ทางออกของชาติ !!!
ทางออกของชาติ !!!
ผู้เขียน : นางแก้ว
ทางออกของชาติ : จากรัฐบาลเฉพาะกาลสู่นโยบายแห่งชาติ....ปฐมเหตุจากทฤษฎีแห่งสัมมา (Right Theory) ต่อต้านมหันตภัยมืดของลัทธิข้ามชาติตามวิถีแห่งปฏิวัติสันติ (Peaceful Revolution)
ไม่มีประเทศไหนเหมือนประเทศไทย “ทหารพูดกันรู้เรื่อง....ไม่มีการใช้กำลังแม้แต่น้อย…..ผมเชื่อว่าเป็น เพราะพระบารมีโปรดเกล้า ” เป็นคำพูดของครูประชาธิปไตยของเหล่าทหารแห่งกองทัพไทย ศ.พล.ท.ดร.สมชาย วิรุฬผล ที่ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 9225 ตอนหนึ่งนาฬิกาครึ่งของวัน “รวบอำนาจ “ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยกองทัพแห่งชาติภายใต้การนำของพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ.สูงสุดในคืนนั้นและคืนถัดมาในฐานะหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองตาม พระบรมราชโองการ
“ ทหารมีหน้าที่สำคัญในการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุข และจะต้องพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์.....ที่ผ่านมามีการล่อแหลมใน การหมิ่นเหม่พระบรมเดชานุภาพ ” ดร.สมชาย ชี้แจงออกรายการวิทยุอย่างมั่นใจ
คณะ ปฏิรูปได้ประกาศแถลงการณ์ 3 ฉบับติดต่อกันมีใจความชี้แจงชัดเจนว่ามิได้ต้องการยึดอำนาจการปกครอง มิได้ต้องการเป็นผู้กุมอำนาจ แต่เป็นการเข้ามาเพียงชั่วคราวเพื่อแก้วิกฤตบ้านเมือง มีการออกแถลงการณ์ยกเลิกคำสั่งประกาศฉุกเฉินของคุณทักษิณ และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 คณะรัฐมนตรี สภาสูง สภาล่าง และให้คงไว้แต่องคมนตรี
นี่คือการแก้ปัญหาอย่าง “สันติวิธี “ และเป็นไปอย่างมีความชอบธรรมเนื่องจากการก่อการครั้งนี้กระทำในนาม “สถาบัน” มิใช่บุคคล เป็นการรู้รักสามัคคีของ 4 ทหาร4เหล่าทัพทั้งกองทัพโดยมีเจตนารมณ์สูงสุดในการธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สูงสุดของชาติถูกต้องตามกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law) เมื่อเทียบกับปี 2535 พฤษภาทมิฬของรสช. ภาพลักษณ์และทัศนคติของประชาชนที่มีต่อทหารต่างกันราวขาวดำจนสามารถกล่าว ได้ว่า ทหารมีการพัฒนาอย่างมากต่อทีท่าทางการเมือง การตอบรับจากมหาประชาชนจึงเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางประวัติศาสตร์อีกครั้ง สำหรับประเทศไทย และถ้าหากตีความในทัศนะของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ การเข้ายึดกุมอำนาจในครั้งนี้จึงไม่อาจเรียกว่าเป็นรัฐประหาร หรือ Coup d’Etat อย่างเช่นในอดีต นอกจากคณะนี้ไม่ต้องการยึดอำนาจแล้วยังแต่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งนับเป็นพัฒนาการในบทบาทของทหารแห่งกองทัพไทยซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากอดีต
“ Old solders never die, they just fade away.” ศาสตราจารย์ พลโท ดร.สมชาย วิรุฬผล ย้ำ ” ทหารและกองทัพไทยจึงต้องร่วมการสถาปนาระบอบ เชื่อว่าคณะปฏิรูปครั้งนี้จะต้องดำเนินการ คืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ปวงชน “ คือคำพูดของครูทหารในคืนวันแรกของการยึดกุมอำนาจ
เป็นที่แน่ชัดว่า นี่คือการปฏิรูปในปฏิวัติ (Reform in Revolution) แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการใช้คำ เพราะเกรงว่าผู้คนจะเกิดความหวาดกลัว เหตุเพราะว่ามีการใช้ศัพท์ทางวิชาการผิดมาตั้งแต่ต้น จากการใช้คำว่ารัฐประหาร (coup d’etat )มาเป็นเครื่องมือของการปฏิวัติ (Revolution) ปฏิรูปในปฏิกิริยาคือการปฏิรูปเพื่อรักษาระบอบเดิมไว้ส่วนปฏิรูปในปฏิวัติ นั้นเป็นไปเพื่อไปนำไปสู่การปฏิวัติ คือสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบใหม่
ขบวน การประชาธิปไตยได้อธิบายมาโดยตลอดว่าแท้จริงแล้วประเทศไทยไม่เคยมี ประชาธิปไตย ในระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมาเป็นการปกครองระบอบเผด็จการมาโดยตลอด แต่ก็ถูกตบตาโดยชนชั้นปกครอง และถูกครอบงำโดยระบบการศึกษาจนเข้าใจว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่นักวิชาการตามระบบในสถาบัน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าปฏิรูป เพื่อเป็นการแสดงความเข้าใจร่วมกัน ขบวนการฯจึงขอเรียกว่า ปฏิรูปในปฏิวัติ อันสืบเนื่องมาจากเจตนารมณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตยนั่นเอง นั่นคือการชี้ให้เห็นว่ากระบวนการปฏิรูปเช่นนี้จักเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่ นำไปสู่การปฏิวัติทางการเมืองการปกครองสู่ระบอบใหม่ตามทฤษฎีปฏิวัตินั่นเอง
หลาย วันผ่านไปในช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนจะเนิ่นนานจนประชาชนเริ่มรู้ สึกอึดอัดขัดเคือง ประการหนึ่ง คปค.ขีดเส้นให้ตนเองเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ทั้งๆที่หากจะอยู่กุมอำนาจนานกว่านั้นประชาชนก็เปิดทางให้ แต่สัปดาห์แรกคปค.ก็พบกับคำวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อและประชาชนอย่างหนัก เพราะเหตุที่นำนักวิชาการสายรัฐธรรมนูญที่เคยทำงานสนองต่อระบอบเผด็จการ ทักษิณมาเข้าร่วมประชุมอย่างเอิกเกริก
แน่นอน....สถานการณ์ขณะนี้ ประเทศชาติและประชาชนจึงอยู่ภายใต้ระบอบคปค.คือระบอบการส่งไม้ผลัดไปสู่ รัฐบาลเฉพาะกาลหลังสัปดาห์ที่สองตามที่ประกาศไว้ อำนาจอธิปไตยถูกนำมาพักไว้บนหิ้ง แต่ยังไม่มีคำสัญญาใดๆจากคปค.ว่าได้ถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยใดสู่ปวงชนเฉกเช่น พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงพยายามกระทำให้บังเกิด
(ยังมีต่อ...)
วันที่ : 6 ต.ค. 49 เวลา : 11:45:26 PM
ความคิดเห็น
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 1 Posted: 10/6/2006 11:48:00 PM
ฤารอยต่อประวัติศาสตร์จะกลับคืนเข้าสู่ที่เดิมหรือว่าจะยังถูกกระทำให้ผิดเพี้ยนต่อไปด้วยโครงสร้างและวิธีคิดแบบเดิมๆ ?
เป็น ดังคาด นักวิชาการไทยหลายท่านแสดงความหวาดกลัวออกมาแล้ว ว่าไม่เชื่อในวิธีการของทหาร แม้จะไม่ต้องการระบอบทักษิณก็ตาม หลายท่านยังคงคิดว่าการแก้ปัญหาประเทศชาติอยู่ที่การ “ เร่ง” ร่างรัฐธรรมนูญ โดยยังคิดว่ารัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติขอฟันธงว่านี่คือร่องรอยทางความคิดของนักวิชา การสายรัฐธรรมนูญนิยมที่ยังมองปัญหาประเทศชาติไม่ออก
ณ วันที่เขียนบทความชิ้นนี้ คปค.ได้ผันเปลี่ยนไปเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีการโปรดเกล้าพระราชทานนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือพลเอก สุรยุทธ์ จุลลานนท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีนักกฎหมายสาย รัฐธรรมนูญนิยมทั้งสามท่านที่ประชาชนออกมาท้วงติงถึงความไม่ชอบธรรมในทันที ทันใด
เรื่องการเร่งแก้รัฐธรรมนูญนี้ อ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เคยเขียนชี้แจงไว้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดว่าการเร่งแก้รัฐธรรมนูญ มิใช่การแก้ปัญหาของชาติ หากแต่เป็นการละทิ้งปัญหาต่างหาก การสร้างประชาธิปไตยมิได้สร้างจากกระดาษ อุปมาดั่งธรรมนูญแห่งชีวิตคู่ของสามีภรรยาที่ไม่จำเป็นต้องได้เริ่มต้นจาก การจดทะเบียนสมรสก่อนเสมอไป
“ ผู้ที่เข้าใจว่าหน้าที่ของรัฐบาลชั่วคราว คือการเร่งร่างรัฐธรรมนูญและประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็วนั้น ควรระลึกถึงประกาศพระบรมราชโองการตั้งสมัชชาแห่งชาติ ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2516 ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า “โดยสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ และรากฐานการปกครองราชอาณาจักร ก่อนที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนั้น ก็ยังไม่มั่นคงพอที่จะไว้วางพระราชหฤทัยได้” ซึ่งหมายความว่าก่อนที่จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญนั้น สถานการณ์จะต้องเป็นที่ไว้วางใจได้ โดยการปกครองราชอาณาจักรได้มีรากฐานอันมั่นคง ซึ่งความข้อนี้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยเป็นอย่างดี……
.......... บุคคลเป็นอันมากซึ่งมีฐานะเป็นปัญญาชนหรือนักวิชาการ เรียกร้องแต่จะให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว โดยไม่คำนึงว่าสถานการณ์จะเป็นที่ไว้วางใจแล้วหรือยัง การปกครองราชอาณาจักรจะมีรากฐานมั่นคงเพียงพอแล้วหรือยัง ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต้องการจะให้ประกาศรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ทั้ง ๆที่การปกครองราชอาณาจักรยังไม่มีรากฐานอันมั่นคง โดยเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญนั่นเองจะเป็นของวิเศษบันดาลสถานการณ์ให้เป็นที่ไว้วางใจ และบันดาลการปกครองราชอาณาจักรให้มีรากฐานมั่นคง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่กลับตาลปัตรกับหลักประชาธิปไตยสากล และสร้างความล้มเหลวให้แก่รัฐธรรมนูญมาพอแล้ว.......”
สิ่งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าจากระบบการเรียนรู้ของเราแม้นักวิชาการ ปัญญาชนก็ยังไม่เข้าใจลัทธิประชาธิปไตยอย่างแท้จริงการดำเนินการของคณะคปค. (ในรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) จึงสะท้อนปัญหาดั้งเดิมของประเทศไทย นั่นคือแม้ชนชั้นนำ ก็ยังตกอยู่ภายใต้ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมมาช้านานจนยากต่อการชี้แจงแก้ไขความ เห็นผิด (มิจฉาทิษฐิ)
จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่จะต้องรู้เท่าทัน กล เกม โกงเหล่านี้ จาก “มหันตภัย” มืดของนักปกครองที่ไม่รู้จักคำว่า “ประชาธิปไตย” ในเนื้อหาอย่างถ่องแท้แต่กลับทำได้แค่เพียงรูปแบบฉาบฉวย การที่มหาชนคนไทยออกมาท้วงคปค.เพื่อต่อต้านนักกฎหมายทั้งสามคนให้ออกไปจาก การทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ทฤษฎีใดๆอธิบายแม้แต่น้อย และนี่คือการเริ่มต้นบทบาทใหม่ของมวลชนประชาธิปไตยที่ผ่านการขับเคี่ยวทาง ความคิดมาในระดับหนึ่งซึ่งผู้ปกครองใดๆก็ไม่สามารถปรามาสบทบาทเช่นนี้ได้ กระแสการต่อต้านนักวิชาการสายรัฐธรรมนูญอย่างดร.วิษณุ เครืองาม ดร.บวรศักดิ์ อุวรรโณ และคุณมีชัย ฤชุพันธ์ จึงสะท้อนออกมาจากมหาประชาชนอย่างมิหยุดยั้ง
(ยังมีต่อ....).
ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 2 Posted: 10/6/2006 11:49:12 PM
ต้องร่วมมือกันระหว่างทหารกับประชาชน
อย่าง ไรก็ดีพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลินยอมรับตรงๆว่าไม่เข้าใจการเมืองนัก แต่การที่ทหารไม่เข้าใจการเมืองนี่เองกลับเป็นสิ่งน่าเป็นห่วงเพราะทหารได้ รุกทำการรุกทางการทหารจนคืบหน้าแล้วแต่ยังขาดแนวรุกทางการเมือง หากกองทัพไม่เข้าใจการเมืองก็ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างที่ยอมรับได้ ทหารแห่งกองทัพไทยต้องเข้าอกเข้าใจการต่อสู้อย่างต่อเนื่องของประชาชนตลอด ระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาว่าจะสูญเปล่าไปในขั้นตอนนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาและไม่ใช่วัฒนธรรมของคนไทยที่ประชาชนจะรวมตัวกันเพื่อ กระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยจิตสำนึกอย่างยิ่ง การตื่นพร้อมของประชาชนและให้การสนับสนุนทหารทางการเมืองอย่างเต็มที่ไม่ สมควรหยุดชะงักลงตรงคำว่า “ไม่รู้” ของผู้นำ หากทหารทำความเข้าใจเพิ่มถึงระบบความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างประชาชนกับ พระมหากษัตริย์ ทหารแห่งกองทัพไทยที่ขึ้นตรงกับจอมทัพ (Generallisimo) คือองค์พระธรรมราชาประมุขแห่งชาติแล้ว ก็จะเข้าใจว่ากองทัพจะเป็นกลไกเชื่อมประสาน “การเมือง” หรือ “รับลูก” ในจังหวะนี้ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมได้อย่างไร
ประชาชนได้ชุมนุม เรียกร้องอย่างสันติ (Peaceful) มาโดยตลอด กองทัพไทยเองได้กระทำการในการยึดอำนาจโดยสันติและอย่างละมุนละม่อม....... มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมจะทำให้เกิดการปฏิวัติสันติ (Peaceful Revolution) ทางการเมืองขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลกไม่ได้เล่า ? การรุกทางการเมืองโดยทหารจึงจำเป็นมากต่อการล้มล้างระบอบเก่าและกำจัดทิ้ง ซึ่งกลไกเก่าผุ และบุคลากรล้าหลัง ออกไปทั้งระบบอย่างเด็ดขาด
ขบวน การประชาธิปไตยแห่งชาติจึงต้องอรรถาธิบายเพื่อสร้างทำความเข้าใจร่วมกันต่อ อีกว่าสถานการณ์ขณะนี้มิได้ต่างจากในปี 2475 ที่คณะราษฎรยึดอำนาจจากพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 โดยที่ไม่เคยบอกว่า “ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” คณะคปค.(ในรูปของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ถึงแม้จะมีเจตนารมณ์ที่ดีแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าอำนาจที่ตนยึดมานั้นเป็น “ของร้อน” ที่ต้องรีบถ่ายโอนอย่างถูกที่ถูกทางสู่ภาชนะที่เหมาะสมเท่านั้น ของร้อนนั้นจึงจะไม่ลวกมือ นั่นก็คือการทำอำนาจนั้นให้เป็นของปวงชนเสียโดยด่วนตามครรลองของการสถาปนา ลัทธิประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย คณะคปค. (ในรูปของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ยังไม่มี “ข้อต่อ “ ทางการเมือง ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรม ระบอบคปค.มีอายุเพียง2 อาทิตย์ จึงเป็นจุดเชื่อมต่อที่อันตรายมากหากนำแนวทางรัฐธรรมนูญนิยมแบบคณะ ราษฏรมาใช้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีก
สถานการณ์ในขณะนี้คือความเป็น จริงที่ว่าการรุกทางการเมืองของประชาชนเป็นฝ่ายกระตุ้นให้ทหารออกมากระทำ การรัฐประหาร แต่ประชาชนมิได้ถืออำนาจรัฐแต่อย่างใดเป็นเพียงกลุ่มคนที่สร้างแรงกดดัน (Pressured Group) จนเป็นผลสำเร็จ แต่ขณะนี้การรุกทางการทหารของคปค. กลับมิได้ดำเนินการรุกทางการเมืองให้สอดคล้องไปกับมติมหาชน ทั้งๆที่สถานการณ์ขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการรุกคืบ เพราะ 1) กองทัพถืออำนาจรัฐอยู่ 2) ประชาชนกำลังนิยมทหาร
ทำอย่างไรจะทำให้ทหาร ผู้กล้าทำรัฐประหาร กล้าอีกขั้นหนึ่งที่จะก้าวออกจากวงศ์วานว่านเครือและความคุ้นเคยเดิมของคำ ว่า “พวกพ้อง” โดยไม่ต้องเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม มาสู่การสรรหาบุคคลคุณภาพที่เหมาะกับงานแต่ละสายโดยไม่ยึดติด องค์กรสถาบัน หรือแม้แต่ตัวตนอันเป็นอัตตาที่ไร้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ นี่ไม่ต่างอะไรเลยกับแนวทางนักปฏิบัติธรรมที่ต้องก้าวล่วง “ สักกายทิษฐิ " ที่เห็นว่าสิ่งนั้นมีตัวมีตนอันเป็นแนวทางแห่งอริยมรรคของผู้ที่จะผ่านวิถี ปุถุชนสู่การเป็นอริยบุคคลชั้นต้น
มาถึงวันนี้ เห็นทีจะต้องปรึกษาหารือกันเพื่อถามว่าเราจะเปลี่ยนความเห็นผิด แบบมิจฉาทิฏฐิมาเป็นความเห็นถูกเห็นชอบแบบสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร เพราะถ้าหากพลาดครั้งนี้ก็จะเป็นการก่อตราบาปให้กับประเทศชาติ ประชาชนอีกครั้ง
กระนั้นก็ตามขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติยังเชื่อว่านัก วิชาการสายทหารในแนวทหารประชาธิปไตยยังมีอยู่ หากใช้บุคลากรถูก ก็จะยังไม่สายเกินไปสำหรับการระดมสมองในครั้งนี้ ดั่งที่ศ.พล.ท.ดร.สมชาย วิรุฬผลกล่าวว่า นี่คือภารกิจของกองทัพแห่งชาติ มิใช่แค่เพียงคณะคปค.กลุ่มเดียว เพราะคณะคปค.ก่อการขึ้นในนามของกองทัพแห่งชาติอย่างเต็มตัว จึงมีภารกิจที่จะต้องต้องสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น ไม่ว่าโดยเหตุผลใด คณะคปค.ย่อมต้องเปิดกว้างที่จะนำบุคลากรสายกองทัพที่มีความรู้เรื่องการ ปฏิวัติประชาธิปไตยมาระดมกันแก้ปัญหาให้ถูกทางให้จงได้ คณะคปค.จะต้องประกาศว่าจะสถาปนาประชาธิปไตยให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร
“ การประกาศว่าจะสร้างความสมานฉันท์ ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิรูปกันแล้ว “ คือคำวิจารณ์ตรงไปตรงมาของทหารประชาธิปไตย “ จะปฏิรูปกันไปทำไมถ้าไม่เด็ดขาด ตัดขาวตัดดำ และเลือกแนวทางที่ถูกตั้งแต่ต้น”
(ยังมีต่อ....)
ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 3 Posted: 10/6/2006 11:50:45 PM
ปฏิวัติประชาธิปไตย ต้องปฏิวัติการศึกษาทั้งระบบ และชำระประวัติศาสตร์ไทยใหม่
แท้ จริงแล้วการสร้างประชาธิปไตยในแนวคิดลัทธิประชาธิปไตย ได้รับการริเริ่มไว้แล้วโดยพระมหากษัตริย์ไทยเริ่มต้นขึ้นในสมัยพระพุทธ เจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงสร้างไม่สำเร็จ ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน จนถึงรัชกาลที่ 6 ที่ทรงสร้างลัทธิประชาธิปไตยต่อทางความคิดด้วยการสร้างลัทธิชาตินิยมมาต่อ สู้กับลัทธิล่าอาณานิคมอันเป็นภัยจากต่างชาติ จากนั้น พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เผชิญหน้าและทรงปราชัยต่อกลุ่มคนไทยใจฝรั่งเช่นคณะ ราษฎรที่ก่อการรัฐประหาร โดยเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) ว่าการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาแล้วประเทศจะกลายเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกได้ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้มิได้มีบันทึกไว้ในวิชาประวัติศาสตร์ไทยในระบบการ ศึกษาประเทศไทย หรือแม้แต่ได้รับการตีความหรือหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์มาก่อนในระบบการศึกษา ของประเทศเรา หากแต่เรากลับร่ำเรียนลัทธิประชาธิปไตยผ่านประวัติศาสตร์ยุโรปและอเมริกาแทน
เมื่อ นำเหตุการณ์มาเปรียบเทียบดู ก็จะเห็นว่าสถานการณ์ในยุคสมัยนี้เลวร้ายยิ่งกว่าสถานการณ์ในสมัยของพระ พุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 และพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 รวมกัน กล่าวคือประเทศไทยกำลังเผชิญภัยอันตรายจากลัทธิความเชื่อที่เกิดจากการเห็น ผิด (มิจฉาทิฎฐิ) ที่ก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อประทศชาติถึงสามอย่างคือ
1. ภัยอันตรายของลัทธิบูชาชาวต่างชาติที่ซ่อนแอบมากับระบอบทุนข้ามชาติของ ทักษิณไม่ต่างจากภัยคุกคามของนักล่าอาณานิคมตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ที่ใช่ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมมาเป็นตัวล่อ ถึงแม้ว่าเหรียญจะมีสองด้านคือด้านชาติและด้านสากลแต่ว่าผู้ปกครองประเทศ นับแต่ปี 2475 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มักให้ความสำคัญของด้านสากลเป็นหลักและให้ความสำคัญด้านชาติเป็นรองในหลาย สถานการณ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดขณะนี้คือการให้ความสำคัญของคำวิจารณ์จากผู้นำ สหรัฐอเมริกาจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่รัชกาลที่ 6 ทรงให้ความสำคัญของชาติเป็นหลักและให้ความสากลเป็นรอง โดยการสร้างชาติด้วยลัทธิชาตินิยมต่อสู้ภัยต่างชาติมาจนเป็นผลสำเร็จ
2. ภัยอันตรายของลัทธิบูชารัฐธรรมนูญที่สะท้อนมาจากนักกฎหมายทั้งสามในแนว ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมไม่ต่างจากกลุ่มคณะราษฎรที่เร่งร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา แซงโค้งการปฏิวัติประชาธิปไตยของรัชกาลที่ 7 ที่ได้ทรงร่างรัฐธรรมนูญของพระองค์ที่พร้อมจะทรงมอบให้แก่ประชาชนอยู่ก่อน แล้ว และเข้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการ ปกครอง
3.ภัยอันตรายที่เลวร้ายที่สุดจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ทำ หน้าที่ชักใยวางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอยู่เบื้องหลังระบบทุนนิยมของเผด็จ การทักษิณ ซึ่งเลวร้ายกว่าก็เพราะว่าหากเกิดการเพลี่ยงพล้ำในการประคองสถานการณ์ต่างๆ ขบวนการก่อการของลัทธิคอมมิวนิสต์ก็จะเข้ามาฉกฉวยโอกาสยึดกุมสถานการณ์ใน ทันที ซึ่งเป็นภัยอย่างหนึ่งที่ในสมัยของพระพุทธเจ้าหลวงไม่มี
(ยังมีต่อ....)
ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 4 Posted: 10/6/2006 11:53:42 PM
คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของมวลหมู่มหาประชาชนแห่งยุคสมัย........
ทว่า ขณะนี้ประชาชนคนไทยมีการศึกษามากกว่าเดิมมิได้มีชีวิตอยู่ในสมัยเลิกทาส ใหม่ๆเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาอีกต่อไป มวลชนประชาธิปไตยที่ผ่านการเคี่ยวกรำทางความคิด ออกมาเรียกร้องให้เผด็จการลาออกจากอำนาจ ประชาชนมีการรวมตัวกันเพื่อต่อต้านการขายชาติยึดครองประเทศๆไทยทางเศรษฐกิจ คนล้าหลังได้ตื่นตัวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 การถูกชาติมหาอำนาจแบ่งประเทศไทยออกเป็นเศษเสี้ยว แบ่งแยกกัมพูชาและตัดดินแดนอีกฝั่งแม่น้ำโขงคือประเทศลาวออกไปที่ทรงทำให้ พระองค์ทรงทุกข์โทมนัสอยู่พระองค์เดียวเพราะประชาชนในสมัยนั้นยังไม่มีการ ศึกษาพอที่จะรับรู้ได้
ผู้ปกครองเห็นผิด นักกฎหมายหลงโรงเห็นผิด ทหารไม่รู้การเมือง แต่ประชาชนไม่ควรเห็นผิด ไม่รู้เกม กลกาม ตามไปด้วย ทางเดียวที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงคือการสร้างมวลชนประชาธิปไตยให้เข้ม แข็ง ก้าวหน้า รู้เท่าทันมหันตภัยของลัทธิทั้งสามดังที่ได้อธิบายมา เพื่อสนองคุณแผ่นดิน กอบกู้บ้านเมืองให้พ้นวิกฤตในขั้นต่อไป
ยังมีต่อ....
ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 5 Posted: 10/6/2006 11:54:49 PM
สร้างรัฐบาลเฉพาะกาล ทำให้อธิปไตยเป็นของปวงชน ขยายเสรีภาพของบุคคล ตามนโยบาย 66/23
ใน สถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมเป็นรัฐบาลชั่วคราว(เฉพาะกาล) โดยอัตโนมัติ แต่หากจะเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลที่มุ่งสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ รัฐบาลนี้จะต้องอุบัติขึ้นอย่างสง่างามโดยเหตุผลหลักประการแรกคือ “ล้มล้าง” ระบอบปัจจุบันที่เป็นเผด็จการรัฐสภาเบ็ดเสร็จให้หมดจากแผ่นดินและมุ่งวาง รากฐานระบอบประชาธิปไตยขึ้นใหม่จึงจะเป็นที่ยอมรับได้ของมหาชน หากมิได้ทำการล้มล้างระบอบก็เท่ากับว่าเข้ามาเพื่อยอมรับเผด็จการแบบเดิมๆ ต่อไป ถึงแม้ว่าประชาชนจะก้าวหน้าสักเพียงไรแต่ในเมื่อพรรคการเมืองยังคงความเป็น เผด็จการอยู่ ก็จะไม่สามารถสร้างพรรคการเมืองของประชาชนเพื่อถือดุลร่วมกับพรรคของนายทุน ผูกขาดได้ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติจึงได้เสนอให้มีพรรคที่พัฒนามาจากประชาธิปไตย อย่างเป็นธรรมชาติซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะมิใช่พรรคที่เกิดขึ้นจากการ จดทะเบียนตีตราที่สามารถเกิดขึ้นชั่วข้ามวัน โดยเหตุนี้เราจึงต้องหยุดพักเรื่องการเลือกตั้งไว้ชั่วคราวและนำรัฐบาล เฉพาะกาลเข้ามารองรับโครงสร้างการเปลี่ยนแปลงฐานรากในขณะนี้ก่อน
ปัญหา ประเทศไทยขณะนี้จึงเป็นปัญหาทางความคิดหมักหมมบูดเน่ามาถึง 75 ปีถูกการศึกษาครอบโดยเผด็จการชุดแรกให้เชื่อว่าเราอยู่ในระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยซึ่งแท้จริงแล้วคือเผด็จการ ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนไทยได้ตระหนักรู้ว่าการปกครองในประเทศไทยที่ผ่านมามิ ได้เป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อแท้ หากแต่เป็นการนำรูปแบบมาเพื่อตบตาประชาชน เมื่อประชาชนคนไทยได้ตระหนักแล้วก็จะเข้าใจว่าขณะนี้คณะคปค.(ในรูปคณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ) ยังมิได้ดำเนินการสร้างระบอบใหม่แต่อย่างใด หากแต่ยังอยู่ภายใต้กลไกเผด็จการรัฐสภาอันมีนักกฎหมายสายรัฐธรรมนูญนิยม เป็นผู้เชื่อมโยงสายใย
ดังวรรคทองของอ.ประเสริฐ ที่ว่า “ ปัญหาแก้รัฐธรรมนูญเป็นปัญหาความขัดแย้งของผู้ปกครองเท่านั้น มิใช่เรื่องของประชาชนไม้แต่น้อย เป็นเรื่องผลประโยชน์ของเผด็จการทั้งสิ้น ประชาชนจะไปอยู่ข้างไหนก็ไม่ถูกทั้งสิ้น มีแต่ทำให้เผด็จการรัฐสภาถูกทำลายไปเท่านั้นคือผลประโยชน์ของประชาชน”
ประชาชน จึงพึงตระหนักที่จะทวงถามถึงอำนาจอธิปไตยที่คปค. (ในรูปของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ได้ถ่ายโอนไปว่าจะนำมาใช้อย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อมหาชน นอกจากการเร่งร่างรัฐธรรมนูญในกระดาษ และยังต้องถามต่อไปว่าอำนาจอธิปไตยนั้นจะถูกนำมาใช้อย่างไรอย่างเป็นรูปธรรม คณะคปค.จำเป็นต้องวางผังการร่าง ทำRoadmap ออกมา นี่คือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขที่จะดำเนินการอย่างสง่างามโดยมีพลังประชาชนเปรียบเสมือน “ กองทัพแห่งความชอบธรรม” คอยให้การสนับสนุน ชี้แนะ และให้กำลังใจอย่างสมัครสมานสามัคคี
การสถาปนาการปกครองในลัทธิ ประชาธิปไตยนั้นโดยแท้จริงปรากฏอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วในนโยบาย66/23 ซึ่งเป็นแนวทางสร้างประชาธิปไตยขั้นสองคือ การทำให้อธิปไตยเป็นของปวงชน และขยายเสรีภาพของบุคคลให้บริบูรณ์ ไม่ว่าจะดำเนินการใดๆ ผู้ปกครองจะต้องยึดหลัก 5 ประการของลัทธิประชาธิปไตยไว้อย่างแม่นมั่น โดยเพิ่มเติมไปอีก 3 ข้อ คือหลักความเสมอภาคหลักนิติธรรม นั่นคือ
ในนโยบาย 66/23 หรือนโยบายแห่งชาติ (National Policy) ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าไว้อย่างเป็นรูปธรรมต่อการแก้ปัญหาชาติ รวมทั้งนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะหล่อเลี้ยงระบอบ”ประชาธิปไตยแบบไทย” ตามแนวทางพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชรัชกาลปัจจุบัน
รูปแบบการถ่ายโอนอำนาจนั้น พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำริไว้แล้วให้มีการถ่ายโอนอำนาจจาก สภาองคมนตรีไปสู่สภาปวงชนชาวไทยอย่างสันติ สภาดังกล่าวเป็นสภาที่สถาปนาขึ้นมาจากผู้แทนปวงชนหลากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสภาร่างรัฐธรรมนูญตามที่ปรากฏเป็นข่าวออกมาใน ปัจจุบัน การสร้างสภาขึ้นมาก็จะเป็นการสถาปนาสภาปวงชนขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การดำริให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นวงจรความคิดแบบเดิมในรูปแบบเดียวกัน กับคณะราษฎรนั่นเอง
จึงขอฝากไปยังประชานทุกท่านและขอให้จดจำคำครู ไว้ว่า “ ไม่มีประเทศไหนในโลกนื้ที่มีผู้ปกครองพูดแต่เรื่องรัฐธรรมนูญโดยยกเอา ประชาชนมาบังความชั่วร้าย ที่จริงก็คือเอารัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือแย่งอำนาจกันเท่านั้น “
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
The National Democratic Movement of Thailand (NDMT)
www.geocities.com/thaidemocratic
ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 6 Posted: 10/7/2006 12:07:06 AM
สำหรับ ท่านผู้อ่านที่ต้องการแสดงทัศนะ หรือแลกเปลี่ยนข่าวสารใดๆ หลังอ่านข้อเขียนชิ้นนี้ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างก็ตาม ส่งเมล์มาได้ค่ะที่
ndmtsociety@gmail.com
และขอขอบคุณต่อการสละเวลาอันมีค่าของท่านในการทำความเข้าใจกับเนื้อหามาอย่างต่อเนื่อง
ขอ ให้กุศลแห่งการมีจิตสำนึกสูงส่งของท่านผู้อ่านในฐานะผู้ปกป้องแผ่นดินจาก ภัยมืดและอวิชชานานา นำมาซึ่งการเห็นชอบ(สัมมาทิษฐิ) ของคนไทยทั้งชาติ และก่อให้เกิดความคิดเห็นเสมอกัน (ทิษฐิสามัญญตา) ในเร็ววัน
ส่งผลให้การปฏิวัติสังคมไทยเป็นไปอย่างสันติสัมฤทธิผลด้วยเทอญ.....
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก