หลังยุคทักษิโณมิกส์ ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ (1)
โดย ยุค ศรีอาริยะ 12 ธันวาคม 2548 17:14 น.
ชื่อเรื่อง หลังยุคทักษิโณมิกส์ คงทำให้ผู้อ่านเดาได้ว่า ผมกำลังจะทำนาย "การสิ้นลง" หรือ "อวสานของยุคทักษิโณมิกส์" ภายใต้การนำของคุณทักษิณ
ในยุคโลกาภิวัตน์ คำว่า "หลัง" (Post-) กำลังกลายเป็นคำที่มีความหมายและถูกใช้บ่อยครั้งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำคำนี้ถูกนำมาใช้ในทางวิชาการกันมาก มากกว่ายุคสมัยใดๆ ทั้งหมด เช่น เราจะได้ยินคำว่าหลังยุคทุนนิยม (Post-capitalism) หลังยุคอุตสาหกรรม (Post-industrialized) และหลังยุคสมัยใหม่ (Post-modern) เป็นต้น
นี่คือการสะท้อนภาพของความพลิกผันในยุคโลกาภิวัตน์ ที่อภิวัฒน์ไปรวดเร็วอย่างยิ่ง รวดเร็วจนกระทั่งเราคาดคิดหรือตามไม่ทัน
นอกจากนี้ คำว่า "หลัง" ยังมีความหมายอีกประการหนึ่งว่า อนาคตกำลังไล่ล่าคุณ และเราวิ่งไล่ตามอนาคตไม่ทัน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า อนาคตกำลังกำหนดความเป็นไปในปัจจุบัน
ดังนั้น การเรียนรู้อนาคต และการทำนายหรือการคาดการณ์ "อนาคต" จึงกลายเป็นศาสตร์สำคัญศาสตร์หนึ่งที่เราต้องศึกษาในยุคนี้
หรือพูดเป็นรูปธรรมก็คือ ในยุคโลกาภิวัตน์ วัตถุสิ่งของที่ถูกผลิตขึ้น พอเริ่มออกสู่ตลาด และเริ่มวางขาย ก็กลายเป็นความล้าสมัยไปแล้ว
ทักษิโณมิกส์ก็ไม่ต่างจากสินค้าการเมืองชิ้นหนึ่ง ที่เริ่มต้นได้ดีอย่างยิ่ง เพราะคนไทยกำลังต้องการสิ่งใหม่ ที่ดูดีและทันสมัยในนามของการ "คิดใหม่ ทำใหม่"
แต่น่าเสียดาย วันนี้ สินค้าการเมืองชิ้นนี้ "ตกรุ่น" ไปเสียแล้ว
ถ้าย้อนอดีต ในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์ "ทักษิณฟีเวอร์" ภาพท่านนายกฯ ปรากฏทุกหนทุกแห่ง ภาพของท่านมีผลอย่างยิ่งต่อการเลือกตั้ง จนทำให้ "ไทยรักไทย" ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากจนล้นสภา
หลังจากนั้นไม่นาน กระแสฟีเวอร์ก็เริ่มจางหายไป หายไปอย่างรวดเร็ว ความเชื่อถือและความศรัทธาโดย ตรงต่อคุณทักษิณเริ่มเสื่อมลง
วันนี้ "ทักษิโณมิกส์" กำลังขายไม่ได้ และขายไม่ออก และดูมีทีท่าว่าจะกลายเป็นสินค้าการเมืองที่ "เน่า" และ "เสีย"
แม้แต่คนที่เคยเชียร์และเคยสนับสนุน อย่างเช่น คุณสนธิ หลวงตามหาบัว ก็หันหลังให้ หรือหันกลับมาวิพากษ์อย่างรุนแรงเสียเอง หรือแม้แต่บรรดาอดีตผู้ใหญ่ภายในพรรคไทยรักไทย ไม่ว่า ผู้ใหญ่จิ๋ว หรือ ท่านเสนาะ ก็ลุกขึ้นมาท้าทายท่าน
วันนี้กลุ่มพลังที่ต่อต้านท่านนายกฯ เริ่มจับกลุ่มกัน ขยายตัวขึ้นทุกวัน และกำลังจะกลายเป็นพลังการเมืองใหม่ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้การเมื องไทย
ใบหน้าของท่านนายกฯ ที่ดูบูดบึ้ง เครียด และประหวั่นกลัวเรื่องดาวพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ดาวพุธถดถอย สะท้อนความผิดพลาดและความล้มเหลวทางการเมืองได้ดี
คำถามที่ต้องตอบคือ
อะไร คือที่มาของการพังพาบของทักษิโณมิกส์
มีบทเรียนอะไรบ้าง ที่เราควรเรียนรู้
และที่สำคัญ "จะสร้างการเมืองใหม่หลังยุคทักษิณได้อย่างไร"
แต่ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ เราคงต้องเข้าใจว่า อะไรคือที่มาของทักษิโณมิกส์ และ ทักษิโณมิกส์ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยเมื่อไร และอย่างไร
วันก่อนผมไปร่วมชุมนุมและฟังคุณสนธิอภิปรายในรายการเมืองไทยรายสัปดา ห์ มีคนเข้าร่วมเกือบแสน เจอเพื่อนเก่าๆ หลายคน หลายคนเดินทางมาจากต่างจังหวัด บางคนเช่ารถมากันเป็นกลุ่มๆ เพื่อจะมาฟัง และร่วมแสดงออกทางการเมือง
บรรยากาศการเมืองแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
บรรยากาศการเมืองแบบนี้ทำให้ผมคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ยุคที่ผมเป็นนักศึกษาอยู่ และได้มีโอกาสมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้
ตอนนั้นผมรับผิดชอบด้านการวิเคราะห์ข่าวและสถานการณ์ ให้กับฝ่ายนักศึกษา
จำได้ว่ามีข้อมูลข่าวสารไหลเข้ามาจำนวนมาก มากจนไร้ระเบียบ จนทำให้ผมเองสับสนไปหมด
ผมจึงเดินออกจากห้องข่าว ลงไปร่วมเคลื่อนไหว เดินขบวน ฟังความคิดอ่าน และการแลกเปลี่ยนของผู้ที่เข้าประชุม
สำหรับผม ประชาชน คือพลังในการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ และถือว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุด
ผมมีหลักพื้นฐานง่ายๆว่า คนที่จะเข้าใจพลวัตของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ได้คือ คนที่เข้าใจ "ใจ" ของประชาชน
วันนั้น ผมตระหนักรู้ว่าผู้คนนับแสนๆ คนออกสู่ท้องถนนด้วย "หัวใจ" ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หัวใจที่ต่อต้านผู้นำทรราชได้ผนึกเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
ผมจึงได้บทสรุปในใจว่า
ไม่ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จะจบลงอย่างไร ประวัติศาสตร์ไทยได้เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่แล้ว ยุครัฐบาลทหารได้จบประวัติศาสตร์ของตัวเองไปแล้ว
วันนี้ หลังจากได้พบปะและคุยกับเพื่อนๆ และผู้คนที่เข้ามาร่วมชุมนุม ผมก็ได้บทสรุปไม่ต่างกัน วันของทักษิโณมิกส์ที่เคยยิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ ได้ก้าวเข้ามาใกล้ถึง "จุดจบ" แล้วเช่นกัน
ทักษิโณมิกส์กับการเมืองไทย
เพื่อนๆ ที่มาจากต่างจังหวัดกลุ่มหนึ่ง ชวนผมให้ไปนั่งทานข้าวต้มด้วยกัน อยากจะให้ผมวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองให้ฟัง
เพื่อนเริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า
"จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกหรือไม่"
ผมตอบว่า
"เป็นไปได้"
เพื่อนถามต่อว่า
"ถ้าเกิดขึ้นแล้ว อนาคตการเมืองไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร"
ผมตอบว่า
"ผมไม่รู้จริงๆ แต่คิดว่า การเมืองกำลังก้าวและพัฒนาไปข้างหน้า แม้จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายกันช่วงหนึ่งก็ตาม แต่จะก้าวไปอย่างไร คงต้องเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันคิด ต้องช่วยกันเสนอเพราะประเทศนี้เป็นของพวกเราทุกคน ไม่ใช่ของคนใด คนหนึ่ง"
เพื่อนคนหนึ่งแหย่ว่า
"หมายถึงคุณทักษิณสิ"
ผมได้แต่ยิ้ม และไม่ตอบอะไร
เพื่อนถามว่า
"ทำไมการเมืองไทยจึงก้าวสู่วิกฤตเสถียรภาพของรัฐบาลได้"
ผมตอบว่า
"มีหลายเหตุปัจจัยก่อเกิดซ้อนทับกันในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญคือ การเกิดกระแสขาลงทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมืองในเวลาเดียวกัน ประสานกับการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด (ในเชิงรุก) ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามประชาชนในเขตสามจังหวัดภาคใต้ การพยายามควบรวมอำนาจทั้งภาครัฐ และควบคุมบรรดาสื่อให้อยู่ภายใต้อำนาจ
ยุทธศาสตร์เชิงรุกในทุกด้านนั้นได้ก่อศัตรูขึ้นทุกด้าน และทุกทาง รวมทั้งภายในกลุ่มชนชั้นนำเอง และภายในพรรคไทยรักไทยเอง
นอกจากนี้ ก็มีปัจจัยที่เป็นปัญหาหลัก รวมศูนย์ที่ตัวคุณทักษิณเอง ซึ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงเช่นกัน"
ผมคงขอเริ่มวิเคราะห์จากปัจจัยที่เป็นปัญหาหลักนี้ก่อน
ในวิชารัฐศาสตร์ มีคำกล่าวว่า "อำนาจ" คือที่มาของการคอร์รัปท์ (Corrupt) แต่ผมอยากจะต่อท้ายว่า ไม่เพียงแต่คอร์รัปท์เท่านั้น ยังนำหายนะมาสู่ผู้ที่หลงใหลในมายาของอำนาจด้วย
ใครหลงใหลมายาของอำนาจ และการประจบสอพลอ ก็จะทำลายตัวเองในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีทั้งเงิน และยิ่งเป็นด็อกเตอร์ ก็จะคิดว่าตนเองใหญ่ที่สุด เก่งที่สุด ก็จะหลงอำนาจ และหลงตัวเองอย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน
ผลต่อเนื่องทางการเมืองที่ตามมาคือพรรคไทยรักไทยได้กลายเป็นเพียงพรร คการเมืองของคนคนเดียว แทนที่จะมีระบบการนำ หรือการบริหารที่รวมหมู่
รัฐบาลไทยก็กลายเป็นรัฐบาลของท่านผู้นำคนเดียว การประชุมรัฐมนตรีก็กลายเป็นเพียงการ "รับคำสั่ง" จากท่านผู้นำ ใครใกล้ชิดที่สุด และรู้จักวิธีประจบสอพลอดีที่สุด ก็จะได้ตำแหน่งสูงๆ ในรัฐบาล ใครไม่ขึ้นกับท่าน ไม่เห็นด้วยกับท่าน และขัดแย้งกับท่าน ก็จะถูกลดบทบาท และถูกถีบออกไป
นี่คือระบบที่เรียกว่าระบบ CEO ซึ่งเป็นระบบที่มีท่านประธานคนเดียวมีอำนาจเด็ดขาด และรู้ดีไปทุกเรื่อง กลุ่มบุคคลอื่นๆ ที่เหลือคือ ลูกน้อง หรือคนรับใช้ที่คอยรับคำสั่ง
ระบบนี้ อาจจะใช้ในการบริหารบรรษัทขนาดเล็ก แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้บริหารประเทศทั้งประเทศ
เพื่อนคนหนึ่งสวนขึ้นว่า
"ผมรู้สึกเสียดายพรรคไทยรักไทย" และเล่าให้ฟังต่อว่า
"การก่อตั้งพรรคไทยรักไทยนั้นมีการเตรียมการกันอย่างดี ได้เดินทางไปวางแผนจัดตั้งกันถึงยุโรป และถึงขั้นวางแผนจะยึดอำนาจ หรืออภิวัฒน์ประเทศไทย"
ผมบอกเพื่อนว่า"เรื่องนี้น่าสนใจและน่าวิเคราะห์"
ผมขอขยายความเรื่องการวางแผนยึดอำนาจ ผมคิดว่า ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทยได้ตระหนักรู้ว่าจะยึดตัวจริงของอำนาจได้อย่างไ ร พูดอีกอย่างหนึ่งคือ อำนาจไม่ใช่อยู่ที่การได้เป็นรัฐบาล หรือคุมรัฐสภา แต่อำนาจอยู่ที่การวางฐานครอบอำนาจระบบรัฐการ (ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ) ทั้งหมด
ผมเล่าต่อว่า
ตอนที่ผมเรียนปริญญาเอก ผมสร้างทฤษฎีขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่ออธิบายการเปลี่ยนผ่านของระบบอำนาจรัฐในระบบการเมืองของโลกที่สาม
ผมเสนอทฤษฎีว่า อำนาจรัฐนั้นแบ่งได้เป็น 2 ฐาน
ฐานอำนาจแรก นั้นอยู่ที่ระบบรัฐสภา และการได้เป็นรัฐบาล ผู้ที่จะครองอำนาจนี้ได้ ต้องสร้างพรรคขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ก่อน
ฐานอำนาจที่สอง คืออำนาจของระบบรัฐการ
จะสร้างพรรค (ใหญ่) คงหนีไม่พ้นอำนาจเงินตรา
ใครมีอำนาจเงินสูงสุดก็จะสามารถทำได้สำเร็จ ดังนั้น การสร้างพรรคใหญ่จุดเริ่มไม่ใช่ที่เรื่องพรรค แต่คือการผนวกรวมกลุ่มพลังทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งที่สุดเข้าด้วยกัน
ผมคิดว่า นี่คือที่มาของการประสานพันธมิตรระหว่างทุนใหญ่ภายในประเทศไทย อย่างเช่น กลุ่มชินวัตร กับกลุ่มซีพี รวมไปถึงกลุ่มทุนพันธมิตรขนาดย่อยอื่นๆ
เมื่อทุนใหญ่ผนวกรวมตัวกันได้ การสร้างพรรคใหญ่ที่สามารถผนวกรวมพรรคย่อยๆ ก็เกิดขึ้นโดยไม่ยากนัก
นี่คือที่มาของพรรคไทยรักไทยแบบกินรวบ และผูกขาดอำนาจเหนือการเมือง เหนือระบบการเลือกตั้ง
ดังนั้น การยึดอำนาจเหนือระบบรัฐสภา และการสร้างอำนาจเหนือระบบรัฐบาลไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป
แต่ยังมีโครงสร้างอำนาจที่ครอบเหนือระบบรัฐบาล และรัฐสภา ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งคือตัวจริงของอำนาจรัฐของประเทศโลกที่สาม นั่นคือ "อำนาจของระบบรัฐการ" (ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และอำนาจของเทคโนแครต) โดยมีศูนย์อำนาจเดิม 2 ศูนย์
นั่นคือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในสมัยก่อนนั้น สภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะวางแผนกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไทย และสภาความมั่นคงดูแลด้านความสงบเรียบร้อย หรือความมั่นคง รัฐบาลที่ขึ้นมามีอำนาจจึงอยู่ในฐานะ "ผู้จัดการ" ที่ต้องจัดการไปตามทิศทางที่ถูกกำหนดวางไว้เท่านั้น
เพื่อนสวนขึ้นมาว่า
"คุณยุคกำลังบอกว่า ถ้าคุณทักษิณจะยึดประเทศ ก็ต้องฝ่าด่านอำนาจรัฐการ โดยการยึดระบบราชการให้ได้ แต่ถ้าฝ่าด่านไม่ได้ หรือการพยายามฝ่าด่าน อาจจะทำให้กลุ่มพลังที่เคยกุมอำนาจรัฐหันกลับมาล้ม หรือเผชิญหน้ากับรัฐบาล ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม"
ผมตอบว่า
"ใช่"
เพื่อนถามต่อว่า
"นี่หมายความว่า กำลังมีการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าแบบศักดินาที่เคยกุมอำนาจเหนือ ระบบรัฐการ กับกลุ่มอำนาจใหม่ที่เริ่มเข้ามายึดอำนาจ ใช่ไหม"
ก่อนที่ผมจะตอบ เพื่อนอีกคนหนึ่งสวนขึ้นว่า
"ถ้าเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องหนุนช่วยฝ่ายทุนใหม่ซึ่งก้าวหน้ากว่า โค่นล้มอำนาจฝ่ายศักดินาเก่าสิ"
ผมได้แต่ยิ้ม และกล่าวว่า
"คุณน่าจะรู้ว่า ผมเองเลิกเชื่อทฤษฎีแบบซ้ายเก่าอีกแล้ว ผมคิดว่าประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคทุนนิยมมานานแล้ว และกลุ่มที่มีอำนาจทั้งหมดในสังคมไทยคือ กลุ่มทุนด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่เป็นทุนที่มีฐานที่มาแตกต่างกันไปเท่านั้น"
ผมเสริมต่อว่า
"ที่สำคัญ ผมก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มทุนใหม่ต้องก้าวหน้ากว่ากลุ่มทุนเก่า
การเข้าใจแบบนี้ นี่คือการมองพัฒนาการแบบเป็นเส้นตรง
เราต้องเข้าใจว่า พัฒนาการทุกอย่างนั้น พลิกผัน ไม่เป็นเส้นตรง" (ยังมีต่อ)
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000170424
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก