ทุจริตกล้ายางพารา -- โกงยกกำลัง 3
กรณีทุจริตกล้ายางพารามีอะไรกันนักหนาหรือ “ผู้จัดการรายวัน” ถึงให้ความสำคัญเป็นทั้งข่าวนำหน้า 1 และรายงานพิเศษต ่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ ๆ มี Hidden Agenda อย่างไรหรือ วันนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ขออนุญาตใช้เนื้อที่ตรงนี้จับเข่าคุยกับผู้อ่านเล่าให้ฟังด้วยภาษาชาวบ้าน
กรณีนี้ อย่าว่าแต่จะต้องเร่งรวมพลังเฉดหัวนักการเมืองที่รับผิดชอบให้พ้นออกจากการร่วมบริหารประเทศและดำเนินคดีเลย
มันน่านำโทษานุโทษในอดีต “กุดหัวเจ็ดชั่วโคตร” กลับมาใช้เสียด้วยซ้ำ !
เพราะมันเป็นการโกงกันอย่างบูรณ าการ หรือบูรณาโกง ที่แสดงให้เห็นภาพของคำ “คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” อย่างเป็นรูปธรรม
เพราะมันเป็นการโกงอย่างแฮ็ตทริ ก หรือโกงยกกำลัง 3 ที่จะให้ผล 3 ชั้นทั้งในปัจจุบันและอนาคตอีก 5 – 7 ปีข้างหน้า
...โกงเกษตรกรคนยากคนจน
...ที่เสมือนเป็นการฆ่าให้ตายในวันนี้ ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจะไปตายในอีก 5 – 7 ปีข้างหน้า
...และยังจะเป็นการทำลายรายได้ของชาติจากการส่งออก
มาไล่กันพิจารณาทีละขั้นตอน
...................
เวิลด์แบงก์ให้คะแนนการจัดการกับการทุจริตของประเทศไทย 49 จาก 100
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่พอใจนสพ.มติชนที่พาดหัวแบบไม่ช่วยรัฐบาล แสดงธาตุแท้อารมณ์ดั้งเดิมที่เป็นเจ้าเรือน ถึงกับเอ่ยชื่อประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ทวงบุญคุณหนังสือพิมพ์ อาจจะเป็นเพราะประจวบเหมาะกับในระยะนี้นับตั้งแต่ได้ชัยชนะ 377 เสียงกลับมีแต่ข่าวการทุจริตคอร์รัปชั่นในเรื่องต่าง ๆ มาเป็นระยะ ๆ
น ่าสังเกตไหมว่า ปี 2548 นี้ผ่านไปแค่ 5 เดือน ถ้าไม่นับกรณีสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว มีเรื่องของการทุจริตในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสียเป็นส่วนใหญ่
กระทรวงเกษตรฯจัดเป็นกระทรวงเกรด A ของบรรดานักการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร
วิธีการที่นักการเมืองเขาจำแนกแบ่งเกรดของกระทรวงทบวงกรมเขาดูกันที่ งบประมาณ, อำนาจอิทธิพล และช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ ผสมผสานกันไป
อย่างกรณีกระทรวงศึกษาธิการ ถึงแม้ว่าจะได้รับจัดสรรงบประมาณมากกว่ากระทรวงอื่น ๆ แต่เพราะเป็นกระทรวงใหญ่ รายจ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำ ไม่มีรายจ่ายประเภท “จัดซื้อ, จัดจ้าง” มาก ก็เลยเป็นกระทรวงเกรด B
งบประมาณที่กระทรวงเกษตรฯได้ไปในปีงบประมาณ 2548 คือ 52,409.9 ล้านบาท
มากเป็นลำดับ 6
รองจากกระทรวงศึกษาธิการ (1) กระทรวงการคลัง (2) กระทรวงมหาดไทย (3) กระทรวงกลาโหม (4) และกระทรวงคมนาคม (5)
ช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ในกระทรวงเกษตรฯเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง, การก่อสร้าง และทรัพยากรธรรมชาติ
ในยุคก่อน คนส่วนใหญ่มักจะมองผลประโยชน์ของกระทรวงเกษตรฯ เฉพาะ 2 กรมหลัก ๆ คือกรมป่าไม้และกรมชลประทาน แต่ข้อเท็จจริง ณ วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเชื้อร้ายของการทุจริต การแสวงหาประโยชน์ การละเมิดหลักธรรมาภิบาล ลามลึกแผ่ขยายครอบคลุมกรมอื่น ๆ ของกระทรวงนี้ไปแทบทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมที่เกี่ยวกับวิชาการ !
ลำพังการคอร์รัปชั่น เกิดขึ้นที่ไหนหรือที่กระทรวงใด มันก็เลวร้ายอยู่แล้ว แต่หากเกิดขึ้นในกระทรวงเกษตรฯ ความเลวร้ายดังกล่าวจะยิ่งทวีขึ้นเป็น 2 เท่า
เ พราะว่ามันเป็นการทำมาหากินบนน้ำตาและความทุกข์ยากของประชาชนคนชั้นล่าง ซึ่งพวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสในทางสังคมเทียบเท่าคนในกลุ่มอื่น ๆ อยู่แล้ว
ช่องทางการทุจริตในกระทรวงเกษตรฯส่วนใ หญ่ ตั้งเรื่องขึ้นมาจากเหตุความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน
ข่าวความอื้อฉาวในโครงการส่งเสริมปลูกยางพาราล้านไร่ ของกระทรวงเกษตรฯที่ถูกเปิดเผยขึ้นมา เพราะหลักฐานประจักษ์ชัดจากผลเสียหายของกล้ายางที่เกษตรกรนำไปปลูกตายไปกว่า ครึ่ง บางรายถึงกับตายยกแปลง ได้รับคำอธิบายง่าย ๆ จากกรมวิชาการเกษตร และนักการเมืองจอมโปรเจกต์ที่ดูแลกรมนี้ในทางปฏิบัติต่อเนื่องมา 8 ปี ว่าเป็นเพราะภัยแล้ง และเกษตรกรดูแลไม่ดี ขณะที่เครือซีพีที่ชนะประมูลส่งมอบกล้ายางก็ออกมากล่าวโทษระบบชลประทานของปร ะเทศที่ไม่ได้เรื่อง จึงทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น
แก้ตัวกันไปน้ำขุ่น ๆ
ใจบาปหยาบช้าถึงขั้นโทษเทวดาฟ้าดินไปโน่น
พอเริ่มจำนนต่อหลักฐาน ก็คิดอ่านจะแก้ผ้าเอาหน้ารอดกันง่าย ๆ ด้วยการแก้ระเบียบโน่นนิดนี่หน่อย และจะตั้งนักวิชาการท้องถิ่นเข้ามาเป็นกรรมการตรวจรับกล้ายางในแต่ละงวดด้วย
อ ยากให้นักวิชาการท้องถิ่นอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ให้ดี ๆ แล้วเร่งถอยออกไปห่าง ๆ อย่ามารับบท “พายเรือให้โจรนั่ง” หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง...
อย่ามาบำเพ็ญตนเป็น “ชุมพล ศิลปอาชา” ให้กับ “สุชน ชาลีเครือ” เลย
(ประเด็นหลังนี้ – โปรดติดตามอ่านในต้นสัปดาห์หน้า)
........................
โครงการส่งเสริมปลูกยางพารา 1 ล้านไร่เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีดำริริเริ่มตามข้อเสนอของนักการเมืองจอมโปรเจกต์นั้น เป็นโครงการที่มีหลักการดี ที่จะช่วยให้เกษตรกรผู้ยากไร้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการขยายพื้นที่ปลูกยางในภาคเหนือและภาคอีสา น เมื่อเดือนมีนาคม 2546 ในโอกาสที่เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการบริหารและคณะผู้บริ หารรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบงานด้านยาง 2 หน่วยงาน
ส.ก.ย. -- สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
อ.ส.ย. -- องค์การสวนยาง
หากดูต้นเรื่อง ดูการมอบนโยบายแล้ว หน่วยงานหลักที่ควรจะเข้ามาทำโครงการนี้ เพราะมีความเชี่ยวชาญและรับผิดชอบงานด้านยางโดยตรง ก็ควรจะเป็นส.ก.ย. หรืออ.ส.ย. เพราะมีเจ้าหน้าที่ที่รู้เรื่องยางดีกระจายครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเท ศ
แต่กรมวิชาการเกษตรที่มีเจ้าหน้าที่ที่รู้เรื่องยางพาราอยู่เพียงหยิบมือเดียวกลับเป็นผู้เข้ามารับผิดชอบ
โครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่ง ปลูกยางใหม่ ระยะที่ 1 พื้นที่ปลูกยาง 1 ล้านไร่ แบ่งเป็นเขตภาคอีสาน 700,000 ไร่ และภาคเหนือ 300,000 ไร่
กรมวิชาการเกษตรรับผิดชอบทั้ง
- การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกยางที่เหมาะสม
- การตรวจสอบ ควบคุม และจัดหาพันธุ์ยาง
ส.ก.ย.รับผิดชอบการฝึกอบรม การควบคุม กำกับ ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการปลูกยางของโครงการ
และให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบจัดหาสินเชื่อ
คำถามก็คือ ทำไมถึงต้องเป็นกรมวิชาการเกษตร ?
เป็นเพราะข้าราชการกรมวิชาการเกษตร สั่งขวาหันซ้ายหันได้ – ใช่ไหม ?
เพราะถ้าเป็น ส.ก.ย. ก็จะมีคนนอกเข้ามาร่วมเป็นบอร์ดอยู่ด้วย จะสั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้ – ใช่ไหม ?
ตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการตั้งเรื่องตั้งโครงการของนักการเมืองมาก เพราะเป็นตัวชี้ว่าโครงการนั้น ๆ จะเก็บเกี่ยวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ข้อมูลความลับต่าง ๆ จะหลุดรั่วไปถึงฝ่ายค้านหรือสื่อหรือไม่ ทำให้เสียจังหวะหรือไม่
เหตุที่ต้องตั้งคำถามว่าทำไมกรมวิชาการเกษตรต้องเข้ามาทำโครงการ ก็เพราะถ้าไปดูพันธกิจหรือหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร จะเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า
“บริการวิเคราะห์ ทดสอบ ตรวจสอบ รับรองและให้คำแนะนำเกี่ยวกับดิน น้ำ ปุ๋ย พืช วัสดุการเกษตร ผลผลิตและผลิตภัณฑ์พืช เพื่อให้บริการการส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ โดยมียุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและพัฒนาพืช การบริการวิชาการด้านพืช”
อันนี้ชัดเจน ไปทบทวนตรวจสอบบทบาทหน้าที่ของกรมนี้ได้
กรมวิชาการเกษตรไม่ได้มีหน้าที่จัดหาจัดซื้อพันธุ์พืชหรือส่งเสริมด้านพืช
เพราะกรมที่มีหน้าที่นี้โดยตรงก็คือ กรมส่งเสริมการเกษตร
โครงการจัดซื้อจัดหานี่แหละที่เป็นช่องทางสำคัญในการคอร์รัปชั่น รับสินบาทคาดสินบน ชักเปอร์เซ็นต์ เอกชนที่ผูกขาดทำมาหากินกันอยู่ก็จะได้ขายของที่ซื้อมาถูก ๆ แล้วมาขายต่อให้รัฐแพง ๆ และที่ผ่านมากรมที่มีหน้าที่นี้โดยตรง ก็เคยอื้อฉาวสุด ๆ
ที่สังคมไทยจำกันได้แม่น รู้จักกันดี ก็กรณี “ผักสวนครัวรั้วกินได้” เมื่อปี 2541
กระทั่งมีอยู่พักหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯมีนโยบายห้ามไม่ให้หน่วยงานขอ งรัฐเป็นผู้จัดหาปัจจัยการผลิต แต่ตอนนี้ก็คงเลิกกันไปแล้ว และมีโครงการจัดซื้อจัดหาแจกปัจจัยการผลิต เพื่อทำมาหากินกันเหมือนเคย
โครงการยางล้านไร่ ก็ไม่ต่างไปจากโครงการส่งเสริมอื่นๆ
เข้าสูตรสำเร็จ
นักการเมืองตั้งโครงการ -- ข้าราชการเป็นคนชง – ล็อกสเปกเอาเอกชนขาประจำเข้ามาเป็นผู้ได้รับงานไป
เมื่อได้รับการเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ขยายพื้นที่ปลูกยางได้ในเขต อีสานและเหนือ นักการเมืองคนโปรดก็กลับมาทำการบ้านเสนอเรื่องผ่านตามขั้นตอนเข้าสู่การพิจา รณาของคณะรัฐมนตรี โดยยกแม่น้ำทั้งห้าให้เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น
โดยเฉพาะผลดีที่จะเกษตรกรจะสามารถลืมตาอ้าปากได้เพราะโครงการนี้ถึง 142,850 รายที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าว ครอบครัวละ 20,000 – 30,000 กว่าบาทต่อปี
จะมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการและแรงงานภาคเกษตรไม่น้อยกว่า 150,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานกรีดยางจะมีรายได้ดี สม่ำเสมอตลอดทั้งปี
นอกจากนั้น รัฐบาลยังจะได้ผลประโยชน์จากผลผลิตยางของประเทศที่เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่ายาง 7,700 ล้านบาท/ปี และหากนำยางไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์และส่งออก จะมีรายได้จากการส่งออก 38,500 ล้านบาท
สภาพแวดล้อมก็จะดีขึ้นด้วย
ฟังดูดี และมีความเป็นไปได้ เพราะเวลานี้ราคายางก็มีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์ยางเทียมที่เป็นบายโปรดักส์จากน้ำมันสูงขึ้นตามภาวะราคาน้ำมั นที่มีแต่จะพุ่งทะยานตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นแต่ซัปพลายน้อยลง
ฟังกันเคลิ้มจนกระทั่งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีไม่มีใครตั้งคำถามเลยว่า เหตุใดกระทรวงเกษตรฯจึงมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตร ซึ่งไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ทั้งที่กระทรวงเกษตรฯเองมีหน่วยงานดูแลเรื่องยางโดยเฉพาะอยู่ถึง 2 หน่วย คือ ส.ก.ย. กับ อ.ส.ย.
ถามว่าการตั้งเรื่องอย่างนี้ – คอร์รัปชั่นในเชิงนโยบายหรือไม่ ?
แต่ไม่ว่าคำตอบจะออกมาอย่างไร มติครม.เห็นชอบให้ดำเนินโครงการนี้ตามที่กระทรวงเกษตรฯเสนอ ก็นับเป็นการยืมมือครม.มาการันตีความถูกต้อง โครงการดำเนินไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็นตั้งแต่ต้น
เสมือนการปฏิบัติภารกิจที่ผิดฝาผิดตัว ซึ่งมีแต่จะสร้างปัญหาตามมา
เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว กรมวิชาการเกษตรก็ดำเนินเรื่องต่อด้วยการเปิดประมูลหาเอกชนมาผลิตยางชำถุง
ถึงขั้นนี้แล้วหากต้องการล็อกสเปกเอาเอกชนที่รับงานผูกกันเป็นขาประจำก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ออก TOR หรือข้อกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าประกวดราคาที่สามารถกีดกันผู้ร่วมประมูลรายอ ื่น ๆ อย่างเช่นเรื่องพันธุ์ยาง ส่วนใหญ่ที่ทำกันอยู่ในบ้านเราก็จะเป็นเกษตรกรรายเล็กรายย่อยที่รวมตัวกันเป ็นสหกรณ์ หรือทำเดี่ยว ๆ บริษัทใหญ่ ๆ ไม่ค่อยมี ก็ออกว่าต้องการยางชำถุงจำนวน 90 ล้านต้น โดยให้บริษัทเดียวรับเหมาไปทำ แล้วส่งมอบให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ แทนที่จะกระจายไปยังพื้นที่และเปิดโอกาสให้รายเล็กรายย่อยที่เขามีประสบการณ ์ทำพันธุ์ขายอยู่ก่อน
เหมือนกรณีลำไยอบแห้ง ที่ว่าจ้างให้บริษัทปอเฮง รับอบแห้งรายเดียว ส่วนรายย่อยถ้าอยากทำก็ต้องมาเป็นลูกช่วง ทำตัวเป็นโบรกเกอร์กินส่วนต่าง
นอกจากนั้น ก็กำหนดให้ผู้เข้าประมูลวางหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาสูงถึง 72 ล้านบาท เพราะมูลค่าโครงการสูงถึง 1,400 กว่าล้าน
การกำหนด TOR อย่างนี้รายเล็กรายย่อยไม่มีโอกาสอยู่แล้ว
TOR ที่ออกมาจึงล็อกสเปกเอาไว้บางจุด แต่บางจุดต้องเปิดเอาไว้เพื่อให้เอกชนที่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องยางเข้ามาร่วมได้
ทำกันถึงขนาดว่า ใน TOR ของโครงการที่ต้องส่งมอบพันธุ์ยางถึง 90 ล้านต้นนี้ไม่ได้ระบุแม้แต่น้อยว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมประมูลต้องมีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญด้านยางพารามาก่ อน และต้องมีแปลงกิ่งพันธุ์ยาง แปลงกล้ายางของตนเองด้วย มีกำหนดไว้เพียงกว้าง ๆ ว่า เป็นผู้ที่มีอาชีพจำหน่ายพันธุ์พืชมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5 ปี
คุณสมบัติของผู้เสนอราคา ในประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดหาพันธุ์ ระบุเพียงว่าผู้เสนอราคาจะต้องมีแปลงเพาะต้นกล้าไม่ว่าจะเป็นแปลงเดียวหรือห ลายแปลงรวมกันไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ และจะต้องมีแหล่งกิ่งตายางที่ใช้จากแปลงเพาะขยายพันธุ์ที่จดทะเบียนกับกรมวิ ชาการเกษตร แปลงเดียวหรือหลายแปลงรวมกัน ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และมีต้นกิ่งตายางพันธุ์ดีตรงตามพันธุ์ยางที่กรมแนะนำไม่น้อยกว่า 120,000 ต้น
TOR ไม่ได้ระบุว่าผู้เสนอราคาจะต้องมีแปลงของตนเอง ขอเพียงให้มีจะรวบรวมแล้วเช่าแปลงมาจากบุคคลอื่นก็ได้
นั่นคือการล็อกสเปกในจุดที่คู่แ ข่งขันรายอื่นจะเข้ามาสู้ได้ และเปิดกว้างสำหรับข้อที่เป็นจุดอ่อนของบริษัทคู่ขาประจำ
ถัดจากนั้น ก็เตรียมการในขั้นที่ 2 คือ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา ซึ่งจะต้องเป็น “เด็กในคาถา” สั่งซ้ายหันขวาหันได้ เก็บกำความลับได้
นั่นคือกุญแจที่สำคัญและโครงการปลูกยางล้านไร่
ปรากฏผลว่า – เครือซีพีชนะประมูล ทั้ง ๆ ที่ปรากฏหลักฐานชัดว่า การเสนอแปลงกิ่งตายางและแปลงกล้ายางของบริษัท เมื่อเปรียบเทียบกับทำเนียบแปลงขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้าประจำปี 2546 ไม่ถูกต้องตรงกัน ถือเป็นการแจ้งเท็จ ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ TOR กำหนด
แต่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการ ประกวดราคา เป็น “เด็กในคาถา” จะหาใครมาตรวจสอบรายละเอียดในจุดนี้
คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาตรวจสอบพบเรื่องนี้ และได้ติดต่อสอบถามไปยังนักการเมืองที่ดูแล
มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแปลงกล้ายางและการส่งมอบกล้ายาง
แต่ก็มีอันต้องเกิดเหตุเกี่ยวกับตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของท่านเสียก่อน
อธิบดีกรมวิชาการเกษตรออกมาการันตีในการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า มีการลงไปตรวจสอบแปลงยางตามที่บริษัทเสนอเข้ามาทุกแปลง แต่ไม่กล้าแสดงเอกสารหลักฐานใด ๆ ต่อสาธารณะว่ามีการเข้าไปตรวจสอบจริงหรือไม่
ก ็ไม่รู้ว่าวันนี้ “หลักฐาน” การตรวจสอบของสตง.ในยุคคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาจะมีอันสลายหายสูญไปหลังถูกขบวนกังฉินยึดอำนาจอย่างแยบยลหรือไม่
ประเด็นนี้ต้องสะสางให้กระจ่าง เพราะเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้
เพราะเมื่อบริษัทที่ชนะประมูล ไม่มีแปลงกิ่งตาพันธุ์ ไม่มีแปลงกล้ายางดังที่กำหนดไว้ในคุณสมบัติ ก็ทำให้ยางชำถุงที่จะส่งมอบให้แก่เกษตรกรนั้นไม่เพียงพอ ไม่ได้คุณภาพ ตามสัญญาที่ตกลงกัน
และยังเป็นที่มาของการกว้านซื้อยางที่เอา “กิ่งตาสอย” ที่สอยจากยางต้นแก่แล้วมาติดตาส่งมอบปะปนเข้ามาในโครงการ
ซึ่งจะเห็นผลอีก 7 ปีข้างหน้าเมื่อถึงเวลากรีดแล้วจะมีน้ำยางน้อยหรือไม่มีน้ำยางเลย
ยางที่มีน้ำยางน้อยหรือไม่มีน้ำยาง – ก็ไม่ต่างกับ “วัวพลาสติก” ในอดีต
การทำแบบนี้ถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขสัญญา
.........................
ย้อนกลับมาดูเรื่องสัญญาที่กรมว ิชาการเกษตรทำกับเครือซีพี จะเห็นว่ากรมวิชาการเกษตรเอื้ออาทรต่อซีพีอย่างมาก
เอื้ออาทรถึงขั้นที่ว่า -- ทำผิดหลักวิชาการการปลูกยางที่กรมวิชาการเกษตรฯให้คำแนะนำต่อเกษตรกรผู้ปลูก ยางพาราเลยก็ว่าได้
นั่นคือ หลักวิชาการแนะนำว่าควรปลูกยางในต้นฤดูฝน หมายถึงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เพื่อให้ยางสามารถยืนต้นได้ในช่วงฤดูฝน คือถึงเดือนกรกฎาคม ส่วนเดือนสิงหาคมไม่ควรปลูกแล้ว เพราะเสี่ยงกับฝนทิ้งช่วงและหมดฝน เพราะภาคอีสานกับภาคเหนือไม่เหมือนกับภาคใต้ที่เดือนสิงหาคมก็ยังมีฝนอยู่ จะใช้เกณฑ์เดียวกันไม่ได้ เพราะสภาพพื้นที่ สภาพภูมิอากาศต่างกัน
แต่สัญญาที่กรมวิชาการเกษตรทำกับซีพีเป็นอย่างไร – มาดูกัน...
ใ นปีแรก 2547 กำหนดส่งมอบ 4 งวด คือ 31 พ.ค. 47 จำนวน 1.8 ล้านต้น, 30 มิ.ย. 47 จำนวน 7.2 ล้านต้น, 31 ก.ค. 47 จำนวน 7.2 ล้านต้น และ 31 ส.ค. 47 จำนวน 1.8 ล้านต้น
ปีต่อ ๆ ไปก็กำหนดส่งมอบอย่างนี้เหมือนกัน
เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน ก็เพิ่งบอกว่าสั่งการให้เปลี่ยนแปลงแล้ว
สัญญาอย่างนี้คนที่อยู่ในแวดวงยางเขาตั้งคำถามกันทั้งนั้นแหละ
เ ดือนสิงหาคม กรมวิชาการเกษตรกำหนดให้บริษัทส่งมอบได้อย่างไร เพราะถ้ายึดตามหลักวิชาการที่กรมวิชาการเกษตรเองแนะนำว่าต้องปลูกต้นฝนแล้ว สัญญาก็ควรจะกำหนดให้ต้องส่งยางชำถุงถึงมือเกษตรกรให้หมดภายในเดือนมิถุนายน แล้ว
เพราะเกษตรกรรับยางไปปลูกช่วงสิงหาคม เขตอีสานและเหนือ ฝนทิ้งช่วงหรือหมดฝนแล้ว
ไม่เหมือนภาคใต้
ก็จะอ้างภัยแล้งเหมือนกับที่กำลังอ้างกันอยู่เวลานี้
..........................
ไ อ้การใช้คนผิดประเภท ปลูกพืชผิดถิ่น เอาประสบการณ์จากภาคหนึ่งไปใช้อีกภาคหนึ่ง – มีเรื่อง “ตลกขื่น” จะขอเล่าแทรกพักสมองคั่นเวลาตรงนี้สักเล็กน้อย
น ักการเมืองจอมโปรเจกต์บางคนสมัยเมื่อได้รับมอบหมายจากท่านผู้นำให้เป็นประธา นคณะกรรมการติดตามการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พี่ท่านก็ขยันเสียเหลือเกิน
สร้างงาน สร้างรายได้ ตระเวน “ขุดบ่อน้ำ” กันยกใหญ่
โดยเอาประสบการณ์การขุดบ่อน้ำในภาคอีสานไปใช้ที่ภาคใต้
ปรากฏว่าได้บ่อ แต่ไม่มีน้ำ
ชาวบ้านที่นั่นเขาเรียกบ่อแปลกประหลาดที่เกิดจากวิกฤตความรุนแรงเหล่านี้ว่า...
“บ่อเขมร”
ท่านผู้นำอาจจะเถียงว่าคนหนังสือพิมพ์ กล่าวร้าย ท่านไปตรวจราชการทีไรก็เห็นน้ำเต็มบ่อทุกที
ก ็จะไม่เต็มอย่างไรล่ะ ในเมื่อคืนก่อนที่ท่านผู้นำจะลงไปตรวจราชการ นักการเมืองคนขยันก็ขอแรงข้าราชการทหารตำรวจช่วยกันบรรทุกน้ำไปใส่ให้เต็มทุ กบ่อ
...................
ไม่เพียงแค่เอื้ออาทรให้ส่งมอบยางถึงเดือนสิงหาคมเท่านั้น กรมวิชาการเกษตรยังเปิดช่องให้เครือซีพีส่งมอบยางให้แก่เกษตรกรในเดือนกันยา ยนอีกด้วย โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของเกษตรกร และเครือซีพีก็ไม่ขัดข้องที่จะส่งให้ และพร้อมรับผิดชอบหากยางมีปัญหาเสียหายล้มตาย ส่วนกรมวิชาการเกษตรไม่ขอรับผิดชอบใด ๆ เพราะเป็นความสมัครใจกันของทั้ง 2 ฝ่าย
ค วามจริงแล้ว โดยบทบาทหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร จะอ้างความต้องการของเกษตรกรที่สมัครใจจะรับยางไปเองไม่ได้ กรมวิชาการเกษตรต้องไม่ให้มีการส่งยางแก่เกษตรกรในเดือนกันยายนโดยเด็ดขาด
เพราะรับไปปลูกมีโอกาสรอดยาก ลงทุนสูญเปล่า
เรื่องนี้หน่วยราชการจะลอยตัวไม่รับผิดชอบไม่ได้
การอนุญาตให้เครือซีพีส่งมอบยางแก่เกษตรกรในเดือนกันยายนนี้ ทางผู้นำเกษตรกรชาวสวนยางเขาเชื่อว่าหน่วยราชการต้องการช่วยเหลือซีพีให้ไม่ ต้องรับภาระดูแลรับผิดชอบยางที่ส่งล่าช้า ส่งไม่ทัน
เพราะหากเก็บไว้ข้ามปีต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษา
เป็นการโยนภาระไปให้แก่เกษตรกรตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร
จะเสี่ยงปลูก ซึ่งมีโอกาสตายสูงถ้าไม่ลงทุนรดน้ำ
หรือจะชำไว้ต่อรอปลูกปีหน้า
ทำไมเกษตรกรบางส่วนถึงจำใจรับเอายางถึงแม้จะล่วงเลยมาถึงเดือนกันยายน ซึ่งไม่มีฝนแล้ว
ก็เป็นเพราะพวกเขาขุดหลุมรอไว้แล้วตามเงื่อนไขการเข้าโครงการ เมื่อขุดหลุมแล้ว รื้อถอนพืชที่ปลูกไว้ออกไปแล้ว ถึงยางมาช้าก็ต้องเอา – ไม่มีทางเลือก
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น การชดเชย ชดใช้ ต้องไม่ใช่เฉพาะพันธุ์ยาง -- ต้องคิดค่าไถ ค่าขุดหลุมใหม่ รวมทั้งค่าเสียโอกาสเสียเวลาที่ผ่านไปโดยไม่มีรายได้จากแปลงที่ดินที่เตรียม สำหรับปลูกยางตั้งแต่ต้นฝนแล้ว แต่เพิ่งมาได้ยางเมื่อหมดฝน
แต่ก็เปล่า
ทำไมไม่เอื้ออาทรกับคนยากคนจนบ้าง
โ ครงการนี้ บรรดาลูกช่วงที่ผลิตยางชำถุงส่งให้เครือซีพีในราคา 11 – 12 บาท ขณะที่ราคาที่เครือซีพีทำสัญญาตกลงกับกรมวิชาการเกษตร คือ 15.70 บาท
กินส่วนต่างประมาณ 400 ล้านบาท
.........................
สัญญาจ้างยังกำหนดการส่งมอบกล้ายางพาราที่มีลักษณะ 1 ฉัตร หรือแตกยอดชั้นเดียว
ซึ่งชาวสวนยางเขารู้ดีว่า “ยางฉัตรเดียว” ยังไม่มีรากแข็งแรงพอที่จะรอด เพราะยางแตกยอดง่าย เพียงแค่ตัดมาจิ้มลงดินไม่นานก็แตกยอด แต่ยังไม่มีราก
ต้องได้ “ยาง 2 ฉัตร” จึงจะมีโอกาสรอดสูงกว่า เนื่องจากรากแข็งแรงกว่า
ยางในโครงการมันไม่มีรากแก้ว ปลูกไปยิ่งนาน 4 - 5 ปี เกษตรกรก็ยิ่งเสียเวลา เสียโอกาส
ต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์พอบางต้น ถึงแม้จะรอดไปได้ แต่มันจะแสดงอาการเอาตอนอายุ 6 - 7 ปี ถึงระยะที่จะกรีดยางได้ มันจะกลายเป็นยางแคระ หรือไม่ให้น้ำยางเอาดื้อ ๆ
เ มื่อถึงเวลานั้น คือในอีก 6 - 7 ปีข้างหน้า คนที่เกี่ยวข้องหลายคนคงจะเกษียณอายุราชการ กินบำนาญ หรือไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชนสบายไปแล้ว
ส่วนเกษตรกรที่คิดจะพลิกชีวิตตัวเอง ไถสวนเก่าเพื่อปลูกยางพารา หวังจะขายแพง ๆ จะอยู่ต่อได้อย่างไร ?
มิพักต้องพูดถึงรายได้ของประเทศ ชาติที่คาดการณ์ฝันเฟื่องเอาไว้ว่าจะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้ – ก็มีแต่จะสูญไป
..........................
มีเรื่อง “ตลกขื่น” จะขอเล่าแทรกพักสมองคั่นเวลาตรงนี้อีกสักเล็กน้อย
ชาวบ้านเขาเล่ากันสนุก ๆ ว่าถัดจากยางพารา กระทรวงเกษตรฯกำลังจะหันบังเหียนไปยังปาล์ม
กำลังคิดโครงการปาล์มพันธุ์ใหม่
เป็นปาล์มพันธุ์ไทย คิดค้นโดยข้าราชการและนักการเมือง จากการศึกษาวิจัยพบว่าให้ผลผลิตดีมาก ๆ สำหรับข้าราชการและนักการเมืองชื่อว่า....
ปาล์มพันธุ์สวา
หรือ...
พันธุ์สวาปา(ล์)ม
..........................
ไม่เพียงแต่โครงการปลูกยาง 1 ล้านไร่เท่านั้นที่อื้อฉาวตั้งแต่ประมูลจนบัดนี้
โครงการสวนยางอื้ออาทรก็มีปัญหาไม่แพ้กัน
และถึงเวลานี้โครงการก็ยังไม่ไปถึงไหน เพราะบริษัทตัวแทนของนักการเมืองและข้าราชการที่กะเข้ามาฮุบงานนี้ ซึ่งมีมูลค่านับหมื่นล้าน ถูกกลุ่มเกษตรกรร้องเรียน กระทั่งต้องส่งสัญญาไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดตีความ ส่วนเกษตรกรที่เตรียมตัวเข้าร่วมโครงการก็ถูกลอยแพรอเก้อจนบัดนี้
............................
“ผมไม่ทราบ เป็นเรื่องของข้าราชการประจำ”
นี่คือวาทะประจำของนักการเมือง
โครงการปลูกยาง 1 ล้านไร่นี้ก็เช่นกัน ถ้าจนตรอกจริง ๆ ก็จะเป็นข้าราชการประจำที่จะต้องถูก “ฆ่าตัดตอน” เพราะกระบวนการเป็นไปอย่างที่เล่ามาโดยลำดับ นักการเมืองสั่ง ข้าราชการประจำตั้งเรื่องและดำเนินการ นักการเมืองได้เงิน ข้าราชการประจำได้เงินและตำแหน่ง
คำถามง่าย ๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะต้องตอบด้วยสามัญสำนึกก็คือ....
ถ้านักการเมืองไม่สั่ง – ข้าราชการประจำจะกล้าหรือ ?
เลิกกันเสียทีเถิดกับบทสรุปประเภท....
คนสั่ง – ไม่โดน
คนเซ็น – โดน
สร้างประเพณีใหม่ขึ้นมาว่า....
เกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นในยุคใด นักการเมืองที่คุมหน่วยงานนั้นในขณะนั้น – ต้องโดน !
.............................
ถ้ายังยึดคติ “คนสั่ง – ไม่โดน, คนเซ็น – โดน” ก็ให้ระวังกันเอาไว้ทั้งนายทั้งบ่าวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้ง
โดนยกครอก – ตายยกพรรค
เพราะบาปกรรมจากการโกงเกษตรกรและโกงคนจนตามทันเร็วมากและแรงมาก
ห นึ่งในปัจจัยที่ทำให้พรรคก๊กมินตั๋งประสบชะตากรรมในระดับถูกกวาดตกแผ่นดินให ญ่ในอดีตมาแล้ว ก็เพราะพฤติกรรมโกงเกษตรกรและโกงคนจนนี่แหละ !
จดหมายจากศ.ระพี สาคริก
เรียน คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เคารพ
ผมติดตามรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ แทบทุกวันศุกร์ ยกเว้นการเดินทางไปทำงานในพื้นที่
เพราะรายการที่คุณทำร่วมกับคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ มีเนื้อหาสาระที่ให้ประโยชน์ ทั้งในด้านเป็นข่าว และเป็นแง่คิดที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคม
เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา คุณหยิบยกเอาประเด็นคณะรัฐมนตรีจะจัดประชุมสัญจร ที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ซึ่งเมื่อ 60 ปีกว่ายังเป็นป่า ผมเคยไปเดินเกวียนอยู่ที่นั่น
ประเด็นสำคัญ คุณได้อธิบายชี้แจงว่า ปราสาทพนมรุ้งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับกษัตริย์ประกอบพิธี ซึ่งเป็นของสูงทางวัฒนธรรม แม้แต่ที่โบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก็เป็นสถานที่ซึ่งพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้นที่จะเข้าไปทำพ ิธีได้
ถ้าคนแต่ก่อนเขาพูดก็คงพูดว่า -- คนธรรมดาเข้าไปทำอะไรระวังเหาจะขึ้นหัว
คุณสนธิบอกว่า ลูกน้องคิดทำให้เจ้านาย เพื่อยกย่อง ถ้าเราไม่ลืมสัจธรรมสิ่งหนึ่งซึ่งมีผู้พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ”ลูกน้องมักทำให้ผู้ใหญ่เสียหาย” ถ้าผู้ใหญ่ลืมตัว ขณะนี้เป็นกันมากจริง ๆ ครับ
เมื่อคุณหยิบยกเอาข้อความที่ว่า เช่น ในโบสถ์วัดพระแก้วมรกต ”เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วครับ” คุณสนธิก็คงจะมีอยู่ในใจแล้วก็ได้
เ มื่อช่วงสงกรานต์ ผมชมข่าวทางโทรทัศน์ กล้องจับองค์พระแก้วมรกต กับจับที่คุณทักษิณ แยกกันเป็นทีละตอน ผมก็สงสัยแล้วว่าอาจเป็นที่เดียวกัน แต่ผมก็ไม่เชื่อสายตาว่าจะมีการอาจเอื้อมขนาดนั้น เพราะคนนี้ได้รับคัดเลือกมาจากประชาชนทั่วประเทศควรจะเป็นคนรู้จักเจียมตน
แต่วันรุ่งขึ้น ผมเห็นภาพสีเต็มหน้าหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และภาพสีในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่า นายกรัฐมนตรีเข้าไปเป็นประธานประกอบพิธีศาสนาในโบสถ์วัดพระแก้ว แถมยังแต่งตัวแบบลำลอง นั่งบนพรมสีแดง มีเจ้าหน้าที่เข้าไปก้มศีรษะมอบเครื่องกรวดน้ำให้
ผมไม่เคยเห็นภาพอย่างนี้มาก่อนในชีวิต
เห็นแต่องค์พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์แต่งฉลององค์ด้วยเครื่องราชอิสริยยศเท่านั้น
หลายคนเอาภาพนี้มาให้ดูกัน และคิดกันเอาเอง ทำให้ผมนึกในใจว่า ขณะนี้บ้านเมืองเกิดอาเพศขึ้นมาแล้วหรือ ?
อย่างที่โบราณกล่าวความตอนหนึ่ง ไว้ว่า “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม” ผมดูแล้วใจหดหู่มากครับ
ที่คุณสนธิกล่าวสาปแช่งไว้ตอนใกล้จะปิดรายการ ผมว่ามันยังน้อยไป
คุณสนธิพูดเรื่อง เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ หากจำได้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีเรื่อง ผักสวนครัว รั้วกินได้ มีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการมาขอสัมภาษณ์ความคิดเห็นจากผม ผมพูดไว้ตอนหนึ่งว่า
“ถ้าเอาเรื่องจริง ๆ อาจไม่มีคุกจะใส่พอ”
คนในเกษตร โกรธผมมาก ถึงกับกล่าวว่า ”เกิดในเกษตรแท้ ๆ พูดยังงี้ได้ยังไง ?” ผมไม่อยากโต้เถียง เพราะถือว่าพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ”ถ้าไม่รักกันจริง ก็ไม่พูดตรง ๆ”
แต่การที่มีคนกลุ่มหนึ่งพูดว่า เกิดในเกษตรแท้ ๆ พูดได้ยังไง ? มันสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของคนในเกษตรส่วนมาก ถือพวกมาตั้งแต่อยู่ในระบบการจัดการศึกษาแล้ว ยิ่งมาโดนนักการเมืองสมัยนี้ด้วย ยิ่งช้ำหนัก
ผมเคยตอบคำถามโทรทัศน์หน้าอนุสาวรีย์สามบูรพาจารย์ ที่เขาถามว่า อาจารย์รักเกษตรหรือเปล่า ?
ผมตอบ รักสิครับเพราะเป็นของพื้นฐานแผ่นดินไทย แต่ผมไม่ใช่พวกเกษตร ?
ใครจะคิดได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ครับ แต่มันเป็นมานานแล้ว จึงทำให้ปัญญามืดบอด ไม่ยังงั้นชีวิตเกษตรกรจะดีกว่านี้มาก
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ระพี สาคริก
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก