เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 13, 2550

บทสรุป “ปตท.” ส่อซ้ำรอย “กฟผ.”!!

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 ธันวาคม 2550 19:45 น.

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและองค์กรเครือข่าย ยื่นศาล ปค.สูงสุดให้เพิกถอนการแปรรูป ปตท.เมื่อ 31 ส.ค.49

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
พ.ต. ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกฟ้องต่อศาลปกครองกรณีแปรรูป ปตท. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณปัดความรับผิดชอบตั้งแต่กรณี กฟผ.ถูกศาลฯ สั่งเพิกถอนการแปรรูปแล้วว่า เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค

วิเศษ จูภิบาล อดีต รมว.พลังงานก็ถูกฟ้องต่อศาลปกครองฯ กรณีแปรรูป ปตท.และถูกระบุด้วยว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการแปรรูป ปตท.

มนู เลียวไพโรจน์ อดีต ปธ.กก.เตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ถูกระบุว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนในการแปรรูป ปตท.เช่นกัน เพราะถือหุ้นอยู่ใน ปตท.

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กก.ผจก.ใหญ่ ปตท.อ้าง หาก ปตท.ถูกเพิกถอนออกจากตลาดฯ จะทำให้มูลค่าตลาดรวมหายไป 6 แสนล้าน

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ คกก.กำกับหลักทรัพย์ฯ อ้าง เมื่อ ปตท.แปรสภาพแล้ว ไม่น่าจะถอยหลัง

ราย ชื่อผู้ถือหุ้น ปตท.ณ ปัจจุบันลดจำนวนลงจากเมื่อเดือน ก.ย.49 แถมจำนวนหุ้นที่รัฐถืออยู่ก็ลดลง ขณะที่บริษัทนอมินีจากต่างประเทศกลับถือหุ้นมากขึ้น

อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

นาที ตัดสินอนาคต ปตท.ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว งานนี้ต้องวัดใจศาลปกครองสูงสุดว่าจะใช้บรรทัดฐานการตัดสินคดีเพิกถอนการ แปรรูป กฟผ.มาเป็นหลักในคดีนี้หรือไม่? เพราะหากดูกระบวนการในการแปรรูป ปตท.แล้ว จะพบว่า หลายจุดมีปัญหาส่อว่าขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกับที่ศาลปกครอง ได้เคยชี้ในกรณี กฟผ.มาแล้ว จะต่างกันก็เพียงว่า กฟผ.ยังแปรรูปไม่เสร็จ ก็ถูกเพิกถอนเสียก่อน แต่ ปตท.แปรรูปไปเรียบร้อยแล้ว จุดนี้เองที่ทำให้บางฝ่ายสบช่องยกมาขู่ว่า หาก ปตท.ถูกเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น จะส่งผลกระทบต่อตลาดฯ อย่างใหญ่หลวง ...ต้องจับตาว่า คำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ จะยึด กม.เป็นหลัก หรือยึดหลัก “เลยตามเลย”


ปฏิบัติการทวงคืนทรัพย์สินของชาติ ให้กลับคืนเป็นของแผ่นดินโดยองค์กรภาคประชาชนอย่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หลัง ปตท.ส่อว่าถูกรัฐบาลทักษิณแปรรูปโดยมิชอบ เช่นเดียวกับ กฟผ.ที่ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาเมื่อวันที่ 23 มี.ค.2549 ว่า ครม.ทักษิณ ออก พ.ร.ฎ.เพื่อแปรรูป กฟผ.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2 ฉบับ (พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต พ.ศ.2548 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2548) ศาลฯ จึงได้มีคำสั่งเพิกถอน พ.ร.ฎ.ดังกล่าว ซึ่งผู้ที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับความผิดพลาดในการออก พ.ร.ฎ.แปรรูป กฟผ. ก็คือ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร), สำนักนายกฯ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล), กระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรี แต่กรณีดังกล่าวหาได้มีความรับผิดชอบจากผู้ใดไม่? โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รีบปัดความรับผิดชอบด้วยการอ้างว่า นั่นเป็น “ความผิดพลาดทางเทคนิค”!?!

ทั้งที่ไม่น่าจะมีส่วนไหนเข้าข่ายผิดพลาดทางเทคนิคได้ แต่น่าจะเข้าข่ายเจตนาให้เป็นเช่นนั้นมากกว่า สังเกตได้จากการที่ศาลปกครองได้ชี้ว่า การตั้งนายโอฬาร ไชยประวัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทั้งที่ นายโอฬาร เป็นกรรมการใน บ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) ที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักในเอไอเอส เท่ากับมีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะกิจการของ กฟผ.ประกอบด้วยเส้นใยแก้วนำแสง เอไอเอสจึงเป็นนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ กฟผ.ดังนั้น คำสั่งแต่งตั้ง นายโอฬาร จึงขัดต่อกฎหมายและมีสภาพอันร้ายแรง ส่งผลให้การกระทำใดๆ ก็ตามของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต มีอันต้องโมฆะหรือไม่มีผลทางกฎหมายนั่นเอง!

ซึ่งกรณีของการแปรรูป ปตท.ก็มีลักษณะการแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นเดียวกับ กฟผ.โดยคำฟ้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า มีกรรมการบางคนในคณะกรรมการดังกล่าวถือหุ้นอยู่ใน ปตท.ด้วย คือ นายวิเศษ จูภิบาล อดีตกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.และนายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตประธานกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ซึ่งถือว่าเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542

นอกจากการตั้งคณะกรรมการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว กระบวนการจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนก่อนการแปรรูปของ ปตท.ก็ยังส่อขัดต่อระเบียบและกฎหมายเช่นเดียวกับ กฟผ.ด้วย โดยกรณีแปรรูป กฟผ.นั้น ศาลปกครอง ชี้ว่า การตั้งนายปริญญา นุตาลัย ให้เป็นประธานกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการแปร รูป กฟผ.เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม เพราะ นายปริญญา ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทางกฎหมายถือว่า เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ขณะที่การจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการแปรรูป กฟผ.ก็ไม่ถูกต้องตามระเบียบ เพราะแทนที่จะใช้วิธีประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยฉบับเดียวกันติดต่อ กัน 3 วัน กลับประกาศในหนังสือพิมพ์แยกเป็น 3 ฉบับ ฉบับละ 1 วัน

ส่วนการรับฟังความเห็นประชาชนกรณีแปรรูป ปตท.นั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า คณะกรรมการก็มิได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยนอกจากจะมีการจำกัดจำนวนไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างกว้างขวางตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจว่าด้วยการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2543 แล้ว ยังไม่ประกาศให้ทราบทางหนังสือพิมพ์รายวันฉบับเดียวกันติดต่อกัน 3 วัน แต่กลับใช้วิธีประกาศในหนังสือพิมพ์รายวัน 2 ฉบับๆ ละ 1 วัน!?!

นี่ยังไม่รวมถึงว่า กระบวนการแปรรูป ปตท.ก็ขัดกับ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะตามขั้นตอนแล้ว การจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจใดให้เปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบบริษัท ให้คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจเสนอความคิดเห็นต่อ ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติ หาก ครม.อนุมัติ จึงค่อยมีการตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทและคณะกรรมการรับความ เห็นประชาชนต่อไป แต่กรณีแปรรูป ปตท.นี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคชี้ว่า คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ได้ตั้งขึ้นและดำเนินการเรื่องต่างๆ ก่อนที่ ครม.จะอนุมัติให้แปรรูป ปตท. โดย ครม.มีมติเห็นชอบให้มีการแปรรูป ปตท.เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2544 แต่คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ได้ถูกตั้งขึ้นก่อนแล้วและประชุมดำเนินการเรื่องต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.2544

นั่นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของความคล้ายกันในการแปรรูป ปตท.และ กฟผ.ที่มีหลายจุดส่อว่าน่าจะขัดต่อกฎหมายเหมือนกัน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นำโดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง,น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค,น.ส.สายรุ้ง ทองปลอน ผู้จัดการสหพันธ์องค์กรเพื่อผู้บริโภค ฯลฯ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2549 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกฯ, นายวิเศษ จูภิบาล รักษาการรัฐมนตรีพลังงาน และคณะรัฐมนตรี ออก พ.ร.ฎ.แปรรูป ปตท.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท.(มหาชน) พ.ศ.2544 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544 เพื่อแปรรูป ปตท.ตามมติ ครม.วันที่ 21 ส.ค.2544 ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 จึงขอให้ศาลฯ เพิกถอน พ.ร.ฎ.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว

หลังศาลปกครองมีคำสั่งรับฟ้องในวันที่ 4 ก.ย.รัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องในขณะนั้นต่างออกมาชี้ถึงสารพัดผลเสียหากศาล ปกครองเพิกถอนการแปรรูป ปตท.โดย นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ได้ทำหนังสือชี้นำศาลปกครอง ว่า หากถอน ปตท.ออกจากเป็นบริษัทจดทะเบียน หรือถอนออกจากตลาดฯ จะส่งผลกระทบในวงกว้างและร้ายแรงต่อตลาดหุ้น เพราะ ปตท.เป็นหลักทรัพย์ที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ ขณะที่ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.อ้างว่า ปตท.ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 68% และว่า หาก ปตท.ถูกเพิกถอนออกจากตลาดฯ จะทำให้มูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) หายไปประมาณ 6 แสนล้าน จากมาร์เก็ตแคปตลาดรวมที่ 5 ล้านล้าน

ด้าน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อ้างในขณะนั้นว่า ปตท.แปรสภาพเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว ไม่น่าจะถอยหลัง และว่า ถ้าให้ ปตท.เข้ามาเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง จะมีมาตรการอะไรรองรับ เพราะมีการกระจายหุ้น ปตท.ให้นักลงทุนต่างประเทศด้วย และหากถอนหุ้น ปตท.ออกจากตลาดฯ คาดว่า ปตท.ต้องใช้เงินถึง 3.6 แสนล้าน เพื่อทำคำเสนอซื้อหุ้นจากรายย่อย(เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ในราคาหุ้นละ 272 บาท ผิดกับช่วงที่นำหุ้น ปตท.เข้าตลาดฯ ที่ได้เงินมาเพียง 2.8 หมื่นล้านเท่านั้น (ขณะนั้นราคาหุ้นละ 34-35 บาท)

ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ในฐานะกรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค ชี้ถึงสาเหตุที่ ปตท.ควรถูกเพิกถอนการแปรรูป ว่า เพราะกระบวนการแปรรูป ปตท.ไม่ถูกต้อง เนื่องจากแปรรูปโดยไม่แยกท่อก๊าซ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติออกมา แถมยังกำหนดให้บริษัท ปตท.ที่แปรรูปแล้วผูกขาดการใช้ประโยชน์อยู่รายเดียว รวมทั้งไม่มีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาควบคุมราคาน้ำมันให้เป็นธรรมกับ ผู้บริโภคด้วย

“ประเด็นของ ปตท.ก่อนที่เขาจะเปิดขาย IPO (การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก) เขามีหนังสือชี้ชวนให้คนมาซื้อหุ้น ก็มีระบุว่า ภายใน 1 ปี ปตท.จะแยกท่อส่งก๊าซให้เป็นอิสระ และจะตั้งกรรมการที่เป็นอิสระ ที่จะมาควบคุมเรื่องราคาให้เป็นธรรมกับผู้บริโภค ทีนี้หลังจากที่ ปตท.แปรรูปมา 4-5 ปี 2 ข้อนี้ก็ไม่ได้ทำเลย เมื่อไม่ได้ทำ ทาง ปตท.เขาก็อ้างว่า มติของ ครม.เปลี่ยนไปจากที่ตอนแรกเคยคิดจะใช้วิธีการ Power Pool คือหมายถึงว่า แยกท่อก๊าซเป็นอิสระ แล้วก็เปิดให้ใครสามารถที่จะมาใช้ท่อก๊าซ คือจะไม่มีการผูกขาดตรงนี้ แต่ปรากฏว่า ในภายหลังรัฐมนตรีพลังงาน สมัยคุณหมอพรหมินทร์ (เลิศสุริย์เดช) ก็บอกว่า มีมติ ครม.บอกว่า เปลี่ยนจากระบบอันนี้มาเป็น Enhance Single Buyer คือ ผูกขาดรายเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อผูกขาดรายเดียวปุ๊บ ปตท.ก็ไม่ได้แยกท่อส่งก๊าซให้เป็นอิสระ หรือถึงแม้เวลานี้บอกว่า จะแยกเป็นอิสระ แต่แยกออกมาแล้ว ท่อส่งก๊าซก็ยังเป็นทรัพย์สินของบริษัท ปตท.เหมือนเดิม มันก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรในสิ่งที่เราคิดไว้ว่า จริงๆ ท่อส่งก๊าซมันเป็นสมบัติสาธารณะ เป็นสมบัติของชาติ และมันมีลักษณะของการผูกขาดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณจะแปรรูป การแปรรูปก็ควรจะเป็นในหลักการที่ว่า เพื่อที่จะทำให้เกิดการแข่งขัน แข่งขันแล้วก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ราคาสำหรับผู้บริโภคก็จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม”

“ทีนี้ปรากฏว่า เมื่อการแปรรูปอันนี้ มันเป็นการแปรรูปแบบขายทั้งกระบิ พอขายทั้งกระบิ ก็คือ เท่ากับเป็นการโอนอำนาจผูกขาดของรัฐไปอยู่ในมือของบริษัทด้วย ซึ่งตรงจุดนี้จะบอกว่าทำให้ ปตท.มีประสิทธิภาพมากขึ้น มันก็ไม่จริง คือ มันอาจจะเป็นผลดีเฉพาะกับส่วนของผู้ถือหุ้น หรือผู้ลงทุน คือ ราคาก็จะได้กำไรเยอะ แต่ในขณะที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคล่ะ เราต้องรับภาระทุกอย่าง ก็คือ ไม่ว่าธุรกิจของเขา จะบริหารมีปัญหาอะไรก็ตาม ลงทุนยังไงแล้วเกิดปัญหา มันก็จะโยนทุกอย่างมาให้กับประชาชน ทีกำไรเนี่ยเขาประกันไว้ให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเขาอาจจะอ้างว่า โอเค.การถือหุ้น รัฐถือหุ้นใหญ่ ถึงยังไงโดยสัดส่วนตรงนี้ รัฐก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้ามองจุดนี้ เราก็เห็นว่า ปัญหาคือ ที่รัฐควรจะได้ มันต้องเป็นเรื่องการที่ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยทั่วไปด้วย ราคาต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม มันต้องมีองค์กรอื่นที่เป็นตัวกลาง ที่จะมาควบคุมตรงนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่มี”


น.ส.รสนา ยังชี้ด้วยว่า การที่ราคาหุ้น ปตท.พุ่งทะลุทะลวงจากราคาแรกซื้อ 35 บาท เป็น 300-400 บาท ก็เพราะรัฐบาลทักษิณมั่วนิ่มเปลี่ยนนโยบาย ยกท่อก๊าซที่เป็นสมบัติของชาติให้กับ ปตท.ดังนั้น ประเด็นที่เครือข่ายผู้บริโภคพยายามต่อสู้เพื่อให้มีการเพิกถอนการแปรรูป ปตท.ก็คือ มีการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาลทักษิณในการแปรรูป ปตท.

“ประเด็น ที่เราพยายามต่อสู้ คือ คดีนี้มีการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาลที่แล้ว เพราะตอนที่มีการแปรรูป ปตท.ก็มีการระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ว่า ใน 1 ปีจะมีการแยกท่อก๊าซซึ่งเป็นอำนาจสิทธิขาดที่ยกให้เอกชน คือ ปตท.ให้เป็นอิสระ ช่วงนั้นมีการกำหนดราคาหุ้น(ปตท.) ทั้งหลายก็ไม่สุจริต ราคาหุ้นแรกซื้อ 35 บาท ซึ่งผู้ซื้อรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้รวมท่อก๊าซด้วย (หุ้นจึงราคาถูก) แต่ปรากฏว่า ผ่านไป 1 ปี รัฐบาล (ทักษิณ) มั่วนิ่มเปลี่ยนนโยบาย ยกท่อก๊าซนั้นให้ ปตท.ไปเลย ทำให้หุ้นพุ่งทะลุทะลวงขึ้นไป จาก 35 บาท สูงสุดที่ 410 บาท ซึ่งจุดนี้ทำให้ ปตท.ได้กำไรที่ไม่ควรจะได้ เพราะกำไรของ ปตท.ส่วนใหญ่แล้วมาจากก๊าซ ดูงบการเงินรวมของ ปตท.9 เดือนของปีนี้ ปรากฏว่า มีกำไรสุทธิ 7 หมื่นล้าน ในจำนวนนั้นเป็นกำไรที่มาจากก๊าซสูงมาก”

น.ส.รสนา ยังยืนยันด้วยว่า ตนไม่เคยพูดว่า ถ้าเพิกถอนการแปรรูป ปตท.แล้ว ราคาน้ำมันจะถูกลงเหมือนในอดีต แต่ตนมั่นใจว่า ถ้าราคาน้ำมันของไทยไม่อิงตลาดสิงคโปร์ และ ปตท.คิดราคาที่เหมาะสม โดยลดกำไรที่โรงกลั่นลง ราคาน้ำมันจะถูกลงได้

“คือ น้ำมันเนี่ย กำไรส่วนใหญ่อยู่ที่โรงกลั่นนะ ไม่ได้อยู่ตรงการขายปลีก จุดของการขายปลีกอาจจะไม่ได้กำไรมาก อย่างที่เขาพูดกันน่ะว่า เขายังขาดทุนค่าการตลาด แต่ส่วนของโรงกลั่น ไปดูตัวเลขของโรงกลั่น คือ ตัวเลขมันขึ้นอยู่กับว่า เราจะเอาฐานกันจุดไหน ตอนนี้เวลานี้เราใช้ฐานของสิงคโปร์ ทำไมเราไม่ใช้ฐานดูไบ พวกเราไม่ได้คิดนะว่า เรื่องแบบนี้ พอไปเพิกถอนแล้ว น้ำมันมันจะถูกลงไปเหมือนในอดีต มันไม่ใช่ ก็ไม่ได้คิดแบบนั้น เราคิดว่า น้ำมันควรจะมีราคาที่ยุติธรรม ไอ้ยุติธรรม หรือเหมาะสม มันต้องดูตรงนี้ด้วยว่า กำไรของคุณเนี่ยเท่าไหร่ มันต้องไปดูตรงจุดนั้น และราคาจริงๆ ควรจะเป็นเท่าไหร่ และถ้าหากมันเป็นของรัฐ กำไรเหล่านี้มันก็จะเข้าสู่รัฐนะ เราจะซื้อแพงไปบ้าง แต่มันก็กลับเข้ามาเป็นภาษีเป็นเงินได้ของแผ่นดิน ซึ่งก็จะกลับมา สำหรับการที่จะมาลงทุนในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์สาธารณะเหมือนกัน ประเด็นของเรามันอยู่ที่ว่า “สมบัติสาธารณะมันควรจะเป็นประโยชน์กับประเทศ ไม่ใช่เอาสมบัติสาธารณะไปเป็นประโยชน์กับเอกชน” หลักการของเรามีแค่นี้”

ส่วนกรณีที่ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.อ้างว่า ถ้าถอน ปตท.ออกจากตลาดฯ แล้ว จะทำให้มาร์เก็ตแคปหายไป 6 แสนล้านนั้น น.ส.รสนา บอก อย่าเพิ่ง “ตีตนไปก่อนไข้” เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า ต้องใช้ทฤษฎี “เลยตามเลย” ทั้งที่สิ่งสำคัญ คือ เราควรทำให้ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนที่ นายประเสริฐ อ้างว่า ขณะนี้ ปตท.ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะรัฐถือหุ้นอยู่ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม 68% นั้น น.ส.รสนา ตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วกระทรวงการคลังถือหุ้นใน ปตท.แค่ 52% เท่านั้น อีกส่วนหนึ่งจำนองไว้กับกองทุนรวมวายุภักษ์ จึงอยากถามว่า เงินส่วนนั้นเอาไปไหน? และว่า หาก ปตท.ไม่ถูกแปรรูป กำไรที่ได้ก็จะตกแก่รัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 100% แต่ตอนนี้บริษัท ปตท.ที่แปรรูปแล้ว กำลังทำให้ตัวเองอยู่ใน 2 สถานะ คือ เป็นทั้งเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองทั้งขึ้นทั้งล่อง

“รัฐ ที่ถือจริงๆ คือ กระทรวงการคลัง 52% แต่อีกส่วนหนึ่งเอาไปจำนองไว้ คือ กองทุนวายุภักษ์ เข้ามาซื้อ (15% กว่า) ซึ่งตรงจุดนี้ คุณ (ประเสริฐ บุญสัมพันธ์) จะบอกว่า รัฐถือหุ้นโดยทางตรงและทางอ้อม 68% คุณพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ปัญหาที่เราต้องตั้งคำถามว่า หุ้นที่ไปจำนองเอาไว้กับกองทุนวายุภักษ์ เงินเอาไปทำอะไร? เงินเอาไปไหน? และอีกอันหนึ่งคือ การที่รัฐถือหุ้นเป็นรัฐวิสาหกิจ มันก็ไม่ได้มีความหมายนะในการที่จะทำให้มาคุ้มครองผู้บริโภค แต่การเป็นรัฐวิสาหกิจทำให้เขาสามารถที่จะใช้สิทธิในฐานะความเป็น รัฐวิสาหกิจ เช่น ปตท.ผูกขาดขายก๊าซให้กับ กฟผ.100% กฟผ.ไม่มีสิทธิที่จะไปซื้อเชื้อเพลิงอย่างก๊าซจากที่อื่นที่ถูกกว่า ปตท.นะ โดยอ้างว่า คุณเป็นรัฐวิสาหกิจนี่แหละ เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ ก็คือ การเป็นรัฐวิสาหกิจนี้เราได้ประโยชน์หรือเปล่า หรือว่า การเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้รัฐวิสาหกิจนั้นสามารถเลือกใช้ประโยชน์จากแต่ละเรื่อง เช่น เวลาคุณเป็นบริษัทเอกชน คุณก็จะบอกว่า เฮ้ย! จะไปปรับราคานี่ไม่ได้ เพราะเราต้องคำนึงถึงผู้ลงทุน ต้องได้กำไรตามที่รับประกันเอาไว้ แต่พอจะบอกว่า งั้นคุณไม่ควรที่จะมาผูกขาดขายก๊าซให้กับ กฟผ.นะ เขาก็บอก ก็เราเป็นรัฐวิสาหกิจน่ะ เพราะเราเป็นรัฐวิสาหกิจด้วยกัน เพราะฉะนั้นคุณต้องซื้อจากรัฐวิสาหกิจด้วยกัน ราคาแพงหน่อย ก็ต้องซื้อ เพราะเราเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ความแพงเหล่านั้นมันก็ลงมาในกระเป๋าเราน่ะ คือประชาชนเนี่ย ผู้บริโภคคือ “ปลายน้ำ” จุดสุดท้ายเลยของกระบวนการทั้งหมด คุณจะบริหารขาดทุนยังไง เช่นคุณไปต่อท่อจากพม่ามา แล้วคุณไม่ได้ใช้เนี่ย ก็เราอีกนั่นแหละเป็นคนจ่าย คุณไปลงทุนอันโน้นอันนี้ มันไม่ได้ผล ก็เราอีกนั่นแหละรับจ่ายไป”

“ ธุรกิจทุกอย่างในโลกนี้นะ มันต้องมีความเสี่ยงบ้าง ถ้าคุณบริหารไม่ดี คุณก็ต้องขาดทุน แต่ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจไฟฟ้า มันเล่นรับประกันความเสี่ยงให้คนลงทุนเลยนะ คือ ไม่มีโอกาสจะขาดทุนเลย เพราะการที่คุณไม่มีโอกาสขาดทุน ก็คือ คุณก็ต้องมาเอาจากประชาชน เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ไง ถึงถามว่า คุณมีองค์กรที่มีความเป็นอิสระ เป็นกลางที่จะมาดูแลผู้บริโภคหรือไม่ ไม่มีนะ และที่จริงรูปแบบการแปรรูปเนี่ย เขามีกันตั้งหลายแบบ แต่รัฐบาลชุดนี้(รัฐบาลทักษิณ) เขาเลือกแบบนี้ เขาเลือกแบบขายโละเลย พร้อมอำนาจผูกขาดไปด้วยเลย อันนี้ต่างหากที่เราตั้งคำถาม ถ้าคุณไปแปรรูปโรงไฟฟ้าที่มันแข่งขันกันได้ คุณก็แปรไปสิ ประชาชนไม่ได้ว่านะ ถ้ามันแข่งขันกันได้ และมันมีประสิทธิภาพ ราคาเป็นธรรม ก็ทำไปเถอะ แต่เมื่อคุณแปรรูปแล้ว คุณไปผูกขาด กำไรเกิดขึ้นจากการผูกขาด อย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะ กำไรคุณต้องเกิดขึ้นจากการที่คุณมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่กำไรของคุณมาจากกระเป๋าของเรา(ประชาชน)โดยไม่เป็นธรรม”

น.ส.รสนา ยังทิ้งท้ายด้วยว่า สิ่งที่องค์กรผู้บริโภคทำ ไม่ว่าจะเป็นการทวงคืน ปตท.หรือ กฟผ.ก็ตาม ล้วนอยู่บนพื้นฐานของหลักการและข้อเท็จจริงที่ว่า สิ่งที่เป็นสาธารณสมบัติเป็นสิ่งที่โอนให้เอกชนไม่ได้ นอกจากนี้ การโอนสมบัติส่วนรวมให้เอกชน และกำไรเฉพาะผู้ถือหุ้น แล้วยังอ้างว่า รัฐถือหุ้นอยู่เกินกว่า 50% ก็เป็นสิ่งที่ฟังไม่ได้ เพราะสิ่งที่เป็นสาธารณสมบัติ กำไรทุกอย่างต้องคืนรัฐ 100% และสำหรับกรณี ปตท.ยังไม่ใช่แค่การโอนสมบัติชาติให้เป็นของเอกชนเท่านั้น แต่ยังให้สิทธิเอกชนนั้นใช้อำนาจรัฐไปลิดรอนสิทธิชาวบ้านได้ มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าเอกชนรายอื่นที่เป็นคู่แข่งได้ เท่ากับเป็น “ความไม่เสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย” ดังนั้น สิ่งที่องค์กรผู้บริโภคยื่นศาลปกครองให้เพิกถอน พ.ร.ฎ.แปรรูป ปตท.จึงเป็นความพยายามทำให้สังคมมีกติกาที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เป็นธรรมเฉพาะกับประชาชนหรือผู้บริโภคเท่านั้น แต่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการทั่วไปด้วย!!

*หมาย เหตุ* - เป็นที่น่าสังเกตว่า รายชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัท ปตท.ขณะนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรายชื่อเมื่อเดือน ก.ย.2549 โดยนอกจากจำนวนผู้ถือหุ้นได้ลดลงจาก 19 ราย เหลือเพียง 10 รายแล้ว (ลำดับที่ 11-19 หายไป) ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาผู้ที่ไม่ได้ถือหุ้น ปตท.แล้ว มีหน่วยงานของรัฐอย่าง “สำนักงานประกันสังคม และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ” รวมอยู่ด้วย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า จะมีหน่วยงานใดยอมทิ้งหุ้นที่สามารถฟันกำไรปีละนับแสนล้านอย่าง ปตท.ได้ ไม่แค่นั้น ยังน่าสังเกตด้วยว่า สัดส่วนหุ้นที่รัฐยังถืออยู่ใน ปตท.ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง หรือกองทุนรวมวายุภักษ์ กลับลดจำนวนลงจากเมื่อปี ’49 ขณะที่สัดส่วนหุ้นที่บริษัทต่างประเทศเข้ามาถือใน ปตท.กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกบริษัท โดยสาธารณชนไม่สามารถทราบได้ว่าบริษัทต่างประเทศดังกล่าวเป็นนอมินีของใคร หรือมีใครเป็นเจ้าของ?

รายชื่อผู้ถือหุ้น จำนวนหุ้นที่ถือปี’49 /จำนวนหุ้นที่ถือขณะนี้

1. กระทรวงการคลัง 52.47% /52.32%
2.กองทุนรวมวายุภักษ์ โดย บลจ.เอ็มเอฟซี 7.79% /7.77%
3.กองทุนรวมวายุภักษ์ โดย บลจ.กรุงไทย 7.79% /7.77%
4.HSBC(SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD 1.72% /1.97%
5.STATE STREET BAND AND TRUST COMPANY 1.34% /1.60%
6.NORTRUST NOMINEES LTD 1.16% /1.32%
7.HSBC BANK PLC-CLIENTS GENERAL A/C 1.10% /1.13%
8.CHASE NOMINEES LIMITED 42 1.02% /1.52%
9.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 0.92% /1.63%
10.MELLON BANK, N.A. 0.80% /1.07%

(รายชื่อลำดับที่ 11-19 ที่ถือหุ้น ปตท.เมื่อปี 49 แต่ปัจจุบัน รายชื่อหายไปแล้ว)

11.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 0.79% -------
12.สำนักงานประกันสังคม 0.79% -------
13.STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY
FOR AUSTRALIA 0.69% -------
14.CHASE NOMINEES LIMITED 1 0.68% -------
15.STATE STREET AND TRUST COMPANY,
FOR LONDON 0.67% -------
16.INVESTORS BANK AND TRUST COMPANY 0.64% -------
17.THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED 0.64% -------
18.BARCLAYS BANK PLC-RE EQUITIES 0.58% -------
19.GOVERNMENT OF SINGAPORE INVESTMENT
CORPORATION C 0.51% -------

ที่มา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก