แฉซ้ำรมต.พลังงานไฟเขียวลอยตัวก๊าซเอื้อปตท.ฟันกำไร
โดย ผู้จัดการออนไลน์ | 6 ธันวาคม 2550 12:43 น. |
![]() |
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สหพันธ์คุ้มครองผู้บริโภคระบุว่า ตนและภรรยา มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการถือหุ้นในกิจการพลังงานว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ในคำชี้แจงต่อศาลปกครองสูงสุดกรณีการพิจารณาคดีการเพิก ถอนการแปรรูปปตท.จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในฐานะที่สหพันธ์ฯเป็น โจทย์จึงทราบดีทุกอย่างว่าได้มีการขายหุ้นไปหมดแล้ว
“ผมได้ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับ เรื่องการจัดการหุ้นต่อศาลปกครองสูงสุด และขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ จึงยังไม่อยากระบุรายละเอียดมากนัก ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีทั้งหมดเสร็จสิ้น รายละเอียดทั้งหมดก็จะปรากฏในคำตัดสิน และเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบซึ่งการที่ออกมาระบุเช่นนี้ก็ไม่ทราบ ถึงเหตุผลที่แท้จริง”นายปิยสวัสดิ์กล่าว
ทั้งนี้หลังจากที่ตนได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2549 ได้สองวัน ได้โอนหุ้นทั้งหมด ทั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจการพลังงาน และไม่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบริหารจัดการในรูปของกองทุนส่วนบุคคล ตามสัญญาจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2549 โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมว่ากองทุนส่วนบุคคลดังกล่าวจะต้องไม่ถือหุ้น ในธุรกิจที่มีสัญญา สัมปทานหรือข้อผูกพันกับรัฐ
ต่อมาผู้จัดการกองทุนฯ ได้ดำเนินการขายหุ้นทั้งหมดที่อาจมีสัญญากับรัฐ โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ได้ดำเนินการขายหุ้นทางด้านพลังงาน และบริษัทอื่นที่มีสัญญากับรัฐ และครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2549 ได้ดำเนินการขายหุ้นในส่วนที่เหลือ ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่หุ้นของบริษัทที่ไม่มั่นใจว่าจะมีสัญญากับรัฐหรือไม่ แต่เพื่อความสบายใจ จึงขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เพราะต้องการให้เกิดความโปร่งใสที่สุด โดยรายละเอียดทั้งการถือครองหุ้น และการขายหุ้นทั้งหมดที่เกิดขึ้น ได้รายงานให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามหนังสือลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549
** แจงปรับก๊าซหุงต้มแก้ไขระยะยาว
สำหรับกรณีที่มองว่าการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มและราคาพลังงานเพื่อ ปั่นราคาหุ้นนั้น ต้องเข้าใจว่าราคาน้ำมันนั้นอิงกับตลาดโลก ไทยต้องนำเข้า ส่วนของกรณีการปรับราคาก๊าซหุงต้มเป็นการปรับโครงสร้างราคาให้สะท้อนความ เป็นจริงที่จะสามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวได้ เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้มกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน มาอุดหนุนราคา ทำให้โครงสร้างบิดเบือนจากข้อเท็จจริง
ขณะที่ราคาก๊าซหุงต้มในตลาดโลกปรับขึ้นไปถึง 740 เหรียญต่อตัน แต่ไทยกำหนดราคาไม่เกิน 320 เหรียญต่อตัน โดยมีกองทุนฯอุ้มอีก 1.20 บาทต่อกก. ทำให้มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ด้วยการนำไปใช้ในรถยนต์จนสูงขึ้นผิดปกติ และหากปล่อยไว้เช่นนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้าไทยจะต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนกว่านี้
*** จวกปชป.ถ้าเป็นรัฐบาล99วันลดราคาได้
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าจะมีการลดราคาก๊าซหุงต้มลงหาก เป็นรัฐบาลภายใน 99 วัน ซึ่งต้องการฝากไว้ว่าจะทำอะไรควรมองประเทศในระยะยาว การปรับราคานั้นหากไม่ได้มองระยะยาวจริงรัฐบาลนี้ก็คงไม่ทำหรอก เพราะดำเนินการไปก็ถูกด่า แต่การลดราคาใครๆ ก็ทำได้เพราะเท่ากับเป็นการดำเนินการระยะสั้นๆ แล้วก็ทิ้งปัญหาระยะยาวไว้เช่นกรณีที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาสร้างหนี้น้ำมัน ไว้เกือบ 5 หมื่นล้านบาทรัฐบาลชุดนี้ก็ต้องมาแก้ไขเช่นกัน
“การลดราคาก๊าซหุงต้มถ้าจะเป็นรัฐบาลแค่ 99 วันแล้วที่เหลืออีก 3 ปีกับ 266 วันเป็นฝ่ายค้านก็ทำได้ถ้าคิดแบบสั้นๆ” นายปิยสวัสดิ์กล่าว
***องค์กรผู้บริโภคท้าแจงให้เคลียร์
ทาง ด้านนางรสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวถึงการออกมาชี้แจงของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานที่ว่าเวลานี้ได้ขายหุ้น ออกไปหมดแล้วนั้น ตนเองก็อยากถามว่า หุ้นที่ขายไปนั้นเฉพาะในส่วนของนายปิยสวัสดิ์ แต่ภรรยายังถืออยู่ใช่หรือไม่ และเป็นการขายเฉพาะในส่วนที่ถือหุ้นโดยตรงในบริษัทหรือในส่วนที่ลงทุนผ่าน กองทุนต่างๆ ด้วย นอกจากนั้น ยังมีกองทุนส่วนตัวที่ไม่เปิดเผยซึ่งส่วนนี้ได้ลงทุนในหุ้นพลังงานหรือไม่ แล้วขายไปหมดแล้วหรือยัง
นางรสนา กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่รัฐมนตรีปิยสวัสดิ์ บอกว่าขายหุ้นไปหมดแล้ว ส่งให้ป.ป.ช.ไปแล้ว แต่ป.ป.ช.ยังไม่ได้เปิดเผย เรื่องนี้หากรัฐมนตรีมีความจริงใจ แสดงถึงความโปร่งใสไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ไม่ต้องรอป.ป.ช.เปิดเผย แต่ควรชี้แจงออกมาให้สังคมได้รับรู้ เพราะมีข้อมูลที่ชวนให้สังคมสงสัย ก่อนนี้สมัยรัฐบาลทักษิณ เราบอกว่าเป็นรัฐบาลที่มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ดังนั้นรัฐมนตรีชุดใหม่ที่เข้ามาก็ควรแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส มีบรรทัดฐานแตกต่างจากรัฐบาลทักษิณด้วย
“การ ชี้แจงเรื่องการขายหุ้นของรัฐมนตรีปิยสวัสดิ์และภรรยาไม่ต้องรอการตัดสิน คดีปตท.ของศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องการถือหุ้นของรัฐมนตรีและภรรยาไม่เกี่ยวกับคดี ที่สำคัญผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ เป็นบุคคลสาธารณะต้องตรวจสอบได้ ไม่ใช่เป็นการกล่าวหาใส่ร้าย” นางรสนา กล่าว
***ลอยตัวก๊าซสูบเลือดประชาชน
กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค ยังตั้งคำถามถึงการปล่อยลอยตัวราคาก๊าซว่า ปกติแล้วในต่างประเทศที่มีก๊าซของตนเองจะบริหารจัดการสองแนวทาง ทางหนึ่งคือขายก๊าซราคาต่ำให้กับคนในประเทศ เปรียบเหมือนผลไม้ในสวนของตนเองที่ต้องได้ราคาถูก ทางหนึ่งคือขายในประเทศราคาแพง แต่เอาส่วนต่างมาตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาชาติ เป็นสวัสดิการสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนายปิยสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีพลังงานไม่เอาทั้งสองแนวทาง การอนุญาตให้ขึ้นราคาโดยปล่อยลอยตัวค่าก๊าซ จึงมีข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำที่ส่งผลให้ปตท.ได้ประโยชน์ แต่ซ้ำเติมผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่
นางรสนา ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในต่างประเทศแนะนำให้มีการใช้ก๊าซแอลพีจีกับรถยนต์ แต่ในไทยกลับไม่แนะนำ รัฐบาลได้หันไปสนับสนุนการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งผูกขาดโดยปตท. และเมื่อการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศลดลง ปตท.ก็นำไปส่งออกซึ่งได้ราคาดีกว่าเกือบเท่าตัว ทั้งที่ก๊าซเป็นทรัพยากรของประเทศที่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ในราคาถูก
***ล้วงเงินกองทุนฯจ้างขาประจำ
กรรมการ สหพันธ์ผู้บริโภค ได้ตั้งคำถามถึงการใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เพราะกองทุนนี้มาจากเงินภาษีของประชาชน การนำเงินกองทุนไปใช้แต่เดิมมีคณะกรรมการเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ตอนนี้การตัดสินใจใช้เงินกองทุนขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคนเดียวหรือไม่ การว่าจ้างบริษัทที่มาทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ มีการเปิดประมูล แข่งขันกันเสนองานหรือไม่ หรือใช้วิธีพิเศษจ้างบริษัทขาประจำที่ผูกกันมานมนาน เป็นเรื่องที่ประชาชนไม่เคยรับรู้ข้อมูล ซึ่งเป็นปมผลประโยชน์ทับซ้อนที่รัฐมนตรีต้องชี้แจงต่อสังคมด้วย
“ส่วนกองทุนน้ำมันที่เก็บจากประชาชนนั้น ไม่มีความชัดเจนว่าหนี้กองทุนน้ำมันที่นำไปชดเชยเบนซิน ดีเซล หมดแล้วหรือยัง เพราะตอนนี้ยังเก็บอยู่ถึง 4 บาท การใช้เงินกองทุนน้ำมันจะนำไปชดเชยอะไรก็ควรจะบอกต่อสังคมด้วยไม่ใช่คิด อยากจะทำอะไรก็ทำ” นางรสนา กล่าว
***จวกปตท.ฟาดกำไรก๊าซ-น้ำมันเกินจริง
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายชอบ อ่อนอำไพ และพท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี แกนนำเครือข่ายอนุรักษ์พลังงานเพื่อประชาชน เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้นโยบายพลังงงานที่ไม่เป็น ธรรมในการขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มให้กับ นต.ประสงค์ สุ่นสิริ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักการเมืองข้า ราชการและประชาชน โดยระบุว่า ปัจจุบันประชาชนเดือดร้อนกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงจากราคาพลังงานที่ขยับ แพงขึ้นทันทีหลายเท่าตัว
แกน นำเครือข่ายอนุรักษ์พลังงานฯ ได้แสดงเจตนารมณ์ข้อเรียกร้อง 3 ข้อใหญ่ ดังนี้ เรื่องแรก ให้ยกเลิกการประกาศราคาน้ำมันลอยตัว เรื่องที่ 2 ให้ยกเลิกการลอยตัวราคาก๊าซ เพื่อยกเลิกการขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ในเดือน ธ.ค.นี้ และเรื่องที่ 3 ขอให้เปิดเผยข้อเท็จจริง สู่สาธารณะในประเด็น ต้นทุนและแหล่งที่ซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศ โดยให้บอกเป็นบาทต่อลิตร
นอกจากนี้ ยังต้องบอกวิธีกำหนดราคาที่ละเอียดว่า ทำไมต้องขึ้นราคาน้ำมัน ทั้งๆ ที่บางครั้งต่างประเทศ ลดราคาน้ำมันดิบ ให้รัฐบาลบอกปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดในประเทศว่ามีสัดส่วนเท่าใด และคิดราคาต้นทุนอย่างไร และการชี้แจงว่ากองทุนน้ำมันเหลือเท่าไร นำไปใช้ด้านใดบ้าง ถือเป็นส่วนต่างที่ทำให้ ปตท.มีผลกำไรปีละหลายหมื่นล้าน กอบโกยผลประโยชน์บนหลังคนไทย
นายชอบ กล่าวว่า เครื่อข่ายฯ ยังขอเรียกร้องให้มีการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อนุญาตให้นายปิยสวัสดิ์ อัมรนันท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นบุคคลเดียวที่สามารถสั่งอนุญาต และเซ็นสัญญามอบสัมปทานพลังงานให้เอกชนรายใดก็ได้ รวมถึงให้รัฐบาลเปิดเสรีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป โดยไม่ต้องผ่านศูนย์กลางพลังงานภูมิภาค (ฮับศรีราชา) ที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ถือหุ้นร่วมด้วย เพื่อตัดค่าใช้จ่ายคนกลางออกจากระบบ
รวมถึงให้มีตัวแทนภาคประชาชน เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในสัดส่วน 1 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามที่คณะกรรมกลางบว่าด้วยสินค้าและบริการ(กกร.) ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประกาศให้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสินค้าควบคุม ให้ทำหน้าที่ควบคุม ราคาการกลั่น โดยกำหนดราคาค่าการกลั่นไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร
“ทาง เครือข่ายฯ จะร่วมมือกันส่งสำนวนฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองวินิจฉัย และให้ความเป็นธรรมเรื่องราคาพลังงานกับประชาชนต่อไป เพราะตั้งแต่ปี 2544 ที่มีการแปรรูป ปตท. ไปเป็น บมจ.ปตท.รวมระยะเวลา 7 ปี ราคาน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซิน -ดีเซล) ตลาดโลกขายกัน ประมาณ 17-20 บาทต่อลิตร เท่านั้น แต่รัฐบาลไทยและรัฐบาลไทยและ ปตท.ขายน้ำมันให้คนไทยใช้กันในราคา ลิตรละ 29-33บาท ประเทศ สิงคโปร์ค่าแรงงานวันละ 2,000 บาท บริโภคน้ำมันลิตรละ 20 บาท แต่ประเทศไทยค่าแรงวันละ 130 บาท ต้องใช้น้ำมันแพงลิตรละ 33 บาท ” นายชอบ กล่าวสรุปทิ้งท้าย
ที่มา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก