เหตุใดประชาชนต้องปกป้องรัฐธรรมนูญ
รัฐ ธรรมนูญ (LA CONSTITUTION) เป็นบทบัญญัติในทางกฎหมาย (LES TEXTES JURIDIQUES) ที่กำหนดสถาบันต่าง ๆ (LES DIFFERENTES INSTITUTIONS) ซึ่งประกอบขึ้นเป็นรัฐ (L’ETAT) โดยรัฐธรรมนูญจะกำหนดและจัดความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่าง ๆ นี้ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังเป็นบทบัญญัติที่ก่อตั้งองค์กรแห่งรัฐ (L’ORGANISATION DE L’ETAT) มีบทบัญญัติที่กำหนดและประกันให้มีการเคารพต่อสิทธิพื้นฐานของบุคคล (LES DROITS FONDAMENTAUX DES PERSONNES) รวมทั้งเสรีภาพ (LA LIBERTE) ของบุคคล ซึ่งเรียกรวมกันว่า สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้นี้เป็นส่วนสำคัญต่อความมั่นคงและการดำรง อยู่แห่งรัฐ การฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ การทำลายรัฐธรรมนูญ การล้มล้างรัฐธรรมนูญ จึงถือเป็นปรปักษ์ต่อสถาบัน องค์กรแห่งรัฐ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนประชาชนทุกคน
โดยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และได้รับการยอมรับในทางกฎหมายว่าเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุด (LA NORME SUPREME) ของรัฐ และมีฐานะในทางกฎหมายคือ เป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดของลำดับศักดิ์ในทางกฎหมาย (LA NORME LA PLUS ELEVEE DE L’ORDRE JURIDIQUE) ซึ่งหมายความว่า บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ จะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้
องค์กรแห่งรัฐจะได้ รับการจัดตั้งและกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ความสำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญก็คือ การประกันให้ทุกฝ่ายเคารพต่อสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลตามที่รัฐ ธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ ซึ่งสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้เป็นประเด็นทางมหาชน มีค่า การดำรงอยู่ และลำดับศักดิ์สูงตามรัฐธรรมนูญที่เป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดของรัฐ การทำลายอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่รัฐธรรมนูญจัดตั้งขึ้น การทำลายสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายรัฐธรรมนูญแห่งรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการปกครองอันไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน (LES RISQUES DE GOUVERNEMENT ARBITRAIRE) และเกิดการปกครองในลักษณะตามอำเภอใจ ตลอดจนจะมีผลก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศ
โดยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นความจำเป็นสำหรับประชาชน หน่วยงานเอกชน ข้าราชการ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานทางปกครอง และองค์กรของรัฐในทุกองค์กรจะต้องร่วมกันปกป้องและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ โดยวิถีทางที่สำคัญ 2 นัย คือ
ประเด็นที่ 1. ต้องปกป้องรัฐธรรมนูญจากการละเมิดต่อหลักการ (LA VIOLATION DES PRINCIPES) แห่งรัฐธรรมนูญในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ โดยเฉพาะสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ และ
ประเด็น ที่ 2. ต้องปกป้องรัฐธรรมนูญจากการแก้ไขตามพฤติการณ์ (LES MODIFICATIONS DE CIRCONSTANCE) อันเป็นการสนองตอบแก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดที่มุ่งหวังต่อผลประโยชน์เฉพาะ ส่วนตนหรือเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตน อันมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม และโดยมิได้มีวัตถุประสงค์ที่เป็นการแก้ไขปรับปรุงหรือพัฒนาเพื่อให้สอด คล้องกับความเปลี่ยนแปลง หรือความเจริญ หรือเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่สำคัญต่อการดำเนินการตามปกติแห่งรัฐ
วิธี การในปกป้องรัฐธรรมนูญและธำรงรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ จึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องตามนัยแห่งประเด็นดังกล่าว ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้
1. วิธีการในอันที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญตามประเด็นที่ 1. ซึ่งเกิดการละเมิดต่อหลักการสำคัญของสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐ ธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ตามนัยแห่งประเด็นนี้ สำนักคิดรัฐธรรมนูญนิยมใช้วิธีการคุ้มครองตามหลักกฎหมายมหาชนในทางรัฐ ธรรมนูญคือ หลักการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (LE CONTROLE DE CONSTITUTIONNALITE) เนื่องจากรัฐธรรมนูญถือเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุด ทุกประเทศที่เป็นรัฐเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีรัฐธรรมนูญนั้น องค์กรของรัฐทุกองค์กรจะต้องหลีกเลี่ยงการตีความและใช้บังคับกฎหมายที่มี ลำดับศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป ตลอดจนคำพิพากษาที่เป็นบรรทัดฐานอื่นใดไปขัดขวางหรือลิดรอนต่อสิทธิพื้นฐาน และเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ หากองค์กรของรัฐใดตีความหรือใช้บังคับกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์อันต่ำกว่ารัฐ ธรรมนูญโดยความผิดพลาด และมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่กำหนดวิธีการโดยเฉพาะไว้ เช่น การขยายความหลักกฎหมายทั่วไปหรือการปรับใช้หลักกฎหมายแพ่งซึ่งอยู่ในลำดับ ศักดิ์ที่ต่ำกว่าไปกระทบต่อสิทธิพื้นฐานหรือเสรีภาพของบุคคลซึ่งเป็นสิทธิใน ทางมหาชนที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ หรือการปรับใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยไม่ครบถ้วนถูกต้องตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ หรือทำการตีความหรือสร้างหลักกฎหมายใดขึ้นมาใหม่ซึ่งมิได้สอดคล้องและมิได้ เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การกระทำเช่นว่านี้อาจเป็นการทำลายรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวเป็นการต้องห้าม และมีการบัญญัติห้ามไว้อย่างชัดเจนโดยบทบัญญัติในมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
นอกจากนี้ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ เช่นว่านี้ย่อมกระทบต่อมหาชนโดยส่วนรวม และเป็นผลร้ายอันคุกคามต่อประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งอาจเกิดผลที่บกพร่องปรากฏขึ้น เช่น ปัญหาการบังคับคดี ซึ่งหากองค์กรใดของรัฐไปบังคับคดีโดยกระทำการลิดรอนต่อสิทธิพื้นฐานหรือ เสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือละเมิด ต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุด การกระทำดังกล่าวไม่อาจถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมและสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายที่จะกระทำการ ต่อต้าน ดำเนินการในทางกฎหมาย และแสดงออกโดยการไม่ยอมรับต่อการกระทำดังกล่าวได้ เนื่องจากการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้จะเป็นบ่อ เกิดแห่งความวุ่นวายในสังคม รวมทั้งองค์กรของรัฐที่ใช้บังคับกฎหมายหรือตีความกฎหมายที่ฝ่าฝืนหรือละเมิด ต่อรัฐธรรมนูญย่อมไม่อาจอ้างความคุ้มครองทางกฎหมายใดที่จะคุ้มครองการกระทำ ของตน รวมทั้งการบังคับคดีที่ไปละเมิดต่อสิทธิพื้นฐานหรือเสรีภาพซึ่งรัฐธรรมนูญ บัญญัติรับรองไว้ได้ เพราะเหตุว่าองค์กรของรัฐนั้นได้เป็นผู้กระทำการทำลายล้างรัฐธรรมนูญโดยการ ฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อบรรทัดฐานอันสูงสุดด้วยการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายของตน องค์กรของรัฐนั้นจึงหามีความชอบธรรมใดที่จะอ้างเพื่อคุ้มครองต่อการกระทำของ ตนได้ไม่
แนวทางในการแก้ไขข้อบกพร่องขององค์กรรัฐที่ใช้บังคับหรือตี ความกฎหมายใดที่บกพร่องและส่งผลต่อการลิดรอนต่อสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของ บุคคลอันเป็นสิทธิและเสรีภาพทางมหาชนที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ ก็คือ การใช้หลักการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งขององค์ผู้เชี่ยวชาญที่รัฐธรรมนูญกำหนด อำนาจหน้าที่ไว้ นั่นคือ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังได้สร้างเกราะเพื่อเสริมความคุ้มครองให้แก่ รัฐธรรมนูญ โดยการเพิ่มเติมให้มีกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรของรัฐที่ใช้ อำนาจหน้าที่อันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรของ รัฐได้ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และยังมีบทบัญญัติให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของตน รวมทั้งปกป้องรัฐธรรมนูญโดยการใช้สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้มีการถอดถอนผู้ดำรง ตำแหน่งในองค์กรของรัฐโดยอาศัยตามมาตรา 271 ประกอบมาตรา 164 ได้อีกด้วย
2. วิธีการที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญตามนัยแห่งประเด็นที่ 2. นี้ ส่วนใหญ่จะใช้วิถีทางในการคุ้มครองทางการเมือง (LA PROTECTION POLITIQUE) โดยการกำหนดให้ทุกองค์กรของรัฐมีหน้าที่ในการที่จะให้ความคุ้มครอง และปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตลอดจนดูแลให้มีการเคารพต่อรัฐธรรมนูญ โดยห้ามองค์กรของรัฐใดกระทำการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดของรัฐ และมีสถานะแห่งลำดับศักดิ์ในทางกฎหมายที่อยู่เหนือบทบัญญัติแห่งของกฎหมาย อื่นใด
