ฉวยโอกาสการเมืองป่วน ‘ทักษิณ’ส่งทีมยึดตลาดหุ้น-แบงก์ชาติ! คุมการเมือง-ศก.เบ็ดเสร็จ!
* ยึด”คลัง-ตลาดหุ้น-ก.ล.ต.”เบ็ดเสร็จ * เดินเครื่องรุกคืบแบงก์ชาติ-ผู้ว่าฯ ไร้อิสระ * โบรกเกอร์รุ่นเก๋าหวั่น”ทักษิณ”ฮุบหลังแปรรูปตลาดฯ * นักวิชาการชี้การเมืองคุมได้หมดประเทศวิกฤติ...... การหวนกลับคืนมาครองอำนาจบริหารประเทศอีกครั้งของกลุ่มก้อนไทยรักไทย เดิมภายใต้ชื่อใหม่อย่างพลังประชาชนที่มีการเทคโอเวอร์มาจากเจ้าของพรรคเดิม นับว่าเป็นความสำเร็จไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่พรรคเดิมถูกยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 และถูกตัดสินให้ยุบพรรคพร้อมด้วยการให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีของกรรมการบริหารพรรค 111 คน ทั้ง ๆ ที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีที่ขณะนั้นเดินทางอยู่ต่างประเทศไม่สามารถ กลับเข้ามาในประเทศไทยได้ จนกระทั่งรัฐบาลเฉพาะกาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ หมดสภาพไปและเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ คนของไทยรักไทยเดิมในร่างของพรรคพลังประชาชนยังคงกวาดที่นั่งในสภามาได้มาก ที่สุดและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เพียงแค่ 4 เดือนของการบริหารประเทศ อาการของรัฐบาลตกอยู่ในช่วงที่หนักหนาสาหัส ทั้งการลาออกของจักรภพ เพ็ญแข กรณีหมิ่นสถาบัน สุธา ชันแสง จากวุฒิการศึกษา นพดล ปัทมะ คดีปราสาทพระวิหาร การพ้นสภาพของไชยา สะสมทรัพย์ ยงยุทธ์ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรถูกใบแดง ที่อาจนำไปสู่คดียุบพรรคตามรอยของพรรคชาติไทยและมัฌชิมาฯ และจะตามมาอีกหลายกรณีทั้งวิรุฬ เตชะไพบูลย์ โดยเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีเองทั้งเรื่องหมิ่นประมาท การจัดรายการชิมไปบ่นไป หรือคดีค้างเก่าสมัยเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แน่นอนว่าความสนใจของผู้คนค่อนประเทศ จับตาไปที่การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีว่าจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะปรับคณะรัฐมนตรี ยุบสภาหรือลาออก แต่ทั้ง 2 ทางออกหลังเจ้าตัวยืนยันแล้วว่าไม่ยุบไม่ออก คาดหมายกันว่าคงรอให้งบประมาณปี 2552 คลอดก่อนซึ่งในระหว่างนั้นคงมีการปูฐานบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยให้การเลือก ตั้งของพรรคครั้งต่อไปง่ายขึ้น ช่วงที่การเมืองชุลมุนอย่างนี้ คนเกือบทั้งประเทศลุ้นกันว่ารัฐบาลจะออกหัวหรือก้อยกัน หรือกำลังดีใจที่รัฐบาลเข้ามาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพด้วย “6 เดือน 6 มาตรการฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทย” แต่ในอีกฝากหนึ่งกลับมีความเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน นั่นคือ ภาคการเงิน ที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศไม่แพ้ฝากการเมือง ที่กำลังถูกยึดครองด้วยกลุ่มอำนาจเก่า “สุรพงษ์”คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ การรุกคืบเข้ากุมอำนาจในหน่วยงานทางเศรษฐกิจเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลังเอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยจังหวะและโอกาสเหมาะที่ผู้คนหันไปให้ความสนใจสถานการณ์ทางการเมืองเป็น พิเศษ กระทรวงการคลังภายใต้โควต้าของพลังประชาชน ที่นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ขุนพลคู่ใจอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ รับหน้าที่บัญชาการเอง แม้จะถูกค่อนแคะว่าเอาหมอมาเป็นขุนคลังก็ตาม แต่สามารถคุมข้าราชการในกระทรวงนี้ได้อยู่หมัด การปฏิบัติงานทุกอย่างเดินตามเส้นที่ขุนคลังผู้นี้ขีดไว้ทุกประการ แม้กระทั่งการชุบชีวิตของข้าราชการระดับสูงอย่างเบญจา หลุยเจริญ ที่เคยช่วยเหลือปกป้องเรื่องการขายหุ้นชินคอร์ปว่าไม่ต้องเสียภาษี ที่ยังมีคดีความกันอยู่เนื่องจากถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิด ความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ยื่นฟ้องข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการเรียกเก็บภาษีการซื้อขายหุ้น บริษัทชินคอร์ป ขณะที่หัวหน้าทีมศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้น กับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอีก 5 คน ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดทั้งทางอาญาและวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และยังมีความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่เรียกเก็บ หรือตรวจสอบภาษีอากร กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร นั้น มิต้องเสีย วันนี้กลับได้รับการปูนบำเหน็จจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการขึ้นเป็นรอง ปลัดกระทรวงการคลัง โดยที่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ด้วยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา แหล่งข่าวจากวงการเงินกล่าวว่า“วันนี้กระทรวงการคลังคงไม่ต้องพูดถึง เพราะข้าราชการเกือบทั้งหมดไม่มีใครกล้าแตกแถว และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ช่วงที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารตั้งแต่ปี 2544 ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้ากระทรวงสั่งทั้งหมด แม้กระทั่งบทความที่เขียนโดยข้าราชการของกระทรวงนี้ก็ล้วนส่งเสริมนโยบายและ แนวทางของรัฐบาลไทยรักไทยและพลังประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง” อีกทั้งยังพร้อมจะปกป้องแนวคิดและนโยบายของเจ้ากระทรวงกับหน่วยงาน อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับเจ้านายของตน ข้าราชการที่มีคดีความก็ได้รับการปกป้องลบรอยมลทินให้ทั้งหมด รวมถึงกิจการของครอบครัวของข้าราชการระดับสูงบางท่านก็มีธุรกิจเชื่อมโยงกับ ธุรกิจของอดีตนายกทักษิณ | |||
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น เมื่อ 25 มิถุนายน 2551 คณะกรรมการของตลาดหลักทรัพย์อนุมัติการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2554 จากเดิมที่แนวคิดดังกล่าวเคยมีมาตั้งแต่สมัยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ยุคก่อนของวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ และมีการผลักดันอีกครั้งในสมัยของพรรคไทยรักไทย ที่ครั้งนั้นมีวิจิตร สุพินิจ เข้ามาเป็นประธานตลาดหลักทรัพย์ แต่กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้นไม่เห็นด้วย เรื่องดังกล่าวจึงต้องยุติลงระยะหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มกลับมาเดินเครื่องอย่างจริงจังหลังได้ตัวกรรมการและ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่อย่างภัทรียา เบญจพลชัย ที่ยกระดับขึ้นมาจากรองผู้จัดการตลาด ที่แหกโผจากโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการอีกคนที่เป็นตัวเต็ง แต่ด้วยบุคลิกที่แข็งควบคุมยาก ทำให้เธอถูกโยกให้ไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด แทน โดยมีการเดินเครื่องแปรรูปตลาดหลักทรัพย์อย่างจริงจังหลังจากได้ตัว ประธานตลาดหลักทรัพย์คนใหม่อย่างปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ที่ประกาศตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง และมีมติอนุมัติการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อ 25 มิถุนายน 2551 ผู้บริหารระดับสูงของวงการโบรกเกอร์เล่าให้ฟังว่า เดิมทีการทำงานในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่หน้าที่ของกรรมการและผู้จัดการตลาด หลักทรัพย์เป็นหลัก หลังจากยุคของกิตติรัตน์ ประธานตลาดหลักทรัพย์เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการมากขึ้น ตำแหน่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์มีหน้าที่เพียงทำตามคำสั่งของประธานเท่านั้น เพราะตำแหน่งของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนปัจจุบัน คนในวงการนี้หรือแม้แต่คนในตลาดหลักทรัพย์ก็ทราบดีว่าถูกวางตัวไว้เพื่อรับ ใช้ตัวประธาน ประธานอยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร ผู้จัดการตลาดก็ต้องดำเนินการตาม รวมถึงการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ที่จะกระทบต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของ พนักงานตลาดหลักทรัพย์ที่มีมากถึง 963 คน จากนี้องค์กรของตลาดหลักทรัพย์จากเดิมที่เป็นองค์ที่ไม่แสวงหากำไร จะต้องพลิกบทบาทมาเป็นองค์กรที่ทำกำไร โดยทางตลาดหลักทรัพย์ได้วางแผนในการสร้างกำไรไว้ 3 ปี และจะเข้าตลาดหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นสินค้าอีกตัว หนึ่งในปี 2554 โดยได้มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจนใน 5 ปีข้างหน้า โดยกำหนดจะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอีก 2 เท่าเป็น 12 ล้านล้านบาท และตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า เป็น4 พันล้านบาทภายในปี 2556 โดยร้อยละ 25 ต้องเป็นรายได้จากการออกสินค้าใหม่ รวมทั้งการมีบริษัทจดทะเบียนจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ซึ่งจะมีการกำหนดแผนกลยุทธ์ เพื่อให้มีการดำเนินงานที่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้านโครงสร้างองค์กรนั้น คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติให้มีการแยกงานของตลาดหลักทรัพย์ออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุน และส่วนของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเน้นการทำงานในแต่ละด้าน คือการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาว และการดำเนินธุรกิจตลาดทุน ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุน จะมีหน่วยงานที่ดูแลงานด้านการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุน และการพัฒนาความแข็งแกร่งให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน งานด้านบรรษัทภิบาล และกิจกรรมเพื่อสังคม ยกเมฆ-เฟ้อฝัน ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ที่อยู่ในวงการนี้มากว่า 20 ปีให้ความเห็นว่า การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็น สินค้าตัวหนึ่งนั้น เท่ากับเป็นการหาทางออกในการเพิ่มสินค้าใหม่ให้กับตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น แน่นอนว่ามูลค่าของตลาดหลักทรัพย์เมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดทรัพย์จะ สูงเป็นหมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดให้สูงขึ้นได้ตามเป้าหมายที่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ต้องการ แต่การหาสินค้าใหม่หลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งเลือกที่จะไม่เข้าตลาดหุ้น บางแห่งไปจดทะเบียนในต่างประเทศแทน หากจะมาเน้นในเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเหมือนก่อนคงไม่ง่าย เนื่องจากต้องเจอแรงต่อต้านจากภาคประชาชน เห็นได้จากกรณีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ทำให้รัฐวิสาหกิจอื่นที่แปรรูปเป็นเอกชนแล้วก็ยังไม่เข้ามาจดทะเบียนเช่น ทีโอที การสื่อสารหรือไปรษณีย์ไทย ดังนั้นการเพิ่มมูลค่าตลาดตามที่กล่าวอ้างนั้นก็เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดอีกมาก เมื่อแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แล้วทุกอย่างจะต้องสอดคล้องกับระบบสากล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเงินออกนอกประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังควบ คุมอยู่ เพราะจะมีผลต่อทุนสำรองและค่าเงินบาท บรรยากาศดีต่างชาติเข้าเอง เขากล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างซบเซา นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจน้อยกว่าประเทศอื่น แต่การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ต้องแปรรูปตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น คนในวงการนี้ก็รู้ดีว่าปัญหามันเกิดขึ้นมาจากอะไร เศรษฐกิจไม่ดีแม้ว่าจะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ผลกระทบของแต่ละประเทศก็ไม่เท่ากัน ประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ต้องพึ่งพาน้ำมันมาก ขณะที่ประเทศอื่นเขามีระบบสาธารณูปโภคอื่นที่ดีกว่า ต้นทุนจึงต่ำกว่า ส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของเราอาจไม่โดดเด่นเท่า ประเทศอื่น ประการต่อมาคือเรื่องการเมืองที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของไทย นักการเมืองของไทยยังยึดติดอยู่กับอำนาจ มุ่งมั่นในชัยชนะ ปัญหาจึงไม่จบ ถามว่าถ้าเราแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แล้วเศรษฐกิจและการเมืองของเรายัง เป็นเหมือนเดิม คงไม่มีนักลงทุนหน้าในที่จะเข้ามาลงทุน ตลาดหลักทรัพย์เองก็ไม่มีอำนาจพอที่จะไปดึงเอารัฐวิสาหกิจมาจดทะเบียน ไม่มีอำนาจที่จะคุยกับแบงก์ชาติเรื่องการนำเงินออกนอกประเทศ ซึ่งก็เหมือนกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ดังนั้นแปรรูปไปแล้วได้อะไรและประเทศไทยได้อะไร “นักลงทุนทั่วโลกเหมือนกันทั้งหมด ที่ไหนให้ผลตอบแทนดี เขาก็ไปลงทุนที่นั่น ไม่สนใจว่าตลาดหุ้นประเทศนั้นจะแปรรูปหรือไม่แปรรูป ปัญหาจึงกลับมาอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์บ้านเราเองทำได้ดีเพียงใด มีสินค้าอะไรที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนและเราทำตลาดหลักทรัพย์ ของเราให้ดีขึ้นหรือยัง” ตลาดหุ้นของเราไม่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน เงินที่เก็บจากโบรกเกอร์ไปนั้นมีการนำไปใช้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับวงการ ตลาดทุนน้อยมาก เรามุ่งแต่เพียงหาสินค้าเข้ามา ดึงนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาซื้อขายมาก ๆ เท่านั้นเอง เราไม่มีการสร้างฐานนักลงทุนใหม่ ๆ ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนผู้บริหารทุกอย่างก็เหมือนเดิม หากเราต้องการจะแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ให้เทียบเท่ากับประเทศที่เจริญ แล้ว เราต้องกลับมาดูว่า โบรกเกอร์ในประเทศเราแข็งแรงหรือเก่งพอที่จะรับมือกับตลาดต่างประเทศได้แค่ ไหน ถึงวันนี้โบรกเกอร์ของไทยที่มีอยู่นั้นมีสักกี่รายที่เชี่ยวชาญตลาดต่าง ประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้วโบรกเกอร์ในบ้านเราก็จะถูกกลืนโดยต่างชาติ ทักษิณมีสิทธิฮุบตลาดหุ้น ที่สำคัญคือเมื่อแปรรูปเข้าตลาดหุ้น ต้องมีการขายหุ้นให้กับประชาชน ส่วนหนึ่งตลาดทรัพย์อาจถือหุ้นไว้เอง ส่วนหนึ่งให้โบรกเกอร์ถือ เราได้เห็นตลาดหุ้นในต่างประเทศที่แปรรูปแล้วถูกนักลงทุนจากอีกประเทศหนึ่ง ซื้อไป เช่นที่ดาวโจนส์ของสหรัฐและอีกหลายตลาดในยุโรป ตกลงตลาดหุ้นในสหรัฐเป็นของประเทศใด ถ้าสิงคโปร์เข้ามาซื้อและครองหุ้นใหญ่ตลาดหุ้นของไทยแล้วเราจะว่า อย่างไร แม้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะออกมาตรการต่าง ๆ ออกมาเป็นอย่างดีเพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ในโลกการเงินแล้วทุกอย่างทำได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะการใช้นอมินี “หากคุณทักษิณเข้ามาครองหุ้นใหญ่ในตลาดนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ประเทศนี้ก็ถือว่าจบถ้าเขามีอำนาจทางการเมืองและกุมหัวใจทางเศรษฐกิจของ ประเทศไว้อยู่ในมือ” เรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าพิจารณาจากตัวบุคคลที่เป็นผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ล้วนทำงานใกล้ชิด กับอดีตนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด แก๊งเวียนเทียน นอกเหนือจากการปูทางให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแปรรูปเป็นบริษัท มหาชนแล้วนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นสินค้าอีกตัวหนึ่งของตลาดหุ้น แล้ว หน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างสำนักงานคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ก็ได้มีการวางตัวบุคคลของ ตนเองไว้พร้อมสรรพ ด้วยการเวียนเทียนเอาวิจิตร สุพินิจ ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งประธานตลาดหลักทรัพย์เข้ามาเป็นประธาน ก.ล.ต.แทนที่นั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ 7 กรกฎาคม 2551 ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ฉบับที่4) พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้เมื่อ 5 มีนาคม 2551 ภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้กรรมการโดยตำแหน่งยังเหมือนเดิมคือ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดย 2 ตำแหน่งแรกเป็นตำแหน่งที่ภาคการเมืองมีอำนาจสั่งการได้โดยตรง และต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 6 คน ในการแต่งตั้งครั้งนี้สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ประกอบด้วยสมใจนึก เองตระกูล ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นิพัทธ พุกกะณะสุต ณรงค์ชัย อัครเศรณี วิโรจน์ นวลแขและสุชาติ ธาดาธำรงเวช แน่นอนว่าเมื่ออดีตประธานตลาดหลักทรัพย์ที่ผลักดันเรื่องแปรรูปตลาด หลักทรัพย์มาตลอดกลับเข้ามานั่งเป็นผู้ควบคุมตลาดหลักทรัพย์อีกที การแปรรูปของตลาดหลักทรัพย์คงผ่านความเห็นของจากหน่วยงานนี้ไปได้โดยง่าย รวมถึงผู้ที่มีหน้าที่ในการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ล้วนแล้วเป็นคนที่เกี่ยวข้องและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับภาคการเมืองและทำงาน ให้มาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย รวมถึงชื่อของบุคคลเหล่านี้หลายคนเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลังและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง บางคนเป็นทีมทำงานร่วมกับทักษิณ ชินวัตรมาก่อน ดังนั้นการคัดเลือกคนที่จะมาทำหน้าที่ในตลาดทุนย่อมหนีไม่พ้นคนของตนเอง เตรียมยึดแบงก์ชาติ ไม่เพียงฟากหน่วยงานที่ควบคุมตลาดทุนที่มีการวางตัวบุคคลเบ็ดเสร็จ ไว้ทั้งหมดแล้ว หากสังเกตุให้ดีจะเห็นว่ากลุ่มเดียวกันนี้ได้คืบคลานเข้าไปสู่หน่วยงานที่ ควบคุมตลาดเงินอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วย ภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของธนาคารแห่งประเทศไทยค่อนข้างมาก อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่มีต่อแบงก์ชาติมากขึ้นกว่าเดิม แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทยยอมรับว่า พ.ร.บ.ใหม่นี้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมากขึ้น แม้ว่าการปลดตัวผู้ว่าแบงก์ชาติจะทำได้ยากขึ้นก็ตาม วันนี้โครงสร้างของแบงก์ชาติเหมือนกับโครงสร้างของสำนักงาน ก.ล.ต.มาก “ผู้ว่าแบงก์ชาติต้องทำงานภายใต้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย 11 คน ที่มีประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5 คน ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยตรง มีเพียงตัวผู้ว่าการและรองผู้ว่าการอีก 3 คนที่เป็นคนของแบงก์ชาติที่เหลือเป็นบุคคลจากหน่วยราชการอื่นเช่นเลขาธิการ สภาพัฒน์ฯ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจการคลัง ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทั้งสิ้น” แม้ว่าการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกฎหมายจะต้องให้มีการตั้งคณะ กรรมการคัดเลือกขึ้นมา 7 คน แต่สิทธินี้เป็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ผ่านมามีโผรายชื่อของคณะกรรมการคัดเลือกออกมาบ้าง หลายคนเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเคยทำงานให้ กับอดีตนายกทักษิณแทบทุกคน บางคนก็เคยกระทำผิดในคดีทางการเงินมาก่อน “วันนี้จึงไม่ต้องถามถึงเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยอีกต่อไป”แหล่งข่าวสรุป กุมหัวใจเศรษฐกิจชาติ เมื่อองค์กรอย่างสำนักงาน ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังที่มีคณะบุคคลทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน วันนี้บุคคลเหล่านั้นได้คืบคลานเข้ามาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและพร้อมที่จะ ดำเนินการในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานภาคตลาดทุน นักวิชาการรายหนึ่งกล่าวว่า นี่คืออันตรายอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย หากภาคการเมืองเข้ามากุมหัวใจทางเศรษฐกิจได้ทั้งหมด ที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่าทุกรัฐบาลให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นแต่จะมากเป็น พิเศษในยุคที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจในการส่งคนของตัวเองเข้าไปเข้าไปเป็น ประธานกรรมการ หรือตัวผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ขณะเดียวกันหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ อย่างก.ล.ต.วันนี้คนของกระทรวงการคลังนั่งเต็มบอร์ด แถมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฉบับใหม่เปิดช่องให้คลังตั้งกรรมการคัดเลือกเข้า มาอีก เมื่อตลาดหลักทรัพย์ตัดสินใจแปรรูปตัวเองเป็นบริษัทเอกชน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถามว่าองค์กรที่ควบคุมดูแลอย่าง ก.ล.ต.จะไม่ให้ความเห็นชอบได้อย่างไร เพราะทั้ง 2 องค์กรล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มาจากกระทรวงการคลังเป็นส่วนใหญ่ หากรัฐบาลจะบริหารประเทศได้ต่อเนื่องหรือกลับเข้ามาบริหารอีกครั้ง การสานต่อในเรื่องเหล่านี้ย่อมต้องเดินหน้าต่อ ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดของการประสานงานกันของกระทรวงการคลัง ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์นั่นคือการออกมาแถลงยืนยันเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่าการขายหุ้นชินคอร์ป ของตระกูลชินวัตรในวันที่ 23 มกราคม 2549 นั้นไม่ต้องเสียภาษี ยิ่งเมื่อหันกลับมาที่องค์กรอิสระอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย ที่วันนี้ทีมงานหน้าเดิมของกระทรวงการคลังได้เข้ามามีบทบาทในแบงก์ชาติมาก ขึ้นทุกขณะ จากนี้ไปคงไม่มีใครการคานอำนาจของรัฐบาลได้อีก เดิมธนาคารแห่งประเทศไทยถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่คานอำนาจของรัฐบาลทางด้าน เศรษฐกิจและวินัยทางการคลังได้ระดับหนึ่ง แม้จะต้องแลกกับการปลดผู้ว่าการก็ตาม ด้วยโครงสร้างใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย การทำงานของผู้ว่าการจะอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐมนตรีคลังมากขึ้น โดยมีตัวประธานกรรมการธนาคารและผู้ทรงคุณวุฒิรวมถึงหน่วยงานราชการอื่นเป็น คนควบคุม เช่นการควบคุมเงินเฟ้อที่แบงก์ชาติจะใช้วิธีขึ้นดอกเบี้ยด้วยการ ตัดสินใจของแบงก์ชาติเองคงลำบาก เพราะการทำงานภายใต้คณะกรรมการดังกล่าว หากฝ่ายใดมีอำนาจมากกว่าย่อมควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ แน่นอนว่าจากนี้ไปรัฐบาลจะทำงานสะดวก สอดรับกับนโยบายที่ต้องการมากขึ้น หากเราได้รัฐบาลดีก็ถือว่าโชคดี ถ้าได้รัฐบาลที่มุ่งผลสำเร็จทางการเมืองเป็นหลัก ประเทศไทยย่อมอยู่ในสถานะที่สุ่มเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในสายตาของคนทั้งโลก ถ้าเลวร้ายไปกว่านั้นหากฐานะทางการเงินของประเทศไม่มีใครเชื่อถือด้วยแล้ว ประเทศไทยย่อมหนีไม่พ้นความล้มละลายทางเศรษฐกิจที่ไม่แตกต่างไปจากปี 2540 ************ 9 อรหันต์ผู้ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นเด็กในคาถา ‘แม้ว’ | |||
เริ่มจากในฝั่งของ ก.ล.ต. ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แต่งตั้ง วิจิตร สุพินิจ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และเคยร่วมงานกับพรรคชาติพัฒนามาก่อน หลังจากนั้นได้ทำงานให้กับรัฐบาลไทยรักไทยมาโดยตลอด ล่าสุดเพิ่งพ้นจากตำแหน่งประธานตลาดหลักทรัพย์และกลับมานั่งคุมงานของตลาด หลักทรัพย์ภายใต้หน่วยงานของ ก.ล.ต. ไม่แตกต่างจากชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ กรรมการ ก.ล.ต. อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงปี 2544-2549 รัฐบาลของพรรคไทยรักไทย เป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย สมพล เกียรติไพบูลย์ กรรมการ ก.ล.ต. อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปี 2544 เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารนครหลวงไทย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กรรมการและเลขาธิการ ก.ล.ต. อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นศิษย์รักของวิจิตร สุพินิจ ตั้งแต่สมัยที่อยู่แบงก์ชาติ ที่คาดหมายว่าหากเกิดอุบัติเหตุในธนาคารแห่งประเทศไทย ชื่อของเขาพร้อมที่จะโยกไปนั่งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแทนธาริษา วัฒนเกส รศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช กรรมการ ก.ล.ต. รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในอดีตเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในปี 2546 และเป็นที่ปรึกษานโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจนถึงมีนาคม 2548 ชื่อของเขาถูกเอ่ยอ้างขึ้นมานั่งเก้าอี้ขุนคลังแทนหากสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไปจากคดีหวยบนดิน ถัดมาในฝั่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ถูกวางตัวให้เป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เคยเป็นรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการ ก.ล.ต. และผู้บริหารแผน บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) จนในที่สุดประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ก็ต้องหมดอำนาจไป แม้ในตลาดหลักทรัพย์จะดูเหมือนมีเขาเพียงคนเดียวที่เชื่อมโยงกับคนใน รัฐบาล แต่กรรมการของตลาดหลักทรัพย์คนอื่นที่ประกอบด้วยตัวแทนจากโบรกเกอร์ บริษัทจดทะเบียน ที่มาจากภาคเอกชน หรือตัวแทนจากส่วนอื่น ส่วนใหญ่แล้วเห็นว่าเมื่อประธานว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน เพราะคงไม่มีใครอยากที่จะมาขัดแย้งกับตัวแทนของภาครัฐ อีกทั้งการปูฐานไว้ของวิจิตร สุพินิจ ที่ทำหน้าที่ได้ดีกว่าประธานตลาดหลักทรัพย์คนก่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูง่ายดายไปหมด ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2551 ที่เปิดช่องให้มีกระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อคัดสรรกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการ ก.ล.ต. ชื่อของบุคคลขั้นต้นได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นกรรมการคัดเลือกอีก ประกอบด้วยชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา สุชาติ ธาดาธำรงเวช และที่เพิ่มเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ สมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในปี 2548-2549 เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเป็นกรรมการบริษัทการบินไทยและเป็นประธานกรรมการธนาคารทหารไทย ในยุคของทักษิณ ชินวัตร นิพัทธ พุกกะณะสุต ฉายาแมวเก้าชีวิต อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง เคยร่วมทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทักษิณ ชินวัตร และเป็นผู้ปลุกปั้นกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่งในทีมบริหารแผนฟื้นฟูทีพีไอ ร่วมผลักดันไทยออยล์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) อดีตประธานกรรมการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จีเอฟ ที่ถูกปิดกิจการไป เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และวุฒิสมาชิก ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี ประธานคณะทำงานติดตามผลเจรจาเขตการค้าเสรีรายประเทศในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร วิโรจน์ นวลแข อดีตผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ภัทร อดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในตลาดหุ้น บุคคลเหล่านี้คือมือทำงานด้านการเงินที่ถูกพรรคไทยรักไทยเชื่อมือและ ไว้ใจมาโดยตลอดจนถึงยุคพรรคพลังประชาชน หลายคนถูกโยกหมุนเวียนกันไปเข้าไปดูแลหน่วยงานสำคัญทางการเงินมาอย่างต่อ เนื่อง บางคนแม้จะมีมลทินติดตัวมาบ้างแต่ก็ได้รับการบำบัดจากรัฐบาลไทยรักไทย ช่วงที่ทหารเข้ายึดอำนาจคนเหล่านี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปตาม ปกติ เนื่องจากคณะที่เข้ามายึดอำนาจ มุ่งเน้นที่ภาคการเมืองเป็นหลัก ไม่ได้สนใจในภาคการเงิน ถึงวันนี้ไทยรักไทยในนามพลังประชาชนกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งพวกเขาก็เริ่ม ถูกใช้งาน กลับมามีบทบาทในภาคการเงินอย่างโดดเด่น แม้ว่าในช่วงนั้นจะมีแรงต้านที่มีการเสนอชื่อณรงค์ชัย อัครเศรณี เข้าไปเป็นกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย จนต้องลาออกมา ครั้งนั้นผู้คนที่อยู่ในอารมณ์ชื่นชมการเข้ามายึดอำนาจก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ในเรื่องนี้ เมื่อพรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาล ชื่อของนิพัทธ พุกกะณะสุต ถูกเสนอให้เข้าไปเป็นประธานธนาคารนครหลวงไทย แต่ก็ถูกปฏิเสธจากเจ้าเดิมคือธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมถึงกระแสข่าวที่ว่ามีการเสนอชื่อคนเดียวกันนี้ เข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในธนาคารแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ก็ได้รับแรงต้านจากคนในแบงก์ชาติเช่นเดียวกัน จากรายชื่ออย่างไม่เป็นทางการของคณะกรรมการคัดเลือกของธนาคารแห่ง ประเทศไทย ที่ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้ง พบว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว 3 ใน 7 คนเป็นผู้ทำหน้าที่คัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งที่แบงก์ชาติและที่ ก.ล.ต.ที่ประกอบด้วย นิพัทธ พุกกะณะสุต สมใจนึก เองตระกูลและชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ แน่นอนว่าในสายตาของนักการเงินและคนในแวดวงตลาดทุนยอมรับว่า คนกลุ่มนี้ที่มีต้นทางมาจากกระทรวงการคลังนั้นเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่ สุดในตลาดเงินและตลาดทุนในเวลานี้ และยังมีคนอื่น ๆ อีกที่พร้อมจะเข้ามาร่วมงานกับรัฐบาลในการเข้ามาดูแลหน่วยงานที่ควบคุมตลาด เงินและตลาดทุนของประเทศให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ************ แปรรูปตลาดหุ้น ยกระดับ ‘แก๊งปั่น’เป็นเจ้าของตัวจริง ใน ฝ่ายของผู้ที่มีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์และนำ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น ได้ให้เหตุผลถึงความจำเป็นที่ต้องแปรรูปถึงโอกาสในการขยายตัวของตลาดทุน เพื่อผลประโยชน์จะตกกับประเทศโดยรวม สร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย กัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการบริษัท ทรีนิตี้ วัฒนา จำกัด(มหาชน) ที่เพิ่งครบวาระรองประธานตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์นั้นผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับมุมมองของใคร ถ้าเราไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกคงไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้ทาง MSCI ให้น้ำหนักในตลาดหุ้นไทยราว 8-10% แต่วันนี้เขาให้เราเพียง 1-2% ดังนั้นการแข่งขันต่อไปคงลำบาก ตลาดหุ้นบ้านเราโตในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขั้นตอนจากนี้คงเป็นเรื่องของการเตรียมการปรับโครงสร้างตลาดหลัก ทรัพย์ โดยแยกออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่ต้องทำกำไรและส่วนที่ไม่ทำกำไรออกจากกัน ที่จะเริ่มในปี 2552 การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์เท่ากับเป็นการเปิดตัวเอง ทำให้ขนาดของตลาดใหญ่ขึ้น สามารถปรับปรุงหน่วยงานหรือองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ “ที่ผ่านมาหน่วยงานที่มีการบริหารงานในลักษณะที่มีภาครัฐเข้ามา เกี่ยวข้องโดยปกติจะสู้เอกชนไม่ได้ ผมไม่ได้หมายถึงองค์กรของตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นภาพรวมทั่วไป หากหน่วยงานนั้นปรับเปลี่ยนมาบริหารงานแบบเอกชนแล้วจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เป็นหน่วยงานของรัฐ” เขากล่าวเพิ่มเติมว่าการแปรรูปนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อแปรรูปแล้วรัฐจะค่อย ๆ ลดอำนาจการควบคุมลง ดูอย่าง ปตท.แม้จะแปรรูปเป็นเอกชน แต่ภาครัฐก็ยังคงถือหุ้นใหญ่อยู่ การบริหารงานก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จริง ๆ แล้วไม่อยากใช้คำว่าแปรรูป เพราะถึงอย่างไรหน่วยงานของรัฐก็ยังถือหุ้นใหญ่อยู่ ไม่มีหน่วยงานไหนที่แปรรูปเป็นเอกชนทั้ง 100% ส่วนใหญ่ทางการก็ยังคือให้สิทธิถือหุ้นใหญ่อยู่ราว 20-30% และกุมสิทธิในการออกเสียงลงมติไว้ระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ขององค์กรนั้นไปเป็นอย่างอื่น ดังนั้นเรื่องความกังวลในเรื่องการมีกลุ่มทุนอื่น ที่จะเข้ามาถือหุ้นใหญ่หลังจากการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์คงไม่สามารถปรับ เปลี่ยนนโยบายของตลาดหุ้นในประเทศนั้น ๆ ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ที่จะกำหนดไว้ เพื่อป้องกันการยึดครองตลาดหุ้น เขายกตัวอย่างนักลงทุนจากดูไบที่เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นแนสแด คของสหรัฐว่า กลุ่มนี้ถือหุ้นราว 27% แต่สิทธิในการลงมติต่าง ๆ มีเพียง 15% เท่านั้น ดังนั้นอำนาจต่าง ๆ ยังอยู่ในสหรัฐ หรือบางแห่งให้สิทธิผู้ถือหุ้นของประเทศตัวเองมีสิทธิในการโหวตมากกว่าต่าง ชาติเป็นต้น สอดคล้องกับปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ให้มุมมองในด้านบวกของการแปรรูปว่า การแปรสภาพองค์กรตลาดหลักทรัพย์ จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม เนื่องจากจะมีการปรับเปลี่ยนองค์กรโดยมีการตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจน ในการดำเนินงาน รวมทั้ง ปรับเปลี่ยนการทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ลูกค้า ซึ่งได้แก่ บริษัทจดทะเบียน บริษัทสมาชิก และผู้ลงทุน โดยการทำให้กลุ่มลูกค้าดังกล่าวได้รับประโยชน์จากตลาดทุนอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างแข็งแรง เนื่องจากมีการจัดสรรทรัพยากรและใช้เงินทุนอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดจากช่องทางการระดมทุนผ่านตลาดทุน ในด้านของบริษัทจดทะเบียน เมื่อมีมูลค่าเพิ่มก็จะสามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ก่อให้เกิดการขยายงานและการสร้างรายได้ ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว ด้านของผู้ลงทุน เมื่อผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนได้สะดวก คล่องตัว มีต้นทุนที่ต่ำลง และมั่นใจได้ว่าจะได้ลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยง ทำให้มีทางเลือกมากขึ้น เพื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเต็มที่ ก็จะสามารถเพิ่มค่าเงินออมของตนเอง สร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัว สามารถขยายไปถึงสังคมโดยรวม ซึ่งย่อมส่งผลไปยังความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจของประเทศเช่นเดียวกัน ดังนั้นการแปรสภาพองค์กรในครั้งนี้ จึงเป็นตัวจักรสำคัญที่จะช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ จากนี้ไปขั้นตอนในการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์จะเดินหน้าต่อ ต้องปรับโครงสร้างขององค์กร เพื่อสร้างให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดี มีกำไรต่อเนื่องกัน 3 ปีเหมือนกับบริษัทจดทะเบียนทั่วไป จากองค์กรที่มีสถานะควบคุม กำกับดูแลการซื้อขาย ให้คุณให้โทษกับนักลงทุนและโบรกเกอร์ที่ทำผิดกฎระเบียบหรือสร้างราคาหุ้น ก็จะกลายเป็นองค์กรธุรกิจหนึ่งที่โบรกเกอร์และนักลงทุนที่เคยถูกควบคุมจาก องค์กรนี้ จะถูกยกระดับขึ้นมาเป็นเจ้าของตลาดหุ้นร่วมกัน มีศักดิ์และสิทธิเท่ากัน จึงถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อยหากโฉมหน้าของตลาดหลักทรัพย์จะเปลี่ยนไปจากเดิมในปี 2554 from : MGR online |

0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก