ที่ระลึก 50 ปีแห่งการจากไปของ Einstein
ที่ระลึก 50 ปีแห่งการจากไปของ Einstein
![]() |
โดย สุทัศน์ ยกส้าน | 11 เมษายน 2548 17:53 น. |
นอกจากปีนี้จะครบรอบปีที่ 100 แห่งความมหัศจรรย์ที่ยอดนักวิทยาศาสตร์แห่งยุค “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” สร้างไว้แล้ว ยังเป็นปีที่ 50 หรือครึ่งศตวรรษที่อัจฉริยะแห่งยุคจากลาโลกนี้ไป แม้ว่าไอน์สไตน์จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พลิกโลกด้วยสมการ E=mc? อันโด่งดัง แต่ทว่าในช่วงบั้นปลายของชีวิตนักฟิสิกส์ผู้ปราดเปรื่องท่านนี้กลับปวดร้าวจ าก “ระเบิดนิวเคลียร์” อันเป็นด้านมืดของการค้นพบอันยิ่งใหญ่ ว ันนี้ (18 เม.ย.) เมื่อ 50 ปีที่แล้ว (2498) “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” สุดยอดนักฟิสิกส์แห่งศตวรรษได้สิ้นใจลง ณ โรงพยาบาลในเมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 76 ปี หลังจากที่ไอน์สไตน์เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.2498 ต่อมาเพียง 3 วันเท่านั้นนักฟิสิกส์สุดปราดเปรื่องแห่งยุคนิวเคลียร์ก็จากโลกนี้ไป หลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตลง ดไวท์ ไอเซนฮาว (Dwight Eisenhower) ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น ได้กล่าวไว้อาลัยถึงสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกว่า ไม่มีผู้ใดทำให้เกิดองค์ความรู้แห่งศตวรรษที่ 20 ยิ่งใหญ่และกว้างขวางไปกว่าเขาได้...ไอน์สไตน์เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ที่อย ู่ในยุคนิวเคลียร์ เขามีพลังในการสร้างสรรค์ในฐานะปัจเจกชนในสังคมเสรี ทันทีที่ไอน์สไตน์เสียชีวิต สมองของเขาถูกแยกออกมาและเก็บรักษาไว้เพื่อทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดย ดร.โธมัส ฮาร์วีย์ (Thomas Harvey) นักพยาธิวิทยาซึ่งทำหน้าที่ชันสูตรศพเขา ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องทั้งจากกองมรดกและบุตรชายของไอน์สไตน์ โดยไอน์สไตน์ว่าหวังว่าจะมีการศึกษาสมองของเขา เมื่อเขาตาย ดร.ฮาร์วีย์ได้ตัดสมองออกเป็นชิ้นขนาดต่างๆ กันถึง 240 ชิ้นจนปี 2539 ได้ส่งให้คณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ (McMaster Universtity) เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา โดยพวกเขาได้เสนอรายงานผลการวิจัยสมองของไอน์สไตน์เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับ สมองคนฉลาดปกติทั่วไป เป็นชาย 35 คน หญิง 56 คน พบว่า บ ริเวณส่วนล่างของสมองด้านข้าง (inferior parietal region) ของไอน์สไตน์ ใหญ่กว่าของคนปกติธรรมดาถึง 15 % สมองบริเวณดังกล่าว อยู่ในระดับเดียวกับหู มีหน้าที่เกี่ยวกับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่า ร่องสมองของไอน์สไตน์ หายไปบางส่วนโดยที่สมองของคนทั่วไปจะมีร่องสมองจากส่วนหน้า ต่อเนื่องไปยังสมองส่วนหลังซึ่งร่องที่หายไปบางส่วนนี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่แสดงความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์ เนื่องจากทำให้เส้นประสาทและเซลล์สมองบริเวณนั้น สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ไอน์สไตน์นั้นมีความฉลาดและชื่นชอบในวิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ขณะที่ไอน์สไตน์น้อยเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ในเมืองมิวนิกเขาสนใจและสอบได้คะแนนดีในวิชาคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียวโดยไม ่สนใจวิชาอื่นๆ จึงทำให้ครูเห็นว่าเขาเป็นเด็กสมองทึบ และถูกขอให้ออกจากโรงเรียน เพราะมีพฤติกรรมที่แปลกแยก แต่ทว่าวิชาคณิตศาสตร์นี่ล่ะ ที่ทำให้ไอน์สไตน์ได้กลายเป็นสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกในเวลาต่อมา ในปี 2439 ไอน์สไตน์ได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนโปลีเทคนิกแห่งสวิสเซอร์แลนด์ ในซูริกเพื่อฝึกฝนเป็นครูสอนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ และในปี 2445 ไอน์สไตน์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายเทคนิกประจำสำนักงานสิทธิบัตรของสวิ ตซ์เป็นเวลา 7 ปี ระหว่างที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิบัตรนั้น เขาได้ใช้เวลาว่างศึกษาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ โดยในช่วงปี 2444 และปี 2447 เขาได้ตีพิมพ์งานวิจัยออกมาถึง 4 เรื่อง แต่ทว่าในปี 2448 กลับกลายเป็นปีมหัศจรรย์ของโลก เพราะไอน์สไตน์ได้เสนอว่า แสงมีคุณสมบัติของการเป็นอนุภาคเวลา โดยอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งผลงานชิ้นนี้ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2465 ในปีเดียวกันนี้ไอน์สไตน์ได้เสนอวิธีวัดขนาดของโมเลกุล เพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่สถาบัน ETH (Federal Institute of Technology) ในสวิตเซอร์แลนด์ และถัดมาอีก 1 เดือนเขาก็ได้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ นอกจากนี้ไอน์สไตน์ก็ยังได้ศึกษา และอธิบายการเคลื่อนที่แบบบราวเนียน (Brownian motion) ว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่าโมเลกุลมีจริงด้วย ซึ่งผลงานเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต่างเห็นว่าสมควรได้รับรางวัลโนเบล ดังนั้นการผลิตผลงานถึงระดับรางวัลโนเบลหลายชิ้นภาย ในปีเดียวของไอน์สไตน์ทำให้โลกยอมรับว่า เขาเป็นสุดยอดแห่งอัจฉริยะ และปี 2448 นับเป็นปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์และของโลกด้วย อีก 10 ปีต่อมา ขณะที่เขาทำงานอยู่ที่เบอร์ลิน เขาได้ทำงานชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิตเสร็จคือได้สร้าง “ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป” ขึ้นมา ซึ่งทฤษฎีของไอน์สไตน์เหนือกว่าทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตัน โดยทฤษฎีนี้สามารถอธิบายลักษณะการโคจรที่อปกติของดาวพุธได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ทฤษฎีของนิวตันให้ผลผิดพลาด ไอน์สไตน์รับเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ในอเมริกาช่วงปี 2482 โดยหวังว่าจะไปๆ มาๆ ระหว่างเบอร์ลินกับพรินซ์ตัน แต่ว่าในปีนั้นนาซีเรืองอำนาจ ไอน์สไตน์ซึ่งตั้งใจที่จะไปอเมริกาเป็นการชั่วคราวเปลี่ยนเป็นการถาวร เขายื่นขอสัญชาติอเมริกันเมื่อปี 2478 และเข้าทำงานที่พรินซ์ตัน โดย พยายามรวมกฎของฟิสิกส์ นับเป็นงานลึกซึ้งมาก จนถึงกับรำพันออกมาว่า ” ฉันได้พาตัวเองไปติดอยู่ในปัญหาวิทยาศาสตร์ ที่ดูเหมือนจะหมดหวัง และที่แย่กว่านั้น เพราะคนแก่อย่างฉัน ยังคงเป็นคนนอกสำหรับสังคมที่นี่อยู่นั่นเอง” ตลอดชีวิตไอน์สไตน์ต่อสู้เพื่อสันติภาพเสมอมา ตั้งแต่ก่อนลี้ภัยนาซีออกจากเยอรมนี เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง มีข่าวคราวว่าเยอรมนีกำลังพัฒนาระเบิดปรมาณู ไอน์สไตน์กลัวว่าเยอรมนีจะพัฒนาระเปิดปรมาณูได้ก่อนจึงทำจดหมายถึงประธานาธิ บดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin Delano Roosevelt) เสนอให้ศึกษาการพัฒนาระเบิดปรมาณู และบอกถึงคุณประโยชน์ของแร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาสร้างระเบิดปรมาณูที่มีอา นุภาพในการทำลายล้างสูงได้ด้วยปฏิกิริยาแบบลูกโซ่ ขณะที่อเมริกากำลังพัฒนาระเปิดปรมาณู โดยใช้ชื่อโครงการว่าแมนฮัตตัน ในปี 2483 ไอน์สไตน์ได้ปฏิเสธที่จะร่วมในองค์กรพัฒนาระเบิดปรมาณู แต่การพัฒนาระเบิดก็ทำได้สำเร็จ และนำมาทิ้งที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ เมื่อไอน์สไตน์รู้ข่าวการระเบิด และผู้คนที่ต้องตายไปจำนวนมหาศาล เขาถึงกับเอามือกุมศีรษะ และอุทานอย่างปวดร้าวว่า "โธ่? ไม่น่าเลย" เมื่อสงครามเลิกไอน์สไตน์ ก็ลงนามในสัญญาที่ขอให้ยุติการใช้ระเบิดปรมาณู และให้หันมาใช้ปรมาณูเพื่อสันติแทน เขาเขียนในสัญญาว่า " แน่นอนเราทุกคนมีความคิดความรู้สึกไม่เหมือนกัน แต่เราก็มีฐานะเป็นมนุษย์เช่นกัน เราควรจดจำไว้เสมอว่าถ้าการเกี่ยวข้องระหว่างตะวันออกกับตะวันตกถูกตัดสินออ กมาในรูปการณ์ใดก็ตาม อันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจมาสู่ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ หรือต่อต้านคอมมิวนิสต์(โลกเสรี)ก็ตาม ผลแห่งการตัดสินใจไม่ควรออกมาในรูปของสงคราม" ในปี 2487 เขาช่วยหาทุนต่อต้านสงครามโดยนั่งลงเขียนบทความเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษด ้วยลายมือตนเอง และนำออกประมูลได้ราคาถึง 6 ล้านดอลลาร์ หนึ่งอาทิตย์ก่อนเสียชีวิต ไอน์สไตน์เซ็นชื่อในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา จดหมายนี้ส่งถึงเบอร์ทรานด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell) เพื่อยืนยันว่า เขายินยอมให้ใส่ชื่อของเขาในจดหมายเปิดผนึก เพื่อวิงวอนชนชาติทั้งหลายให้ยุติการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อทำลายล้างเผ่าพ ันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต น่าเสียดายที่ไม่มีใครทราบ ประโยคสุดท้ายที่ไอน์สไตน์กล่าวออกมาเป็นภาษาเยอรมัน ขณะนั้นในห้องมีเพียงพยาบาลแค่คนเดียว ซึ่งเธอไม่เข้าใจภาษาเยอรมันที่ไอน์สไตน์เอ่ยขึ้นมา ดังนั้นคำพูดสุดท้ายของไอน์สไตน์จึงยังเป็นปริศนาต่อไป อ ย่างไรก็ดี แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เขายังคงชิงชังวิธีการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของระเบิดนิวเคลียร์ที่นักฟ ิสิกส์มีส่วนสร้างให้กับโลก เขาเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า "หากข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าทฤษฎีของข้าพเจ้า จะนำไปสู่การทำลายล้างอย่างมหันต์เช่นนี้ ข้าพเจ้าขอเป็นช่างทำนาฬิกาเสียดีกว่า" ขณะนั้น Einstein มีอายุประมาณ 40 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นวัยกลางคน เขาเริ่มเขียนบทความทั่วไปให้สาธารณชนอ่าน เมื่อประชากรเชื้อสายยิวกำลังถูกคุกคามโดยกองทัพนาซียิวหลายคนได้บากหน้ามาข อความช่วยเหลือจาก Einstein การถูกกระตุ้นเร้าเช่นนี้ทำให้ Einstein ตระหนักในความยากลำบากของคนยิว จึงได้เสนอแนะให้มีการจัดตั้งประเทศอิสราเอลสำหรับคนยิวในดินแดน Palestine ในช่วงปี พ.ศ. 2464-2474 Einstein เดินทางมาก เช่น ในปี พ.ศ. 2464 เขาได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเพื่อหาเงินสร้างมหาวิทยาลัย Hebrew และได้พบประธานาธิบดี Harding แห่งสหรัฐฯ ในปีต่อมา เขาได้ไปเยือน Paris การปรากฏตัวของ Einstein ทำให้ฝรั่งเศสและเยอรมนีมีสัมพันธไมตรีดีต่อกันอีกเหมือนเมื่อก่อนเกิดสงครา มโลกครั้งที่หนึ่ง ในมิถุนายนปีเดียวกันนั้นเอง Einstein ได้รับคำเตือนว่า เขาในฐานะที่มีเชื้อสายยิวอาจถูกลอบสังหาร Einstein จึงออกเดินทางไปต่างประเทศกับภรรยาเป็นเวลานาน 5 เดือน โดยได้ไปเยือน Columbo, Singapore Hong Kong, เซี่ยงไฮ้ และญี่ปุ่น และขณะพำนักที่ญี่ปุ่นนาน 5 วันนั่นเอง จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้จัดงานรับรอง Einstein และบรรดาสื่อมวลชนก็ได้รายงานว่า จุดสนใจของงานอยู่ที่ Einstein มิใช่องค์จักรพรรดิ ในขณะเดินทางกลับยุโรป Einstein ได้แวะเยี่ยมดินแดน Palestine เป็นครั้งแรก และได้เดินทางต่อไปประเทศสเปน เมื่อถึงปี 2468 Einstein ได้เดินทางไปเยือนกรุง Bueno Aires และ Rio de Janeiro ในอเมริกาใต้ และถ้าไม่พิจารณาการแวะเยือนอเมริกา 3 ครั้ง การเดินทางในปี 2468 จึงอาจถือได้ว่าเป็นการเดินทางไกลครั้งสุดท้ายในชีวิตของ Einstein ถึงแม้ว่า Einstein จะเล่นหลายบทบาท และสวมหมวกหลายใบ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดวิจัยฟิสิกส์ โดยในปี พ.ศ. 2465 Einstein ได้ตีพิมพ์งานทฤษฎีสนามรวมชิ้นแรก ซึ่งงานชิ้นนี้ได้แสดงความพยายามของ Einstein ที่จะรวมทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขาเองกับทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า และนี่คืองานที่ Einstein ได้ทุ่มเทชีวิตที่เหลือให้คือ Einstein ได้พยายามสังเคราะห์ทฤษฎีทั้งสองโดยใช้วิธีการต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย และในปี พ.ศ. 2467 Einstein ได้ตีพิมพ์ผลงาน 3 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ Bose-Einstein Condensation และผลงานนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องในอีก 70 ปีต่อมา และนี่ก็คืองานวิจัยฟิสิกส์ที่สำคัญชิ้นสุดท้ายของ Einstein ในปี พ.ศ. 2468 วิชากลศาสตร์ควอนตัมได้ถือกำเนิด แต่ Einstein ไม่ยอมรับเนื้อหาและการแปลความหมายของวิชานี้ จนกระทั่งลมหายใจห้วงสุดท้าย เพราะ Einstein คิดว่าทฤษฎีควอนตัมที่ Bohr Heisenberg และ Schroedinger สร้างขึ้นมานั้นไม่สมบูรณ์ ถึงแม้การทำนายจะประเสริฐสักปานใดก็ตาม | ||||
Einstein เป็นคนที่รักสันติภาพมากตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม และเมื่อมีอายุมากขึ้นความรู้สึกด้านนี้ก็รุนแรงมากขึ้น เช่น ในปี 2468 Einstein และ Gandhi แห่งอินเดียได้ลงนามในสัตยาบันไม่เห็นด้วยกับการเกณฑ์ทหาร พออีก 5 ปีต่อมา เขาก็ลงนามสนับสนุนการมีรัฐบาลโลก เมื่อถึงปี พ.ศ. 2475 Einstein ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์แห่ง Institute for Advance Study ที่ Princeton ในสหรัฐอเมริกา และมีความตั้งใจแต่เบื้องต้นว่า จะแบ่งเวลาระหว่าง Princeton กับ Berlin 50-50 แต่เมื่อนาซีในเยอรมนีเรืองอำนาจขึ้นทุกวัน ดังนั้น เมื่อถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 Einstein กับภรรยาก็ได้อพยพครอบครัวออกจากเยอรมนีอย่างถาวร และถึงแม้จะรักสันติภาพสักปานใด แต่ Einstein ก็มีความเชื่อมั่นว่า วิธีเดียวที่จะพิชิตนาซีได้คือ การใช้กำลัง Einstein เดินทางถึง Princeton ในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2476 และได้เดินทางออกนอกประเทศอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2478 ไป Bermuda เพื่อขอใบสมัครเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน และอีก 5 ปีต่อมา Einstein ก็ได้แปลงสัญชาติเป็นคนอเมริกันอย่างสมบูรณ์ ขณะอยู่ในอเมริกา ใครๆ ก็รู้จักและยกย่อง เช่น ประธานาธิบดี Roosevelt ได้เชิญ Einstein และภรรยาให้ไปนอนพัก 1 คืนที่ White House และ Einstein ก็ยังทำงานวิจัยฟิสิกส์ต่อ แต่คุณภาพของผลงานช่วงนี้ไม่สามารถเทียบเท่ากับงานที่ทำในช่วงที่พำนักในยุโ รป ในปี พ.ศ. 2482 Einstein ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงประธานาธิบดี Roosevelt โดยได้ชี้ให้เห็นว่่า นักฟิสิกส์สามารถสร้างระเบิดปรมาณูได้ ซึ่งระเบิดนี้จะมีประสิทธิภาพมากในสงคราม การได้รับคำยืนยันจาก Einstein ทำให้ Roosevelt เห็นด้วย จึงอนุมัติให้มีโครงการ Manhattan เพื่อผลิตระเบิดปรมาณู แต่ถ้าจะกล่าวถึงบทบาทในการสร้างระเบิดปรมาณูแล้ว Einstein แทบไม่มีส่วนช่วยในการสร้างเลย ในปี พ.ศ. 2487 ต้นฉบับงานวิจัยเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ Einstein เขียนด้วยมือได้รับการประมูลซื้อด้วยราคา 6 ล้านเหรียญ ณ วันนี้ต้นฉบับดังกล่าวอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Library of Congress ของสหรัฐอเมริกา เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด Einstein ยังคงปราศรัย และให้ความเห็นด้านการเมืองต่อไป เมื่อประธานาธิบดี Chaim Weirmann แห่งอิสราเอลถึงแก่กรรม Einstein ได้รับเชิญให้ไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอิสราเอลคนต่อไป แต่เขาปฏิเสธ ในปี พ.ศ. 2491 แพทย์ได้ตรวจพบว่าเส้นเลือด aorta ที่หล่อเลี้ยงหัวใจ Einstein มีอาการบวมเป่งเป็นถุงบังโลหิต Einstein จึงเริ่มเขียนพินัยกรรม โดยได้กำหนดให้มหาวิทยาลัย Hebrew เป็นสถานที่เก็บต้นฉบับงานเขียนทุกชิ้นของ Einstein (หากคุณต้องการดูลายมือ Einstein ตัวจริงของจริง ก็ไปที่พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย Hebrew ในอิสราเอล) ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2498 Einstein ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายถึง Bertrand Russell แห่งอังกฤษ และบอกว่ายินดีร่วมลงนามสนับสนุนให้ทุกชาติไม่ใช้ระเบิดปรมาณูในการยุติข้อข ัดแย้งใดๆ และอีก 2 วันต่อมา คือในวันที่ 13 เมษายน ขณะเวลาบ่ายเส้นเลือดหัวใจของ Einstein แตก ญาติจึงพา Einstein เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในวันที่ 15 และ Einstein ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 เมษายน เมื่อเวลา 01.15 น. โดยศพของ Einstein ได้ถูกเผาในวันเดียวกันนั้นเอง ส่วนเถ้าอังคารได้ถูกญาตินำไปโปรยในที่ที่ไม่เปิดเผย และเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน เหลนคนแรกของ Einstein ก็ถือกำเนิด สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน |
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก