีทั้งเงิน และยิ่งเป็นด็อกเตอร์ ก็จะคิดว่าตนเองใหญ่ที่สุด เก่งที่สุด ก็จะหลงอำนาจ และหลงตัวเองอย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน

ผลต่อเนื่องทางการเมืองที่ตามมาคือพรรคไทยรักไทยได้กลายเป็นเพียงพรร คการเมืองของคนคนเดียว แทนที่จะมีระบบการนำ หรือการบริหารที่รวมหมู่

รัฐบาลไทยก็กลายเป็นรัฐบาลของท่านผู้นำคนเดียว การประชุมรัฐมนตรีก็กลายเป็นเพียงการ "รับคำสั่ง" จากท่านผู้นำ ใครใกล้ชิดที่สุด และรู้จักวิธีประจบสอพลอดีที่สุด ก็จะได้ตำแหน่งสูงๆ ในรัฐบาล ใครไม่ขึ้นกับท่าน ไม่เห็นด้วยกับท่าน และขัดแย้งกับท่าน ก็จะถูกลดบทบาท และถูกถีบออกไป

นี่คือระบบที่เรียกว่าระบบ CEO ซึ่งเป็นระบบที่มีท่านประธานคนเดียวมีอำนาจเด็ดขาด และรู้ดีไปทุกเรื่อง กลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่เหลือคือ ลูกน้อง หรือคนรับใช้ที่คอยรับคำสั่ง

ระบบนี้ อาจจะใช้ในการบริหารบรรษัทขนาดเล็ก แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้บริหารประเทศทั้งประเทศ

เพื่อนคนหนึ่งสวนขึ้นว่า

"ผมรู้สึกเสียดายพรรคไทยรักไทย" และเล่าให้ฟังต่อว่า

"การก่อตั้งพรรคไทยรักไทยนั้นมีการเตรียมการกันอย่างดี ได้เดินทางไปวางแผนจัดตั้งกันถึงยุโรป และถึงขั้นวางแผนจะยึดอำนาจ หรืออภิวัฒน์ประเทศไทย"

ผมบอกเพื่อนว่า"เรื่องนี้น่าสนใจและน่าวิเคราะห์"

ผมขอขยายความเรื่องการวางแผนยึดอำนาจ ผมคิดว่า ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยได้ตระหนักรู้ว่าจะยึดตัวจริงของอำนาจได้อย่างไ ร พูดอีกอย่างหนึ่งคือ อำนาจไม่ใช่อยู่ที่การได้เป็นรัฐบาล หรือคุมรัฐสภา แต่อำนาจอยู่ที่การวางฐานครอบอำนาจระบบรัฐการ (ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ) ทั้งหมด

ผมเล่าต่อว่า

ตอนที่ผมเรียนปริญญาเอก ผมสร้างทฤษฎีขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่ออธิบายการเปลี่ยนผ่านของระบบอำนาจรัฐในระบบการเมืองของโลกที่สาม

ผมเสนอทฤษฎีว่า อำนาจรัฐนั้นแบ่งได้เป็น 2 ฐาน

ฐานอำนาจแรก นั้นอยู่ที่ระบบรัฐสภา และการได้เป็นรัฐบาล ผู้ที่จะครองอำนาจนี้ได้ ต้องสร้างพรรคขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ก่อน

ฐานอำนาจที่สอง คืออำนาจของระบบรัฐการ

จะสร้างพรรค (ใหญ่) คงหนีไม่พ้นอำนาจเงินตรา

ใครมีอำนาจเงินสูงสุดก็จะสามารถทำได้สำเร็จ ดังนั้น การสร้างพรรคใหญ่จุดเริ่มไม่ใช่ที่เรื่องพรรค แต่คือการผนวกรวมกลุ่มพลังทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งที่สุดเข้าด้วยกัน

ผมคิดว่า นี่คือที่มาของการประสานพันธมิตรระหว่างทุนใหญ่ภายในประเทศไทย อย่างเช่น กลุ่มชินวัตร กับกลุ่มซีพี รวมไปถึงกลุ่มทุนพันธมิตรขนาดย่อยอื่นๆ

เมื่อทุนใหญ่ผนวกรวมตัวกันได้ การสร้างพรรคใหญ่ที่สามารถผนวกรวมพรรคย่อยๆ ก็เกิดขึ้นโดยไม่ยากนัก

นี่คือที่มาของพรรคไทยรักไทยแบบกินรวบ และผูกขาดอำนาจเหนือการเมือง เหนือระบบการเลือกตั้ง

ดังนั้น การยึดอำนาจเหนือระบบรัฐสภา และการสร้างอำนาจเหนือระบบรัฐบาลไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป

แต่ยังมีโครงสร้างอำนาจที่ครอบเหนือระบบรัฐบาล และรัฐสภา ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งคือตัวจริงของอำนาจรัฐของประเทศโลกที่สาม นั่นคือ "อำนาจของระบบรัฐการ" (ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และอำนาจของเทคโนแครต) โดยมีศูนย์อำนาจเดิม 2 ศูนย์

นั่นคือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ในสมัยก่อนนั้น สภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะวางแผนกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไทย และสภาความมั่นคงดูแลด้านความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคง รัฐบาลที่ขึ้นมามีอำนาจจึงอยู่ในฐานะ "ผู้จัดการ" ที่ต้องจัดการไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดวางไว้เท่านั้น

เพื่อนสวนขึ้นมาว่า

"คุณยุคกำลังบอกว่า ถ้าคุณทักษิณจะยึดประเทศ ก็ต้องฝ่าด่านอำนาจรัฐการ โดยการยึดระบบราชการให้ได้ แต่ถ้าฝ่าด่านไม่ได้ หรือการพยายามฝ่าด่าน อาจจะทำให้กลุ่มพลังที่เคยกุมอำนาจรัฐหันกลับมาล้ม หรือเผชิญหน้ากับรัฐบาล ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม"

ผมตอบว่า

"ใช่"

เพื่อนถามต่อว่า

"นี่หมายความว่า กำลังมีการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าแบบศักดินาที่เคยกุมอำนาจเหนือ ระบบรัฐการ กับกลุ่มอำนาจใหม่ที่เริ่มเข้ามายึดอำนาจ ใช่ไหม"

ก่อนที่ผมจะตอบ เพื่อนอีกคนหนึ่งสวนขึ้นว่า

"ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องหนุนช่วยฝ่ายทุนใหม่ซึ่งก้าวหน้ากว่า โค่นล้มอำนาจฝ่ายศักดินาเก่าสิ"

ผมได้แต่ยิ้ม และกล่าวว่า

"คุณน่าจะรู้ว่า ผมเองเลิกเชื่อทฤษฎีแบบซ้ายเก่าอีกแล้ว ผมคิดว่าประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคทุนนิยมมานานแล้ว และกลุ่มที่มีอำนาจทั้งหมดในสังคมไทยคือ กลุ่มทุนด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่เป็นทุนที่มีฐานที่มาแตกต่างกันไปเท่านั้น"

ผมเสริมต่อว่า

"ที่สำคัญ ผมก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มทุนใหม่ต้องก้าวหน้ากว่ากลุ่มทุนเก่า

การเข้าใจแบบนี้ นี่คือการมองพัฒนาการแบบเป็นเส้นตรง

เราต้องเข้าใจว่า พัฒนาการทุกอย่างนั้น พลิกผัน ไม่เป็นเส้นตรง" (ยังมีต่อ)

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000170424

"คนหน้ามืด"นำทางไทย

"คนหน้ามืด"นำทางไทย

ค ำว่า "พัฒนาประเทศ" กับคำว่า "ขายประเทศ" มันคนละความหมายกัน แต่ด้วยระบบทักษิโณมิกส์ หรือ Dual-Tract Policy มันกำลังทำให้เป็น "เรื่องเดียวกัน" เช่นวันนี้ นายกฯ ทักษิณเชิญทูตานุทูตทั่วโลกมารับฟังแนวทางว่า "เงินนอก" จะซื้อประเทศไทยได้แบบไหน อย่างไร?

ครับ..ขึ้นปีที่ 5 ของนายกฯ ทักษิณ "เจตนาซ่อนเร้น" ของท่าน ดูจะถูกการกระทำของท่าน "เปิดเผยออกมาเอง" มากขึ้นเรื่อยๆ

โ ครงการประชานิยมร่วม 20 โครงการ ภายใต้วงเงินนับไม่ถ้วนว่ามันกี่ล้านล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่วนใหญ่พอฟันหัวพุง-หัวมันแต่ละโครงการกันไปแล้ว ก็ทิ้งศพเป็นภาระบนคำว่า "หนี้สาธารณะ" เกลื่อนกลาด!

แต่ครั้งนี้ แนวคิดจะอาเงิน-เอาสมองต่างชาติมาผูกขาดประเทศไทย ในรูปแบบสัมปทานผ่านเมกะโปรเจ็กต์ทั้งหลายนั้น ผมเห็นประกายตาและรอยเยิ้มที่มุมปากแล้ว

อดสู และทนไม่ได้ครับ!

ต้องพูด เป็นไรก็ต้องเป็น เพราะขืนปล่อยไป ไม่ขัดขา-ขวางคอไว้บ้าง อนาคตประเทศไทยไม่พ้น "อาณานิคมรูปแบบใหม่" ของนานาชาติ

ท่านเคยได้ยินคำว่า "ขี้ตะกรัน" ไหมครับ?

และท่านเคยรู้จักโลหะชนิดหนึ่งที่ชื่อ "แทนทาลัม" ไหมครับ?

ค ิดว่าทุกท่านต้องเคยรู้จักและเคยได้ยิน โดยเฉพาะพี่น้องทางใต้ที่ภูเก็ต ด้วยความไม่รู้และรู้ไม่ถึงคุณค่า ชาวบ้านจึงขาย "ขี้ตะกรัน" ถมถนนกันรถบรรทุกละพัน-ครึ่งพันบาท

แต่ฝรั่งต่างชาติมันรู้ มันรู้ว่า "ขี้ตะกรัน" นั้น ถ้าเอามาถลุงด้วยเทคโนโลยีทันสมัยก็จะได้ "แร่แทนทาลัม" ซื้อขายกันกิโลกรัมละเป็นสิบ-เป็นร้อยล้านบาท!

นั่นคือ "บทเรียน" สดๆ ร้อนๆ จากของจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ผมคิดว่าทุกคนยังจำกันได้

ก ็มาดูบนความเป็น "ประเทศไทย" ของเราบ้าง ศักยภาพแห่งความเป็นประเทศไทย ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ด้านชัยภูมิอันเป็นที่ตั้ง ด้านประวัติศาสตร์ ด้านความหลากหลายทางทรัพยากร ด้านศิลปวัฒนธรรมทรงเอกลักษณ์

ต่างๆ นานาเหล่านี้ เอาเฉพาะแค่คำว่า "ในน้ำมีปลา-ในนามีข้าว"

ประเทศไทยก็คือ "แทนทาลัม" ดีๆ นี่เอง

แ ต่วันนี้-ขณะนี้ นายกฯ ทักษิณท่านเห็นคุณค่าประเทศไทยไม่ต่างกับ "ขี้ตะกรัน" และกำลังเทกระบะขายให้ทุนต่างชาติ เพื่อแลกกับ "เงินก้อนหนึ่ง" เฉพาะหน้า!

จะหาค่า "ปะถังแตก" รึไงก็ไม่ทราบ?

แ นวคิดที่จะให้ "เงินนอก-สมองนอก" มาพัฒนาประเทศนั้น เท่าที่ผมฟังคุณวิษณุ เครืองาม บ้าง นายพรหมินทร์ นามสกุลอะไรก็จำไม่ได้-ขอโทษ ที่เป็นเลขาฯ นายกฯ ออกมาพูดบ้าง

สรุปความได้ว่า ไม่ใช่แค่ให้ต่างชาติมาเสนอทำโครงการรถไฟ้า 10 สายเท่านั้น แต่จะให้ "ทุนนอก-สมองนอก" มารับสัมปทานไปทำทั้งในด้านการศึกษา การคมนาคม การเกษตร การเทคโนโลยี และ ฯลฯ

พูดง่ายๆ ก็คือ "จัดสรรประเทศไทย" ใครมีเงิน-มีความคิดอยากทำอะไร แบบไหน ก็เสนอมา ถูกใจกัน ผลประโยชน์ลงตัวกัน

ก็เอาส่วนนั้นของประเทศไทยไปบริหารหาผลประโยชน์ได้เลย!

ผ มไม่เข้าใจว่าคนระดับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกกับสังคมว่า "ผมรวยแล้วไม่โกง ยอมสละความสุข และประโยชน์ส่วนตน เข้ามาเพื่ออาสารับใช้บ้านเมือง" นั้น

คิดอย่างนี้ได้ยังไง ถ้ารับใช้ด้วยความคิดแบบนี้ กลับไปทำมาหากินให้รวยตามแบบเดิมๆ ของท่านเถอะ!

ผ มไม่ปฏิเสธการพัฒนาประเทศ แต่การทำอะไรทุกอย่างต้อง "รู้เขา-รู้เรา" ขั้นแรก ต้องรู้จักและเข้าใจตัวเองคือ "ความเป็นประเทศไทย" ให้รอบด้าน และทะลุปรุโปร่ง

ต้องรู้ "ต้นทุน" ของความเป็นประเทศ

แล้วพัฒนาให้สอดคล้องกับต้นทุนนั้น

คำตอบของการพัฒนาประเทศ..ไม่ใช่เงิน

แค่คำตอบอยู่ที่ ความอยู่ดี-กินดี-มีสุข ด้วยทรงเอกลักษณ์-เอกราชของความเป็นไทย

ผ ู้นำชาติที่ดี ต้องบอกกับประชาชนได้ว่า "จุดแข็ง-จุดอ่อน" ของความเป็นประเทศของเรา ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม อันหมายถึง "ด้านวัตถุอันสอดคล้องกับจิตใจ" อยู่ตรงไหน?

แล้วเราจะพัฒนาประเทศของเราไปให้อยู่ในรูปแบบ-ลักษณะไหน?

เป้าหมายสุดท้ายที่ประเทศไทย-คนไทย จะต้องไปให้ถึงด้วยกัน จากฐานอันแข็งแกร่งบนความเป็นชาตินั้น คืออะไร อยู่ตรงไหน?

ท ักษิณต้องตอบตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน ไม่ใช่เอาประเทศเป็น "ของเล่นทักษิณ" คิดวัน-ทำวัน เพียงเพื่อหล่อเลี้ยงคำว่า "พรรคไทยรักไทย" ให้เป็นกระdongรักษาเนื้อสัตว์การเมืองไปมื้อๆ เท่านั้น

แค่จะให้ลูกโตขึ้นไปเป็นหมอ เป็นวิศวะซักคน พ่อ-แม่ยังต้องวางแผนตั้งแต่ชั้นอนุบาลยันอุดมศึกษา ก็กว่า 10 ปี

กว่า 10 ปีนั้น ก็ได้เพียงก็เข้าสู่แผนด้วยการเอ็นทรานซ์สู่มหาวิทยาลัย ก่อนจะออกไปเป็น "ทรัพยากรบุคคลคุณภาพ" ของประเทศเท่านั้นเอง!

แต่นี่..ประเทศไทยทั้งประเทศ จู่ๆ นายกฯ ทักษิณก็จะเอาแค่คำว่า "พัฒนา" คำเดียวโดดๆ เป็นพิมพ์เขียว แล้ว..ขายประเทศ?

ไ ม่มีชาวบ้านคนไหนซักคน (อาจยกเว้นกลุ่มตระกูลรอบๆ ตัวท่าน) จะรู้ได้เลยว่า สิ่งที่ทักษิณบอกว่า "เพี่อการพัฒนาประเทศ" นี้ สุดท้ายแล้วประเทศไทย-คนไทย จะได้อะไร และมีหน้าตาอย่างใด?

และจะพาอนาคตประเทศ อนาคตประชาชน ไปอยู่ในสถานภาพไหน ตรงไหน?

เพราะมันอาจเป็นไปได้ว่า ในอนาคตคนไทยเดินไป 2-3 ก้าวก็จะเจอป้ายติดไว้ตามกำแพง ตามรั้ว ตามหน้าอาคารต่างๆ เต็มไปหมดว่า

แผ่นดินสัมปทาน-ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต

หรือไม่ก็...

"คนไทยและสุนัข-ห้ามเข้า"

ท ุกวันนี้ ระบบเศรษฐกิจและการเงินของไทยตกอยู่ในมือต่างชาติ โดยเฉพาะสิงคโปร์ สถาบันการเงินใหญ่ๆ ของไทยตั้งแต่อันดับ 1 ไล่ลงไป 6-7 แห่ง มีแต่ชื่อเท่านั้นที่เป็นไทย

แต่กลไกและ "เม็ดเงิน" ที่ใช้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจประเทศ

ของต่างชาติทั้งนั้น!

คนไทยวันนี้ นอกจาก กิน..กิน..กิน..กาม..กาม..กาม..หนี้..หนี้..หนี้..ซื้อ..ซื้อ..ซื้อ..โกง..โกง..โกง..มอม..มอม..มอม..เมา..เมา..เมา

โง่ งมงาย และหยิ่งลมๆ แล้งๆ กันแล้ว

มีอะไรที่รัฐบาลทักษิณ "พัฒนา" ไว้เป็นรากฐานสอดคล้องกับ "ต้นทุนไทย" เพื่อความเติบโตที่แข็งแกร่งอันมีเอกลักษณ์บ้าง?

ทักษิณ-ท่านกำลังจะพาประเทศไทย-คนไทย ไปทางไหน?

ดูมันร้อนรุ่ม ทุรนทุราย กระเซือกกระสนไปบนคำว่า เงิน..เงิน..เงิน..และเงิน จนงกเงิ่น น่าทุเรศทุรัง!?

รถไฟฟ้า 10 สายตามนโยบายลวกๆ ของท่าน

มันจะเป็น "10 สายด่วนนรก" สำหรับคนไทย พวกท่าน-คณะพรรคไทยรักไทย นั้นไม่น่าห่วงหรอก เพราะอยู่อีกไม่กี่วันก็ไปกันแล้ว

แต่คนไทย-ประเทศไทย มันไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่รับเวร-รับกรรม ล้างขี้ที่พวกท่าน "กินแล้วถ่าย" กันเอาไว้เลอะเทอะ

ตรงนี้แหละทำให้ผมกลุ้ม และต้องออกมาขวางตีนคน!

ในขณะที่ใครไม่รู้โม้ว่า "เสกกระดาษให้เป็นเงินได้" ในขณะที่โม้ว่าอีก 4-5 ปีคนไทยจะหายจนทั้งประเทศ

แ ต่การณ์ตรงกันข้าม เขานินทากันไปครึ่งค่อนโลกว่า "ประเทศไทยถังแตก" และข่าวฉาวไปทั้งเมืองว่า คนไทยกำลังเป็นทาสเงินด่วน คนไทยกลายเป็น "มนุษย์หนี้" หนักขึ้น

ประเทศไทยยิ่งใหญ่ในภูมิภาคนี้ด้วย..คอรัปชั่นอันดับ 7!

แ ต่วานนี้มีการเปิดเผย "แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย" ปรากฏว่าเครือข่าย "ตระกูลชินวัตร" มีมูลค่าหุ้นในธุรกิจรวมกันแล้วเป็นอันดับ 1 ของประเทศ คือ 33,199.78 ล้านบาท!

ผมไม่อิจฉาความรวยใคร แต่ทุเรศ "คนไทย" เพราะในขณะที่กลุ่มตระกูลรวยผูกขาดเพิ่มขึ้นรายปี

แต่ร้อยละ 80 ที่คนไทยกลายเป็น "มนุษย์หนี้" หนักขึ้น

แล้วยังเชื่อด้วยงมงายกันอยู่อีกหรือว่า จะมีเทวดาหน้าสี่เหลี่ยมมาดลบันดาลให้คนไทย "หายจน" กันได้ทั้งประเทศ?

ผ มไม่เคยเห็นผู้นำที่ไหนจะพัฒนาประเทศเปะปะแบบนี้ ขนาดจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งถือว่าอยู่ในยุคโบราณ แต่ท่านยังมี "พิมพ์เขียว" เป็นธงพัฒนาประเทศ แต่นี่..ยุคเทคโนฯ กลับโลซก ทำกันล่กๆ แล้วยกคำว่าพัฒนามาบังหน้าขายประเทศ โลกยุคบริโภคนิยมกำลังถึง "สถานีสุดท้าย" แล้ว แต่กลับมีคนนึกว่าเพิ่งออกจากชานชาลาหัวลำโพง แล้วเราจะปล่อยให้ "คนหน้ามืด" นำทางประเทศไทย และยอมไปกับเขา..งั้นหรือ?
รักชาติ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000170981

เปิดบันทึกลับ-พล่านกันทั่ว ไทยคู่ฟ้า !!!

บิกโรงมาสัปดาห์นี้ ไต่กอต้องขอบอกก่อนว่า เราชาวคณะผู้จัดทำเว็บไซต์ thaiinsider.com แ ห่งนี้ ขอน้อมถวายพระพรในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา มหาราช...ขอพ่อเหนือหัวของเรา...จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...ตราบนานเท่านาน… ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

ไต่กอ-ขอบอก...วาระนี้...จึงอยากนำเสนอ...บางสิ่งบางอย่าง...เพราะอดไม่ได้ที่เห็น “ใครบางคน” ทำอะไรไว้...โดยเมื่อเหลือบไปเห็น “เอกสาร” ที่วางอยู่บนโต๊ะ “ชิ้นหนึ่ง” จึงตัดสินใจต้อง “ขอ” นำบางช่วง-บางตอน ที่สำคัญยิ่งมาเปิดเผยให้เห็นว่า “ใครบางคน”คิดอย่างไรและที่ผ่านมา “ทำอะไร” ลงไป

เอกสารชิ้นนี้เป็น “รายงานการประชุมคณะกรรมาธิการติดตามผลการ..................” ครั้งที่ 5/2548 เมื่อวันพุธที่ 25 พ.ค. 2548 ที่ผ่านมานี้เอง

หากยังจำกันได้ “ไทยอินไซเดอร์” เป็นผู้จุดประกายเรื่องนี้ โดยเรามี “ข้อมูล” ที่ได้รับในการ “ดึงเรื่อง” การซื้อเครื่องบินพระที่นั่ง แต่ไม่มีใครกล้ายืนยัน-กล้าพูด....

กระทั่ง “ฟ้ามีตา” ส่งรายงานการประชุมชิ้นนี้มาให้ดู...ทำให้ถึงกับ “อึ้ง”

เราจึงตัดสินใจที่จะ “เปิดความจริง” เพื่อให้ “สังคม” ได้รับรู้-รับทราบ!!!

เพื่อจะพิสูจน์กันให้จะจะว่า...การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลนั้น “เล็งเห็น” เรื่องใด “สำคัญที่สุด”

ยิ่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ พอมีข่าวเรื่อง “ถังแตก” ปูดออกไปว่า...ไม่มีเงินเหลือใน “คงคลัง”

ถึงขั้น...หากไม่รีบไฟเขียวไปกู้เงินมาอีก 8 หมื่นล้าน เชื่อได้ว่า...ต้นปีหน้านี้....ที่พอเปิดศักราชมาปุ๊ป...ข้าราชการทั้งหลาย ก็จะไม่มีเงินเดือนกะเค้า...สุดท้ายจะกลายเป็น “เป้าใหญ่” ที่พังพาบ “รัฐบาลมักมาก” ลงได้

เมื่อเห็นภาพที่ชัดเจนเช่นนี้...ทำให้เห็นชัดว่า...รัฐบาลชุดนี้-ไม่ไหวจริงๆ...

ไม่ซื้อเครื่องบินพระที่นั่ง...แต่ดันซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้า...

แถมยังหาญกล้านำ “ฮ.พระที่นั่ง” 2 ลำไปแลกอีก...

ยิ่งล่าสุดที่มีข่าวว่า “คอ-รอ-เมีย” ไฟเขียวให้ซื้อเครื่องบินให้กับพวก VIP โดยอ้างเหตุผลว่า...จะเอาไว้ใช้ลงไปตรวจราชการ 3 จังหวัดภาคใต้...ยิ่งเห็นธาตุแท้หนักเข้าไปอีก

เฮ้อคิดแล้วก็เศร้า...ว่า “ผู้นำ” คิดถึงแต่เรื่องตัวเอง...จริงๆ

วกกลับมาเรื่องของเราที่ “ไต่กอ” ขอแฉชนิดที่เรียกว่า “คุณพี่สนธิ” อาจสนใจยกหูมาขอไปดู เผื่อจะเอาไปพูดในรายการสัญจร “อีกที” ก็ได้...ไม่ว่ากัน!!!

เริ่มต้น...ขอย้ำอีกทีแบบง่ายๆ ว่า เครื่องบินพระที่นั่งในปัจจุบันมีจำนวน 2 เครื่องคือ

1) เครื่องบินพระที่นั่ง โบอิ้ง 737-200 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก มีอายุการใช้งาน 25 ปี ซึ่งเป็นเครื่องพระราชพาหนะสำรอง (ใช้ในกรณีเครื่องบินพระที่นั่งมีเหตุขัดข้อง)

2) เครื่องบินพระที่นั่ง โบอิ้ง 737-400 ซึ่งเป็นเครื่องบินขนาดกลาง มีอายุการใช้งาน 13 ปี ซึ่งเป็นเครื่องบินพระที่นั่งปัจจุบันและกำลังจะหมดอายุการใช้งานตามที่กำหนดไว้

หากมองกันถึงตรรกะง่ายๆ ต้องอย่าลืมว่า ระยะเวลาในการจัดหา “พระราชพาหนะ” ลำใหม่นั้น ใช้เวลาประมาณ 2 ปี และเครื่องบินพระที่โบอิ้ง 737-400 นี้กำลังจะหมดอายุในเร็ววันนี้

เรื่องนี้ “ทหารอากาศ” เคยทำเรื่องเสนอไปยังรัฐบาลตามขั้นตอนแล้ว โดยเบื้องต้นกะว่า จะนำเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งเดิม 2 ลำไปแลกกับเครื่องบินพระที่นั่งลำใหม่

เพราะ ฮ. พระที่นั่ง 2 ลำที่ว่านี้ ไม่ได้ใช้แล้ว หลังจากมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ ฮ.พระที่นั่งลำนึงตก...

แต่เมื่อเรื่องถูก “ชง” เข้าไป ก็มี “คนบ้าอำนาจ” บางคนที่ “คิดได้ยังไง” ก็ไม่รู้ ถือวิสาสะเปลี่ยน “คอนเซปต์” การซื้อใหม่หมด!!!

แทนที่จะจัดซื้อเพื่อถวาย เพราะถือเป็น “มงคลสูงสุด” ที่ต้องรีบดำเนินการทันทีทันใด...ตามประสาพสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดี

แต่ “คนบ้าอำนาจ” ที่มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงคนนี้...ก็บังอาจเอาตัวเองไปเทียบกับ “ผู้นำ” ของเมืองลุงแซม

เห็นเค้ามี Air Force One ก็จะเอากะเค้าบ้าง

เป็นเพราะว่า “ลูก-เมีย” ที่บ้านดูหนังเรื่อง Air Force One มากเกินไป จึงอยากให้พ่อบ้านหน้าหล่อเหมือน “แฮริสัน ฟอร์ด”...

แต่อุ๊ย...อย่าเอ็ดไป...อย่าให้เหมือนกับเหตุการณ์บนเครื่องใน “หนัง” นะ...จะบอกให้!!!

เพราะใน “หนัง” เมื่อมีกลุ่มผู้ก่อการร้าย “บุกยึด” เครื่อง Air Force One...คุณพี่แฮริสัน ฟอร์ด ก็เล่นบท “ประธานาธิบดี” ที่มี “ความกล้า-บ้าบิ่น” ในตัวเอง...ปราบเหล่าร้ายอย่างสิ้นซาก

แต่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงกับเครื่อง Air Force One ฉบับ “ไทยคู่ฟ้า”...เชื่อได้เลยว่า...ท่านผู้นำของเรา “ไม่กล้า” แน่...เพราะเป็นที่รับทราบดีว่า....

ท่าน “ผู้นำ” ของเรานั้น “ขี้กลัว” จะตาย...ชนิดที่ “คนใกล้ชิด” ต่างรู้ดีว่า...ขี้กลัวแบบขี้หด-ตดหาย...ไปไหน-มาไหน...Security Guard พรึ่บทั่วบ้านทั่วเมือง...

ไอ้วันที่ทำ “เสนอหน้า” ไปทดลองบิน-ใช้สนามบินหนองงูเห่า...ก็เหมือนกัน...

ว่ากันว่า...กลัวถึงขนาดต้องให้ “F 16” บินฉวัดเฉวียน...โฉบฉ่าย “คุ้มกัน”...เพราะความที่ “กลัวตาย” นั่นเอง

ที่สำคัญ...หากสังเกตให้ดี “บางห้วง-บางเวลา-บางสถานที่” ที่ดั้นด้นไป...

“ท่านผู้นำ” จะดู “อ้วนท้วน-สมบูรณ์” ผิดปกติ...ทำเอาหลายคนเข้าใจผิดคิดว่า...เมียเลี้ยงดี

แต่จะเป็น “เมีย” ไหน...ไม่รู้จริงๆ...5555

แต่เชื่อหรือไม่ว่า...ไอ้ที่ “อ้วนท้วน-สมบูรณ์” นั้น...เป็นเพราะ “ความกลัวตาย” ต่างหาก...เพราะเล่นใส่ “เสื้อเกราะ” ป้องกัน...

เพราะกลัว “คนมาทำมิดี-มิร้าย” ถึงขนาด...บางครั้งถึงขั้น “เหน็บปืนพก” ติดตัวก็ทำกันมาแล้ว

เรียกได้ว่า...กล้าแต่ปาก-แต่ใจมดจริงๆ...

เมื่อใฝ่ฝันอยากได้...เครื่องบินส่วนตัว...ของตัวเอง...แต่ดัน “ขี้เหนียว” ไม่เอาเงินตัวเองซื้อ

จึงต้องอาศัยช่องทางนี้...แก้ไข-ปรับเปลี่ยน จากเดิมที่จะจัดซื้อเพื่อ “ถวาย”...มาเป็นจัดซื้อ “เพื่อตัวเอง” และครอบครัว...

พอมีคนทักท้วงหนักเข้า...ก็แก้ต่างบอกว่า...เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับผู้นำของประเทศ

ยิ่งพอตัวเองมีเครื่องบินส่วนตัวแล้ว...ก็ลืมนึกไปว่า...ต้องจัดหาซื้อถวายคืนในปีนี้ เพราะอายุการใช้งานมันบีบรัดเข้ามา...ขืนไม่ทำ “งานนี้” โดนอัดจนอ่วมอรทัยแน่!!!

แต่เมื่อพลิกดูเงินในกระเป๋าของชาติ...ก็แทบจะเกลี้ยง...เพราะผลาญกันไปเกือบจะหมดแล้ว...

หันรีหันขวาง...เลยจำใจต้อง “กู้เงิน” มา...ขัดตาทัพ...แก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน...

แต่เอ๊ะหลายคน...ก็สงสัย...ทำไม...ถ้าอยากได้เครื่องบินส่วนตัวจริงๆ...ทำไมไม่ใช้เงิน “ตัวเอง” ที่แอบเอาไปผ่องถ่าย “ทิ้ง” ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก...

บอกได้คำเดียวงัยว่า...ก็คนมัก “งก” น่ะ...เพราะแอบดูเงินในกระเป๋าตัวเอง (ที่เมียไม่รู้)...โอ้โห....อื้อซ่า...เลยคร๊าบ

ที่สำคัญ...หากเมีย “ยึดหมด” ก็ “อด” ไปหา “กิ๊ก” น่ะสิ...อิๆๆๆๆ

เมื่อเข้าใจภาพรวมแล้ว....ไต่กอก็จะพาเข้าไปดูว่า...ใครพูดอะไร-ยังงัย

----------------------------------------

.....ความตอนหนึ่ง...จากการประชุม...ย้ำอีกทีคือ...เมื่อวันพุธที่ 25 พ.ค. 2548

----------------------------------------

ประธาน : ทีนี้เครื่องสำหรับราชพาหนะในขณะนี้ถึงเวลาที่จะเปลี่ยน

พล.อ.อ.ช : เครื่อง ฮ.พระที่นั่ง หรือ ฮ.เครื่องบินครับ

ประธาน : เครื่องบินครับ

พล.อ.อ.ช : เครื่องบินเรากำลังทำเรื่องขอรัฐบาลไปเพื่อจัดซื้อครับ เป็น 737-800 ครับ เป็นเครื่องที่ใหม่ที่สุดนะครับ เนื่องจากคิดว่า จะต้องใช้เวลาในการจัดหาประมาณเกือบ 2 ปีครับ

ประธาน : เคยขอไปกี่ครั้งแล้วครับ

พล.อ.อ.ช : เราขอไปปี 2547 ครับ (หมายถึงปีงบประมาณ 2547)

ประธาน : ปี 2547 ขอ Spec อะไรครับ

พล.อ.อ.ช : เราจะไม่กำหนดออกมาว่าเป็น Spec อะไรครับ แต่ว่าในการกำหนด Spec อะไรนี้ เราจะออกมาว่าเป็นเครื่องบินที่สามารถจะติดตั้งที่นั่งได้เท่าไร ระยะบินไกลสุดเท่าไร อะไรต่างๆ พวกนั้นครับ

ประธาน : แล้วเมื่อปี 2547 ผลเป็นอย่างไรบ้าง

พล.อ.อ.ช : ปี 2547 นั้น เราไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณนะครับ

ประธาน : รัฐบาลอ้างว่าไม่มีงบประมาณ

พล.อ.อ.ช : ครับ

ประธาน : แล้วปี 2548 ครับ

พล.อ.อ.ช : ขณะนี้เราขอในปี 2549 เลยครับ

ประธาน : ปี 2548 ขออีกทีไหมครับ

พล.อ.อ.ช : ไม่ได้ขอครับ

ประธาน : ปี 2548 ไม่ได้ขอ แล้วมาขอปี 2549 คือกำลังจะขอนี่นะครับ

พล.อ.อ.ช : ครับ เพราะเราคาดว่า เมื่อครบเวลาเข้าประจำการก็จะพอดี ก็คือหมดอายุตามที่กองทัพอากาศตั้งไว้ว่า เราพยายามที่จะให้เครื่องพระราชพาหนะนั้น พยายามที่จะอยู่ในเกณฑ์ที่ยังใหม่อยู่ครับ

.................................อีกตอนหนึ่ง...................

ประธาน : ท่านอื่นมีอะไรจะถามไหมครับ ถ้าไม่มีเชิญสำนักงบประมาณนิดหนึ่งครับ เมื่อสักครู่นี้สงสัยว่า กองทัพอากาศขอจัดซื้อเครื่องบินพระที่นั่ง แต่ว่าไม่ได้รับงบประมาณ ทีนี้พอจะเป็นจังหวะหรืออย่างไรถึงได้ลำนี้ (หมายถึงเครื่องบินไทยคู่ฟ้า) มาแทนนะครับ ขอเชิญครับ เรื่องงบประมาณก่อน

นายอำ.. : กราบเรียนท่านประธานครับ ผม...(ตำแหน่ง)...สำนักงบประมาณ ส ำหรับเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินพระที่นั่งในปี 2546 นั้น เนื่องจากว่า ในขณะนั้นมีข้อจำกัดในเรื่องของวงเงินงบประมาณรายจ่าย แนวทางในการดำเนินงานก็ได้พิจารณาร่วมกับทางกองทัพอากาศแล้ว ก็ขอเลื่อนในจุดนี้ไปก่อน ส่วนในเรื่องของการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับราคาเครื่องบินลำเลียงขนาดกลาง ที่กำลังกล่าวถึงขณะนี้ (หมายถึงเครื่องบินไทยคู่ฟ้า) อันนี้เป็นการจัดสรรตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 ก.ค. 2546 ซึ่งวงเงินทั้งสิ้นตามที่ท่านผู้แทนจากกองทัพอากาศได้กราบเรียนท่านแล้วว่า วงเงินทั้งสิ้นประมาณ 51 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา โดยแนวทางในการใช้จ่ายเป็นการแลกเปลี่ยนในระหว่างเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ อันนั้นที่กราบเรียนไปแล้ว เป็นมูลค่าประมาณ 21 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในกรณีนี้แนวทางในการที่จะกำหนดค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในขณะนั้นทางสำนักงบประมาณได้มีหนังสือ พอหลังจากที่มีมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ทางสำนักงบประมาณก็ได้เรียนให้ทางกองทัพอากาศว่า ให้มีการปรับในเรื่องของแผนการใช้จ่ายของกองทัพอากาศมาจัดซื้อเพื่อกรณีดังกล่าว ในวงเงิน 1,309,050,000 บาท ทีนี้ว่า ในกรณีอันนี้ในจำนวนเงินดังกล่าว เนื่องจากว่า เป็นข้อผูกพัน 2 ปี คือ ปีงบประมาณ 2546 กับปี 2547 โดยในปี 2546 นั้นจะต้องใช้จ่ายเงินประมาณทั้งสิ้น 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2547 ประมาณ 27.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ทีนี้ในกรอบตัวนี้ แนวทางในการดำเนินงาน ทางสำนักงบประมาณมีหนังสือให้กองทัพอากาศปรับแผนในการใช้จ่าย ซึ่งกองทัพอากาศได้ปรับแผนในการใช้จ่ายงบประมาณปี 2546 เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินการดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 109.33 ล้านบาท สำหรับเพื่อ Serve กรณีดังกล่าว ซึ่งในกรณีนี้จำแนกเป็นค่าเครื่องบินเสีย ประมาณ 107.5 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ทางด้านเทคนิค ในการตรวจรับทางด้านเทคนิค และฝึกอบรมในเรื่องของการใช้เครื่องบินดังกล่าวอีกประมาณ 1.83 ล้านบาท....

ส่วนในปี 2547 เดิมทีนั้น ทางสำนักงบประมาณได้เรียนทางกองทัพอากาศให้ปรับแผนในการใช้จ่าย เนื่องจากว่า แนวทางในการจัดตั้งงบประมาณนี้นะครับ ไม่สามารถกระทำได้ทัน เพราะเพิ่งเริ่มในช่วงเดือนก.ค. แต่พอหลังจากนั้นเสร็จ ก็มีการขออนุมัติเงินงบกลางเพิ่มเติมมานะครับ เป็นวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,117.817 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเครื่องบินประมาณ 1,100.597 ล้านบาท หรือประมาณ 27.5 ล้านดอลล่าร์นี้นะครับ แล้วก็จะมีองค์ประกอบของให้ค่าใช้จ่ายในการไปตรวจรับทางเทคนิคและฝึกอบรมในต่างประเทศ เพื่อที่จะให้คุ้นกับในเรื่องของกรรมวิธีทางด้านเทคนิคของเครื่องบินดังกล่าวอีกประมาณ 17.22 ล้านบาท

ประธาน : เท่าไรนะครับ

นายอำ.. : 17.22 ล้านบาทนะครับ ทีนี้สำหรับแนวทางดังกล่าวเหล่านี้นะครับ ทางสำนักงบประมาณนี้ ตอนมีหนังสือครั้งแรก ให้ทางกองทัพอากาศได้ปรับแผนในการใช้จ่าย แต่เนื่องจากว่า กองทัพอากาศนี้นะครับ ได้รับงบประมาณค่อนข้างจำกัดมาทุกปี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการดำเนินการดังกล่าว ไม่มีงบประมาณเพื่อดำเนินการดังกล่าวได้ จึงขออนุมัติเงินใช้จ่ายเงินงบกลางรายการเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งข ันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศนี้นะครับตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นไปโดยม ติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2546 ทีนี้ในจุดเหล่านี้อยากจะกราบเรียนว่า ทางสำนักงบประมาณก็จัดสรรตามมติดังกล่าวนะครับ แล้วส่วนในเม็ดเงินประมาณ 17.22 ล้านบาทที่เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปตรวจรับทางด้านเทคนิคและฝึกอบรมในต่ างประเทศของกองทัพอากาศนั้น ทางสำนักงบประมาณก็ให้กองทัพอากาศปรับแผนค่าใช้จ่ายจากงบปกติในปี 2547 มาดำเนินการ ซึ่งเดิมทีนี้ทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ทางกองทัพอากาศต่อรองกับผู้ผลิตให้เ ป็นผู้รับรองในค่าใช้จ่ายดังกล่าวก่อนนะครับ ซึ่งผลจากการพิจารณาประสานแล้วนี้นะครับ ปรากฏว่าทางผู้ผลิตยืนยันให้ทางกองทัพอากาศเป็นผู้รับผิดชอบในเม็ดเงินดังกล ่าวนะครับ ทางสำนักงบประมาณก็เลยได้มีการจัดสรรงบประมาณโดยทางกองทัพอากาศได้ปรับแผนจา กงบประมาณรายจ่ายปี 2547 นี้ให้ไปเป็นวงเงินทั้งสิ้น 17.22 ล้านบาท ส่วนในปีงบประมาณ 2548 ที่ของบกลางประมาณ

ประธาน : โทษนิดหนึ่งครับ 17.22 ล้านบาท เชิญต่อเลยครับ

นายอำ.. : 17.22 ล้านบาทครับ ส่วนในปีงบประมาณ 2548 ที่ทางกองทัพอากาศได้ของบประมาณเพิ่มเติมมาประมาณ 84 ล้านบาทเศษ ก็เพื่อไปปรับปรุงบำรุงปกตินี่นะครับ ซึ่งอันนี้ก็เป็นไปตามเกณฑ์ที่ทางกองทัพอากาศกำหนดตามชั่วโมงบินนะครับ ซึ่งทางสำนักงบประมาณเดิมทีก็วิเคราะห์แล้วนะครับ เห็นควรให้ปรับแผนในการเบิกจ่ายจากค่าใช้จ่ายในการปรับซ่อมดังกล่าว แต่ทีนี้ว่า เมื่อวิเคราะห์จากงบประมาณในปี 2548 ที่ได้จัดสรรให้กองทัพอากาศดำเนินการในการซ่อม ในปี 2548 ประมาณ 200 กว่าลำ เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 2,431.037 ล้านบาท กองทัพอากาศไม่สามารถปรับแผนมาได้ เพราะว่าสภาพของเครื่องบินดังกล่าวก็ค่อนข้างที่จะใช้เวลามานานนะครับ ซึ่งก็ต้องส่งกำลังปกติ ทีนี้ถ้าเปรียบเทียบในปีงบประมาณ 2547 กับ 2548 ในรายการดังกล่าวนี้ กองทัพอากาศได้ถูกปรับลดในเรื่องการซ่อมมาเหมือนกัน เนื่องจากข้อจำกัดของวงเงินงบประมาณ โดยปี 2547 ทางกองทัพอากาศได้รับจัดสรรในเรื่องของค่าซ่อมบำรุงเครื่องบินทางสายช่างอาก าศ เป็นเงินทั้งสิ้น 2,534.675 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2548 ที่วงเงินไม่เพียงพอ งบประมาณไม่เพียงพอ ได้ปรับลดลงมาประมาณ 2,431.37 ล้านบาท หรือปรับลดไป 103.638 ล้านบาท เพราะฉะนั้นแนวทางในการปรับแผนดังกล่าวเหล่านั้น ทางกองทัพอากาศจึงมีข้อจำกัดไม่สามารถปรับแผนได้นะครับ ประกอบกับระยะของการดำเนินการซ่อมบำรุงก็อยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องดำเนินการตามก ฎเกณฑ์ เพราะไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาในเรื่องของการใช้สภาพนั้นได้ สำนักงบประมาณจึงได้นำเสนออนุมัติวงเงินตามที่กองทัพอากาศขอนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เนื่องจากว่า เป็นวงเงินที่เกินกว่าอำนาจหน้าที่ของท่านผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งสามารถอนุมัติงบกลางได้เพียง 10 ล้านบาท ก็ต้องเสนอไปตามลำดับชั้นนะครับ แล้วก็พอหลังจากได้รับอนุมัติในหลักการ จึงมีการพิจารณาอนุมัติดังกล่าว เป็นวงเงินทั้งสิ้นประมาณ 84.2317 ล้านบาท ขอบคุณครับ

ประธาน : ทีนี้ ทอ. จะขอเปลี่ยน 737-400 (หมายถึงเครื่องบินพระที่นั่งเดิมในปัจจุบัน) แนวโน้มเป็นอย่างไรครับ

นายอำ.. : 737-400 ในปีไหนครับ

ประธาน : ปี 2549

นายอำ.. : ปี 2549 ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาอยากจะกราบเรียนท่านเพื่อทราบดังนี้ครับ เนื่องจากว่าแผนทางยุทธศาสตร์โดยเฉพาะแผนบริหารราชการแผ่นดินกำหนดในเรื่องของความมั่นคงไว้ในวงเงินค่อนข้างจำกัดนะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ทางสำนักงบประมาณตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณานะครับ ก็ต้องพิจารณาโครงการที่มีลำดับความสำคัญต่ำกว่าออกไป โดยมอบหมายให้ทางส่วนราชการมาวิเคราะห์มาเรียงลำดับ Priority ของงานนะครับ อันนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของกองทัพอากาศที่เสนอมา หรือขึ้นอยู่กับลำดับความสำคัญเท่านั้นนะครับ

ประธาน : สำนักงบประมาณครับ เครื่องพระที่นั่งนะครับ

นายอำ.. : ส ำหรับในเรื่องของโครงการที่เป็นพระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์นะครับ ในแง่ของการเสนอคำขอทางสำนักงบประมาณไม่เคยติดขัดในเรื่องนี้เลยนะครับ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่จะต้องให้ความปลอดภัยและก็ในเรื่องของที่เป็นหลักป ระกันที่ควรจะให้ความมั่นคงแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงวงศานุ วงศ์ทุกท่าน หน่วยราชการใดที่ขอมาในเรื่องนี้ ทางสำนักงบประมาณเน้นเป็นลักษณะ Priority ที่พิเศษเลยนะครับ

ประธาน : ฝากไปยังฝ่ายนโยบายด้วยนะครับ

นายอำ.. : ใช่ครับ ต้องดูนโยบายด้วยครับ

ประธาน : เชิญคุณชัย...

นายชัย.. : เรียนท่านประธานครับ ผมกรรมาธิการ เมื่อกี้ผมฟังไม่ค่อยทันทีแรก เพราะว่าท่านประธานถามว่า กรณีเครื่องพระที่นั่งนี้ยังไม่ได้มีการจัดซื้อ ทางตัวแทนจากสำนักงบประมาณก็แจ้งว่า จัดซื้อในส่วน 319 (หมายถึงเครื่องบินไทยคู่ฟ้า) ไว้ก่อนตามมติคณะรัฐมนตรีนะครับ ผมก็สงสัยอยู่ และก็จะถามต่อไปเลยนะครับว่า กรณีเครื่องบินพระที่นั่งนี้มีอายุการใช้งานอย่างไร มีแผนจัดซื้อหรือไม่ หรือจะปรับปรุงอะไรอย่างไร เพื่อครอบคลุมตรงนี้ ขอความชัดเจนจากสำนักงบประมาณก่อนครับว่า การจัดซื้อเครื่องบินพระที่นั่งที่บอกว่าติดขัดในเรื่องงบประมาณที่พูดตั้งแต่เปิดทีแรกๆเลยนะครับ นี่คือประเด็นที่ 1

ประเด็นที่ 2 คือว่า เรามีแผนอย่างไรต่อไปเกี่ยวกับเครื่องบินพระที่นั่ง หรือปัจจุบันสภาพของเครื่องบินพระที่นั่งเป็นอย่างไร อันนี้จากกองทัพอากาศ แล้วก็เมื่อสักครู่ที่ทางตัวแทนจากสำนักงบประมาณได้ชี้แจงค่อนข้างละเอียดพอสมควร ถ้าเป็นไปได้ ส่วนที่ท่านอธิบาย ขอเป็นเอกสารนิดหนึ่งก็ดีนะครับ เพราะว่าบางตัวเลข เราก็ฟังไม่ทันเหมือนกัน อย่างเช่นกรณีตัวเลขที่จะต้องไปฝึกอบรม หรือไปตรวจรับ 17 ล้านบาทเศษ เราก็มองว่า เป็นตัวเลขที่สูงเหมือนกัน แต่ทีนี้เราก็อยากทราบรายละเอียดแล้วชัดเจนนะครับ

ประธาน : เชิญครับ

นายอำ.. : คือในเรื่องของเครื่องบินพระที่นั่งครั้งแรกนะครับ ถ้าหากว่าจะสังเกตเห็นในเรื่องของงบประมาณในการจัดซื้อ มันเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีนี้นะครับ ในขั้นตอนนั้นผ่านการพิจารณากำหนดวงเงินไปเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ว่าในกรณีอันนี้ทางสำนักงบประมาณก็เสนอไปที่กองทัพอากาศว่า ถ้าหากพิจารณาเห็นความจำเป็นในเรื่องนี้ ก็ให้ปรับแผนในเรื่องของการใช้จ่ายมาดำเนินกิจการดังกล่าว เพราะฉะนั้นในปี 2546 ในการจัดซื้อเครื่องบิน VIP ตัวนี้ (หมายถึงเครื่องบินไทยคู่ฟ้า) ก ็เป็นการดำเนินการดังกล่าว ส่วนเครื่องบินของพระบรมวงศานุวงศ์ที่จะต้องรองรับตรงนั้นนะครับ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่ว่ากองทัพอากาศที่จะเสนอมาในแต่ละปีนะครับว่า ปีนี้ถ้าเสนอเข้ามาทางสำนักงบประมาณก็ต้องพิจารณาในกรณีพิเศษถือว่าเป็นลำดั บ Priority อยู่แล้วนะครับ แต่ถ้าหากว่า ปีไหนที่ยังไม่ได้เสนอมานี้ อันนี้ก็พิจารณาเพิ่มไม่ได้นะครับ แต่อย่างไรก็ตาม โดยเฉพาะในปี 2549 ที่ทางกองทัพอากาศได้กราบเรียนท่านว่า จะเสนอมาเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนหรืออะไรก็แล้วแต่นะครับ อันนี้ทางสำนักงบประมาณต้องดูแลเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว อันนี้กราบเรียนในขั้นต้นนะครับ ทีนี้ในแง่ของแนวทางในการจัดสรรงบประมาณนี้ในเรื่องดังกล่าวนะครับ อยากจะกราบเรียนนะครับว่า แนวทางดังกล่าวที่จะจัดสรรได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางฝ่ายหน่วยราชการต่างๆ เสนอคำขอเข้ามา ถ้าหากว่าไม่ได้เสนอคำขอเข้ามานี้ ก็ไม่ทราบว่าจะพิจารณาอย่างไรนะครับ กราบเรียนเพื่อทราบครับ

นายชัย.. : ขอโทษครับ ส่วนเรื่องเอกสารทางสำนักงบประมาณพอส่งได้ใช่ไหมครับ รายละเอียดที่ชี้แจงเมื่อสักครู่ รายละเอียดเรื่องการใช้เงินนะครับ

ประธาน : ขอทั้งหมดนะครับ ว่าใช้อะไรไปบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้

นายชัย.. : ขอเชิญผู้แทนจากกองทัพอากาศเกี่ยวกับเรื่องเครื่องบินพระที่นั่งว่า เราจะดำเนินการจัดซื้อหรือปรับปรุงอย่างไรหรือไม่ แล้วปัจจุบันอายุการใช้งานเป็นอย่างไรนะครับ ก็ขอทราบเท่าที่ทราบได้

ประธาน : เมื่อกี้ก่อนคุณชัย...มา ชี้แจงไปบางส่วนว่า ปี 2549 ขอซื้ออีกทีหนึ่งนะครับ ขอเพิ่มเติมเลยครับ

พล.อ.อ.ช : ผมขอเรียนอย่างนี้นะครับ ในช่วงเมื่อกี้จะให้ข้อมูลที่อาจจะไม่ตรงนิดหนึ่ง มันจะพลาดนิดหนึ่งคือตัวเลขของปีนี้ ในปี 2547 เราทำเรื่องขอไปปรากฏว่า เมื่อกี้เช็คแล้ว ทางกรมยุทธการไม่ได้ทำเรื่องของบประมาณในการจัดซื้อสำหรับเครื่องพระที่นั่ง ขณะนี้เราได้ทำในปี 2549 คือจะเริ่มทำนะครับ

ประธาน : ก่อนนี้ไม่ขอเลยหรือ

พล.อ.อ.ช : ในส่วนของผู้ใช้งานเราพยายามขอครับ แต่ว่าในส่วนเมื่อการตั้งกฎเกณฑ์ไว้ว่าเราใช้ตัวเลขที่ 15 ปีในการพิจารณาดำเนินการในส่วนนี้จะทำให้การจัดหา เราสามารถที่จะรอในปีต่อไปได้เกี่ยวกับประเภทนั้นนะครับ เนื่องจากว่า 15 ปีของเครื่องพระที่นั่งนั้น ชั่วโมงบินเมื่อเทียบกันกับเครื่องของการบินไทย ประมาณ 25% ของเครื่องการบินไทยที่ทำการบินเท่านั้นเองครับ เพราะว่าจะบินเฉพาะนักบินพระที่นั่งจริงๆ เพื่อทำการฝึกซ้อม แล้วก็เครื่องบินปฏิบัติภารกิจจริงเท่านั้นครับ สำหรับปี 2549 ที่เราจะทำเรื่องไปแล้ว ก็คงขึ้นไปข้างบน ก็จะเป็นตัวเลข ขณะนี้ที่ผมถามข้อมูลแล้วเครื่องใหม่ก็คงจะเป็น 737-400 ไม่ได้ คงต้องเป็น 737-700 หรือ 737-800 ซึ่งอยู่ในสายการผลิต ราคามันอยู่ที่ประมาณ 70-80 ล้านเหรียญสหรัฐครับ

...................................................

เห็นหรือยังคร๊าบ...ว่า ทั้ง “ทหารอากาศไม่ขาดรัก” กะ “สำนักงกฯ” อุ๊ย..ไม่ใช่...ต้องสำนักงบฯถึงจะถูก...มีความคิดต่อเรื่องนี้อย่างไร คำตอบที่ออกมาจะเห็นว่า ตอบวนไปเวียนมา เมื่อถูกซักหนักๆเข้า...

เมื่อรู้ตัวว่า “พลาด” ไปแล้ว ก็มาเอาสีข้างเข้าถู!!!

เรื่องนึงที่เห็นชัดก็คือ ปีพ.ศ.ที่ยื่นขอจัดซื้อเครื่องบินพระที่นั่ง “ถวาย”

ตอนแรก...ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า ทำเรื่องขอจัดซื้อถวาย โดยนำฮ.พระที่นั่ง 2 ลำไปแลก พอเหตุการณ์พลิกผัน มี “คนบ้าอำนาจ” อยากได้เครื่องบินมาเป็นของตัวเอง ก็เลยต้องถูกดองไว้

พอปีถัดมาทำเรื่องเสนอไปก็ถูกดองไว้อีก...เมื่อถูกซักหนักในที่ประชุม...สุดท้ายก็มาพลิกบอกว่า ไม่เคยขอ...เพิ่งจะมาเริ่มขอในปีงบประมาณ 2549 นี้เอง

เฮ้อ...คงไม่ต้องบอกนะว่า “ของร้อน” ทำอย่างไร...คนมันก็ร้อนรนนั่นเอง!!!

ต่อมา...หากสังเกตกันให้ดี !!!

ที่ถูกถามว่า...ระยะเวลาใช้งานของเครื่องบินพระที่นั่งเดิมคือ 737-400 นั้นกี่ปี...แรกๆ บอกว่า 13 ปี (ซึ่งก็ตรงพอดีกับปลายปี 2546 ที่ทำเรื่องขอเอาฮ.พระที่นั่ง 2 ลำไปแลก)

พอเรื่องราวไม่ใช่อย่างนั้น...ตอนหลังกลับมาบอกว่า ระยะเวลาใช้งานอยู่ที่ 15 ปี (ซึ่งจะมาสอดรับกับเวลานี้ที่เพิ่งตั้งแท่นชงเรื่องเข้าไปนั่นเอง)

ซึ่ง “พล.อ.อ.ช” ที่ว่านี้เป็นใคร...บอกใบ้ให้ก็ได้ว่า...เวลานั้น มีเก้าอี้ใหญ่คุม “กองบัญชาการยุทธการทางการอากาศ”

แต่ล่าสุด...ได้ดิบได้ดี...หญ่ายโตสุดๆ ในย่านดอนเมืองแล้ว...ชนิดที่เรียกว่า “ส้มหล่น”...เพราะมีรายการ “ฟ้ามีตา” สั่งสอน “ใครบางคน”

จากเดิมที่เคยมีลูกพี่-ลูกน้อง...ออกมาทำหน้าขึงขัง-พูดจาสามหาวว่า... “เซ็นไปแล้ว ใครก็มาเปลี่ยนไม่ได้”

แต่สุดท้าย...โผก็พลิก...ส้มหล่นมาตกที่... “พล.อ.อ.ช” คนนี้นั่นเอง!!!

ถามว่า...ระดับ “พล.อ.อ.ช” มีหรือ...จะตอบข้อมูลที่ผิดพลาดนี้ได้อย่างไร...ทั้งที่เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง...พอรู้ตัวว่า “พูดพลาด” ตอนหลังถึงต้องมาบอกว่า...เช็คข้อมูลแล้ว “พลาดนิดนึง”...5555

นับเป็นเผือกร้อน...ที่ “พล.อ.อ.ช” รับไว้เต็มเปา-เต็มหัวอก...

ก็ไม่รู้ว่า...ส้มหล่น “เก้าอี้” หญ่ายตกใส่...จะต้องมาเป็น “แพะ” ให้กับ “ใครบางคน” อีกหรือเปล่าน้า

เพราะ “ใครบางคน” ที่เดินเกม-ชงเรื่องนี้...เป็นอดีตทหารอากาศผู้ไม่เคยขาดรัก...(จริงๆ)...เพราะเป็นผู้กุมบังเหียนนั่งยิ้มแป้นอยู่ที่ดอนเมืองในห้วงเวลานั้นพอดิบพอดี

และอย่าลืมว่า...อำนาจในการชงเรื่องซื้อเครื่องบิน-อำนาจในการอนุญาตให้ใครจะใช้เครื่องบินได้นั้น...อยู่ที่ “คนโต” ของค่ายทัพฟ้าดอนเมืองเท่านั้น

อยากรู้หรือไม่ว่า “ทหารอากาศไม่ขาดรัก” คนที่ว่านี้...เป็นใคร???

ก็คนที่เป็น “ผัวเพื่อนสนิท” ของ “นายหญิง” นั่นเอง

แถมเวลานี้ได้ดิบได้ดี โดยอาศัยวาสนาของ “เมีย” ที่เอ่ยปากขอร้องกับเพื่อนสนิทและเป็นเจ้านายเก่าว่า “ขอให้ผัวฉันได้เป็นเสนาบดีกับคนอื่นเค้าบ้างได้มั๊ยจ๊ะ”

เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า...ยามนี้ “เพื่อนสนิท” ของ “นายหญิง” คนนี้...เจ็บกระออดกระแอด ต้องพักรักษาตัว “ขนานใหญ่”

เมื่อเอ่ยปากเช่นนี้...มีหรือ “นายหญิง” จะใจไม้ไส้ระกำ...

เพราะรู้กันอยู่ว่า...ใครใกล้ชิด-มักได้ดี, ใครสวามิภักดิ์-มักเติบโต, ใครเชลียร์เก่ง-มักก้าวหน้า!!!

เพราะรู้กันอยู่ว่า...คอ-รอ-มอ ชุดนี้...ใครหญ่าย...

เพราะรู้กันอยู่ว่า...สื่อพากันขนานนาม “นิคเนม” กันว่า...คอ-รอ-เมีย

จนเป็นที่โจษขานกัน...อื้ออึงไปทั่วบ้านทั่วเมือง!!!

เพียงแค่นี้...ก็พอจะเห็นภาพได้แจ่มแจ้งขึ้นบ้างหรือยังว่า...ทำไม...ทำไม...ทำไม...และทำไม...ถึงต้องแบบนี้!!!

อย่างที่บอกสัปดาห์นี้...ไต่กอ-ขอบอกเรื่องราวที่อาจจะดูว่า...ผิดสไตล์...แต่เห็นแล้ว “ขอบอก” จริงๆว่า...มัน(หน้าด้าน)...ทำกันได้

ก็ได้แต่รอดูว่า...เมื่อ “ฟ้ามีตา” แล้วนั้น...สุดท้าย “สวรรค์” จะลงโทษ “คนบ้าอำนาจ” พวกนี้...อย่างไร...555


http://www.thaiinsider.com/ShowNews.php?Link=News/NaNaJitTang/2005-12-03/12-28.htm

“ต้อย ต้นโพธิ์” ยันกลางศาล พวก “เยาวเรศ” โกงสินบนคาร์ปาร์ก 25 ล้าน!

“ต้อย ต้นโพธิ์” ยันกลางศาล พวก “เยาวเรศ” โกงสินบนคาร์ปาร์ก 25 ล้าน!
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 13 ธันวาคม 2548 14:15 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัติย์

นางเยาวเรศ ชินวัตร


ไ ต่สวนมูลฟ้อง อลงกรณ์ ฟ้อง น้องนายกฯ “ต้อย ต้นโพธิ์” ยันกลางศาล “ลัทธพล” เข้าร้องเรียนถูกโกง 25 ล้าน วิ่งเต้นประมูลสร้าง “คาร์ปาร์ก” ด้าน “อลงกรณ์” เตรียมเผยหลักฐานเด็ดจับโกหก “เยาวเรศ” เผยข้อมูลการโทรศัพท์ติดต่อลัทธพลหลายครั้ง

วันนี้ (13 ธ.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์ ไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ ในคดีที่ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเยาวเรศ ชินวัตร ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานฟ้องเท็จ ละเมิด กรณีฟ้องหมิ่นประมาท นายอลงกรณ์ หลังออกมาเปิดเผยข้อมูลกล่าวหานางเยาวเรศ เรียกรับสินบนการประมูลโครงการก่อสร้างอาคารจอดรถ (คาร์ปาร์ก) ของสนามบินสุวรรณภูมิ

เมื่อเริ่มการพิจารณา ทนายจำเลยได้แถลงต่อศาลขอให้จำหน่ายคดีเป็นการชั่วคราวเพื่อรอฟังข้อเท็จจริ งในคดีที่ นางเยาวเรศเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอลงกรณ์ ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกัน และมีพยานเอกสารชุดเดียวกัน ขณะที่ทนายโจทก์ค้านว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอิทธิพล เกี่ยวข้องกับน้องสาวนายกรัฐมนตรี จึงต้องการให้มีการไต่สวนพยานบุคคลต่อไป เนื่องจากเกรงจะมีการข่มขู่จนทำให้พยานไม่กล้ามาเบิกความ ศาลอนุญาตให้ทำการไต่สวนต่อไป

ทนายโจทก์ นำนายอัมพร พิมพ์พิพัฒน์ ผู้เขียนบทความคอลัมน์ (ต้อย ต้นโพธิ์) ใน นสพ.ไทยโพสต์ ขึ้นเบิกความว่า เมื่อเดือน ม.ค.2548 นายลัทธพล เกษโกทิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัทธ์เฟอร์ไทย จำกัด ได้เข้ามาพบ และร้องเรียนว่าถูกฉ้อโกงหลังเข้าไปร่วมประมูลโครงก่อการสร้างในสนามบินสุวร รณภูมิ โดยได้จ่ายเงินให้กับพวกของนางเยาวเรศ จำนวน 25 ล้านบาท และมีสัญญาระบุว่าหากได้รับการประมูลจะต้องจ่ายเงินให้ครบตามจำนวนที่เรียกร ้อง โดยนายลัทธพลมีเอกสารการโอนเงิน และบันทึกข้อตกลงเรื่องการชำระเงินคืนหากไม่ได้รับการประมูลมายืนยัน ทำให้ตนเชื่อว่ามีการเรียกรับสินบนจริง และเขียนบทความลงในคอลัมน์ (ต้อย ต้นโพธิ์) ลงตีพิมพ์ใน นสพ.ไทยโพสต์ เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน

หลังพยานเบิกความเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์นัดต่อไป ในวันที่ 9 มี.ค.2549 เวลา 09.00 น.

นายอลงกรณ์ กล่าวภายหลังว่า ขณะนี้ตนมีหลักฐานสำคัญที่จะนำมาต่อสู้คดี โดยหลังจากใช้อำนาจศาลขอตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือ พบข้อมูลการติดต่อกันระหว่างนางเยาวเรศ และนายลัทธพล และการติดต่อระหว่าง นางณัฐชา นัยชล อดีตลูกน้องคนสนิทของนางเยาวเรศ ที่ติดต่อกับนายลัทธพลหลายครั้ง โดยเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้ติดต่อกัน จดทะเบียนในนามของนายรัตนะ วงศ์นภาจันทร์ บุตรชายนางเยาวเรศ ซึ่งขัดกับคำเบิกความของนางเยาวเรศที่ยืนยันต่อศาลว่าไม่เคยรู้จักกับนายลัท ธพลมาก่อน

นอกจากนี้ จากการตรวจสอบบัญชีเงินสด และเช็คสั่งจ่าย เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2546 ยังพบการถอนเงิน 5 ล้านบาท จากบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสะพานพุทธ และวันที่ 5 ก.ย.ถอนจากบัญชีบริษัท ข้อมูลการโอนเงิน จากบัญชี บ.ลัทธ์เฟอร์ไทย จำกัด ที่ธนคารกรุงไทย สาขาบางขุนเทียน ซึ่งสอดคล้องต้องกันกับหนังสือสัญญาการเรียกรับสินบนว่ามีการจ่ายเงินงวดแรก ในวันที่ 1 ส.ค. และ 5 ก.ย. รวม 25 ล้านบาท

เลื่อนไต่สวนมูลฟ้องคดี “คาร์ปาร์ก”
"อลงกรณ์"จี้โกวิท เปลี่ยนทีมสอบสวนคดีสินบนคาร์ปาร์ก
“เยาวเรศ” บอกถูกใส่ร้ายคดีสินบนคาร์ปาร์ก
“อลงกรณ์” นำสื่อบุกโรงแรมพิสูจน์ถ่ายวีซีดีสินบนคาร์ปาร์ก
“เยาวเรศ” ปัดรับสินบนคาร์ปาร์ก “ลัทธพล” กลางศาล
"อลงกรณ์"มอบหลักฐานเพิ่ม เส้นทางเงินทุจริตคาร์ปาร์ก
“เสรีพิศุทธ์” พร้อมคุมคดีสินบนฉาว “คาร์ปาร์ก”
“อลงกรณ์” ขอ “เสรีพิศุทธ์” คุมคดีคาร์ปาร์ก
ไต่สวนนัดแรกคดี “อลงกรณ์ ฟ้อง เยาวเรศ”
เรียก “อลงกรณ์” แจงเพิ่มสินบนคาร์ปาร์ก หลัง “ลัทธพล” ล่องหน
“ธานี” สั่งตามตัว “ลัทธพล” ไขปริศนาสินบนคาร์ปาร์ก
ศาลยกคำร้อง “อลงกรณ์” ขอเพิกถอนห้ามพูดสินบนคาร์ปาร์ก
“อลงกรณ์” ร้องค้านคำสั่งศาล ห้ามพูดสินบนคาร์ปาร์ก
ศาลสั่งห้าม “อลงกรณ์” ให้ข่าวพาดพิง “เยาวเ


http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9480000170800&CommentPage=1&#Comment

วันจันทร์, ธันวาคม 12, 2548

นี่..มันอะไรกัน ???

http://kooleethai.topcities.com/051024.htm

เวบนี้มีข้อมูลที่น่าขน ลุกเกี่ยวกับการกระทำและผลพวงที่เกิดขึ้นจากการกระทำของนายก ฯ คนนี้ ใครที่ไม่มีลำโพงฟังเสียง เราช่วยถอดเทปมาให้แล้ว เป็นการโทรศัพท์เข้าไปในรายการวิทยุ เอฟเอ็ม 9225 วันที่ 24 เดือน 10 ปีนี้

ส รุปความน่ากลัวให้ฟังสั้น ๆ คือ การเปิดน่านฟ้าของเราทำให้จีนเคลื่อนทหารมาชายแดนไทย – พม่า สองแสนห้านาย และเล็งพิกัดหัวรบนิวเคลียร์มาที่เรา เผื่อเครื่องบินอเมริกามาใช้ฐานบินที่อุดร (อยากรู้อ่านรายละเอียดตอนกลาง ๆ เรื่อง) และทั้งอี – เมล์ อินเตอร์เนท และมือถือในระบบ AIS ถูกดักฟังโดยส่งสัญญาณเข้าตึกชิน (เป็นเหตุผลแท้จริงว่าทำไมที่ผ่านไปเร็ว ๆ นี้ บิล เกตต์มาไทย) และที่สำคัญ องคมนตรีต้องเปลี่ยนระบบรักษาความปลอดภัย (คิดเองว่าความปลอดภัยพระองค์ใด) เพราะพบว่าถูกดักฟังมือถือ

อาคม: สวัสดีอาจารย์ทุกท่าน สวัสดีพี่น้องประชาชนที่ฟังคลื่นนี้อยู่ทุกท่าน เริ่มต้นนิดนึงก่อนเลยนะครับ ใจผมจริง ๆ นี่ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนอีกสักกลุ่มนึงที่สะดวกและอยู่ใกล้บ้านจันทร์ส่องหล ้าไปชุมนุมกันที่นั่นดีกว่า เรียกร้องให้ตัดสินใจ ตกลงคุณจะเอายังไง เพราะอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่นายก ฯ คนเดียว ไม่เข้าคือไม่เข้า ก่อนหน้าที่จะไปถึงเรื่องการไฟฟ้า ที่พรุ่งนี้ จะไปบางกรวยกันเนี่ย ผมมีข่าวสารสัก 2-3 เรื่องที่จะพูดให้เพื่อน ๆ พี่น้อง 9225 และอาจารย์ทุกท่านฟัง

อาจารย์ทราบมาแล้วว่าตั้งแต่สึนามิปีที่แล้วที ่ผ่านมา ประมงไทยฝั่งทะเลอันดามันตายกันสนิท มาครั้งนี้ปีนี้ เวลาใกล้เคียงกัน ประมงไทยฝั่งอ่าวไทยของเรากำลังจะตายสนิท แต่ไม่ใช่เพราะสึนามิ เพราะนายก ฯ ไปตระบัดสัตย์กับนายก ฯ อินโดนีเซีย เรื่องการจัดซื้อเครื่องบินลำเลียงระดับกลาง แล้วทางโน้นเนี่ย ใช้อาการต่างตอบแทนคือ เขาตกลงกันว่าจะซื้อข้าวของเราไป แล้วเขาจะขายเครื่องบินให้กับเรา คือ รุ่น CAXACN 235 – 220 M เจ้าเครื่องบินรุ่นนี้นายก ฯ ไทยของเรา ท่านทักษิณไปตกปากรับคำว่าจะซื้อ แต่คุณต้องซื้อข้าวฉันก่อน คราวนี้ ประธานาธิบดีคนเก่า ท่านเมกาวตี ท่านก็ดำเนินการจัดซื้อข้าว แต่พอเครื่องบินเขาทวงถามมาครั้งแรก นายก ฯ ก็บอกว่า กำลังให้ดำเนินการที่โครงการฝนหลวง ก็ถามไปที่โครงการฝนหลวง โครงการฝนหลวงก็บอกว่า เครื่องบินลำเลียงขนาดนี้ใหญ่เกินกว่าใช้ในภารกิจทำฝนหลวง

ผู้จัดรายการ: ถูกต้องครับ ถูกต้อง

อ าคม: ทีนี้ พอท่านเมกาวตี ซูกาโน่ บุตรี ออกจากตำแหน่งไป ท่านบัมบังก็ขึ้นมา ก็ทวงถามอีกว่า ที่จะซื้อเครื่องบินฉันหนึ่งลำนี่ ตกลงว่าไง นายก ฯ ก็ถามไปที่กองทัพอากาศ ซึ่งตอนนั้น ท่านคงศักดิ์ วันทนายังเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศอยู่ ท่านผู้บัญชาการกองทัพอากาศก็บอกว่าเราไม่มีโครงการจะจัดซื้อเครื่องบินรุ่น นี้ กลายเป็นว่าเราจะซื้อเครื่องบินของบราซิล รุ่นเอมบริโอ ปัญหาก็คือ คราวนี้ประธานาธิบดีอินโดนีเซียท่านก็เลยขู่มาว่า จากการที่ไทยไม่ดำเนินการให้ถูกต้องในเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินและซื้อข้า วต่างตอบแทนกันเนี่ย เขาจะเตรียมการยกเลิกประมง ยกเลิกใบอนุญาตประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียของไทยทั้งหมดที่มีอยู่ ซึ่งมูลค่าเป็นหมื่นล้าน แล้วพี่น้องประชาชนไทยที่ประกอบอาชีพประมง อย่างนี้เขาจะไม่ตายหรือครับ ในเรื่องประมงนี้เราเสียหายจากตอนราคาน้ำมันก็สาหัสแล้ว แล้วเรายังต้องเตรียมซื้อของแพงจากการที่เขาไปออกทำประมงนอกน่านน้ำไทยไม่ได ้ น่าเจ็บปวดนะ

อีกเรื่องนึงครับ มาถึงเรื่องประปา ผมดูข่าวช่อง 11 เตรียมเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในปีหน้า

ผู้จัดรายการ: แน่นอนหรือครับ?

อ าคม: ยืนยันมาแล้ว ออกข่าวชัดเจนเลย บอกว่ามีศักยภาพเต็มที่ในการแปรรูปเป็นบริษัท ประปานครหลวงจำกัด หงุดหงิดครับ เพราะว่าไฟฟ้าเนี่ย แปรรูปแล้วเขาประมาณการณ์ว่าจะต้องจ่ายค่าไฟแพงกว่า 3 เท่า คิดดูว่าถ้าน้ำประปาเป็นน้ำที่เราใช้ดื่ม ใช้กิน ใช้บริโภคกันทุกรูปแบบ เพราะน้ำลิตรเป็นขวด ๆ มันแพง อะไรจะเกิดขึ้น เราไม่ต้องซื้อน้ำลิตรนึงในราคา 20 กันหรือครับ น้ำ ไฟ โทรศัพท์ จะเอาอะไรนักหนา?

ผู้จัดรายการ: พรุ่งนี้เรียนเชิญนะครับ ไปร่วมอภิปรายกัน

(ทีเด็ดอยู่ตอนนาทีที่ 5 )

อ าคม: ผมกำลังต่อสู้อีกแนวทางนึงครับ แนวทางที่ผมร่วมต่อสู้อยู่เนี่ย ร่วมกับทางอเมริกา เพราะว่าที่ธรรมกายเข้าโจมตีสมเด็จพระสังฆราชรวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์อย ู่นะครับ เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะนำมาเล่าให้ฟังในวันหลัง แต่มีอีกเรื่องที่ผมอยากเล่าออกอากาศตรงนี้มานานแล้ว เพราะได้ข่าวจากเพื่อนมา วันนี้เป็นเวลาวันที่ 4 หรือ 5 แล้วนะครับ ค่อนข้างซีเรียส พี่น้องครับ ขอพูดตรงนี้ เป็นการพูดที่ไม่ออกหนังสือพิมพ์ทั่วไป ไม่ออกตามวิทยุทั่วไปด้วย คือผมพูด ทราบว่าอาจารย์ทั้ง 4 ท่านทราบแล้ว เรื่องการที่ไทยเปิดเสรีน่านฟ้า เปิดเสรีการบินให้อเมิรกา ยกฐานบินที่อุดรให้เขาเช่า 15 ปี ตรงนี้คือปัญหาครับ ปัญหาที่ตามมา คือ จีนมองว่านี้คือการคุกคามประเทศเขาผ่านนายหน้าของสหรัฐคือสิงคโปร์ แล้วการที่เครื่องบินสหรัฐสามารถบินบนน่านฟ้าไทยได้ จริง ๆ แล้วคือการอนุญาตให้เครื่องบินทางทหาร ซึ่งมีความสามารถในการสอดแนมรุกล้ำน่านฟ้าได้ด้วย ซึ่งเขาวิเคราะห์ออกมาแล้ว ว่าถ้าสมมุติใช้ฐานบินที่อุดร แล้วสวมรอยมาเป็นเครื่องบินสิงคโปร์บินจากอุดร สามารถบินไปโจมตีได้ถึงคุนหมิง เรื่องนี้ค่อนข้างซีเรียสครับพี่น้อง เพราะ ตอนนี้จีนเขาตอบโต้ยังไงรู้ไหมครับ? เขาเคลื่อนกำลังทหาร 250,000 นาย ตรึงกำลังตลอดแนวชายแดนไทย - พม่า และเขาเองตั้งพิกัดหัวรบนิวเคลียร์ของเขา ซึ่งมีสถานีภาพถ่ายจากชายแดนประเทศไทยไป 270 กิโลเมตร ให้มีพิกัดมาที่ประเทศไทยครับ

ผู้จัดรายการ: เขาก็จะหาว่าประเทศไทยไปให้ความร่วมมือกับอเมริกา สิงคโปร์

อ าคม: ถูกต้องครับ นั่นคือสิ่งที่ทางจีนมองไว้ เพราะ ไอ้เหลี่ยมของเราเนี่ย ขอโทษที เพราะทักษิณของเราใช้นโยบายตีสองหน้า ทำตัวเป็นเณรน้อยให้กับทางจีนและก็สหรัฐ แต่ขอโทษครับ เณรน้อยคนนี้เนี่ยจะฆ่าหลวงจีน ผมเองมีเพื่อนทำงานข่าวกรองที่เพนตากอน เราเช็คข่าวกันมาและยืนยันได้ว่าจากภาพถ่ายดาวเทียมมีการเคลื่อนกองทหารจริง และขอโทษนะครับ ข่าวที่ลึกลงไปกว่านี้ พี่น้องประชาชนต้องทราบ จีนเองแจ้งมาถึงส่วนงานข่าวหลาย ๆ ส่วนที่ทำงานถวาย ว่าสหรัฐจะอาศัยดาวเทียมไทยคมในการชี้เป้าพิกัดทางทหารในประเทศจีน โดยใช้อุปกรณ์อัพลิ้งค์สัญญาณดาวเทียมซึ่งถูกส่งมาจากประเทศสหรัฐโดยการทำงา นของพวก ซีไอเอ ตอนนี้ประกอบอุปกรณ์กันอยู่ที่ประเทศอินเดีย นี่คือเหตุผลนึงที่ทหารสหรัฐถูกสั่งเคลื่อนกำลังไปประชิดตลอดชายแดนอัฟกานิส ถาน แล้วจีนเองก็เห็นเรื่องนี้ ผมยังหงุดหงิดว่าตั้งแต่เกิดมา ผมเพิ่งเคยทราบว่าจีนเขาจะหัวเสียกับเราขนาดนี้ พระเจ้าอยู่หัวและสถาบันทุกพระองค์รักษาความสัมพันธ์กับจีนมาตลอด

ผู ้จัดรายการ: ผมอยากจะเรียนถามท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นข่าวกรอง พอจะรู้บ้างไหมว่า ดาวเทียมไทยคมทุกดวงที่ขึ้นไปเนี่ย สหรัฐเป็นคนลงทุนให้ทั้งหมดจริงมั้ยครับ??

อาคม: ยืนยันว่าจริงครับ นักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐ...(ผู้จัดรายการถามต่อ)

ผ ู้จัดรายการ: แล้วประโยชน์ที่ได้รับจากดาวเทียมไทยคมทุกดวงเนี่ย เพื่อจะให้มีการทำจารกรรม โดยงบประมาณทั้งหมดนั้น ท่านทักษิณไม่ได้จ่าย ส่วนหนึ่งคือทำธุรกิจบังหน้า และอีกส่วนหนึ่งคือยึดยุทธศาสตร์แถบเอเชี่ยน คุม เศรษฐกิจ

อาคม: เขามีแผนยุทธศาสตร์มาในรูปแบบการทำธุรกิจที่ว่า คุณทักษิณต้องการยึดการสื่อสารผ่านอินเตอร์เนท ผ่านดาวเทียมให้ได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้จัดรายการ: มันก็อย่างนี้นะครับ เท่าที่มีข่าวร่ำลือกันมาว่าสายส่งไฟฟ้าทั้งหมด ปกติสายไฟฟ้าเป็นสายส่งโทรคมนาคมได้ โดยไม่ต้องต่อครบวงจร อย่างเช่นสายส่ง สัญญาณทางเทคนิควิ่งได้เป็นดิจิตอล โดยไม่ต้องลงทุนครับ ถ้ากรณีอย่างนี้เนี่ย ถ้าทำแล้วเอามาขายคนไทยแพง ๆ แต่ต้นทุนนิดเดียวเนี่ย เราต้องสู้นะ

อาคม: ถูกต้องครับ... เรื่องนี้ล่ะครับที่ไม่สามารถลงได้ตามหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งดูโทรทัศน์ ผมดู 3, 5, 7, 9, itv ทุกช่องรวมกันแล้วเนี่ยเศษเสี้ยวของข่าวสารเหล่านี้ก็ยังไม่ออกมา ประชาชนถูกปิดกั้น แม้กระทั่งสื่ออินเตอร์เนท ผมเรียนตามตรงว่าอี - เมล์ทุกเมล์ในประเทศไทยที่ทำงานแล้ววิ่งผ่านเมล์ บ๊อกซ์ของ Hotmail เซิฟเวอร์ถูกแปลงแล้วก็ส่งสัญญาณไปที่เซิฟเวอร์หลักที่ตึกชิน เพราะฉะนั้นความลับในอี – เมล์ของท่านไม่มี

ผู้จัดรายการ: ท่านครับ ท่านครับ มีอีกประเด็นนึงครับ ผมตั้งข้อสังเกตุ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหนไม่ทราบ คือ ประเด็นเรื่องการสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เนทนี้ เป็นการล้วงความลับทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งใช้ไมโครซอฟท์เป็นแม่ข่าย

อา คม: ไมโครซอฟท์เองนะครับ ในบทบาทล่าสุดที่เข้ามา จากการที่จะเปิด ที่ทักษิณไปคุยกับ บิล เกตต์ เอาไว้ล่าสุดที่บิล เกตต์มาบอกว่าเราเป็นศูนย์กลางเวบแอพพลิเคชั่น จริง ๆ แล้วเนี่ย เขามาสั่งการดำเนินการให้ไมโครซอฟท์นะครับสาขาสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่จริง ๆ ของเขา คอนโทรลมาที่บริษัทในประเทศไทย คือไมโครซอฟท์ประเทศไทยดำเนินการแฮคกิ้งระบบ รวมทั้งทำการเข้ารหัสสัญญาณการโอนไปที่สิงคโปร์ให้กับทางพี่เหลี่ยมของเราเน ี่ย ตอนนี้ไมโครซอฟท์เองโดยส่วนตัวของเขาปัจจุบันเขาทำของเขาเองอยู่แล้ว คือการส่งแบ๊ค ดอร์มาที่คอมพิวเตอร์ที่ใช้ไมโครซอฟท์ทุกตัว คอมพิวเตอร์ที่ใช้วินโดร์ โอ.เอส ไมโครซอฟท์เนี่ย มีแบ๊ค ดอร์ครับพี่น้อง และโครงสร้างของตัววินโดร์เองมันทำให้ล่มบ่อย ๆ เพื่อว่าพี่น้องจะได้ซื้อระบบวินโดร์ที่สูงขึ้น ราคาแพงขึ้น ทั้งทั้งที่โอ.เอส ปฏิบัติการฟรีอย่างเช่น ลีนุกซ์ ที่ประเทศไทยเคยพยายามจะผลักดันผ่านรัฐบาลของทักษิณสมัยหมอเลี้ยบทำงานอยู่ไ อซีทีเนี่ย มันพังไป เพราะตอนนั้นรัฐบาลไปตกลงรับซอฟแวร์ฟรีของทางไมโครซอฟท์มาใช้ เขาอ้างว่าไม่มีเวลาพัฒนา ทั้งทั้งที่ประเทศจีนทั้งประเทศและยุโรปเกือบทั้งหมดเนี่ย เขาไปใช้ลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการแทนวินโดร์กันหมดแล้ว มีแต่ประเทศไทยครับที่ยอมตัวเป็นทาสโดยระดับของผู้นำของเราเอง

ผู้จัดรายการ: มีข้อสังเกตอีกอันนึงครับว่า ประเทศจีน เขาไม่ใช้ไมโครซอฟท์กันเลย แปลกมาก

อาคม: ลีนุกซ์ ดราก้อนเป็นระบบปฏิบัติการของเขา

ผู้จัดรายการ: ได้ข่าวว่าเขาบดขยี้เลยนะ เอารถบดถนนบดบนพื้นเลย แล้วใช้ลีนุกซ์ ซึ่งพัฒนาในประเทศเอง

อ าคม: เพราะอะไรรู้มั้ยครับ? ทางจีนเองเขามีวิธีคิดที่ฉลาดมาก เขาซื้อเทคโนโลยี เขาลงทุนซื้อรถสปอร์ตอย่าง แลมเบอร์กินี่ อย่างปอร์เช่ ซื้อซอฟแวร์ระดับยาก ๆ แล้วไปวิเคราะห์โครงสร้างการทำงาน แล้วสร้างแบบของตัวเองขึ้นมา เสร็จแล้วนะครับ เขาก็สร้างรถยนต์สปอร์ตที่เหมือนกันมาก เหมือนกับทางยุโรป สหรัฐทุกอย่างเลย แล้วที่เหลือก็ คือ เขาก็ขายเป็นแบรนด์ของเขา เพราะเหตุนี้ไอ้กันถึงได้เกลียดประเทศจีนไง เพราะจีนสามารถขโมยเทคโนโลยีของสหรัฐได้ ในขณะที่ไทย...(ผู้จัดรายการแทรกขึ้นก่อน)

ผู้จัดรายการ: เรื่องนี้เราต้องคุยกันอีกยาวนะครับ มีประโยชน์มากเลยนะครับ ที่จะให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนอย่างนี้ ประชาชนคนไทยไม่รู้หรอกครับ

อาคม: ผมขอเรียนเรื่องสุดท้ายที่ผมหงุดหงิดใจที่สุด บริษัท AIS สั่งซื้อเครื่อง HP Super Dome เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เร็วระดับ 300 ตัวต้น ๆ ของโลก มาเพื่อใช้ในการแทรกแซงระบบมือถือ เขาสามารถแฮคกิ้งผ่านระบบมือถือแล้วฟังทุกคนในประเทศนี้ได้จากศูนย์กลางที่ต ึก AIS ที่สำคัญเนี่ย ทราบไหมครับว่าทำให้องคมนตรีเปลี่ยนระบบรักษาความปลอดภัยใหม่ เพราะท่านทราบมาว่ามีการแฮคกิ้งโทรศัพท์มือถือ ดักฟังโทรศัพท์มือถือของท่านองคมนตรี

ผู้จัดรายการ: โอ้ ก็ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

อาคม: ขอบคุณที่ให้โอกาสครับ เพราะเรื่องนี้ประชาชนไม่รู้แน่ ๆ ผ่านสื่อครับ
เราจะรอถึงเมื่อไหร่เหรอ สิ่งที่เขาทำอาชญากรรมระดับโลกชัด ๆ

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000170068

ดวง..นายตักสิ้น

http://www.tiantek.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=37452&Ntype=4

วันพุธ, ธันวาคม 07, 2548

กฟผ. หมกเม็ด ???

ผมได้อ่านบทความเรื่อง “กฟผ.” ซึ่งเขียนโดยท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช (ผู้จัดการรายวัน 4 ธันวาคม 2548) แล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจหลายอย่าง

ที่รู้สึกอย่างนี้ก็เพราะในสายตาของผม ท่านเป็นนักวิชาการที่ผมเคารพนับถือมานาน ขณะเขียนบทความนี้ก็ยังนับถืออยู่ แม้จะไม่เคยรู้จักท่านเป็นส่วนตัวก็ตาม

แต่ในฐานะที่ท่านเป็นประธานคณะกรรมการ กฟผ. และเป็นผู้เขียนบทความชิ้นนี้ ผมมีข้อมูลและความเห็นที่แตกต่างไปจากท่านรวม 4 ประการ

นี่คือความรู้สึกจริงๆที่ขัดแย้งกันอยู่ในใจของผมเอง ผมอาจจะติดกับความคิดเชิง “อุปถัมภ์” ตามที่ท่านว่าไว้ก็เป็นได้

ต่อไปนี้ ผมจะแจงทีละประเด็น ดังนี้

ประเด็นที่หนึ่ง ตอนหนึ่งในบทความท่านได้กล่าวว่า “กฟผ.มีหน้าที่ดูแลให้คนไทยมีไฟฟ้าใช้อย่างพอเพียงโดยไม่มีไฟดับ เท่าที่ผ่านมาก็ทำได้ดี ในรัฐแคลิฟอร์เนียก็ยังมีไฟดับทั่วรัฐ ของเรายังดี และค่าไฟเราก็นับว่าถูกกว่าหลายประเทศรอบบ้าน”

กล่าวอย่างกระชับ ผมเห็นด้วยข้อความเกือบทั้งหมดนี้ แต่สิ่งที่ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ไม่ได้บอกก็คือ ทำไมบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชน(หรือที่เรียกกันย่อๆว่าไอพีพี) จึงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในราคาที่ต่ำกว่าที่ กฟผ.ผลิตเองเยอะเลย

กล่าวคือ เฉพาะต้นทุนค่าเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวของ กฟผ.ราคาหน่วยละ 1.59 บาท ในขณะที่ กฟผ. รับซื้อจากบริษัทเอกชน(ซึ่งบวกกำไรแล้ว)เพียง 1.35 บาทต่อหน่วยเท่านั้น (คำนวณโดยใช้ข้อมูลจาก รายงานประจำปีของ บมจ. กฟผ. ปี 2547)

ถ้าคิดต้นทุนที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิงแต่เป็นค่าการผลิตไฟฟ้า(ไม่รวมค่าสายส่ง) อีก 0.37 บาทต่อหน่วย รวมเป็น 1.96 บาทต่อหน่วย

สรุปสั้น ๆ ได้ความว่า เฉพาะขั้นตอนการผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว พบว่าต้นทุนบวกกำไรของบริษัทเอกชนยังต่ำกว่าต้นทุนอย่างเดียวของ กฟผ. ถึง 0.61 บาทต่อหน่วย

ปัจจุบันคนไทยใช้ไฟฟ้าปีละประมาณ 1.25 แสนล้านหน่วย ดังนั้น ทุก ๆ 10 สตางค์ต่อหน่วยที่ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ย่อมหมายถึงเงินจำนวน 1 หมื่น 2 พัน 500 ล้านบาทเลยทีเดียว

การที่ท่านประธานบอร์ด กฟผ. นำค่าไฟฟ้าในประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับของประเทศเพื่อนบ้าน โดยไม่ยอมเปรียบเทียบระหว่าง กฟผ. กับบริษัทเอกชนในประเทศไทย(ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจเดียวกัน)เลยนั้น เป็นการให้ข้อมูลเพียงครึ่งเดียว และเป็นการหลีกเลี่ยงการปรับปรุงและพัฒนาตนเองขององค์กร

ผมไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ชัยอนันต์ได้ทราบข้อมูลที่ผมได้กล่าวถึงนี้หรือไม่ แต่นี่คือโจทย์สำคัญมากที่กฟผ.จะต้องนำไปปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กรของตน และลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน

ประเด็นที่สอง เป็นประเด็นชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ท่านประธานบอร์ด กฟผ. กล่าวว่า
“ขณะนี้เราใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 70% ที่เหลือเป็นน้ำมันเตาบ้าง และพลังน้ำบ้าง ในสิบปีข้างหน้า เราคงซื้อกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม และน้ำเทินในลาวเพิ่มมากขึ้น ยิ่งโครงการสาละวินเกิดขึ้นในอนาคตด้วยแล้ว เราก็ยิ่งจะได้อาศัยไฟจากเพื่อนบ้านมากขึ้น โดยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำจะต่ำกว่าก๊าซ”

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากๆ ที่เป็นปัญหาทั้งระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะมองในเชิงรัฐศาสตร์หรือเชิงสิ่งแวดล้อมก็ตาม เราจำเป็นต้องมีกรอบความคิดที่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบทั้ง 3 ระดับนี้พร้อม ๆ กัน

เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือเขื่อนขนาดใหญ่ ล้วนส่งผลกระทบที่ทำให้โลกร้อนและกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆกันอีกแล้ว

หลายประเทศทั่วโลก จึงได้หันมาใช้พลังงานหมุนเวียน(ซึ่งได้แก่ พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวล) ในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น

กระทรวงพลังงานของเราเองรวมทั้งธนาคารโลกก็ได้ศึกษาพบว่าประเทศไทยเรามีศักยภาพที่จะทำกังหันลมได้ถึง 1600 ถึง 3067 เมกกะวัตต์

กฟผ.เองก็ได้ข้อสรุปจากการทดลองที่แหลมพรหมเทพ (จังหวัดภูเก็ต) ว่า “ผลการศึกษาเป็นที่น่าพอใจ” เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่มีการขยับใดๆ จาก กฟผ.

เวทีประชุมพลังงานหมุนเวียนระดับโลก ทั้งที่เยอรมนี(2004) และปักกิ่ง(2005) ที่เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันของชาวโลก แต่ก็แทบจะไม่มีผู้แทนจากประเทศไทยเข้าร่วมเลย(ครั้งแรกมี 15 ท่าน แต่เข้าร่วมประชุมเพียงเพื่อฟังรัฐมนตรีของไทยพูด ครั้งที่สองมีระดับรองอธิบดี 1 ท่าน ทั้งๆที่มีการเชิญระดับรัฐมนตรี ไม่มีผู้แทน กฟผ.เลย)

ในขณะที่ประเทศอินเดีย จีน ได้เริ่มต้นไปแล้วเมื่อ 4-5 ปีก่อน ล่าสุดประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้มีฟาร์มกังหันลมขนาด 27 เมกกะวัตต์ไปแล้วเมื่อกลางปีนี้เอง

ต้นทุนการผลิตที่ผู้บริหารระดับสูงของ กฟผ.อ้างว่ายังแพงมากนั้นก็ไม่เป็นความจริง ปัจจุบัน(2548)ประสิทธิภาพของกังหันลมสูงกว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วถึง 200 เท่า
ผลการศึกษาของ American Wind Power Association
http://www.awea.org/pubs/factsheets/EconomicsofWindMarch2002.pdf)
พบว่า ถ้าความเร็วลมเฉลี่ยที่ 7.15 เมตรต่อวินาทีและเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ ต้นทุนจะอยู่ที่ 1.50 บาทต่อหน่วยเท่านั้น และสามารถได้ทุนคืนภายใน 8 ปีเท่านั้น

ในด้านการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล ไม่ว่าจะเป็นของฟาร์มหมู ก็สามารถคุ้มทุนเชิงการเงินได้ภายใน 4 ปี ถ้านับถึงการลดกลิ่นไปด้วยก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม

ทั้งกังหันลม ขี้หมู และชีวมวลอื่นๆ องค์กรชุมชนขนาดเล็ก เช่น อบต. ก็สามารถเป็นผู้ประกอบการเองได้ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาความยากจน คนว่างงาน และมลพิษอีกด้วย
กฟผ.เองก็ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้ามาก

เหตุผลหลักที่โรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนไม่เกิดขึ้นก็เพราะ กฟผ. พยายามกีดกันไว้นั่นเอง(หากมีโอกาสจะกล่าวถึงอีกสักบทความต่างหาก)

ประเด็นที่สาม ท่านอาจารย์ชัยอนันต์กล่าวว่า
“การกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นวิธีการทางการทำธุรกิจที่ต้องการระดมทุนที่ไม่มีอัตราดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุนในกิจการไฟฟ้า หาก กฟผ.ต้องไปกู้เงินจากธนาคารทั้งภายใน และต่างประเทศมาลงทุนทั้งหมด ค่าดอกเบี้ยก็จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูง สู้ระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้”

จากรายงานประจำปี 2547 ของ กฟผ. พบว่า กฟผ. มีกำไรขั้นต้นถึง 52,332 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิหลังหักษีแล้วถึง 28,198 ล้านบาท

สำหรับแผนการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ในช่วงปี 2547 -2558 ประเทศเรามีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มปีละ 1,000 เมกกะวัตต์ จากที่เคยวางแผนว่า 1,860 เมกกะวัตต์ เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว (ผู้จัดการออนไลน์-20 ตุลาคม 2548)

ถ้าคิดจะลงทุนกันจริงๆ ด้วยกำไรขนาดนี้ ไม่ต้องกู้เงินใครเลยก็ยังสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้มิใช่เหรอครับ

ประเด็นที่สี่ ท่านกล่าวว่า
“การขายหุ้นออกไปเพียง 25% และใน 25% นั้น ต่างชาติซื้อได้เพียง 30% คือหนึ่งในสามจะเรียกว่า ขายสมบัติของชาติได้อย่างไร”

ท่านอาจารย์ไม่ทราบเลยหรือครับว่า ตอนที่ ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์นั้น กระทรวงการคลังถือหุ้นไว้ถึง 70% แต่อีก 3 ปีต่อมาก็ต้องขายไปอีกจนเหลือเพียง 52%

ท่านอาจารย์ไม่คิดบ้างหรือครับว่า แรงขับเคลื่อนที่ผลักดันให้มีการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนขนาดใหญ่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ถึงคราว กฟผ. คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าจะขายออกไปสักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่อยู่ที่ว่ามีความจำเป็นต้องขายหรือไม่

ถ้าจะลงทุนเพิ่มก็มีเงินกำไรอยู่แล้ว หรือให้เอกชนลงทุนด้วยพลังงานหมุนเวียนก็ยิ่งดีขึ้นอีก
ถ้าคิดจะปรับปรุงประสิทธิภาพหลังการขาย ก็โปรดปรับปรุงเสียแต่เดี๋ยวนี้ นั่นคือทำต้นทุนให้ต่ำลงมาอีก 0.61 บาทต่อหน่วยให้เท่ากับเอกชนไทยก่อน แล้วค่อยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภายหลัง

ทั้งหมดนี้ผมเรียนมาด้วยความเครารพต่อท่านอาจารย์เสมอมา ไม่เคยคิดจะดูหมิ่นแม้แต่น้อย และแอบยังหวังอยู่ลึกๆว่า ท่านจะเป็นจุดเริ่มต้นของพลังการเปลี่ยนแปลงที่สร้างสรรค์ในโอกาสต่อไป

โดย Administrator . (ip:202...8) เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2548 14:36:58 น.


ความคิดเห็น

ลำดับที่ 1

ภัควดี
อ.ประสาทคะ อีกประเด็นหนึ่งคือ ไฟฟ้าของรัฐแคลิฟอร์เนียนั้นถูกแปรรูปเป็นเอกชนไปแล้ว มันถึงได้ดับบ่อย ๆ เรื่องนี้มีอยู่ในข่าวที่ไม่เป็นข่าวของปีก่อนค่ะ ภัคคัดมาให้ดูอีกที

อันดับ 13 ชวาร์ซเนกเกอร์พบกับเคน เลย์ แห่งเอนรอนก่อนการถอดถอนผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย

หนทางแก้ไขความทุกข์ด้านพลังงานของรัฐแคลิฟอร์เนีย ของอาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์ เป็นแค่เสียงสะท้อนความคิดของนายเคน เลย์ ผู้บริหารบรรษัทเอนรอนอันอื้อฉาว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2001 ท่ามกลางวิกฤตการณ์ด้านพลังงานไฟฟ้าของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีสาเหตุใหญ่มาจากการฉ้อโกงในตลาดพลังงานของเอนรอน ชวาร์ซเนกเกอร์ดอดไปพบกับเลย์เพื่อหารือเกี่ยวกับ การแก้ไข วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีแผนการที่จะลดข้อบังคับโดยสิ้นเชิง ขึ้นค่าไฟ และยุติการตรวจสอบจากรัฐและรัฐบาลกลาง ในขณะที่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในตอนนั้น นายเกรย์ เดวิส และรองผู้ว่าการครูซ บุสตามันเต กำลังเดินหน้าเพื่อรื้อฟื้นข้อบังคับด้านพลังงานขึ้นมาใหม่ รวมทั้งเรียกคืนเงิน 9 พันล้านดอลลาร์ที่เสียไปกับเอนรอนและโรงไฟฟ้าเอกชนอื่น ๆ ชวาร์ซเนกเกอร์จึงถูกจับเชิดขึ้นมาเพื่อโค่นเดวิสลงจากตำแหน่งด้วยการลงมติถ อดถอน ซึ่งเท่ากับเป็นการสกัดแผนการรื้อฟื้นข้อบังคับและเรียกคืนเงิน

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับซ้ำซากในรัฐแคลิฟอร์เนียตลอดปี 2000 เดวิสและบุสตามันเตยื่นฟ้องด้วย กฎหมายการดำเนินธุรกิจโดยมิชอบ ซึ่งจะบังคับให้บริษัทไฟฟ้าทั้งหมด รวมทั้งเอนรอน ต้องจ่ายเงินชดเชยเกือบ 9 พันล้านดอลลาร์คืนแก่พลเมืองชาวแคลิฟอร์เนีย คนหนึ่งที่จะต้องสูญเสียมากที่สุดในคดีนี้ก็คือ นายเคน เลย์ ซีอีโอของเอนรอนนั่นเอง

เลย์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทชิดเชื้อและมีสายสัมพันธ์แนบแน่นยาวนานกับประธานาธิบดีบุ ชและรองประธานาธิบดีเชนีย์ รีบจัดการพบปะกับผู้มีอิทธิพลชาวแคลิฟอร์เนียหลายคนเพื่อหาทางสกัดยับยั้งกา รดำเนินการของเดวิสและบุสตามันเต หนึ่งในคนเหล่านั้นมีอาร์โนลด์ ชวาร์ซเนกเกอร์รวมอยู่ด้วย แขกรับเชิญทั้งหมดได้รับแผ่นพับเล็ก ๆ จำนวน 4 หน้า มีข้อความเรียกร้องให้ยุติการที่รัฐและรัฐบาลกลางเข้ามาตรวจสอบบทบาทของเอนร อนในวิกฤตการณ์พลังงานของแคลิฟอร์เนีย รวมทั้งเสนอให้โยนภาระความสูญเสีย 9 พันล้านดอลลาร์นั้นไปไว้ที่ผู้บริโภคแทน

หากปล่อยให้เดวิสและบุสตามันเตอยู่ในตำแหน่งต่อไป เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีการเปิดโปงการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในวงการบ ริษัทด้านพลังงานและโรงไฟฟ้าเอกชน ที่มีทั้งการปลอมแปลงรายการจ่ายกระแสไฟฟ้า การฮั้วขึ้นราคา การแกล้งปิดโรงงานไฟฟ้าให้กระแสไฟขาดแคลนเพื่อจะได้เป็นข้ออ้างในการขึ้นค่า ไฟ ฯลฯ ดังนั้น ทางออกก็คือต้องหาทางให้มีการลงมติถอดถอนผู้ว่าการเดวิสออกจากตำแหน่ง และดันชวาร์ซเนกเกอร์ขึ้นไปแทน

ตอนนี้ ผู้ว่าการชวาร์ซเนกเกอร์กำลังผลักดันให้เปิดเสรีและลดข้อบังคับในตลาดไฟฟ้าข องแคลิฟอร์เนียมากยิ่งกว่าเดิม กลุ่มผู้บริโภคเตือนว่า การทำเช่นนี้เท่ากับผลักให้ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องเผชิญกับราคาที่พุ่งสูงขึ้น ยิ่งลดการกำกับดูแลจากรัฐก็เท่ากับยิ่งทำให้เกิดการฉ้อโกงในตลาดไฟฟ้ามากขึ้ น ซึ่งนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านไฟฟ้าในปี ค.ศ. 2000-01

ตลาดไฟฟ้าของรัฐแคลิฟอร์เนียดำเนินการแปรรูปให้เอกชนเข้ามาจัดการและแข่งขัน โดยเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1996 ในสมัยผู้ว่าการรัฐพีท วิลสัน ทันทีที่ยกเลิกเพดานราคาในปี 1999 ภายในปีเดียว ราคาไฟฟ้าพุ่งขึ้นไปถึง 3 เท่า

เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2000 มีคำเตือนว่าไฟฟ้าสำรองของรัฐลดลงต่ำว่า 5% พอถึงเดือนมิถุนายน มีไฟฟ้าดับหลายครั้งในซานฟรานซิสโก ส่งผลกระทบต่อคนหลายพันคน สาเหตุที่ไฟฟ้าดับเกิดจากปริมาณไฟฟ้าสำรองต่ำ เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าหลายแห่งในแคลิฟอร์เนียเหนือปิดทำการพร้อม ๆ กันเพื่อซ่อมบำรุง

เดือนสิงหาคม ผู้ว่าการเดวิสสั่งให้มีการตรวจสอบความเป็นไปได้ว่าจะมีการฮั้วกันขึ้นราคาใ นตลาดไฟฟ้า เดือนธันวาคมมีคำเตือนถึงปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ต่ำเกินไปอีกครั้ง ประชาชนต้องช่วยกันประหยัดพลังงานเพื่อป้องกันไฟฟ้าดับ

เดือนมกราคม ค.ศ. 2001 มีการอนุมัติฉุกเฉินให้ขึ้นราคาไฟฟ้าของบริษัท เอดิสันและพีจีแอนด์อีขึ้นไปอีก 7-15% บริษัทไฟฟ้าทั้งสองแห่งขู่ว่า มันกำลังจะล้มละลายและจะปลดพนักงานออก ในเดือนเดียวกัน มีคำเตือนถึงปัญหาไฟฟ้าอีก เพราะโรงไฟฟ้าหลายแห่งอ้างว่า ขาดแคลนก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า พอถึงกลางเดือน มีไฟฟ้าดับหลายครั้ง กระทบต่อประชาชนหลายแสนคนในรัฐแคลิฟอร์เนียตอนเหนือและตอนกลาง

เดือนมีนาคม มีปัญหาไฟฟ้าดับทั่วทั้งรัฐตลอดทั้งเดือน ปลายเดือน ค่าไฟฟ้าของลูกค้าของสองบริษัทข้างต้นเพิ่มขึ้นถึง 46% วันที่ 7-8 พฤษภาคม มีไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ กระทบประชาชนและห้างร้านถึง 300,000 ครัวเรือน

จาก ภัควดี(ip:203...129) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2548 11:00:10 น.

http://www.fridaycollege.org/index.php?&file=forum&obj=forum.view(cat_id=egat2,id=14)&PHPSESSID=3ee34e669b7ec5a41d5597d5148876fe

ผลประโยชน์แอบแฝงมหาศาลด้านโทรคมนาคม

ผลประโยชน์แอบแฝงมหาศาลด้านโทรคมนาคม
อีกหนึ่งสาเหตุในการเร่งแปรรูป กฟผ.

====================================================
มีอะไรอยู่เบื้องหลังธุรกิจด้านโทรคมนาคมที่ บมจ. กฟผ. รีบดำเนินการจัดตั้งแทบจะทันทีหลังจากการแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) ธุรกิจด้านนี้จะเป็นประโยชน์กับใคร และประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างไร ลองมาฟังกันดูครับ

ธุรกิจด้านโทรคมนาคม ของ บมจ. กฟผ. สำคัญอย่างไร

บมจ. กฟผ. ตั้งบริษัทลูกชื่อ “กฟผ. โทรคมนาคม” หรือ “EGAT Telecom” เพื่อนำเครือข่ายสื่อสารใยแก้วนำแสงที่ดำเนินการติดตั้งไว้ตั้งแต่ก่อนแปรรูปไปให้เอกชนเช่าเพื่อการสื่อสารข้อมูล ปัจจุบันนี้เครือข่ายใยแก้วนำแสงของ บมจ. กฟผ. มีช่องสัญญาณขนาด 155 Mbps (155 ล้าน bps) เชื่อมไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และกำลังเร่งขยายช่องสัญญาณขนาดเดียวกันนี้ไปยังภาคใต้และภาคตะวันออกให้เสร็จในระยะเวลาอันใกล้ ก่อนการกระจายหุ้น เครือข่ายใยแก้วนำแสงนี้ ทำอะไรได้บ้าง ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือปัจจุบัน บมจ. กฟผ. มีช่องสัญญาณใหญ่พอที่จะแพร่ภาพโทรทัศน์แบบเดียวกับที่ UBC ใช้แพร่ภาพในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไปทั่วประเทศไทย โดยมีความคมชัดระดับ VCD ได้ประมาณ 100 ช่อง (1.5 Mbps ต่อ ช่อง) หรือประมาณ 30 ช่อง ที่ความคมชัดระดับ DVD (5 Mbps ต่อ ช่อง) และสามารถลงทุนขยายช่องสัญญาณเพิ่มขึ้น 64 เท่า ให้มีช่องสัญญาณสูงถึง 9.6 Gbps (9,600 ล้าน bps ซึ่งเท่ากับการแพร่ภาพ VCD 6,400 ช่อง หรือ DVD 1,920 ช่อง) ได้ทันทีด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบัน

เครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟผ. นั้นวางคู่ไปบนระบบส่งไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. เอง ทำให้ต้นทุนด้านการวางเครือข่ายต่ำกว่าผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมรายอื่น และเมื่อเชื่อมกับเครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟภ. และ กฟน. ซึ่งอยู่บนระบบส่งไฟฟ้าของ กฟภ. และ กฟน. ในลักษณะเดียวกัน จะทำให้เกิดเครือข่ายใยแก้วนำแสงต้นทุนต่ำขนาดใหญ่ที่สุด สามารถให้บริการได้ถึงทุกครัวเรือนในประเทศไทย แม้ว่าการวางเครือข่ายในแก้วนำแสงถึงทุกบ้านโดยตรงนั้นอาจยังไม่คุ้มค่าการลงทุนในปัจจุบัน แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงถึงสถานีไฟฟ้าย่อย จากนั้นสามารถส่งข้อมูลผ่านสายไฟฟ้าแรงดันต่ำไปยังบ้านเรือนได้ด้วยเทคโนโลยี Broadband over power lines (BPL) ซึ่งมีช่องสัญญาณประมาณ 3 Mbps หรืออาจวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงไปถึงจุดบริการย่อย และต่อเข้าบ้านเรือนด้วยเทคโนโลยี WiFi (เครือข่ายไร้สาย) ซึ่งมีช่องสัญญาณไม่น้อยกว่า 11 Mbps

จะเห็นได้ว่า ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารภาคพื้นดินผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสงที่มีความรวดเร็วและมีความมั่นคงสูง บวกกับความพร้อมของเครือข่ายระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. กฟภ. และ กฟน. ทำให้มีข้อได้เปรียบกว่าระบบโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมหลายด้าน เช่น มีการลงทุนที่ต่ำกว่าการสื่อสารผ่านดาวเทียม ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสภาพอากาศเช่นเดียวกับการสื่อสารผ่านดาวเทียม ซึ่งจะขาดช่วงเมื่อฝนฟ้าคะนองหนัก (ข้อนี้หลายๆ คนที่ดู UBC ผ่านระบบจานดาวเทียมคงจะทราบปัญหาดี) อีกทั้งการสื่อสารผ่านดาวเทียมไปถึงผู้รับบริการรายย่อยเป็นการสื่อสารแบบทางเดียว ในขณะที่การสื่อสารผ่านเครือข่ายใยแก้วนำแสงเป็นการสื่อสารแบบสองทาง คือผู้รับบริการรายย่อยสามารถส่งข้อมูลกลับไปยังผู้ให้บริการได้ จึงรองรับการให้บริการประเภท Interactive TV และ Hi-speed Internet ได้ดีกว่า

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ แล้ว จะเห็นได้ว่าอนาคตของระบบโทรคมนาคมผ่านระบบส่งไฟฟ้าของประเทศไทย มีศักยภาพสูง และถ้าได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากภาครัฐ ก็จะสามารถเปลี่ยนโฉมหน้าระบบสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศให้มีการบริการที่ทั่วถึง และค่าบริการต่ำได้ เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียมกัน เพราะแค่มีไฟฟ้าเข้าถึง ประชาชนก็จะสามารถรับบริการเคเบิ้ล TV, Interactive TV, Hi-speed Internet ได้ทันที และเมื่อยุคดิจิตอล TV มาถึงในอนาคตอันใกล้ ประโยชน์และผลประโยชน์ที่จะเกิดจากระบบโทรคมนาคมภาคพื้นดินผ่านระบบส่งไฟฟ้าจะมีมากมายมหาศาล และจำเป็นต้องตระเตรียมการควบคุมดูแลกิจการด้านนี้อย่างมีวิสัยทัศน์ไว้ล่วงหน้า เป็นการป้องกันมิให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์จากคนบางกลุ่ม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ดังที่จะอธิบายในหัวข้อต่อไป

การดำเนินงานด้านโทรคมนาคมผ่านระบบส่งไฟฟ้าให้เป็นธรรมต่อสังคม

ระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. กฟภ. และ กฟน. เป็นโครงข่ายภาคพื้นดินที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย ทำให้การวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงไปกับระบบส่งไฟฟ้ามีต้นทุนต่ำที่สุด เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น เนื่องจากไม่มีต้นทุนด้านการเช่าพื้นที่พาดสาย อย่างไรก็ตามโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้านี้มิได้เกิดขึ้นเองหรือได้มาฟรีๆ แต่เกิดจากการเสียสละของประชาชนที่ยอมให้มีสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดิน ซึ่งเป็นผลให้ที่ดินดังกล่าวไม่สามารถนำไปทำประโยชน์อื่นได้อีก

ในการวางระบบส่งไฟฟ้านี้ กฟผ. ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511

มาตรา 29 ในการส่งและการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า ให้ กฟผ. มีอำนาจ

เดินสายส่งไฟฟ้าหรือสายจำหน่ายไฟฟ้าไปใต้ เหนือ ตามหรือข้ามพื้นดินของบุคคลใด ปักหรือตั้งเสา สถานีไฟฟ้าย่อยหรืออุปกรณ์อื่น ลงในหรือบนพื้นดินของบุคคลใดซึ่งมิใช่เป็นที่ตั้งโรงเรือน


ประกาศกำหนดเขตเดินสายไฟฟ้าเพื่อประโยชน์แห่งความปลอดภัยในการส่งพลังงานไฟฟ้า โดยประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอแห่งท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ และจัดทำเครื่องหมายแสดงไว้ในที่ที่ประกาศกำหนดเขตนั้นตามสมควร


รื้อถอนโรงเรือนหรือทำลายสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นหรือทำขึ้น หรือทำลาย หรือตัด ฟัน ตัดต้น กิ่ง หรือรากของต้นไม้หรือพืชผลในเขตเดินสายไฟฟ้า
… (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2511)

ประเด็นสำคัญสำหรับเรื่องนี้เริ่มจาก

- กฟผ. มีอำนาจในการเดินสายใยแก้วนำแสงคู่กับสายส่งไฟฟ้า ไปใต้ เหนือ ตามหรือข้ามพื้นดินของบุคคลใด หรือไม่

- การดำเนินธุรกิจให้เช่าเครือข่ายใยแก้วนำแสงเพื่อการสื่อสารข้อมูลนั้นถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่

- การดำเนินธุรกิจให้เช่าเครือข่ายใยแก้วนำแสงเพื่อการสื่อสารข้อมูลนั้นเป็นธรรมต่อเจ้าของที่ดิน ซึ่ง กฟผ. ประกาศกำหนดเป็นเขตเดินสายไฟฟ้า หรือไม่

- กฟผ. ควรจะดำเนินธุรกิจให้เช่าเครือข่ายใยแก้วนำแสงเพื่อการสื่อสารข้อมูลต่อไป หรือไม่ อย่างไร

กฟผ. มีอำนาจในการเดินสายใยแก้วนำแสงคู่กับสายส่งไฟฟ้า ไปใต้ เหนือ ตามหรือข้ามพื้นดินของบุคคลใด หรือไม่

กฟผ. อาจอ้างได้ว่าการเดินสายใยแก้วนำแสงคู่ไปกับสายส่งไฟฟ้านั้น ใช้ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการระบบผลิตและระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่งไม่ขัดกับมาตรา 29 ที่ให้อำนาจนี้กับ กฟผ. เพื่อการส่งและการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า

กฟผ. ดำเนินธุรกิจให้เช่าเครือข่ายใยแก้วนำแสงเพื่อการสื่อสารข้อมูลนั้นถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่

การที่ กฟผ. นำช่องสัญญาณส่วนที่เหลือของเครือข่ายใยแก้วนำแสงไปให้เอกชนเช่าเพื่อสื่อสารข้อมูล ย่อมมิอาจอ้างว่าทำเพื่อการส่งและการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าตามมาตรา 29 ได้อีก การดำเนินการในลักษณะนี้ของ กฟผ. จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

กฟผ. ดำเนินธุรกิจให้เช่าเครือข่ายใยแก้วนำแสงเพื่อการสื่อสารข้อมูลนั้นเป็นธรรมต่อเจ้าของที่ดิน ซึ่ง กฟผ. ประกาศกำหนดเป็นเขตเดินสายไฟฟ้า หรือไม่

แม้ว่า กฟผ. จะได้จ่ายเงินค่าทดแทนตามความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินดังกล่าวตาม มาตรา 30 แล้ว แต่เป็นการจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อการเดินสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านเพื่อการส่งและการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น เจ้าของที่ดินมิได้ยินยอมให้ กฟผ. เดินสายใยแก้วนำแสงเพื่อการทำธุรกิจให้เช่าสำหรับการสื่อสารข้อมูลแต่อย่างใด การดำเนินธุรกิจนี้ของ กฟผ. จึงไม่เป็นธรรมกับเจ้าของที่ดิน และเจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าตอบแทนเพิ่มเติม

เพื่อความเข้าใจที่ง่าย ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประกอบ หลายคนที่เคยผ่านมาทาง กฟผ. บางกรวย ข้ามสะพานพระราม 7 ไปทางถนนรัชดาภิเษก คงจะเห็นสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่วิ่งผ่านเมืองไป พื้นที่ใดๆ ที่สายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน เจ้าของจะไม่สามารถนำไปทำประโยชน์เช่นสร้างอาคารหรือบ้านเรือนได้ ไม่ว่าที่ดินผืนนั้นจะอยู่ในบริเวณทำเลทองหรือไม่ก็ตาม ประโยชน์ที่เสียไปของเจ้าของที่ดินย่อมมิอาจทดแทนได้อย่างครบถ้วนด้วยเงินค่าทดแทนจาก กฟผ. แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการเสียสละของเจ้าของที่ดินเหล่านั้นในฐานะประชาชนเพื่อบริการสาธารณะ คือไฟฟ้า ตอนนี้ลองสมมุติว่าตัวท่านเป็นเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง ซึ่งในอีกสิบปีข้างหน้าพบว่ามีการทำธุรกิจให้เช่าสายสื่อสารข้อมูลผ่านที่ดินของท่านไป ซึ่งธุรกิจนี้มีมูลค่าปีละหลายหมื่นล้านบาท ในขณะที่ตัวท่านเองกลับไม่สามารถหาประโยชน์จากที่ดินของท่านได้ การกระทำนี้ถือว่ายุติธรรมดีแล้วหรือไม่

กฟผ. ควรจะดำเนินธุรกิจให้เช่าเครือข่ายใยแก้วนำแสงเพื่อการสื่อสารข้อมูลต่อไป หรือไม่ อย่างไร

แน่นอนว่าการวางเครือข่ายใยแก้วนำแสงไปกับระบบส่งไฟฟ้าจะเป็นประโยชน์มหาศาลกับประเทศ แต่ในเรื่องข้อกฎหมายและความเป็นธรรมกับเจ้าของที่ดินที่สายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน ย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญและจะต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องและเป็นธรรมอย่างแท้จริงก่อนที่ กฟผ. หรือ บมจ. กฟผ. จะดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคมนี้ต่อไปได้

บทสรุป

ตามความเห็นของผู้เขียนแล้ว ทั้งระบบส่งไฟฟ้าของ กฟผ. และเครือข่ายโทรคมนาคมบนระบบส่งไฟฟ้า เช่นเครือข่ายใยแก้วนำแสงนั้น เป็นการดำเนินการโดยใช้อำนาจตามกฎหมายในการลิดรอนสิทธิของเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ จึงต้องประกอบด้วยเงื่อนไข 3 ประการ เพื่อให้การดำเนินการเป็นธรรมต่อทุกคนในสังคม ดังนี้

1. กิจการนี้จะต้องทำเพื่องานบริการสาธารณะเท่านั้น

2. ผลประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการดำเนินกิจการนี้จะต้องกลับคืนสู่สาธารณะเท่านั้น

3. กิจการนี้เป็นของสาธารณะ เอกชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะถือสิทธิความเป็นเจ้าของในกิจการนี้แม้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้ เพราะการมีสิทธิความเป็นเจ้าของร่วม ย่อมสามารถเรียกร้องผลตอบแทนจากการดำเนินกิจการได้ ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อเจ้าของที่ดินที่ถูกลิดรอนสิทธิ

เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขข้างต้น กิจการระบบส่งไฟฟ้า และเครือข่ายโทรคมนาคมบนระบบส่งไฟฟ้า จะต้องเป็นของและดำเนินการโดยรัฐหรือองค์กรที่รัฐเป็นเจ้าของทั้งหมดเท่านั้น องค์กรของรัฐที่มีเอกชนเป็นหุ้นส่วนไม่มีความชอบธรรมในการเป็นเจ้าของและดำเนินการกิจการเหล่านี้ เพราะการที่รัฐยอมให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งมีหุ้นในองค์กร หมายถึงประชาชนกลุ่มผู้ถือหุ้นมีสิทธิความเป็นเจ้าของในกิจการที่ทำประโยชน์จากการลิดรอนสิทธิในที่ดินของประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง ถือว่าเป็นความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งในสังคมประชาธิปไตย ที่ต้องยึดหลักความเสมอภาคของประชาชนทุกคน

ประชาชนทุกคนสามารถเรียกร้องให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมตามสิทธิที่มีในระบอบประชาธิปไตย การนิ่งเฉยต่อการกระทำที่ไม่เป็นธรรม ย่อมหมายถึงการยอมรับในผลที่จะตามมาในอนาคต ในเรื่องระบบส่งไฟฟ้าและเครือข่ายโทรคมนาคมบนระบบส่งไฟฟ้า ของ กฟผ. ก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนขอเสนอทางเลือกที่เป็นธรรม 2 ทางเลือก ให้ท่านทั้งหลายได้นำไปคิดทบทวน และตัดสินใจเลือกเพื่ออนาคตของประเทศไทยร่วมกันครับ

ทางเลือกที่หนึ่ง
ถ้ารัฐบาลเลือกที่จะให้ระบบส่งไฟฟ้าดำเนินการโดยองค์กรของรัฐที่มีเอกชนเข้ามาถือหุ้น เช่น บมจ. กฟผ. ก็จะต้องดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมต่อเจ้าของที่ดินใต้สายส่งไฟฟ้า เช่น ให้ บมจ. กฟผ. ซื้อที่ดินใต้สายส่งไฟฟ้าทั้งหมด หรือทำสัญญาเช่าที่ดินใต้สายส่งไฟฟ้า โดยให้ราคาที่เป็นธรรม แปรผันตามผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากระบบส่งไฟฟ้า และเครือข่ายโทรคมนาคมบนระบบส่งไฟฟ้า ซึ่งสุดท้ายก็จะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของระบบส่งไฟฟ้า และหมายถึงประชาชนทุกคนจ่ายค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น เพื่อนำไปแบ่งจ่ายให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่โชคดีได้เป็นผู้ถือหุ้น บมจ. กฟผ. ไปตลอดกาล


ทางเลือกที่สอง
ถ้าระบบส่งไฟฟ้า และเครือข่ายโทรคมนาคมบนระบบส่งไฟฟ้า ดำเนินการโดยองค์กรที่รัฐเป็นเจ้าของทั้งหมด เช่น ตั้งองค์กรใหม่ หรือยกเลิกการกระจายหุ้น บมจ. กฟผ. ก็จะเป็นผลให้ระบบส่งไฟฟ้า และเครือข่ายโทรคมนาคมบนระบบส่งไฟฟ้า ยังเป็นกิจการเพื่อสาธารณะโดยสมบูรณ์ และถ้ารัฐบาลส่งเสริมให้การสื่อสารบนเครือข่ายโทรคมนาคมบนระบบส่งไฟฟ้าให้เป็นศูนย์กลางโครงข่ายพื้นฐานด้านการสื่อสารของประเทศ และกำหนดให้นำผลกำไรของเครือข่ายโทรคมนาคมช่วยสนับสนุนการลงทุนของระบบส่งไฟฟ้า ก็จะช่วยให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่อหน่วยของประเทศไทยถูกลงได้ และเป็นธรรมกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของที่ดินใต้สายส่งไฟฟ้า เพราะการเสียสละของพวกเขาเหล่านั้นเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ เกิดประโยชน์กลับไปสู่ประชาชนทุกคนรวมถึงตัวพวกเขาเองโดยเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

ผู้เขียนซึ่งเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขอใช้สิทธิในการเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง เพื่อแสดงถึงสิ่งที่ผู้เขียนคิดเห็นว่าถูกต้อง และคัดค้านสิ่งที่คิดเห็นว่าไม่ถูกต้อง โดยการนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่งให้เพื่อนคนไทยได้รับทราบ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทุกท่านจะนำไปตัดสินอนาคตของท่านเองและของประเทศไทยโดยส่วนรวม

พูด และ ทำ ในสิ่งที่ท่านคิดเห็นด้วยตัวท่านเองแล้วว่าถูกต้องเถอะครับ

SPEAK OUT AND DO IT RIGHT, NOT ONLY FOR YOURSELVES BUT ALSO FOR YOUR COUNTRY AND THE NEXT GENERATION

ข้อมูลจาก พนักงานไฟฟ้า 33 และเพื่อน

ข้อสังเกต
1. เมื่อเครือข่ายใยแก้วนำแสงบนระบบส่งไฟฟ้า เข้ามามีบทบาทสำคัญในการการสื่อสารโทรคมนาคมในอนาคตอันใกล้ บทบาทของการสื่อสารผ่านดาวเทียมย่อมลดลง แล้วใครจะเป็นผู้เสียประโยชน์

2. ทำไมทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมถึงนักวิชาการอิสระทั้งหลาย เห็นตรงกันมาตลอดว่าควรแปรรูป กฟผ. เฉพาะส่วนการผลิต เพราะทำให้เกิดการแข่งขันได้ง่าย แต่ให้คงส่วนระบบส่งไฟฟ้าและเขื่อนไว้เป็นของรัฐ เพราะทั้งสองส่วนเป็นสิ่งที่ได้มาด้วยอำนาจทางกฎหมายและการเสียสละของประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งทำให้เกิดการแข่งขันได้ยาก แต่รัฐบาลทักษิณ กลับต้องการให้แปรรูป กฟผ. ทั้งหมด เพื่อให้ เอกชนเข้ามาถือสิทธิความเป็นเจ้าของทั้งในระบบส่งไฟฟ้าและเขื่อน


3. ระบบเครือข่ายใยแก้วนำแสงของ กฟผ. ได้เร่งดำเนินการขยายช่องสัญญาณไปยังภาคต่างๆ จาก 8 Mbps เป็น 155 Mbps ในช่วงไม่เกิน 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่เป็นการลงทุนที่เกินความต้องการสำหรับการสื่อสารภายในองค์กร และเงินลงทุนนี้ยังถือเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งของค่าไฟฟ้าด้วย กล่าวคือประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคนช่วยกันจ่ายเงินค่าไฟฟ้าเพิ่มเพื่อขยายช่องสัญญาณเครือข่ายใยแก้วนำแสงให้แล้วเสร็จทันเวลากับการแปรรูป กฟผ. และการตั้งบริษัท กฟผ. โทรคมนาคม เพื่อนำช่องสัญญาณไปให้เอกชนเช่าได้อย่างพอดิบพอดี


4. ในการแปรรูป กฟผ. เป็น บมจ. กฟผ. นั้น คิดราคาสุทธิทางบัญชีของระบบสื่อสารของ กฟผ. ไว้เพียง 2,318.66 ล้านบาท จากราคาทุน 6,356.73 ล้านบาท แต่อนาคตอันสวยหรูของบริษัท กฟผ. โทรคมนาคม เป็นสิ่งที่ผู้บริหาร บมจ. กฟผ. พูดถึงมากที่สุด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ???

http://www.consumerthai.org/egat_board/view.php?id=476

ที่ซึ่ง..พอเพียง..

ที่ซึ่ง..พอเพียง..

โดย สำราญ รอดเพชร 6 ธันวาคม 2548 18:01 น.

samr_rod@hotmail.com

1
พอเพียงพอชีพชื้น ชูใจ
เศรษฐกิจสายกลาง..ไกล.. กอบกู้
“พ่อหลวง” ประทานไทย เจริญสติ
ประหยัดเผชิญสู้ ปรับใช้สมานสมัย..

2
ที่ยากจนข้นแค้นแสนขุกเข็ญ
เหงื่อท่วมร่าง..กระเด็น..กระเซ็นไหล
ที่รวยก็รวยเอา..ไม่เอาใคร..
ทุนต่อทุน..นิยมไทย..นิยมทุน..

ที่บริโภคก็บริโภคกันสุดฤทธิ์
ทั้งชีวิตติดหนี้..นิยมหมุน..
นอกระบบในระบบชุลมุน
ถูกกระตุ้นใช้จ่าย..ไม่ยั้งคิด..

ทั้งชั้นกลาง..ล่างไหลไปรากหญ้า
ส่งสัญญาณหมดเวลา..ยาเสพติด..
คือ “ประชานิยม”เคยชมชิด..
เริ่มพ่นพิษแพร่เชื้ออันเรื้อร้าย..
3

ได้เวลา..พอเพียง..เพียงพอแล้ว
ก่อนทั้งแนวร้าวรันทด..หมดความหมาย
ก่อนราคาค่าคน..กล่นกระจาย
ล้มละลายไม่เหลือ..ไว้เจือจาน..

เศรษฐกิจพอเพียงของ”พ่อหลวง”
หลุดจากบ่วงลวงล่อรอเผาผลาญ
เดินตามแนวมัชฌิมารู้ประมาณ
จากหมู่บ้านยันประเทศ..ทุกเขตคาม..

ยึดโปร่งใส...สร้างเสริม..ภูมิคุ้มกัน..
ยึดสร้างสรรค์ภูมิปัญญา..ฝ่าพงหนาม...
รู้จักตัว รู้จักตน รู้จักตาม..
สง่างามแบบพ่อ..แบบพอ เพียง..

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000167866

กฟผ..กับ..ชิน...

ตอนนี้เขาตั้ง กฟผ. โทรคมนาคมแล้ว(หลังจากจดทะเบียนบริษัท1 วัน)และวันต่อมาก็ ให้เช่า fiber optic ที่ลากสายไปทั่วประเทศ (สายเส้นบนสุดบนเสาแรงสูงนั่นแหละ ) ในราคา 75 ล้านบาทต่อปี คุณหญิงมาเซ็นสัญญามาตั้งแต่วันสองวันแรกที่ตั้งบริษัทแล้ว fiber optic 16 core = 6.5 Gbps x 16 = 1เทรลลาร์บิต/ วินาที เอาไว้ทำเป็น core network สำหรับโทรศัพท์ 3G และขาย content ผ่านระบบ 3G เนื่องจากต่อไปในอนาคต คนเราจะใช้ โทรศัพท์เพื่อเข้าหา content มากขึ้น และเมื่อมี smart card ก็สามารถที่จะทำธุรกรรมการเงินและอื่นๆผ่านระบบเครือข่ายโทรศัพท์ 3G ได้ ซึ่งประเทศเกาหลี นำมาใช้เต็มระบบแล้ว โดยค่าบริการอยู่ที่ transactionละ3 บาท(ไม่รู้ว่ากี่ วอน เพราะเรื่องเกาหลีรู้จักแต่ แดจังกึม) และประเทศไทยก็จะนำมาใช้ต่อไป ซึ่งเครือข่าย pstnโทรศัพท์พื้นฐานไม่สามารถที่จะรองรับได้และมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่ามาก เนื่องจาก บ.ทศท. ต้องคิดราคาแพง เพราะais, dtac, hush,ta-orange เป็นคู่แข่งทางธุรกิจ
ยังมีทีเด็ดกว่าคือ asean power grid คือการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าในภูมิภาค asean เข้าด้วยกันนั่นก็หมายความว่า ระบบ fiber optic ก็เชื่อมต่อกันไปทั่วภูมิภาค ก็เท่ากับว่า ใครก็ไม่รู้ มีระบบเครือข่ายขนาด 1 เทรลล่าร์บิต เชื่อมต่อทั่วภูมิภาค ตอนนี้เชื่อมต่อ กับ malaysia และ ลาว เรียบร้อยแล้ว กำลังรอพม่า ซึ่งรอไม่นาน และเมื่อเชื่อมต่อกันครบแล้ว shin ก็จะมีเครือข่าย land line ที่มั่นคงกว่าระบบดาวเทียม เนื่องจากดาวเทียม กำลังจะหมดอายุ (การหมดอายุของดาวเทียม สาเหตุหลักมาจากเชื้อเพลิงที่บรรจุอยู่ในตัวดาวเทียมหมด ทำให้สถานีภาคพื้นไม่สามารถที่จะควบคุมวงโคจรของดาวได้) อีทีนี้แหละ สบายไปเจ็ดชั่วโค ตร อันนี้ไงที่อยากให้ใช้ smart card แต่ก็เห็นแก่เล็กแก่น้อยโกงกันซะ เลยยังไม่เกิด ถ้าเกิดขึ้นมา เราจะต้องทำธุรกรรมทุกอย่างผ่านเครือข่าย 3G ของ shin เป็นแน่แท้ อีทีนี้ยิ่งรวยหนักเข้าไปอีก
อ้อ ปล. ไอ้ที่ว่าขายหุ้น shin น่ะ ไม่น่าจะเกี่ยวกับการหนีไปอังกฤษ หรอก แต่ดาวเทียมของ shin sat นะไปทับวงโคจรดารเทียมของจีน แล้ว จีนก็ไปฟ้องเพื่อขอวงโคจรคืน เนื่องจากประเทศจีน กว้างมากการขยายเครือข่ายโทรคมนาคม ใช้ระบบ land line ไม่ไหว เพราะแพง อีทีนี้ดาวก็จะหมดอายุ ก็เลยขายถูกๆ เพราะจีนเองก็รู้ และจีนมีศักยภาพที่สามารถจะยิงดาวเทียมเองได้ อีทีนี้ จีนเขาไม่ยอมอะดิ ก็เลยต้องขายโทศัพท์ gsm (2G) แถมไปด้วเพื่อถอนถั่ว แล้วก็เอา ทุนที่ได้ ไปลงกับ 3G ที่เตรียมจ่ออยู่แล้ว อะอะอะ อย่านึกว่าแค่ที่ไทยนะ ที่ลาวก็เอาด้วย เพราะที่ลาวมี โทรศัพท์มือถือแล้ว(ชื่อว่าแทงโก้ โทรปุ๊บติดปั๊บโลด วินาทีละ12 กีบ) เอาเข้าไป
เอาละ จะจบแล้ว อีทีนี้แหละ ถึงได้หน้ามืดละซิ อยากจะขายยยยย จนคางเหลี่ยมๆสั่น พับบบบบบ
ข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นความจริงทุกประการเนื่องจากผมเองทำงานอยู่ใน บ.กฟผ.โทรคมนาคม ใครไม่เชื่อก็ตามใจ ไม่ได้หุ้นก็ไม่เป็นไร เก็บประเทศไทยไว้ถมร่างดีกว่า

ความคิดเห็นที่ 427
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000167936

วันเสาร์, ธันวาคม 03, 2548

ทักษิณ-สนธิ" เลือกที่จะ "หัก" ไม่ยอม "งอ"

ความคิดเห็นที่ 43
สัมพันธ์ลึก"ทักษิณ-สนธิ" เหมือนจะแพ้ แต่ชนะเหมือนจะรัก แต่ขัดแย้ง

ถ้าย้อนอดีตกลับไปเมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ถ้ามีใครบอกว่าวันหนึ่ง "ทักษิณ ชินวัตร" กับ "สนธิ ลิ้มทองกุล" จะขัดแย้งกันอย่างรุนแรงถึงขั้นต้อง "ล้ม" กันไปข้างหนึ่ง

ก็คงไม่มีใครเชื่อ

เพราะในวันนั้นทั้งคู่คือ "คนรุ่นใหม่" ที่มีสายสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งทั้งทางธุรกิจและส่วนตัว

เรื่องที่ "สนธิ" บอกว่าเคยให้หุ้น "ไออีซี" กับ "ทักษิณ" ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างความสัมพันธ์ในช่วงที่ยังรักกันหมายชื่น

"สนธิ" ซื้อบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ "ไออีซี" จาก "ปูนซิเมนต์ไทย"

และแบ่งหุ้นส่วนหนึ่งขายให้ "ทักษิณ" ในราคาพาร์ 10 บาทก่อนแต่งตัวเข้าตลาดหุ้น

ส่วนหนึ่งเพราะต้องการสร้างสัมพันธ์กับ "ทักษิณ" ในเรื่องการขายโทรศัพท์มือถือ ซึ่ง "เอไอเอส" ของ "ทักษิณ" เป็นเจ้าของเครือข่ายเซลลูลาร์ 900

เพราะคนที่จะขายมือถือในยุคนั้นต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของเครือข่ายก่อน

แต่เมื่อ "ไออีซี" เข้าตลาดหุ้นได้พักใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะขัดแย้งกันในเรื่องแนวทางธุรกิจหรือ "ทักษิณ" ต้องการทำกำไรจากราคาหุ้น

เขาก็เทขายหุ้น"ไออีซี" ฟันกำไรไปเป็นหลัก 100 ล้าน

นั่นคือ จุดเริ่มต้นความไม่พอใจของ "สนธิ" ที่มีต่อ "ทักษิณ"

จากนั้นเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่าง "สนธิ" กับ "ทักษิณ" ก็เป็นไปในลักษณะกอดคอกันบ้าง เหยียบเท้ากันบ้างตลอดเวลาตามดีกรีความหมั่นไส้ของคนรุ่นเดียวกัน

ครั้งหนึ่ง "สนธิ" เคยซื้อคลื่นความถี่ 1800 จาก "ดีแทค" มาทำระบบโทรศัพท์มือถือแข่งกับ "ทักษิณ"

ครั้งหนึ่ง "สนธิ" เคยคิดลงทุนทำดาวเทียม "ลาวสตาร์" แข่งกับดาวเทียม "ไทยคม"

และครั้งหนึ่ง "เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์" ต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ หรือ "ชินคอร์ป" ในปัจจุบัน เพราะเข้าไปช่วย "สนธิ" เทกโอเวอร์กิจการหนึ่งในขณะที่ "ทักษิณ" ไม่เห็นด้วย

รวมถึงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับการแข่งขันชิงสัมปทานสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง

"ทักษิณ" ไม่พอใจมากและกดดันให้ "เชิดศักดิ์" ลาออก

ที่สำคัญ กลุ่ม "ขุนพลเศรษฐกิจ" ของรัฐบาลทักษิณวันนี้ล้วนแต่เคยทำงานร่วมกับ "สนธิ" มาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็น "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์-ทนง พิทยะ" หรือ "พันศักดิ์ วิญญรัตน์"

เป็นตัวเสริมสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

"สนธิ" เห็นแววของ "สมคิด" ตอนที่ยังเป็นอาจารย์อยู่ที่ "นิด้า" เขาเชิญ "สมคิด" มาเขียนคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

และเข้ามาช่วยดูแลหนังสือ "สหพัฒน์ โตแล้วแตก แตกแล้วโต" ของ "สมใจ วิริยะบัณฑิตกุล"

"สมคิด" เคยเป็นกรรมการของกลุ่มผู้จัดการ

เขารู้จักกับ "ทักษิณ" ตอนที่เป็นกรรมการของ "ไออีซี"

และจากนั้นสายสัมพันธ์ระหว่าง "ทักษิณ-สมคิด" ก็เริ่มก่อตัวขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย

เป็น "ขุนพลเศรษฐกิจ" ตัวจริงเสียงจริงของ "ทักษิณ"

ส่วน "ทนง" เป็นเพื่อนนักเรียนอัสสัมชัญของ "สนธิ"

เป็นอาจารย์นิด้าก่อนเข้ามาทำงานที่แบงก์ทหารไทย

ขึ้นสู่ตำแหน่ง "รองกรรมการผู้จัดการใหญ่" แต่โดน "ศุภชัย พานิชภักดิ์" แซงโค้งเข้าป้ายในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่

คุ้นเคยกับ "สนธิ" ระดับเที่ยวเตร่ด้วยกัน

เมื่อ "ทนง" ลาออกจากแบงก์ ตอนที่กำลังว่างงานก็ไปนั่งอยู่กับ "สนธิ" ที่ "ผู้จัดการ"

"สนธิ" เป็นคนแนะนำ "ทนง" กับ "ทักษิณ" พร้อมยืนยันในเรื่องฝีมือและความสามารถ

"ทักษิณ" ดึง "ทนง" มาช่วยวางระบบเรื่องการเงินให้กับกลุ่มชินคอร์ป

จากนั้นไม่นาน "ทนง" ก็กลับไปนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทยอีกครั้ง เมื่อ "ศุภชัย" พ้นจากตำแหน่ง

ช่วงนั้น "ทนง" ให้สัมภาษณ์ว่ามี 2 คนที่เขาจะไม่ลืม เพราะเป็นคนให้ความช่วยเหลือเขาในตอนที่ลำบาก

คนหนึ่ง คือ "ทักษิณ ชินวัตร"

อีกคนหนึ่ง คือ "สนธิ ลิ้มทองกุล"

ส่วน "พันศักดิ์" นั้นเข้ามาร่วมชายคา "ผู้จัดการ" เมื่อพ้นตำแหน่งที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก เริ่มจากการเขียนคอลัมน์ในหนังสือเครือผู้จัดการ

ก่อนที่จะลงแรงสร้างสื่อข้ามชาติ "เอเชียไทม์" ร่วมกับ "สนธิ"

เมื่อ "ทักษิณ" จะตั้งพรรคไทยรักไทย เขาก็มาขอคำแนะนำจาก "พันศักดิ์"

ชื่นชอบแนวคิดเรื่อง "เอสเอ็มอี" ของ "พันศักดิ์" มาก

ในที่สุดเขาก็ "ซื้อ" ทั้ง "ไอเดีย" และ "มันสมอง" ของ "พันศักดิ์"

กลายเป็นสุดยอด "กุนซือ" ของ "ทักษิณ" ในวันนี้

สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของ "ทักษิณ-สนธิ" ทั้งส่วนตัวและเครือข่ายเมื่อในอดีต จึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทั้งคู่จะเปิดศึกชนิดไม่เผาผีกันในครั้งนี้

ว่ากันว่าตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่จะเป็น "ตัวกลาง" ประสานความขัดแย้งครั้งนี้ได้

ไม่ใช่ "หลวงตามหาบัว"

แต่เป็น "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"

เพียงแต่วันนี้ทั้งคู่ดูเหมือนไม่มีใครคิดเลือกหนทางประนีประนอม

ทั้ง "ทักษิณ-สนธิ" เลือกที่จะ "หัก"

ไม่ยอม "งอ"

rungseer@ais.co.th

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000166499

ความคิดเห็นที่ 43
สัมพันธ์ลึก"ทักษิณ-สนธิ" เหมือนจะแพ้ แต่ชนะเหมือนจะรัก แต่ขัดแย้ง

ถ้าย้อนอดีตกลับไปเมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ถ้ามีใครบอกว่าวันหนึ่ง "ทักษิณ ชินวัตร" กับ "สนธิ ลิ้มทองกุล" จะขัดแย้งกันอย่างรุนแรงถึงขั้นต้อง "ล้ม" กันไปข้างหนึ่ง

ก็คงไม่มีใครเชื่อ

เพราะในวันนั้นทั้งคู่คือ "คนรุ่นใหม่" ที่มีสายสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งทั้งทางธุรกิจและส่วนตัว

เรื่องที่ "สนธิ" บอกว่าเคยให้หุ้น "ไออีซี" กับ "ทักษิณ" ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างความสัมพันธ์ในช่วงที่ยังรักกันหมายชื่น

"สนธิ" ซื้อบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลเอ็นจิเนียริ่ง หรือ "ไออีซี" จาก "ปูนซิเมนต์ไทย"

และแบ่งหุ้นส่วนหนึ่งขายให้ "ทักษิณ" ในราคาพาร์ 10 บาทก่อนแต่งตัวเข้าตลาดหุ้น

ส่วนหนึ่งเพราะต้องการสร้างสัมพันธ์กับ "ทักษิณ" ในเรื่องการขายโทรศัพท์มือถือ ซึ่ง "เอไอเอส" ของ "ทักษิณ" เป็นเจ้าของเครือข่ายเซลลูลาร์ 900

เพราะคนที่จะขายมือถือในยุคนั้นต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของเครือข่ายก่อน

แต่เมื่อ "ไออีซี" เข้าตลาดหุ้นได้พักใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะขัดแย้งกันในเรื่องแนวทางธุรกิจหรือ "ทักษิณ" ต้องการทำกำไรจากราคาหุ้น

เขาก็เทขายหุ้น"ไออีซี" ฟันกำไรไปเป็นหลัก 100 ล้าน

นั่นคือ จุดเริ่มต้นความไม่พอใจของ "สนธิ" ที่มีต่อ "ทักษิณ"

จากนั้นเส้นทางความสัมพันธ์ระหว่าง "สนธิ" กับ "ทักษิณ" ก็เป็นไปในลักษณะกอดคอกันบ้าง เหยียบเท้ากันบ้างตลอดเวลาตามดีกรีความหมั่นไส้ของคนรุ่นเดียวกัน

ครั้งหนึ่ง "สนธิ" เคยซื้อคลื่นความถี่ 1800 จาก "ดีแทค" มาทำระบบโทรศัพท์มือถือแข่งกับ "ทักษิณ"

ครั้งหนึ่ง "สนธิ" เคยคิดลงทุนทำดาวเทียม "ลาวสตาร์" แข่งกับดาวเทียม "ไทยคม"

และครั้งหนึ่ง "เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์" ต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ หรือ "ชินคอร์ป" ในปัจจุบัน เพราะเข้าไปช่วย "สนธิ" เทกโอเวอร์กิจการหนึ่งในขณะที่ "ทักษิณ" ไม่เห็นด้วย

รวมถึงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับการแข่งขันชิงสัมปทานสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง

"ทักษิณ" ไม่พอใจมากและกดดันให้ "เชิดศักดิ์" ลาออก

ที่สำคัญ กลุ่ม "ขุนพลเศรษฐกิจ" ของรัฐบาลทักษิณวันนี้ล้วนแต่เคยทำงานร่วมกับ "สนธิ" มาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็น "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์-ทนง พิทยะ" หรือ "พันศักดิ์ วิญญรัตน์"

เป็นตัวเสริมสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

"สนธิ" เห็นแววของ "สมคิด" ตอนที่ยังเป็นอาจารย์อยู่ที่ "นิด้า" เขาเชิญ "สมคิด" มาเขียนคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

และเข้ามาช่วยดูแลหนังสือ "สหพัฒน์ โตแล้วแตก แตกแล้วโต" ของ "สมใจ วิริยะบัณฑิตกุล"

"สมคิด" เคยเป็นกรรมการของกลุ่มผู้จัดการ

เขารู้จักกับ "ทักษิณ" ตอนที่เป็นกรรมการของ "ไออีซี"

และจากนั้นสายสัมพันธ์ระหว่าง "ทักษิณ-สมคิด" ก็เริ่มก่อตัวขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย

เป็น "ขุนพลเศรษฐกิจ" ตัวจริงเสียงจริงของ "ทักษิณ"

ส่วน "ทนง" เป็นเพื่อนนักเรียนอัสสัมชัญของ "สนธิ"

เป็นอาจารย์นิด้าก่อนเข้ามาทำงานที่แบงก์ทหารไทย

ขึ้นสู่ตำแหน่ง "รองกรรมการผู้จัดการใหญ่" แต่โดน "ศุภชัย พานิชภักดิ์" แซงโค้งเข้าป้ายในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่

คุ้นเคยกับ "สนธิ" ระดับเที่ยวเตร่ด้วยกัน

เมื่อ "ทนง" ลาออกจากแบงก์ ตอนที่กำลังว่างงานก็ไปนั่งอยู่กับ "สนธิ" ที่ "ผู้จัดการ"

"สนธิ" เป็นคนแนะนำ "ทนง" กับ "ทักษิณ" พร้อมยืนยันในเรื่องฝีมือและความสามารถ

"ทักษิณ" ดึง "ทนง" มาช่วยวางระบบเรื่องการเงินให้กับกลุ่มชินคอร์ป

จากนั้นไม่นาน "ทนง" ก็กลับไปนั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทยอีกครั้ง เมื่อ "ศุภชัย" พ้นจากตำแหน่ง

ช่วงนั้น "ทนง" ให้สัมภาษณ์ว่ามี 2 คนที่เขาจะไม่ลืม เพราะเป็นคนให้ความช่วยเหลือเขาในตอนที่ลำบาก

คนหนึ่ง คือ "ทักษิณ ชินวัตร"

อีกคนหนึ่ง คือ "สนธิ ลิ้มทองกุล"

ส่วน "พันศักดิ์" นั้นเข้ามาร่วมชายคา "ผู้จัดการ" เมื่อพ้นตำแหน่งที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก เริ่มจากการเขียนคอลัมน์ในหนังสือเครือผู้จัดการ

ก่อนที่จะลงแรงสร้างสื่อข้ามชาติ "เอเชียไทม์" ร่วมกับ "สนธิ"

เมื่อ "ทักษิณ" จะตั้งพรรคไทยรักไทย เขาก็มาขอคำแนะนำจาก "พันศักดิ์"

ชื่นชอบแนวคิดเรื่อง "เอสเอ็มอี" ของ "พันศักดิ์" มาก

ในที่สุดเขาก็ "ซื้อ" ทั้ง "ไอเดีย" และ "มันสมอง" ของ "พันศักดิ์"

กลายเป็นสุดยอด "กุนซือ" ของ "ทักษิณ" ในวันนี้

สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของ "ทักษิณ-สนธิ" ทั้งส่วนตัวและเครือข่ายเมื่อในอดีต จึงเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดและมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทั้งคู่จะเปิดศึกชนิดไม่เผาผีกันในครั้งนี้

ว่ากันว่าตอนนี้มีเพียงคนเดียวที่จะเป็น "ตัวกลาง" ประสานความขัดแย้งครั้งนี้ได้

ไม่ใช่ "หลวงตามหาบัว"

แต่เป็น "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"

เพียงแต่วันนี้ทั้งคู่ดูเหมือนไม่มีใครคิดเลือกหนทางประนีประนอม

ทั้ง "ทักษิณ-สนธิ" เลือกที่จะ "หัก"

ไม่ยอม "งอ"

rungseer@ais.co.th

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9480000166499