เนื่องจากสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ย่อมได้รับ ความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนการใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง ประชาชนทุกคนจึงต้องใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญมอบไว้ (เช่น การใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้เกิดการคุ้มครองต่อรัฐธรรมนูญ การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ รวมทั้งการดำเนินการตามกระบวนการแห่งรัฐธรรมนูญ) โดยกระทำการคัดค้านและต่อต้านการแก้ไขบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญซึ่งมิได้เป็น ไปเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและเพื่อเจตจำนงร่วมกันของประชาชน และคัดค้านต่อคำวินิจฉัยขององค์กรใดที่เป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ รวมทั้งขัดขวางการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่มิได้เป็นไป ตามกระบวนการแห่งรัฐธรรมนูญ ตลอดจนต้องร่วมกันคัดค้านต่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในประเด็นใดเพื่อ ประโยชน์ส่วนบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นอกจากนี้ หน้าที่นี้ยังเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งขององค์กรรัฐทั้งหลายที่จะต้อง เข้าร่วมกับประชาชนในการที่จะป้องกันมิให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไป ในทางที่บิดเบือด ซึ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังกล่าว โดยมิใช่เป็นการแก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนารัฐธรรมนูญตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและเจตจำนงร่วมของประชาชน ทั้งนี้องค์กรของรัฐทุกองค์กรนั้นต้องยึดมั่นต่อรัฐธรรมนูญและดูแลให้มีการ เคารพต่อหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ โดยที่องค์กรของรัฐนั้นจักต้องไม่เป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อรัฐ ธรรมนูญซึ่งเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดนั้นด้วย
การฝ่าฝืนหรือละเมิดรัฐ ธรรมนูญ การทำลายรัฐธรรมนูญ การล้มล้างรัฐธรรมนูญ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งไม่สอดคล้องต่อเจตจำนงร่วมของประชาชน หรือเป็นการบิดเบือด ซึ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดโดยเฉพาะ ย่อมถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ และผู้กระทำการนั้นย่อมถือเป็นบุคคลที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ สถาบัน องค์กรแห่งรัฐ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งเป็นปรปักษ์ต่อประชาชนทุกคนภายในชาติอีกด้วย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ โดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง
มาตรา 164 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อร้อง ขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้
คำร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวกระทำความผิดเป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจน
หลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการที่ประชาชนจะเข้าชื่อร้องขอตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต
มาตรา 270 ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้
บทบัญญัติวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ด้วย คือ
(1) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(2) ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
มาตรา 271 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่า ที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้ คำร้องขอดังกล่าวต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว กระทำความผิดเป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจน
สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งใน สี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนสมาชิกวุฒิสภาออกจากตำแหน่งได้
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้ตามมาตรา 164
มาตรา 274 สมาชิกวุฒิสภามีอิสระในการออกเสียงลงคะแนนซึ่งต้องกระทำโดยวิธีลงคะแนนลับ มติที่ให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของวุฒิสภา
ผู้ใดถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน และให้ตัดสิทธิผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมืองหรือในการรับราชการ เป็นเวลาห้าปี
มติของวุฒิสภาตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด และจะมีการร้องขอให้ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันอีกมิได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง
**ไม่มีที่มา**
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก