สัญญาณล้างบางเครือข่ายโกง
โดย หมายเหตุผู้จัดการ 25 กรกฎาคม 2550 18:23 น.
.
ท่า ทีของข้าราชการประจำจะเป็นสัญญาณประการหนึ่งว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็น ประการใด เหมือนกับอาการที่ฝนจะตกหรือไม่ก็ย่อมสังเกตได้จากหมู่เมฆและลมบนฉะนั้น
นับแต่มีการยึดอำนาจโค่นระบอบเผด็จการทรราชเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้ว ปรากฏว่าความหวาดกลัวและความจำนนอยู่ในอำนาจของระบอบเผด็จการทรราชยังคงแผ่ ซึมซ่านไปทั่วทุกอณูของระบบราชการไทย
ใน ช่วงต้น ๆ และต่อมาร่วม 8 เดือน ส่วนราชการและข้าราชการเกือบทั้งหมดยังคงเข้าเกียร์ว่าง เพราะยังเกรงกลัวว่าอำนาจเผด็จการทรราชจะหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่กล้าทำหน้าที่อันพึงทำ ทั้งยังทำการบางอย่างในลักษณะที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อบรรดาซากเดนทรราชอยู่
กระทรวงการคลังนั่นแหละที่แสดงอาการและท่าทีดังกล่าวชัดเจนที่สุด และทำให้ปัญหามากหลายยังค้างคาราคาซัง ยังทำให้การกำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินทอดเวลาล่าช้ามาถึงวันนี้
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็ผันแปรไป มาถึงวันนี้ก็มีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นในวงราชการ นั่นคือข้าราชการได้เริ่มเข้าเกียร์เดินหน้าบ้างแล้ว เริ่มให้ความร่วมมือในการกำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินและอริราชศัตรูบ้างแล้ว โดยที่รัฐบาลหาได้มีความรู้สึกในประการนี้ จึงมิได้มีมติคณะรัฐมนตรีตามที่ คตส. ร้องขอแต่ประการใด
ท่าทีล่าสุดคือท่าทีที่เกิดขึ้นในธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นท่าทีที่เกิดขึ้นหลังจากการส่งคดีโกงที่รัชดาขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของนักการเมืองและหัวโจกอำนาจเก่าถูกดำเนินคดีอาญาถูกอายัดทรัพย์ไป แล้วหลายเรื่อง
นั่น คือการประเมินฐานะลูกหนี้และการจัดชั้นหนี้ของลูกหนี้บางรายที่เป็นลูกหนี้ ขนาดใหญ่และมีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นว่าเป็นกลไกในการโกงชาติ
นั่นคือท่าทีจากการแถลงของนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งดำเนินการจัด ชั้นหนี้บริษัทขนาดใหญ่ 4 ราย ว่าเป็นลูกหนี้ในชั้นหนี้ด้อยคุณภาพ
บริษัท ขนาดใหญ่ 4 รายนี้คือ บริษัท เพรซิเดนท์อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด, บริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด และบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด
จากข่าวคราวที่สื่อมวลชนได้นำเสนอมาเป็นลำดับ ทำให้เราได้รู้จัก 4 บริษัทดังกล่าวนี้ว่า
บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด คือบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินสินบนจำนวนมาก จากโครงการสำคัญของรัฐบาลที่แล้ว เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการสินค้าเกษตรบางรายการ ซึ่ง คตส. ได้อายัดทรัพย์รัฐมนตรีบางคน และเพิ่งเข้าตรวจค้นหลักฐานทางการเงินเพิ่มเติมเมื่อ 2-3 วันมานี้
บริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งชื่อแอบอ้างเพื่อสื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักไทย เพราะเมื่อฝรั่งมังค่าเห็นชื่อบริษัทนี้แล้วก็จะเข้าใจว่าเป็นเครือข่ายของ ราชสำนัก เนื่องจากคำแปลตรง ๆ ของชื่อบริษัทนี้คือพลังของพระราชา หรือพลังของพระเจ้าแผ่นดิน
บริษัท นี้ได้รับสิทธิ์มากมายในโครงการโคตรโกงมหาโกงในสนามบินสุวรรณภูมิ เช่น ได้สิทธิ์ในการใช้พื้นที่มากที่สุดในสนามบินของชาติที่ลงทุนด้วยเงินภาษี ของประชาชนร่วม 140,000 ล้านบาท จนต้องชำระสะสางกันอย่างยุ่งยากยุ่งเหยิงอยู่ในขณะนี้
ใครที่ไปสนามบินสุวรรณภูมิมาแล้วก็คงจะรู้สึกเหมือนกันว่าบรรดาร้าน ค้าในสนามบินเหล่านี้เต็มไปหมด ราวกับว่าสนามบินแห่งชาติเป็นของบริษัทฉะนั้น
บริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินรายย่อย จัดตั้งขึ้นและดำเนินธุรกิจโดยสอดคล้องรองรับกับนโยบายประชานิยม ที่ส่งเสริมให้ประชาชนไทยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในการเป็นหนี้เป็นสิน ในการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย โดยคิดดอกเบี้ยราคาแพงสุดๆ
เป็นบริษัทที่ทำให้คนไทยเป็นหนี้กว่า 700,000 รายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าบริษัทนี้คือฐานทางการเงินและฐานรายได้สำคัญบริษัทหนึ่งของตระกูล ชินวัตร
ส่วนบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด นั้นไม่ต้องพูดถึง เป็นบริษัทแม่ที่มีบทบาทสำคัญในการยึดครองกิจการสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศ
เป็นบริษัทหลักของกลุ่มชินที่ได้ขายให้กับกลุ่มเทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ ซึ่งหากดูเพียงผิวเผินก็จะเข้าใจว่าเป็นบริษัทที่ทุนแห่งชาติสิงคโปร์เป็น เจ้าของไปแล้ว น่าจะมีฐานะอันมั่นคง แล้วไฉนเล่าจึงถูกจัดชั้นหนี้ให้เป็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพ
ก็ อยากจะบอกกล่าวสักหน่อยหนึ่งว่าจากการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์ไต้หวันที่ เปิดเผยคำให้การของนายธนาคารใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยต่อ คตส. ว่าเงินที่เทมาเส็กนำมาใช้ซื้อหุ้นกลุ่มชิน 73,000 ล้านบาทนั้น ไม่ใช่เงินของเทมาเส็กแต่เป็นเงินของกลุ่มชินวัตร
ประเด็นนี้เพิ่งเปิดออกมาใหม่ ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่โตของบ้านเมืองต่อไป เพราะถ้าเป็นจริงดังที่เป็นข่าวแล้วไซร้ ก็จะต้องเกิดกรณียึดทรัพย์ครั้งมโหฬารที่สุดในโลก
เพราะมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่าเมื่อเป็นเงินของกลุ่มชินโดยตรง แล้ว กิจการกลุ่มชินที่ทำทีว่าเทมาเส็กได้ซื้อไปนั้น แท้จริงแล้วยังคงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เหมือนเดิม
และย่อมหมายความต่อไปว่าเงิน 73,000 ล้านบาทที่ผ่านเทมาเส็กเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มชินก็คือเงินที่นำเข้ามาฟอกเงิน นั่นเอง แล้วเงินนี้มาจากไหน? ซึ่งทำให้คิดไปได้ว่าเป็นเงินที่โกงชาติแล้วถูกลักลอบนำเอาออกนอกประเทศไป พักไว้ที่สิงคโปร์
จากนั้นก็ทำทีเป็นให้เทมาเส็กเข้ามาซื้อกลุ่มชินเพื่อถ่ายโอนเงิน 73,000 ล้านบาทนี้มาสู่มือของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เหมือนเดิม
เรื่อง นี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องใส่ใจติดตามกันให้ดี เพราะคิดว่าขณะนี้หากเป็นความจริงแล้ว คตส. ก็คงจะลงมือสืบสาวราวเรื่องกันเป็นการใหญ่
และเรื่องนี้อาจทำให้การป่วนบ้านป่วนเมืองของม็อบไข่แม้วทั้งหลาย และในการเคลื่อนไหวในการทำลายชาติบ้านเมืองอาจสิ้นสุดยุติลง จับตาดูกันให้ดีๆ เถิดพี่น้องไทย
บริษัททั้ง 4 รายนี้ได้กู้เงินเอาไปจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งโดยไม่มีหลักประกัน หรือมีหลักประกันไม่คุ้มหนี้ และในบรรดาธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องก็มีธนาคารเด่น ๆ อยู่สองแห่ง คือธนาคารทหารไทย กับธนาคารไทยพาณิชย์
สำหรับ ธนาคารไทยพาณิชย์นั้นไว้ว่ากันเป็นครั้งใหญ่สักครั้งหนึ่ง เนื่องจากความสงสัยในหัวใจคนไทยกำลังหนักหน่วงขึ้นทุกทีว่าธนาคารที่สำนัก งานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เหตุไฉนจึงเข้าไปร่วมสังฆกรรมในธุรกรรมมากหลายที่น่าสงสัย
เช่น การเข้าไปมีบทบาทในการเตรียมการยึดหนังสือพิมพ์มติชนของกลุ่มแกรมมี่ ที่มีพฤติกรรมว่าเป็นนายหน้าให้กับระบอบทักษิณในการยึดครองสื่อของประเทศ
หรือในการปล่อยเงินกู้จำนวนมากในธุรกรรมซื้อหุ้นกลุ่มชินที่ไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว
ใครเป็นไอ้โม่งที่ประพฤติตนเป็นกาฝากของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระ มหากษัตริย์ และประพฤติตนเป็นสุนัขรับใช้ของระบอบทักษิณในกิจกรรมโกงชาติต่าง ๆ
วันหนึ่งคงจะถูกฉีกหน้าออกมาอย่างแน่นอน
ธนาคารทหารไทยซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าห้วงเวลาหนึ่งอยู่ในอำนาจบงการของนายทนง ลำไย มือไม้ทางการเงินคนสำคัญของระบอบทักษิณ ได้ปล่อยสินเชื่อจำนวนมากให้กับทั้ง 4 บริษัทดังกล่าวนี้ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการปล่อยสินเชื่อที่มีปัญหาอีกมากหลาย จนเป็นเหตุให้ธนาคารทหารไทยใกล้จะล่มจม จนต้องเร่งเพิ่มทุนถึง 35,000 ล้านบาทโดยเร็วที่สุด
การสั่งจัดชั้นหนี้ใหม่ของทั้ง 4 บริษัทดังกล่าว มีผลกระทบต่อธนาคารทหารไทยและเป็นการเปิดเผยฐานะของกิจการของธนาคารทหารไทย ที่ย่ำแย่กว่าเก่า เพราะเมื่อหนี้ถูกจัดชั้นเช่นนี้แล้ว เงินกองทุนก็ยิ่งติดลบมากขึ้น ต้องเพิ่มทุนมากขึ้น และเงินทุนที่ลงไปก็ฉิบหายจนติดลบ
ดังเช่นรายบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัดนั้น ได้สินเชื่อไปจากธนาคาร 2,009 ล้านบาท แต่มีเงินฝากเป็นประกันแค่ 2 ล้านบาท นี่หากมิใช่มีอะไรเป็นเบื้องลึกเบื้องลับแล้วจะปล่อยสินเชื่อแบบนี้ได้ อย่างไร
ที่คนสงสัยกันก็คือทำไมผู้เกี่ยวข้องจึงไม่ถูกดำเนินคดีเอาผิดในฐานปล้นชาติปล้นธนาคารหรือทำให้ธนาคารแห่งนี้เสียหาย
เหล่านี้คือการส่งสัญญาณการล้างบางเครือข่ายโกงชาติที่กำลังเกิด ขึ้นกับเครือข่ายอำนาจเก่าของระบอบทักษิณ ซึ่งความจริงควรจะทำตั้งนานแล้ว แต่ทำตอนนี้ก็ยังดีกว่าไม่ทำ
ดังนั้นจึงต้องจับตาดูเรื่องนี้กันให้ดี
และ ต้องเตือนพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ดัง ๆ ว่าผีปีศาจใดไปดลใจท่าน จึงทำให้ท่านกล้าหาญชาญชัยไปสั่งกระทรวงการคลังให้เร่งเพิ่มทุนให้กับ ธนาคารทหารไทยถึง 35,000 ล้านบาท โดยไม่มีการแตะต้องตัวผู้บริหาร ทั้ง ๆ ที่กระทรวงการคลังต้องการให้เปลี่ยนผู้บริหารรายนี้
ใครชี้แนะชักนำพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เรื่องนี้ คนนั้นแหละที่ต้องถูกเพ่งเล็งว่ากำลังเอาเวรกรรมและความหายนะมาให้กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
จึงหวังว่าพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน จะได้รีบทบทวนการเคลื่อนไหวดังกล่าวในทันทีก่อนที่จะเสียหายไปมากกว่านี้.
www.manager.co.th
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก