เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 12, 2549

รายงานพิเศษ : นับถอยหลัง “ยุบพรรค”... “ทรท.” รอดยาก!!

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2549 12:08 น.


พล.อ.ธรรมรักษ์ นำ พ.อ.เชิดพงษ์ บุญยเกียรติ ช่างภาพประจำตัวมาแถลงอ้างว่า เป็นบุคคลในภาพลับ กห.ไม่ใช่ตน พร้อมท้า ถ้าตนจ่ายเงินจ้างพรรคเล็กจริง พร้อมให้ยิงกบาล(31 พ.ค.49)


ภาพจากกล้องวงจรปิดของ ก.กลาโหม ลำดับเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันที่ 3 มี.ค.49 ขณะที่ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทยเข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เพื่อรับเงินค่าจ้างลงสมัครรับเลือกตั้ง

ไทกร พลสุวรรณ ผู้ ปสง.เครือข่ายอีสานกู้ชาติ เป็นคนแรกที่ออกมาแฉเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก


สุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงเปิดตัวพยานกรณีพรรค ทรท.จ้างพรรคเล็ก ประกอบด้วย ชวการ โตสวัสดิ์ ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทย,สุขสันต์ ชัยเทศ ผอ.เลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย ,ฐัติมา ภาวะลี ผู้สมัครพรรคแผ่นดินไทย



อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

หลังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด ได้สรรหาบุคคลเป็น “ตุลาการรัฐธรรมนูญ” ครบทั้ง 9 คนเพื่อทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญแล้วเมื่อวันที่ 6 ต.ค. มีข่าวว่าสัปดาห์หน้า คณะตุลาการฯ จะเปิดประชุมนัดแรกเพื่อกำหนดแนวทางการทำงาน ส่วนการพิจารณาคดีนั้น หากเป็นไปตามคาด “คดียุบพรรค” น่าจะเป็นภารกิจเร่งด่วนลำดับแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพราะเป็นคดีที่ประชาชนสนใจ และพรรคที่ถูกกล่าวหาต่างก็จดจ่อ-รอคอยว่าผลจะลงเอยอย่างไร ...ขนาดผลยังไม่ออก ลูกพรรค ทรท.ยังชิ่งหนีกันขนาดนี้ ราวกับยอมรับกลายๆ แล้วว่า พรรคผิดจริง ต้องถูกยุบแน่ แต่ก่อนจะถึงวันที่รู้ผล เรามาย้อนดู “ชนักติดหลัง”ของ ทรท.เรื่อง “จ้างพรรคเล็ก” รวมทั้ง “หลุมพราง”(ของ ทรท.หรือไม่?) ที่ล่อให้ฝ่าย ปชป.ติดกับ-ติดบ่วงเรื่องยุบพรรคไปด้วย

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอันสิ้นสุดลงหลังคณะปฏิรูปฯ เข้ายึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ แต่น่ายินดีที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2549 ได้กำหนดให้มีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ 9 คนขึ้นมาทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญไปพลางก่อน อย่างน้อยก็เพื่อพิจารณาคดีที่ยังค้างอยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ “คดียุบพรรค” ที่ประกอบด้วย 2 พรรคใหญ่อย่างไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ และอีก 3 พรรคเล็ก (พรรคพัฒนาชาติไทย-แผ่นดินไทย-ประชาธิปไตยก้าวหน้า) ซึ่งสังคมคงไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านเลย หรือมีอันต้องยกเลิกไป เพียงเพราะรัฐบาลทักษิณถูกยึดอำนาจแล้ว

ขณะที่รัฐบาลทักษิณยังมีอำนาจ หลายฝ่ายมองว่า คดียุบพรรค คงไม่พ้นต้องจบลงแบบ “ถ้ายุบไทยรักไทย ก็ต้องยุบประชาธิปัตย์ด้วย” หรือ “ถ้าไม่ยุบประชาธิปัตย์ ก็ต้องไม่ยุบไทยรักไทยด้วย” แต่ถ้าไม่ยุบไทยรักไทย ไม่ได้หมายความว่าประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบด้วย นั่นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอำนาจล้นฟ้าที่จะแทรกแซงการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระอย่างไรก็ได้ แต่ยามนี้ ฟ้าเปลี่ยนสี อำนาจเปลี่ยนมือแล้ว สูตรสำเร็จข้างต้นคงใช้ไม่ได้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถ้าพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กให้ลงเลือกตั้งจริง ก็ต้องรับผลกรรมถูกยุบพรรคไป ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็ต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ตามประกาศฉบับที่ 27 ของคณะปฏิรูปฯ ที่กำหนดให้เพิ่มโทษกรณียุบพรรค แต่กรรมการบริหารพรรคจะได้รับโทษดังกล่าวก็ต่อเมื่อตุลาการรัฐธรรมนูญ ระบุโทษให้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ได้กระทำผิด (2 เม.ย.49) หรือให้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิรูปมีผลบังคับใช้ (30 ก.ย.49) เพราะหากไม่นับโทษย้อนหลัง แต่ให้นับ ณ วันที่มีคำพิพากษา ก็เท่ากับว่า ผู้ที่เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยพ้นผิดทันที เพราะขณะนี้ไม่มีกรรมการบริหารพรรคหลงเหลืออยู่แล้ว เนื่องจากได้พ้นสภาพลงโดยอัตโนมัติจากการประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อวันที่ 3 ต.ค.

ไม่ว่าโทษจะนับย้อนหลังหรือไม่ เดี๋ยววันที่ตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินคงได้รู้กัน แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ลองมาย้อนดูจุดเริ่มต้นและพัฒนาการของการตรวจสอบกรณีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กกันอีกครั้ง เพราะแกนนำพรรคไทยรักไทยคุยนักคุยหนาว่า ยังไงพรรคก็ไม่ถูกยุบ เนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดเจน แถมยังมีการนำจำนวนสมาชิกพรรค 14 ล้านมาพูดเชิงขู่ว่าพรรคถูกยุบไม่ได้อีกต่างหาก!?!

คงยังจำกันได้ว่า คนที่เปิดฉากติดตามตรวจสอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กอย่างจริงจังและเห็นผลเป็นรูปธรรมก็คือ นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ เขาเล่าให้ฟังว่า จุดที่ทำให้เขารู้สึกทนไม่ไหวแล้วกับระบอบทักษิณ ก็คือ ตอนที่สนธิ ลิ้มทองกุล จะไปเปิดปราศรัยที่ริมบึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น แต่ถูกตำรวจภูธรภาค 4 ยุคทักษิณ ปิดล้อมไม่ให้นำเครื่องเสียงเข้าไปยังจุดที่จะปราศรัย ไม่ให้คนเข้าฟังการปราศรัยของสนธิและครูภาคอีสาน เขารู้สึกเลยว่า “มันเกินไป...มันสุดที่จะรับได้” นับแต่นั้นเขาบอกกับตัวเองว่า “เขาอยากโค่นทักษิณ” เขาอยากให้ทักษิณหยุดใช้ชีวิตทางการเมือง อยากให้ทักษิณเลิกเล่นการเมืองไปเลย เขาจึงพยายามติดตามตรวจสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอะไรผิดบ้าง!

กระทั่งโอกาสก็วิ่งมาหาเขา เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศยุบสภา และฝ่ายค้านบอยคอตไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ไทกรได้ข่าวว่าพรรคไทยรักไทยเตรียมหาคนไปลงสมัครประกบผู้สมัครตัวเองในพื้นที่ภาคใต้เพื่อเลี่ยงเกณฑ์กฎหมาย 20% และบังเอิญโชคดีมีคนติดต่อมายังนายสุขสันต์ ชัยเทศ เพื่อนของเขาให้ไปลงสมัครด้วย ไทกรจึงไม่รอช้า รีบบอกให้เพื่อนตกปากรับคำสวมรอยคำเชิญนั้นเพื่อไปฝังตัวอยู่ในพรรคพัฒนาชาติไทย จะได้รู้ว่าพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กให้ลงเลือกตั้งจริง และจะได้รู้ว่ากระบวนการจ้างเป็นอย่างไร

“โชคดีมีคนติดต่อมาหาคุณสุขสันต์ ผมก็เลยว่า ถ้างั้นผมขอให้พี่สุขสันต์เข้าไปเลย ไปแต่งตัว แล้วก็เอาข้อมูลมา เดี๋ยวผมจะแฉมันเอง ผมก็พูดกันแค่นี้ หลังจากนั้นก็มีการประสานกันตลอด ในระยะที่เขาไปฝังตัวอยู่กับพรรคพัฒนาชาติไทย ที่โรงแรมกาญจน์มณี ถ.ประดิพัทธ์ ก็รู้ข้อมูล และผมก็เคยแอบเข้าไปดูเป็นเหตุการณ์ที่ล็อบบี้ครั้งหนึ่งว่ามีคนมาเยอะมั้ย อย่างไร กระทั่งรู้ว่ามันดำเนินการจริง ผมไปครั้งเดียว ไปแอบดูเขา แล้วก็กลับ ทีนี้ข้อมูลก็ไหลมาหาผมเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณสุขสันต์ ตอนแรกเราว่าจะแถลงข่าวเลย ก็เลยปรึกษาหารือกัน ได้ข้อสรุปว่าจะยังไม่แถลงข่าวจนกว่าการกระทำผิดนั้นมันจะเสร็จสมบูรณ์ ก็คือรอให้คนที่รับจ้างลงสมัครก่อน ให้พวกย้อนหลังสมาชิกพรรค 90 วันทั้งหลายไปสมัครให้ครบ วันสุดท้ายก็เป็นวันที่ 8 มี.ค. พอเขาสมัครกันครบทุกคนแล้ว ผมเช็ค กกต.จังหวัดต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ผมก็แถลงข่าวขึ้นที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ว่ามีการทำอย่างนี้ พอดีทีวีในเครือเนชั่นเขาก็สัมภาษณ์ผม และมีการพูดจาท้าทายกันระหว่างท่านปริญญา (นาคฉัตรีย์ กกต.)กับผม ท่านแจ้งว่า “ไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น” ผมก็บอกว่า “มี” พิธีกรก็เลยให้ไปตรวจสอบ ผมก็เลยไปจริง ตอนเช้าวันนั้นวันที่สัมภาษณ์กันทางโทรศัพท์ ก็ไปจับได้ว่ามีการปลอม ทบ.6 ทะเบียนพรรคการเมืองหมายเลข 6 ซึ่งมีสมาชิกย้อนหลังเข้ามาๆๆ แล้วผมก็รู้ข้อมูลภายในจากคุณสุขสันต์ว่า มีการรับจ้างแก้แผ่นดิสก์ของ กกต.ด้วย เพื่อที่เวลาเช็กไปที่อินเทอร์เน็ตแล้วจะได้เห็นว่าคนเหล่านี้เป็นสมาชิกอยู่ในอินเทอร์เน็ต เพราะส่วนใหญ่ กกต.เขาจะเช็กที่อินเทอร์เน็ต เขาไม่ดูจากเอกสารต้นฉบับจริงสักเท่าไหร่ แต่ทะเบียนการโกง เขาโกง 2 อย่างคือ แก้ทั้งเอกสารจริง แก้ทั้งดิสก์ที่เอาไปใส่ในอินเทอร์เน็ต ก็เลยเปิดเผยมา”

ไม่เพียงมีการปลอมแปลงแก้ไขการเป็นสมาชิกพรรคย้อนหลัง 90 วันเพื่อให้ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทยลงสมัครได้ ไทกร บอกว่า ยังมีหลักฐานอีกหลายอย่างที่ยืนยันว่าแกนนำพรรคไทยรักไทยเป็นผู้ว่าจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัคร โดยมีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารหลักฐานการโอนเงิน หรือแม้แต่ภาพลับจากกระทรวงกลาโหมที่บันทึกเหตุการณ์วันที่ นายชวการ โตสวัสดิ์ ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทย เข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม เพื่อรับเงินค่าจ้าง โดยในภาพมี พล.อ.ธรรมรักษ์ด้วย (แม้ พล.อ.ธรรมรักษ์จะอ้างในภายหลังว่าบุคคลในภาพไม่ใช่ตน แต่เป็นช่างภาพประจำตัวที่มีรูปร่างคล้ายกันก็ตาม)

“กรณีของคุณสุขสันต์กับคุณชวการ คุณชวการเขาอยู่ในทีมของ พล.อ.ธรรมรักษ์อยู่แล้ว ซึ่งคุณชวการได้ให้การชัดเจนว่าได้มีการร่วมประชุมวางแผนกันที่พรรคไทยรักไทย ชั้น 4 หรือชั้น 6 กับ พล.อ.ธรรมรักษ์ และ รมต.พงษ์ศักดิ์ ก็ได้นั่งฟังอยู่ด้วยว่า เราจะส่งคนประกบโดยการตัดต่อพันธุกรรม เปลี่ยนรายชื่อในแผ่นดิสก์ เปลี่ยนชื่อสมัครอย่างนี้ๆ ส่วนคุณสุขสันต์ซึ่งเป็นคนในฝ่ายผมไม่ได้ร่วมประชุมด้วย แต่สิ่งที่ทำให้หลักฐานมัดชัดเจนก็เพราะคุณสุขสันต์ได้ไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้คุณชวการเป็นพยานในคดีนี้ ยอมเปิดเผยความจริง ก็เลยได้พยานที่มัดแน่นในการกระทำผิดของ พล.อ.ธรรมรักษ์ และคณะ ในฐานะที่เป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและทำผิดก็เพื่อประสงค์ที่จะให้พรรคไทยรักไทยได้ประโยชน์ทางการเมือง ก็คือ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมาก และทุกเขต …หลักฐานการจ้าง คือ คุณชวการยืนยันว่า ได้รับเงินค่าสมัครบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ 5 คน มารับจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ โดยลูกน้องเขา คุณพงษ์ศรี (ศิวาโมกข์) เป็นคนเดินเข้าไปเอาจากในห้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ ในวันที่ไปที่กระทรวงกลาโหม และมีรูปน่ะ(ภาพจากกล้องวงจรปิดกระทรวงกลาโหม) คุณชวการไปกับคุณพงษ์ศรี และไปกับลูกน้องสายของท่าน พล.อ.ธรรมรักษ์ หลังจากนั้นเขาก็เอาเงินส่งมาให้ๆๆ ก็มีหลักฐานการโอนเงิน การรับเงิน”

แม้ไทกรจะเปิดประเด็นและเปิดแถลงเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก แต่ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ดูจะไม่สนใจตรวจสอบเท่าที่ควร ไทกรจึงคิดว่า คงต้องเปิดตัวพยาน เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่า ถ้าเปิดตัวพยานไป เขาไม่มีศักยภาพพอที่จะดูแลความปลอดภัยให้พยานทั้ง 2 คนแน่ (สุขสันต์-ชวการ) เขาจึงต้องมองหาองค์กรหรือหน่วยงานที่พร้อมจะขุดคุ้ยเกาะติดเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก และที่สำคัญต้องมีศักยภาพพอที่จะดูแลความปลอดภัยของพยานให้เขาด้วย ซึ่งในที่สุดก็จอดป้ายที่ “พรรคประชาธิปัตย์”

“ตอนแรกเราก็จะไปหลายที่ จะไปพบองค์กรกลาง เราก็ดูว่าไม่น่าจะสามารถคุ้มครองดูแล(พยาน)ได้ จะไปพรรคชาติไทย ก็กลัวว่าเขาไม่เอาจริง จะไปพรรคมหาชนก็กลัวว่า เขาไม่เอาจริง นี่พูดกันตรงไปตรงมา เพราะเรารู้ว่าหัวหน้าพรรคมหาชน หรือหัวหน้าพรรคชาติไทยเนี่ยมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับคุณทักษิณ และในทางการเมืองก็ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกับทักษิณอย่างชัดเจน ผมก็เลยตัดสินใจติดต่อไปหาคุณสุวโรช พะลัง (ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์) ซึ่งผมไปเจอแกที่ กกต. พรรคประชาธิปัตย์เขาก็มาร้อง(กกต.) เหมือนกัน ก็เจอกัน ก็แลกเบอร์โทร.กันไว้ ผมก็เลยติดต่อไป ก็ปรึกษาหารือกันว่าสามารถที่จะคุ้มครองพยานในการเปิดเผยความจริงโดยจัดแถลงข่าวได้มั้ย เพราะเรื่องนี้ถ้าเปิดออกไป โอกาสที่พยานจะถูกฆ่ามีสูง ผู้ใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ก็เลยคุยกับผม ก็คือ ท่านสุเทพ (เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค) ผมก็ถามท่านว่า “ท่านครับ ท่านรับปากมั้ยว่าท่านจะทำเรื่องนี้โดยไม่มีมวยล้ม” เราพูดกันตรงไปตรงมาวันนั้น ท่านสุเทพก็ให้สัญญาว่าตราบใดที่แกยังเป็นเลขาธิการพรรคอยู่ แกจะทำเรื่องนี้ให้เป็นที่สิ้นสุด ไม่ล้มโดยเด็ดขาด ก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าไม่ล้มก็เปิดเผย ก็พูดความจริงกัน และยินยอมให้ทางพรรคประชาธิปัตย์บันทึกวีซีดีไว้ด้วย และมอบเอกสารหลักฐานให้หมดเลยในวันนั้น และมาทำเอกสารและให้พยานบุคคลทั้ง 2 คนอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ คุณสุเทพ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา”

นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะรับเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กจากนายไทกรมาเดินหน้าต่อแล้ว ยังมีกรณีที่ผู้สมัครพรรคเล็กมาร้องเรียนตรงต่อพรรคประชาธิปัตย์เอง นายสุวโรช พะลัง คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เล่าให้ฟังว่า มีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพัฒนาชาติไทย 3 คนใน จ.ตรัง ร้องต่อพรรคว่าได้รับการทาบทามและว่าจ้างจาก “เจ๋ง ดอกจิก” ซึ่งเป็นคนหาผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพัฒนาชาติไทย

“เจ๋ง ดอกจิก ซึ่งเป็นคนหาผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยไปทาบทามเขา เจ๋งเป็นคนดัง เป็นทำนองดารา ชาวบ้านก็ชอบ เจ๋งเป็นคนติดต่อ สนใจก็เลยมา เวลามาปรากฏว่าไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทย เจ๋งบอกไม่เป็นไร เขาดูแลให้ได้ เขาก็มาแก้ฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกของพรรคและดำเนินการกันที่โรงแรมกาญจน์มณี แถวสะพานควาย หลังจากนั้นก็รับค่าสมัครกันไป ค่าสมัครก็ตก 1 หมื่น มันมีค่าถ่ายรูป ค่าอะไร ก็ตกประมาณ 3 พันบาท เขาก็ให้มาประมาณ 2 หมื่น แล้วก็เหมารถตู้กลับไปสมัครที่ จ.ตรัง พอสมัครเสร็จปุ๊บ ก็มีข่าวเรื่องนี้ สื่อมวลชนก็ให้ความสำคัญ และทุกสื่อก็ตาม เขาก็ตกใจ จะขอถอนตัวก็กลัวจะติดคุก ติดต่อเจ๋งก็ไม่ได้ แล้วพรรคของเขาก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน เขาเป็นคนบ้านนอก ก็เป็นที่ทราบว่าภาคใต้ส่วนใหญ่ 90% ผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์ พ่อของผู้สมัครก็เลยแนะนำว่า อย่างนั้นมาที่พรรคประชาธิปัตย์สิ เพราะตอนนั้นกำลังเป็นข่าว พรรคประชาธิปัตย์ก็มอบหมายให้ผมกับพีระพันธ์ และท่านสาธิต ปิตุเตชะ ไปติดตามเรื่องนี้ที่ กกต. ก็เป็นข่าวทุกวัน”

ไม่เท่านั้น ยังมีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคแผ่นดินไทยติดต่อพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้ข้อมูลเรื่องถูกพรรคไทยรักไทยจ้างลงสมัครรับเลือกตั้งเช่นกัน นั่นคือ นางฐัติมา ภาวะลี ซึ่งเล่าให้ฟังว่า พรรคได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคไทยรักไทยกว่า 3.6 ล้านบาท และว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สัญญากับหัวหน้าพรรคเล็กทั้งหลายระหว่างประชุมร่วมกับหัวหน้าพรรคเล็กหลังยุบสภา(ซึ่งพรรคฝ่ายค้านบอยคอตไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง) ว่าจะช่วยสนับสนุนพรรคเล็กพรรคละ 10 ล้าน

“เขา(ฐัติมา) ก็เอาเอกสารมาให้ผม ก็มีหลักฐานอะไรต่างๆ แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า หัวหน้าพรรคไปร่วมประชุมกับนายกฯ ทักษิณ และนายกฯ ทักษิณก็บอก จะช่วยพรรคละ 10 ล้าน สุดแล้วแต่ว่า ส่งคนลงประกบกับพรรคไทยรักไทยได้มากหรือน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาแบ่งพื้นที่กัน พรรคแผ่นดินไทย พรรคคนขอปลดหนี้ แล้วก็พรรคพัฒนาชาติไทย ใน 14 จังหวัดภาคใต้ ให้ส่งคนลงสมัครประกบกับผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไทยรักไทย เพื่อหลีกไม่ต้องเป็นไปตามเงื่อนของกฎหมาย (20% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง) ก็กระจัดกระจายกันลงไปสมัคร ในส่วนของพรรคแผ่นดินไทย เขาจะมีผู้ใหญ่มาคุม หมายความว่า แต่ละพรรคเขาจะมีคนของพรรคไทยรักไทยลงไปคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ ประสานงานกับทาง กกต.เพื่อแก้ไขฐานข้อมูลในการเป็นสมาชิกพรรค 90 วันตามที่กฎหมายกำหนด แล้วก็ดูแลเรื่องเงินเรื่องทอง ในส่วนของพรรคแผ่นดินไทย คุณเจี๊ยบ(ฐัติมา) ก็เล่าให้ฟังว่า มี เสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ซึ่งเป็นคนสนิทของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีกลาโหม มาเป็นผู้ดูแล และเสธ.ไอซ์ได้เข้าร่วมประชุมกับพรรคแผ่นดินไทย โดยคุณเจี๊ยบเขาเป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง ปรากฏว่า พอประชุมกันเสร็จ เสธ.ไอซ์ก็บอกว่า เดี๋ยวจะมีนายทหารหน้าห้องรัฐมนตรีเป็นคนนำเงินมาให้ ก็ปรากฏว่า เขาเล่าให้ฟังว่า มีการนำเงินมาให้ 3,675,000 บาท และมาให้คุณเจี๊ยบ คุณเจี๊ยบก็เป็นผู้บริหารให้กับตัวผู้สมัครกันไป คนละ 3 หมื่น หลังจากที่คุณเจี๊ยบเขาให้คนลงไปสมัครประกบเสร็จแล้ว ปรากฏว่า เงินที่จะให้งวดต่อไปเนี่ย มันไม่เป็นไปตามนัด ...พอผมได้รับข้อเท็จจริงได้เอกสารได้อะไรมา ผมก็บันทึกถึงท่านเลขาฯ สุเทพ (เทือกสุบรรณ)ท่านเลขาฯ ก็ประสานงานเอาคุณเจี๊ยบมาและมีเป็นข่าวไง พาไปที่สุราษฎร์ฯ (เพื่อความปลอดภัย) และอีกส่วนหนึ่งเราก็ไปแจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ให้ กกต.กลางได้รับทราบข้อมูล ซึ่งท่านเลขาฯ เป็นคนลงนามไปเอง”

หลังจากนั้น กกต.ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก โดยให้นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ในที่สุด อนุกรรมการฯได้สรุปผลสอบว่า ผู้บริหารพรรคไทยรักไทยจ่ายเงินจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งจริง โดยผู้มีบทบาทสำคัญมีอยู่ 4 คน 1.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม 2.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีคมนาคม 3.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ เสธ.ไอซ์ หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม และ 4.พล.ท.ผดุงศักดิ์ กลั่นเสนาะ ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม

นอกจากนี้ อนุกรรมการฯ ยังสรุปด้วยว่าการกระทำของ พล.อ.ธรรมรักษ์ และนายพงษ์ศักดิ์ ถือเป็นการกระทำในนามพรรคไทยรักไทย เพราะบุคคลทั้งสองมีตำแหน่งใหญ่ในพรรค ประกอบกับเงินที่ให้การสนับสนุนพรรคเล็กก็เป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งผลที่ได้รับก็เป็นประโยชน์กับพรรคไทยรักไทย จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการทำในนามส่วนตัว ด้วยเหตุนี้ อนุกรรมการฯ จึงมีมติเอกฉันท์ให้ กกต.แจ้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด้วย!

แม้ภายหลัง นางฐัติมา ภาวะลี ผู้สมัคร ส.ส.พรรคแผ่นดินไทย จะกลับคำให้การต่อตำรวจกองปราบฯ ว่า พรรคไทยรักไทยไม่ได้จ้าง แต่อ้างว่าถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขู่และจ้างให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย แต่อนุกรรมการของ กกต.ก็ไม่ได้ถือเป็นสาระ เพราะเห็นว่า คำให้การของนางฐัติมาที่ยืนยันก่อนหน้านี้ว่าพรรคไทยรักไทยจ้าง มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะเป็นการให้การต่อหน้าตำรวจภูธรภาค 8 จ.สุราษฎร์ธานี ต่อหน้าประชาชนและสื่อมวลชน จึงไม่น่าจะอยู่ในภาวะที่ถูกข่มขู่ใดใด

เช่นเดียวกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยืนยันว่านายสุเทพไม่ได้กักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขู่หรือว่าจ้างนางฐัติมาให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยแต่อย่างใด โดยนายสุวโรช พะลัง ฝ่ายกฎหมายของพรรคฯ เชื่อว่า นางฐัติมาถูกอำนาจรัฐข่มขู่ จึงต้องมีการแต่งเรื่องขึ้นใหม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จ้าง ซึ่งพรรคฯ ไม่หนักใจ เพราะนางฐัติมาเคยพูดความจริงต่อหน้าอนุกรรมการ กกต. ต่อหน้าตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 แล้ว ซึ่งพยานหลักฐานต่างๆ ก็ชัดเจน

“ท่านนาม(ยิ้มแย้ม) กับคณะก็ลงไปสอบที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่สุราษฎร์ธานี ท่านสุเทพก็กลับมาที่นี่ คุณเจี๊ยบ(ฐัติมา) ก็อยู่ในความดูแลของทางตำรวจและให้ถ้อยคำต่อหน้าสื่อมวลชนที่นั่น ต่อหน้าพี่น้องประชาชนจำนวนนับร้อยที่เป็นข่าว ก็ปรากฏว่า พอเสร็จตูมปุ๊บ ทางฝ่ายท่านนายกฯ ทักษิณ พรรคไทยรักไทยก็ไปสืบเสาะ พอรู้ข่าวอย่างนั้นออกมา เขาก็เลยติดตามลงไปที่เทือกเถาเหล่ากอของคุณเจี๊ยบ ปรากฏว่าไปคลำเจอว่าคุณเจี๊ยบมีสามีอยู่ที่เทศบาลร้อยเอ็ด ก็ใช้ทั้งผู้ว่าฯ ทั้งผู้บังคับการ ใช้ทั้งทหาร ทั้งนอกเครื่องแบบ ทั้งฝ่ายปกครองว่าคุณเจี๊ยบหายตัวไป แล้วก็เอามาแจ้งความที่กองปราบฯ แล้วทางกองปราบฯ เองก็ได้เอาบันทึกอันนั้นตามไปที่สุราษฎร์ฯ เพื่อที่จะดำเนินคดีกับท่านสุเทพ แต่การไปของกองปราบฯ ไปที่สุราษฎร์ฯ คุณเจี๊ยบเขาให้ถ้อยคำต่อท่านนาม ยิ้มแย้มไปหมดแล้ว ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีเขาก็ยอมรับข้อเท็จจริงหมด เมื่อกองปราบฯ ไปรับตัวคุณเจี๊ยบกลับมา พอมาถึงกองปราบฯ เรื่องก็มีการแต่งกันขึ้นใหม่ และเอาคุณเจี๊ยบมาออกทีวี คุณสรยุทธรายการถึงลูกถึงคนแล้วก็ท้าตีท้าต่อยกับท่านเลขาฯ สุเทพ ซึ่งทางพวกเราเห็นว่า ท่านสุเทพเองไม่เหมาะสมที่จะไปออกรายการอย่างนั้น ก็ประสานงานมาให้ผมเป็นคนออกรายการ ผมก็เลยชี้แจงอย่างที่เล่าเนี่ย และคุณสรยุทธบอกว่า ผมชี้แจงทางโทรศัพท์มันไม่เหมือนมานั่งคุยกันในรายการ ก็นัดวันรุ่งขึ้น ผมบอก โอเค. วันรุ่งขึ้น คุณเจี๊ยบก็หายตัวไปเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ไปถึงไหน ประเด็นปัญหาก็คือ มันมีคดีเหมือนที่ผมเล่าเนี่ย ในส่วนของกองปราบฯ ก็ทำท่าจะเล่นเรา”

กรณีนางฐัติมากลับคำให้การ เป็นประเด็นหนึ่งที่พรรคไทยรักไทยนำมาอ้างและร้อง กกต.ว่า พรรคประชาธิปัตย์จ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ รู้สึกว่า พรรคไทยรักไทยไม่ยอมถูกยุบพรรคเดียว เลยต้องดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้ถูกยุบไปพร้อมกัน ซึ่งนอกจากกรณีนางฐัติมาแล้ว ยังมีกรณีที่นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ ถูกคนของพรรคไทยรักไทยแอบถ่ายวีซีดีขณะคุยกับหัวหน้าพรรคเล็กพรรคหนึ่ง โดยอ้างว่านายไทกรพยายามจ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยเช่นกัน แถมยังพยายามโยงว่า พรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังนายไทกรด้วย เรื่องนี้เท็จ-จริงอย่างไร นายไทกร เล่าให้ฟังว่า หลังจากตนได้ความจริงกรณีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยก่อนการเลือกตั้ง 2 เม.ย.โดยมีนายสุขสันต์ และนายชวการ เป็นพยาน และตนได้ส่งต่อพยานและเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้พรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว เพราะมีศักยภาพในการคุ้มครองพยานนั้น ปรากฏว่า เมื่อ กกต.จะจัดเลือกตั้งรอบ 2 วันที่ 23 เม.ย. เพราะยังมีหลายเขตที่ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยได้คะแนนไม่ถึง 20% ตนเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เพราะพรรคชีวิตที่ดีกว่าเคยส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง 2 เม.ย.แค่ 2 คนทั่วประเทศ แต่เลือกตั้งรอบ 2 นี้ ทำไมจึงส่งลง 4 คนที่ภาคใต้ จากนั้นนายไทกรก็เริ่มได้เบาะแสว่า พรรคไทยรักไทยมีการจ้างพรรคเล็กอีกแล้ว เขาจึงรอจังหวะให้การทำผิดชัดเจนเสียก่อน

“ผมก็รอว่าให้การกระทำผิดมันชัดเจนก่อน แต่ทาง ผอ.เลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง 4 เขตนี้ ได้ตัดสินว่า ผู้สมัครของพรรคชีวิตที่ดีกว่าไม่มีคุณสมบัติ เมื่อไม่มีคุณสมบัติ ทางฝ่ายพรรคชีวิตที่ดีกว่าจะต้องยื่นคำร้องต่อศาล(เพื่ออุทธรณ์) เมื่อยื่นคำร้องต่อศาล ผมก็รอ ในช่วงประมาณสักสงกรานต์ ผมทราบว่า ทางพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขาจะมีการจัดทำเอกสารเพื่อส่งศาล และหาทางแก้ไขกันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ผมก็เลยให้ลูกน้องปลอมตัวเข้าไป ประมาณ 2 คน เขาอยู่ที่ห้อง 391 หรือ 392 ผมก็ให้ลูกน้องไปอยู่ห้องที่ติดกันเลย แล้วคนหนึ่งก็อยู่ที่ล็อบบี้ คอยดูว่าใครขึ้นไปบ้าง มีใครมาบ้างในช่วงสงกรานต์ ก็คือตั้งแต่ช่วงวันที่ 11-14 เม.ย. ที่เขาจัดการเรื่องนี้กัน ก็เลยได้รับทราบว่า มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลกันจริง และมีการทำหนังสือเพื่อยืนยันไปที่ศาล แต่ผมก็ยังรอ จนกระทั่งศาลตัดสินอย่างชัดเจนว่าการกระทำของพรรคชีวิตที่ดีกว่านั้น เป็นสมาชิกพรรคย้อนหลัง เมื่อเป็นสมาชิกย้อนหลัง ก็เลยไม่มีสิทธิ(ลงสมัคร) ผมก็เลยตามพรรคชีวิตที่ดีกว่าไปที่สำนักงานเขาที่โคราช พยายามที่จะไปคุยกับหัวหน้าพรรคเขา ทีนี้ผมไม่รู้ว่า บ้านเขาอยู่ที่ไหน ผมก็เลยไปหาลูกน้องเก่าที่เป็นอดีตตำรวจ ให้เขาประสานงาน ไปถามว่าบ้านอยู่ตรงไหน เพื่อผมจะได้มีโอกาสได้คุยกับเขา ก็ไม่เจอนะ”

แม้จะไม่เจอ แต่ตอนหลังนายวรรธวริทธิ์ ตันติภิรมย์ หัวหน้าพรรคชีวิตที่ดีกว่า ก็เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหานายไทกรเอง โดยพูดทำนองต้องการขายข้อมูลเรื่องที่พรรคไทยรักไทยจ้าง หากนายไทกรสนใจ ต้องจ่ายเงินเท่านั้นเท่านี้ นายไทกรจึงบอกไปว่าให้มาคุยรายละเอียดกันก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าฝ่ายที่เสนอมีข้อมูลแค่ไหน เพราะถ้าข้อมูลน้อยจะได้ไม่เอา กระทั่งมีการนัดกันที่โรงแรมเซ็นทรัล แต่ไทกรไปรอแล้วไม่เจอเลยกลับ จากนั้นนายวรรธวริทธิ์โทรหานายไทกรอีกครั้ง ให้ไปพบที่โรงแรมเดอะแกรนด์ ด้วยความที่ไทกรอยากจับเรื่องนี้ให้มั่น คั้นให้ตาย จึงไปตามนัด โดยมาทราบภายหลังว่ามีการแอบถ่ายวีซีดีการพูดคุยระหว่างเขาและนายวรรธวริทธิ์ไว้ เพื่อกล่าวหาว่า นายไทกรจ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งการพบกันครั้งนั้น ไม่ได้มีแค่บุคคลทั้งสอง แต่ยังมีคนอื่นที่มากับนายวรรธวริทธิ์ด้วย ซึ่งทราบภายหลังว่า เป็นตำรวจระดับรองผู้กำกับที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นลูกน้องของตำรวจระดับผู้บังคับการนายหนึ่งที่มีความสนิทสนมกับนายเนวิน ชิดชอบ มือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แม้นายไทกรจะตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายวางไว้ และถูกบันทึกไว้เป็นวีซีดี แต่นายไทกรก็ไม่รู้สึกตระหนกตกใจ เพราะตนไม่ได้หลงกลคำพูดที่อีกฝ่ายพยายามหลอกล่อ

“ในวีซีดี แก(นายวรรธวริทธิ์) ก็พูดลักษณะว่า แกก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครอยู่เบื้องหลังแก แกจะมายอมให้คนอื่นขี่คอแล้วจ่ายเงินให้แกเล็กๆ น้อยๆ แล้วให้ส่งสมัครนี่มันก็ยาก ก็คุยกัน และคนที่มาเนี่ย ซึ่งผมทราบทีหลังว่าเป็นตำรวจ ก็พยายามถามว่าใครอยู่เบื้องหลังผม ใครจ้างให้ผมมาอะไรพวกนี้ เหมือนพยายามเชื่อมโยงผมไปหาพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลยรู้ว่าเป็นการวางแผนไว้ ซึ่งก็ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไร เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ผมก็ไม่ได้มีส่วนไปพัวพันอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ (ถาม-ในวีซีดียืนยันว่า คุณไทกรจะจ่ายเงินให้เขามั้ย?) ไม่ได้ยืนยันว่าจะจ่ายเงิน มีแต่เขาพยายามถามว่า จะให้เขาได้เท่าไหร่อะไรอย่างนี้ ผมก็บอกว่า มันก็ต้องดูกรณีอะไรต่างๆ เช่น ถ้าเป็นไซโก้ก็ราคาหนึ่ง ซิติเซนราคาหนึ่ง ปาเต๊ะฟิลลิปราคาหนึ่ง โรเล็กซ์ราคาหนึ่ง ผมก็พูดของผมไป พูดง่ายๆ ก็คือหลอกล่อให้เขายอมที่จะเปิดเผยข้อมูลว่า คนในพรรคไทยรักไทยที่มาจ้างเขาในรอบที่ 2 นี่เป็นใคร ซึ่งในข้อเท็จจริงผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร เพียงแต่มันต้องมีพยานบุคคลยืนยันอีกครั้งหนึ่ง (ถาม-แสดงว่าในวีซีดี ทางนั้นไม่ได้เปิดปากเลยว่า ใครจ้างเขา?) ในขณะที่พูดกันต่อหน้าไม่เปิดปาก แต่ตอนพูดทางโทรศัพท์เขา(นายวรรธวริทธิ์) บอกแล้วว่าใคร แต่ตอนนั้นคือผมก็มาประมวลทีหลังเลยทราบว่า มันเป็นการบันทึกวีซีดีเขาจึงไม่บอกว่า ใครจ้างเขา เพียงแต่เขาต้องการให้ผมพูดจ้างเขาเพื่อให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งในวีซีดีนั้นก็ไม่มีคำพูดผมแม้แต่คำเดียวที่เสนอเงินว่าจ้างเขาให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย มีแต่คนที่เป็นตำรวจเขายกขึ้นพูดว่า ถ้าเป็นสุดารัตน์เท่าไหร่ ถ้าเป็นสุวัจน์เท่าไหร่อะไรอย่างนี้ เขาพยายามที่จะโน้มน้าวให้ผมจ้างว่า ถ้าคุณพูดถึงคนนั้นได้กี่บาท อะไรทำนองนี้”

แม้เรื่องนี้ และกรณีนางฐัติมากลับคำให้การจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกพรรคไทยรักไทยดึงเข้าไปร่วมวงถูก กกต.สอบเพื่อยุบพรรคด้วย แถม กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ยังทำเหมือนกลั่นแกล้ง เพราะรีบชิงผลสอบของอนุกรรมการฯ ที่สอบพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เสร็จ ส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อที่อัยการจะได้พิจารณาและมีมติให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปพร้อมกับพรรคไทยรักไทยและอีก 3 พรรคเล็กในวันเดียวกันซึ่งอัยการก็รับลูกและเก่งเหลือหลาย เพราะสามารถอ่านสำนวนสอบพรรคประชาธิปัตย์ที่หนาถึง 1,500 หน้าได้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนมีมติให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคทั้ง 5 พรรค

อีกไม่นานเกินรอ สังคมจะได้คำตอบว่า หวยยุบพรรคจะออกที่พรรคไหน? พรรคไทยรักไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ถ้าประเมินจากเหตุการณ์ที่ประมวลมาข้างต้น พรรคไทยรักไทยอาจ “รอดยาก” สักหน่อย แต่ลูกพรรคคงทำใจไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ตีจาก-แพแตกถึงเพียงนี้ และหากงานนี้ พรรคใดถูกหวยยุบพรรคจริง ก็มีรางวัล “แจ็กพอต” ก้อนโตแถมให้ด้วย คือ “เว้นวรรคการเมือง 5 ปี” แม้จะเป็นรางวัลที่ไม่มีใครอยากได้ก็ตาม!!

* หมายเหตุ * - รายชื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านกระบวนการสรรหา เพื่อทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญ

1. นายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา (ประธาน)
2. นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด (รองประธาน)
3. นายสมชาย พงษธา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา
4. ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ รองประธานศาลฎีกา
5. นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา
6. นายกิติศักดิ์ กิติคุณไพโรจน์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
7. นายนุรักษ์ มาประณีต ผู้พิพากษาศาลฎีกา
8. นายจรัญ หัตถกรรม หัวหน้าคณะตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
9. นายวิชัย ชื่นชมพูนุท ตุลาการศาลปกครองสูงสุด



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก