เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพุธ, มิถุนายน 29, 2548

หนี้... โอ๊ย ! เครียด

น ับเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมาก ที่ปัจจุบันคนไทยมีหนี้สินติดตัวกันมหาศาล อันเป็นหนี้ที่มาจากบัตรเครดิต หนี้ครัวเรือน หนี้เกษตรกร หนี้ทุนการศึกษา ฯลฯ

โดยเฉพาะบัตรเครดิต จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประจำปี 2547 ระบุว่า มีบัตรที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ ถึง 3,319,680 บัตร

บัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารต่างประเทศ ประจำอยู่ประเทศไทย 965,434 บัตร

และบัตรเครดิตที่ออกโดยไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอน-แบงก์) เช่น พวกบัตรอิออน, บัตรอีซี่บาย, บัตรเฟิร์สชอยส์ มากมายถึง 4,519,066 บัตร

แม้บัตรเครดิตจะทำให้คนไทยใช้จ่ายเงินได้สะดวกสบายขึ้น แต่มันก็เป็นดาบสองคม เมื่อมีหนี้ที่เกิดขึ้นทั้งระบบ 118,456 ล้านบาท

เป็นหนี้จากนอน-แบงก์ถึง 50,619 ล้านบาท

ขณะที่หนี้ที่ออกโดยธนาคารไทยอีก 44,413 ล้านบาท

และหนี้ธนาคารต่างประเทศ 23,423 ล้านบาท

แม้จะเป็นตัวเลขเฉพาะบัตรเครดิตเพียงอย่างเดียวก็น่าตกใจแล้ว เพราะมันย่อมชี้ชัดว่าพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนไทยนั้นเป็นอย่างไร

ยิ่งเฉพาะสโลแกนที่ว่า...จ่ายก่อนผ่อนทีหลัง เข้าไปมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมในการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้ประชาชนคนไทยมีหนี้ติดตัวมากขึ้น

ผลตรงนี้ มองเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร หากบุคคลผู้นั้นสามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตให้กับธนาคารตามกำหนด แต่เอาเข้าจริง พฤติกรรมการจ่ายหนี้มักเป็นวัวพันหลัก หลายคนมีบัตรหลายใบ ทุกบัตรเครดิตถูกหมุนเป็นระวิง เพื่อจ่ายทดแทนซึ่งกันและกัน

หากหมุนไม่ทัน ความวุ่นวายในชีวิตจะเกิดขึ้นทันที

จะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินใช้ยุทธวิธีติดตามทวงหนี้ทุกรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบล้วนทำให้ลูกหนี้บัตรเครดิตเป็นได้อายและประสาทเสีย

ใครแก้สถานการณ์ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใครแก้สถานการณ์ไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ เมื่อผจญหนี้จำนวนมากๆ เข้า โรคเครียด โรคซึมเศร้าจะย่างกรายเข้าหา

ยิ่งเข้าไปดูตัวเลขหนี้ครัวเรือนแล้วน่ากลัวไม่แพ้กัน เพราะจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 คนไทยมีหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยแล้วถึง 103,940 บาท

ขณะที่หนี้ในภาคเกษตรกรนั้น คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) รายงานว่า ณ วันที่ 31 มกราคม 2548 มีปัญหาลูกหนี้ค้างชำระเงิน เป็นจำนวนสูงถึง 1,439,370 ล้านบาท

หันไปด้านหนี้ทุนการศึกษา จากข้อมูลของกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ระบุว่าขณะนี้ กยศ. ใช้เงินไปกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อให้นักเรียน นักศึกษากู้ยืมเพื่อเรียนหนังสือถึง 2.3 ล้านคน

โดยนักเรียน นักศึกษา 2.3 ล้านคนนั้น สำเร็จการศึกษาไปแล้วกว่า 1.3 ล้านคน และมีหนี้ตกค้างประมาณ 30% เนื่องจากยังไม่มีงานทำ และปัญหาเศราฐกิจ รวมถึงการวางแผนแนวทางการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

ดังนั้น จึงทำให้นักเรียน นักศึกษาบางส่วนยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็เป็นภาระของพ่อ-แม่ ผู้ปกครองที่ต้องแบกรับภาระอีก

เมื่อตรวจสอบดูข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีผู้ป่วยโรคเครียดที่เข้ารับบริการในหน่วยงานสังกัดกรมสุขภาพจิตมี 2 ลักษณะคือ ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน

ตั้งแต่ปี 2543-2547 มีผู้ป่วยนอกที่มาปรึกษาและรักษาโรคเครียดสูงขึ้นทุกปี ในปี 2546 มีผู้ป่วยประมาณ 70,000 ราย ขณะที่ปี 2547 เพิ่มเป็นประมาณ 80,000 ราย

"นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน" โฆษกกรมสุขภาพจิตแจงว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขรวม ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยรายเดียวกัน อาจมาปรึกษา และรักษาประมาณ 2-3 ครั้งก็อาจเป็นไปได้ อีกทั้งไม่ได้แยกประเภทว่าผู้ป่วยที่มาปรึกษาและรักษาเป็นโรคเครียดเพราะเกิ ดจากหนี้สินทั้งหมด

"แต่โดยรวมๆ แล้ว มูลเหตุส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มาปรึกษาและรักษายอมรับว่าโรคเครียดที่เกิดจากหนี้สินเป็นสาเหตุหนึ่ง"

เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2543-2547 พบว่าผู้ป่วยในที่มาปรึกษา และรักษาเกี่ยวกับโรคเครียดล้วนมีจำนวนสูงเช่นกัน โดยในปี 2546 มีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 7,000 ราย ขณะที่ปี 2547 มีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 9,000 ราย และคาดว่าในปี 2548 น่าจะมีผู้ป่วยที่เกิดจากโรคเครียดมีจำนวนสูงขึ้น

ยิ่งเฉพาะโรคเครียดที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะจากข้อมูลของโรงพยาบาลต่างๆ ที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ระบุชัดว่า มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งต่างหวาดวิตกกับปัญหาเหล่านี้ จึงทำให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มเป็นโรคเครียด

ขณะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยากลับมีไม่เพียงพอ !



เ มื่อสอบถามจาก "นายกิติกร มีทรัพย์" นักจิตวิทยา กลับให้ความเห็นว่าเรื่องโรคเครียดที่เกิดจากหนี้สิน และปัญหาเศรษฐกิจนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของประชากรที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ เพราะตราบใดที่ความเจริญมาเยือน นั่นหมายความว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจย่อมเจริญเติบโตตามไปด้วย

"ดังนั้น การที่ธนาคารไทย ธนาคารต่างประเทศ รวมถึงนอน-แบงก์ต่างๆ งัดกลยุทธ์ และวิธีการที่จะให้ประชาชนถือครองบัตรเครดิตมากที่สุด จึงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือพฤติกรรมคนไทยชอบที่จะจ่ายก่อนผ่อนทีหลัง ตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดปัญหา และไม่ใช่เพิ่งเกิด เกิดขึ้นมานานแล้ว"

"ผมมองว่ามันเป็นพฤติกรรมของคนไทยเลยแหละ ยิ่งพวกบัตรนอน-แบงก์ต่างๆ ด้วย ผมจึงมองว่า สิ่งแรกที่เราต้องเตือนคนไทยเลยคืออย่าไปหลงเชื่อกับรูปภาษา ก๊อบปี้ไรเตอร์ที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะตอนนี้หลายบัตรเครดิต พยายามที่จะชวนเชื่อเรื่องเหล่านี้ จนทำให้ผู้คนหลงเพลินไปกับการสมัครบัตรเครดิต"

"เมื่อสมัครมาก ใช้มาก แต่จ่ายเขาน้อย ก็ทำให้เป็นหนี้กันมาก เมื่อเป็นหนี้มาก ความเครียดย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้ไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ คือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเสียใหม่ ต้องมีวินัยในการใช้จ่าย เพราะไม่เช่นนั้น จะตกหลุมพราง จนถอนตัวไม่ขึ้น"

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง คงต้องยอมรับกันอย่างหนึ่งว่า "วินัย" ในการใช้จ่ายของคนไทย น้อยคนนักที่จะควบคุมได้

เหมือนกับที่ "นวพร เรืองสกุล" นักวิชาการทางด้านการเงินที่ชี้ง่ายๆ สั้นๆ ว่า...ถ้าทุกคนมีวินัยในการใช้เงิน ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อ และหัดแบ่งเงินเป็นเงินออมเสียบ้าง โรคเครียดที่เกิดจากหนี้สินก็คงไม่เกิดขึ้น

"ไม่ว่าภาครัฐจะกระตุ้นอย่างไร ธนาคารต่างๆ จะหว่านล้อมด้วยสโลแกนน่าใช้อย่างไร ก็คงไม่สามารถทำให้เราๆ ท่านๆเดินตกหลุมพรางได้ เพราะอย่างที่ทราบบัตรเครดิตก็คือบัตรเครดิต บัตรที่เอาเงินอนาคตออกมาใช้ก่อน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องใช้เขาอยู่ดี และถ้าหากเราไม่ใช้เขา เขาก็ต้องมีมาตรการ และวิธีการที่จะเอาเงินเขากลับคืน"

ฉะนั้น หมั่นเตือนใจตนเองเสมอว่า ทุกครั้งที่ใช้บัตรเครดิตหรือคิดจะเป็นหนี้นั้นแค่ไหนพอที่มันจะไม่รัดคอเราจนหายใจไม่ออก

http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0424240648&srcday=2005/06/24&search=no

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก