ไม้เด็ด‘ป.ป.ช.’ฟัน‘แม้ว-หมัก’ไล่ขยี้แผน4ขั้น พปช.สิ้นท่า!
พลันที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) สิ้นสุดหน้าที่ลง เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภารกิจตรวจสอบและเอาผิดในคดีทุจริตของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 24 เรื่อง จำนวน 14 แฟ้มถูกส่งมายังความดูแลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แทนโดยมีคดีร้อนมากมาย อาทิ คดีบ้านเอื้ออาทร คดีโครงการขนส่งทางรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (แอร์พอร์ตลิงก์) คดีทุจริตห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร(เซ็นทรัลแล็บ) ตลอดจนที่มาของเงินในการเข้าซื้อหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ เป็นต้น
แต่คดีที่ถือว่าเป็นวิกฤตที่สุดในขณะนี้ คือ“คดีปราสาทพระวิหาร” ที่สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐนาวา “สมัคร สุนทเวช” อย่างที่สุดในขณะนี้
การที่ “ของร้อน”จากคตส.ถูกส่งต่อมายัง ป.ป.ช. ให้เป็นผู้ชี้เป็น-ตาย รัฐบาลสมัคร ณ ห้วงเวลานี้ นอกเหนือจากฝ่ายศาลที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ ซึ่งผลให้เกิดกระบวนการเดินหน้าดิสเครดิตป.ป.ช.ทั้งจาก สมัคร เอง ไปจนถึงพลพรรคพลังแม้วที่ดาหน้าออกมาประสานเสียงโจมตีการทำงานของป.ป.ช.อยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน
ส่วนคิวล่าสุด การเคลื่อนไหวของมวลชนจากกลุ่มของแกนนำพลเมืองภิวัฒน์ สหภาพครูและ พันธมิตรสหภาพแรงงานเพื่อประชาธิปไตยเข้ายื่นหนังสือต่อ สุทิน คลังเเสง ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุนสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตรวจสอบการการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป.ป. ช. ชุดดังกล่าวโดยอ้างว่ามิได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์และ ผ่านการถวายสัตย์ฯ รวมถึงมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่โดยมิชอบและมีความผิดในมาตรา 157 และขัดมาตรา 249ของรัฐธรรมนูญ
แม้ว่า จะมีการออกมาชี้แจงของ “ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” ประธานคณะกรรมการป.ป.ช.แล้วก็ตาม ว่า กฎหมายมิได้ระบุให้ป.ป.ช.ต้องเข้าถวายสัตย์ฯ รวมถึงสถานะของป.ป.ช.เองก็ได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้ว รวมถึงอำนาจทั้งหมดก็เป็นการใช้ผ่านพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ.ศ.2542 นั่นเอง
ชี้ พลังแม้วใช้
4 ทางยุบป.ป.ช.
ดังนั้น กระบวนการเดินหน้ารุกไล่ ป.ป.ช. จากรัฐบาลและส.ส.พรรคพลังประชาชนจึงเริ่มต้นขึ้น ดังที่เห็นกันในขณะนี้และคาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้านฝ่ายตรงข้ามเองก็เดินหน้าขับไล่รัฐบาลสมัครอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เมื่อกลุ่ม 77 ส.ว.ที่นำโดย “รสนา โตสิตระกูล” ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ม. 275 เพื่อขอให้กรรมการป.ป.ช.ไต่สวนความผิดทางอาญาของครม.ตามประมวลกฏหมายอาญา ม.157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหารซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้วว่าผิดใน ม.190 นำไปสู่การยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีนั่นเอง
สอดรับกลับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ล่ารายชื่อ ประชาชนกว่า 40,000 คนในการร่วมถอดถอนคณะรัฐมนตรีสมัครอย่างเร่งด่วนเช่นกัน
ดังนั้น พลพรรคพลังแม้วจึง ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเร่งด่วนในทันทีโดยเฉพาะ มาตรา 237และ190 โดยไม่หวั่นกระแสต้านที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่ง“รศ.ดร.ปรีชา สุวรรณทัต” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า แนวทางที่รัฐบาลและพลพรรคพลังแม้ว จะเดินต่อไปเพื่อสกัดกั้นการทำงานของป.ป.ช.จะเดินเกมใน 4 ทาง
โดยทางที่ 1 คือ การยื่นตีความสถานะของป.ป.ช.โดยศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับกรณีของคตส.ในช่วงก่อนหน้านี้
2.การยื่นถอดถอนคณะกรรมการป.ป.ช.โดยกลุ่มพลเมืองภิวัฒน์
3.การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการป.ป.ช.ที่นานถึง 9 ปี
4.การเดินเกมเพื่อดิสเครดิตคณะกรรมการป.ป.ช.ซึ่งกระบวนการดังกล่าวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“วาระพระวิหาร”
ไม้เด็ด ป.ป.ช.ตีโต้พลังแม้ว
อย่างไรก็ตาม กระบวนการเผด็จศึกที่มีการคาดการณ์นั้น ทั้งการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความสถานะของป.ป.ช.หรือการยื่นถอดถอนคณะกร รมการป.ป.ช.ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วผ่าน กลุ่มพลเมืองพลภิวัฒน์ นั้น อาจไม่บรรลุเป้าหมาย เมื่ออำนาจหนึ่งที่ถือเป็นสิทธิขาดของป.ป.ช. ก็คือ การใช้ดุลยพินิจในการหยิบยกเรื่องที่ถูกยื่นเข้าสู่การพิจารณาเป็น “วาระ เร่งด่วน” ซึ่งแน่นอนว่า การยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีด้วยความผิดรัฐธรรมนูญม.190ที่ยื่นโดยส. ว.-พันธมิตรนั้น อาจจะเป็น “ดาบอาญาสิทธิ์” ที่เร่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเรื่องดังกล่าวได้รวดเร็วขึ้น
เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม เฉกเช่นที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความสถานะหนังสือแถลงการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ว่าเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ รวมถึงการจะเอาผิดคณะกรรมการป.ป.ช.เพื่อถอดถอนนั้น ความผิดจะต้องรุนแรงและเด่นชัด เช่นเดียวกับที่ อดีตคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดก่อนกระทำการทุจริตด้วยการขึ้นเงินเดือนให้ตนเอง เป็นต้น จึงจะส่งผลให้พ้นสภาพได้ซึ่งที่ผ่านมาในช่วง 2 ปีก็ยังไม่พบว่ามีการกระทำผิดในกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด
ดังนั้น แนวทางของกลุ่มพลังแม้วที่ต้องการยื่นตีความอำนาจป.ป.ช.หรือการถอดถอนป.ป.ช. จึงได้กลายเป็นตัวเร่ง ให้ป.ป.ช. ตัดสินเร็วขึ้นและ คณะรัฐมนตรีอาจพ้นสภาพเร็วกว่าที่คาดคิดก็เป็นได้
แก้รธน.ยุบป.ป.ช.ไม่ทัน
ส่วนกรณีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้น “รศ.ดร.ปรีชา” อธิบายเพิ่มเติมว่า หากพิจารณาตามเงื่อนเวลาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้วไม่ สามารถที่จะผลักดันให้รัฐธรรมนูญผ่านการแก้ไขใน 3 วาระรวดได้ หรือเสร็จสิ้นภายในเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ได้ ซึ่งในรัฐธรรมนูญม.291วรรค 2ระบุขั้นตอนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า
“ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญแบ่ง เป็น 3 วาระ ในขั้นที่ 1 การรับหลักการนั้น สมาชิกไม่น้อยกว่า กึ่งหนึ่งของ 2 สภาจะต้องเห็นชอบ
ขั้นที่2.ขั้นการพิจารณาเรียงลำดับมาตรา จะต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อ เสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมด้วย โดยถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ และเมื่อเสร็จสิ้นให้รออีก 15 วัน ก่อนเข้าสู่วาระที่ 3
ขั้นที่ 3ลงมติด้วยเสียงของสมาชิกทั้ง 2 สภามากกว่ากึ่งเมื่อผ่านจึงนำร่างฯขึ้นทูลเกล้าต่อไป”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาขั้นตอนดังกล่าว แนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจเป็นแนวทางที่ช้าเกินไปที่จะจัดการคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดปัจจุบันให้พ้น เส้นทางหรือพ้นจากตำแหน่งได้ทัน
แนะพันธมิตรฯ
ล่า 50,000 ชื่อ
อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ยังมีเมื่อการเสนอชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นถูกเสนอผ่านส.ส.-ส.ว.โดยมิได้ เป็นการเสนอจากฝ่ายประชาชนนั้น ขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในขั้นตอนที่ 2 อาจจะถูกมองข้ามไปและไม่อาจเกิดขึ้นก็เป็นได้
ดังนั้น แนวทางที่สังคมต้องทำคือ การรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ 50,000 รายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญพร้อมกับที่พรรคพลังประชาชนเสนอแก้ไขจึงจะ ตัดการแก้ไขที่ไม่ชอบธรรมแบบรวบหัวรวบหางได้ รวมถึงเป็นการประวิงเวลาในขั้นตอนรับฟังความเห็นได้อีกด้วย ซึ่ง ณ เวลานั้น คดีความบางส่วนอาจถูกตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้วและสถานการณ์ทางการเมืองที่ วุ่นวายอาจบรรเทาลงได้นั่นเอง
“การที่พันธมิตรมีเครือข่ายค่อนข้างแข็งแกร่งในภาคประชาชน นอกจากจะยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีแล้ว การรวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จำเป็นต้องทำควบคู่กับการขอแก้ไขในฝั่งของพรรค พลังประชาชน ทั้งนี้ เพื่อจะได้มีการทำประชาพิจารณ์และรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกรวบหัวรวบหางได้ง่าย”
คตส.ส่งมือดีช่วยคดีมัดแม้ว
แหล่งข่าวหนึ่งในอดีตคตส. กล่าวกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์”ว่า นอกจากการส่งมอบคดีบางส่วนจากคตส.ไปยังป.ป.ช.แล้ว ทางคตส.เองได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อช่วยในการทำคดีบางส่วนที่ส่ง ต่อไปยังป.ป.ช.ในรูปของคณะอนุกรรมการด้วยซี่งจะทำให้ป.ป.ช.ทำงานได้รัดกุม มากขึ้น
“ทางคตส.แม้ว่าจะส่งเรื่องไปยังป.ป.ช.ไปแล้ว แต่ก็มีคณะทำงานเข้าไปช่วยในเรื่องคดีบางส่วนด้วยเพื่อความรัดกุม แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าป.ป.ช.จะไม่เป็นกลางเพราะสังคมย่อมจับตาการทำงานของป.ป. ช.เป็นแน่ หากป.ป.ช.ไม่เป็นกลางก็แย่เหมือนกัน รวมถึงฝ่ายรัฐบาลเองก็ควรที่จะปล่อยเป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมไม่ควร สอดแทรกเพราะสังคมย่อมเข้าข้างฝ่ายถูกเสมอ”
ด้วยอำนาจตามกฎหมายที่ค่อนข้างสูงของป.ป.ช. ส่งผลให้กระแสความกดดันจากฝ่ายการเมืองไหลบ่าไปยังป.ป.ช.ที่มีอำนาจชี้เป็น -ตายรัฐบาลสมัครได้ในทันที ซึ่งแน่นอนว่าด้วยอำนาจดังกล่าวแรงเสียดทานและการเดินเกมเพื่อรุกไล่ป.ป.ช. จึงเป็นแนวทางที่ “พลังแม้ว” จะต้องเล่นต่อไป
ดังนั้นสังคมจึงที่ต้องลุ้นทุกขณะจิตว่ากระบวนการยุติธรรมในส่วนของ ศาลฏีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอง ศาลรัฐธรรมนูญ กกต.จะวินิจฉัยความผิดในคดีต่างๆของฝ่ายพลังแม้วที่สุมอยู่อย่างมากมาย จนรัฐนาวาสมัคร จะต้องหมดวาระก่อนที่จะกระทำการยับยั้งได้หรือไม่...
*************
ตุลาการภิวัฒน์พ่นพิษ “สมัคร1”กระเจิง
“สมัคร1” ทำงานไม่ราบรื่น เหตุคนในครม.ล้วนแล้วแต่ตกเป็น “จำเลย” คดีทุจริต ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญกันถ้วนหน้า คดีความยังรอการพิพากษาจากศาลฎีกา-ศาลรัฐธรรมนูญ จับตากรณีแถลงการณ์ปราสาทพระวิหาร มีสิทธิตกเก้าอี้ทั้งครม.
รัฐบาล “สมัคร 1”นั้นถือได้ว่ามีบรรดารัฐมนตรีในครม.เข้าไปพัวพันกับคดีทุจริตต่างๆด้วยกัน หลายคน นับตั้งแต่ผู้นำรัฐบาล ไปจนถึงรัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอ บี ล้วนแล้วแต่รอการตัดสินชี้ขาดจากฝ่ายตุลาการตามกระบวนการยุติธรรมกันถ้วน หน้า
โดยคดีความต่างๆที่มีทั้งนายกฯสมัคร และรัฐมนตรีในครม.มีชื่อในฐานะผู้ถูกร้อง หรือจำเลยนั้น มีทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับกระทำทุจริตด้านนโยบาย และโครงการของรัฐ รวมไปถึงคดีการฟ้องร้องระหว่างตัวบุคคล ซึ่งผลจากการพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งต่อผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบต่อเก้าอี้ที่คนเหล่านี้ดำรงอยู่ทั้งสิ้น รวมถึงส่งผลต่อเสถียรภาพการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อประมวลคดีความต่างๆทั้งที่ได้ส่งผลกระทบต่อตัวรัฐมนตรีไปแล้ว จนกลายเป็นเหตุกดดันให้นายกฯสมัคร ต้องตัดสินใจปรับครม.เพื่อต่ออายุให้รัฐบาลนั้น ได้แก่ กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามที่คณะกรรมการป.ป.ช.ยื่นคำร้องกรณีไม่แจ้ง การถือหุ้นของภริยา เกินร้อยละ 5 ตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.พาณิชย์ ที่ฟังพิพากษาจากศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีเดียวกับไชยา รมว.สาธารณสุข เนื่องจากไม่แจ้งการถือครองหุ้นเกินร้อยละ 5 ในบริษัท ทรัพย์วัฒนา จำกัด ธุรกิจของครอบครัวต่อคณะกรรมการป.ป.ช.
โดยก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคดีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อ ครม.อย่างมาก เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2551 ได้มีมติ 8 ต่อ 1 ชี้ขาดให้แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีประสาทพระวิหาร นั้นเป็นสนธิสัญญาที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 วรรค ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามที่ 77 สว.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จากการตัดสินชี้ขาดในกรณีดังกล่าวทำให้นพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่เดินทางกลับประเทศไทย 10 ก.ค.ที่ผ่านมา
และแม้นายกฯสมัคร จะประกาศเลือกใช้แนวทางการปรับครม.เพื่อเฟ้นหา “คนใหม่”เข้ามาช่วยทำงาน แทนที่รัฐมนตรีเหล่านี้ รวมทั้งจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งถูกพิษกรณีหมิ่นเบื้องสูง และคดีดังกล่าวยังอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้ว แต่จนถึงวันนี้การปรับครม.อย่างเป็นทางการยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้
เนื่องจากกระบวนการพิจารณาคดีจากฝ่ายตุลาการ ภายใต้ศาลต่างๆนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ยังมีรัฐมนตรีเกรดเอ สายใกล้ชิด “นายใหญ่” อย่างนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง ที่ตกเป็นจำเลยจากคดีหวยบนดิน 2-3 ตัว ตามที่คณะกรรมการคตส.ชี้มูลความผิดและส่งไปให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และรอการพิจารณาชี้ขาดในวันที่ 28 ก.ค.นี้ และหากศาลฎีกา มีคำพิพากษาให้นพ.สุรพงษ์ มีความผิดจริงร่วมกับอดีตรัฐมนตรีต่างพรรค ทั้ง อุไรวรรณ เทียนทอง และอนุรักษ์ จุรีมาศ จะทำให้ครม.ต้องเฟ้นหาขุนคลังคนใหม่ ส่วนพรรคชาติไทย ต้องหามือทำงานมาแทนอนุรักษ์ รมช.คมนาคม ด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันเมื่อมองไปยังตัวนายกฯสมัคร เองก็ยิ่งพบว่ามีคดีความติดตัวที่รอการพิจารณาจากกระบวนการทางกฎหมายถึง 3 เรื่องประกอบด้วย คดีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯกทม. สามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งเวลานี้คดีอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้มีความผิดจริงให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอลง อาญาเป็นเวลา 2 ปีมาแล้ว นอกจากนี้นายกฯสมัคร ยังมีคดีการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง ของกทม.ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่นายกฯสมัคร เป็นผู้ว่าฯกทม. เวลานี้คดีได้ถูกโอนจากคตส.ไปอยู่ในมือคณะกรรมการป.ป.ช. และล่าสุดกรณีอดีตผู้บริหารบริษัทก่อสร้างประเทศญี่ปุ่น “นิชิมัตสึ” ออกมาเปิดเผยถึงการให้สินบน 125 ล้านบาทแก่ข้าราชการและนักการเมืองเพื่อแลกโครงการขนาดใหญ่ของกทม. ก็กำลังถูกคณะกรรมการป.ป.ช.ดึงเรื่องไปตรวจสอบ
รวมทั้งยังมีคดีทุจริตที่คตส.ได้โอนให้คณะกรรมการป.ป.ช. ดำเนินการต่ออีกหลายต่อหลายคดี ซึ่งเกือบทุกคดีนั้นมีทั้ง “นายใหญ่-นายหญิง”ร่วมเป็นจำเลย แทบทั้งสิ้น และเมื่อป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคดีต่างๆจะได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกา ออกมาในที่สุด
อย่างไรก็ตามแม้ล่าสุดจะมีข่าวว่านายกฯสมัคร เตรียมที่จะปรับครม.เกือบ 10 เก้าอี้ เพื่อหาทางออกให้กับรัฐบาลก็ตาม แต่นายกฯสมัคร ต้องไม่ลืมว่าหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ถือเป็นสนธิสัญญาตามมาตรา 190 วรรค2 ไปแล้วได้เกิดการขับเคลื่อนกระบวนการถอดถอนรัฐมนตรีเกือบทั้งครม.โดยพรรคประ ชาธิปัตย์ ตามมาตรา 271 ไปยังคณะกรรมการป.ป.ช. ขณะที่ด้านสว.เลือกที่จะให้มีการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 275 ผ่านป.ป.ช.ไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาฯ และหากผลการวินิจฉัยทั้งกรณีการถอดถอนและการดำเนินคดีอาญา ออกมาในทางลบกับครม.จริง ยังไม่มีใครบอกได้ว่าหัวขบวนครม.อย่างนายกฯสมัคร จะได้เวลาตัดสินใจยุบสภา ได้แล้วหรือไม่
from : MGR Online

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก