เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 23, 2549

ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ การปฏิรูปการปกครองใน ประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กัน ยายน 2549

บทนำ

หลังจาก ที่สังคมไทยได้ ผ่านประสบการณ์ใน การก้าวไปตามเส้นทางของกระบวนการประชาธิปไตยมานานกว่าเจ็ดสิบปี กล่าวได้ ว่าประชาชนชาวไทยมีความเข้า ใจและ เรียนรู้ความ หมาย รูปแบบ ตลอดจนหลักการอันเป็น หัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตยยิ่งขึ้นเป็น ลำดับ แม้บางช่วงเวลาจะเป็น การเรียนรู้ที่เจ็บปวดและ มีราคาแพง แต่ก็เป็น การเรียนรู้ที่ให้ความ สำคัญแก่การย่างก้าวตามวิถีของกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยที่แท้จริงและ ถูกต้อง โดยไม่ ยึดว่าประชาธิปไตยจะต้อง มีกลไกหรือ รูปแบบอันเป็น เปลือกนอกเท่านั้นเป็น พอ แต่คำนึงถึง เนื้อหาสาระที่เป็น จริงอีกด้วย ใน ช่วงที่ผ่านมาอำนาจทางเศรษฐกิจและ การเมืองของไทยเป็น ตัวแปรที่มีอิทธิพลส่งผลต่อกันและกัน ผู้ ครองอำนาจทางเศรษฐกิจบาคนมักจะ มีช่องทางได้ มาซึ่ง อำนาจทางการเมืองด้วย และ กลับกัน คือผู้ ครองอำนาจทางการเมืองบางคนใน บางยุคสมัยมักจะ กำหนดนโยบายเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเฉพาะกลุ่มและ พวกพ้องเป็น หลัก มากกว่าเพื่อผลประโยชน์ของคนใน ชาติโดยส่วน รวม ดังนั้นจึง พบว่า หลายครั้งที่การเลือกตั้งกลายเป็น เครืองมือรับใช้ กลุ่มอำนาจทางเศรษบกิจเพื่อสืบทอดอำนาจทางการเมือง และ สร้างความ ชอบธรรมจาก คำว่าประชาธิปไตยหรือ คำว่าการเลือกตั้ง โดย อ้างอิงกระบวนการที่ใช้ อิทธิพลทางการเงินและ การใช้ อำนาจรัฐเข้า ครอบงำเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ตลอดจนอ้างอิงปริมาณของผู้ สนับสนุนมาสร้างความ ชอบธรรม ทำให้ นึกถึง พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ หัว รัชกาลที่ 6 ที่เคยทรงอุปมาไว้ อย่างแยบคายว่า "กำหมัดคือยุติธรรมจงจำไว้ ใครหมัดใหญ่ได้ เปรียบเรียบเทียวเกลอ"

ใน สถานการณ์ที่การบริหารประเทศด้วย การใช้ เครื่องมือและ กลไกตามระบอบประชาธิปไตยคลายเคลื่อนไปจาก หลักการที่แท้จริงโดย ขาดธรรมาภิบาล ผู้ บริหารที่ใช้ อำนาจ ซึ่งได้ มาจาก กระบวนการเลือกตั้งที่ไม่ บริสุทธิ์ยุติธรรม มักจะ นำไปสู่การแตกแยกเป็น ฝักเป็น ฝ่ายโดย ง่าย ทั้งผู้ มีอำนาจนั้น มักจะไม่ พยายามประสานความ แตกต่าง หากจะ ตอกย้ำขยายช่องว่าง ทำให้ เกิดการแตกความ สามัคคีของคนใน ชาติ และ มีแนวโน้มที่จะ เผชิญหน้ากันด้วยความ รุนแรงของกลุ่มที่มีความ คิดเห็นแตกต่างกัน ดังที่เรียกยุทธวิธีนี้ว่า "แบ่งแยกแล้ว ปกครอง" (divide and rule) สภาพเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสถาบันสำคัญทั้ง หลายของชาติ เพราะจะ ทำให้ถึง จุดที่กลไกประชาธิปไตยเดิมไม่ เหลือทางเลือกอื่นใดให้กับ สังคมไทยอีกต่อไป อันจะเป็น อันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง

การพัฒนาประชาธิปไตยของไทยเพื่อให้ ก้าวไปสู่เนื้อหาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึง เลี่ยงไม่ พ้นการที่จะต้องเข้า ระงับยั้บยั้งและ เปลี่ยนแปลงแก้ไข ตลอดจนเยียวยาเพื่อให้ ทุกอย่างกลับมาสู่ร่องรอยปกติตามขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิต และความ รู้สึกร่วมกัน ของประชาชนชาวไทย กระบวนการนี้อาจเรียกว่า "การปฏิรูปการเมืองการปกครอง" เหตุการณ์ดังกล่าวแม้สาธารณชนใน ระดับสากลและ ภายใน ประเทศบางส่วนจะ มองว่าเป็น การทำให้ ระบอบประชาธิปไตยชะงักลง หรือ ที่คำพังเพยไทยเรียกว่า "ถอยหลังเข้า คลอง" แต่คนส่วน หนึ่งใน ประเทศและ นักวิชาการไม่ น้อยที่ปรารภว่า "บางครั้งก็ต้อง จำยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" "ชะลอกลไกหรือ พิธีการไว้ ก่อน เพื่อรักษาหลักการ" บางคนกล่าวว่า "ประชาธิปไตยของไทยถูกกัดกร่อนทำลายไปก่อนหน้านี้แล้ว" และ บางคนถึงกับ อุปมาว่า "ถอยหลังเข้า คลองยัง ดีกว่าเดินไปข้างหน้าแล้ว จมน้ำตาย" ภายหลังการปฏิรูป จึงต้องให้ความ สำคัญแก่พัฒนาการเพื่อให้ ประเทศไทยเป็น สังคมที่มีการปกครองใรนะบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข โดย ที่ทั้ง รูปแบบและ สาระแห่งการปกครองนั้นสามารถ ตอบสนองคุณค่า (value) ที่สำคัญของสังคมและยัง ประโยชน์สุขต่อประชาชนทุกระดับได้

เหตุการณ์สำคัญที่เป็น ชนวนนำไปสู่การปฏิรูป

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลที่เพิ่งถูกยึดอำนาจไป ได้ ถูกเพ่งเล็งจาก สังคมอย่างหนัก และ ถูกกล่าวหาด้วยความ เคลือบแคลงสงสัยมาตลอดว่า ได้ พยายามผูกขาดอำนาจทำลายระบบการตรวจสอบถ่วงดุล โดย การแทรกแซงครอบงำองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและ การแต่งตั้งบุคคลเข้า ดำรงตำแหน่งสำคัญใน องค์กรอิสระ ส่วน ราชการ และ รัฐวิสาหกิจตลอดจนคุกคามและ แทรกแซงสื่อมวลชน รวมทั้ง มีการดำเนินการที่ส่อไปใน ทางทุจริต/ฉ้อราษฎร์บังหลวง และ มีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างกว้างขวาง ซึ่ง อาจสรุปข้อกล่าวหาที่ค้างคาใจประชาชนใน กรณีสำคัญได้ ดังนี้

การทุจริต/ผลประโยชน์ทับซ้อน
-การแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือให้เป็น ภาษีสรรพาสามิต
-การแปลงธุรกิจดาวเทียมให้เป็น ธุรกิจที่ได้ รับการส่งเสริมจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
-การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิและ กรณีเครื่องตรวจวัตถุระเบิด CTX
-โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า Airport Link
-การพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ไม่ โปร่งใส
-กรณีการครอบงำกิจการโทรทัศน์เสรี

การใช้ อำนาจใน ทางมิชอบ
-การแต่งตั้งเครือญาติ/คนใกล้ ชิดดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง
-การใช้ วิธีการงบประมาณที่ไม่ ผ่านความ เห็นชอบจาก รัฐสภา เพื่อผลประโยชน์ใน การสร้างคะแนนนิยมต่อรัฐบาล
-การใช้ ตำแหน่งหน้าที่ใน การเจรจากั บต่างประเทศเพื่อเอื้อต่อประโยชน์ส่วน ตนและ พวกพ้อง (กรณีการปล่อยเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและ นำเข้า แห่งประเทศไทย)
-การใช้ อำนาจทางกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน และ กรมสรรพากร ใน การตรวจสอบสถานะทางการเงินของผู้ ที่ไม่ เห็นด้วยกับ รัฐบาล

การละเมิดจริยธรรม/คุณธรรมของผู้ นำประเทศ
-การขายสัมปทานดาวเทียมและ สถานีโทรทัศน์ให้ แก่ต่างชาติ
-การซื้อขายหุ้นของบุคคลใน ครอบครัวโดยไม่ เสียภาษี

การแทรกแซงระบบการตรวจสอบทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ
-การครอบงำวุฒิสภาซึ่ง มีอำนาจใน การแต่งตั้งผู้ ดำรงตำแหน่งใน องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญต่างๆ และ การตรวจสอบการดำเนินการของฝ่ายบริหาร
-การแทรกแซงการแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและผู้ ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

ข้อผิดพลาดเชิงนโยบายที่นำสู่การละเมิดสิทธิเสรีภาพ
-กรณีฆ่าตัดตอนหรือ ทำวิสามัญฆาตกรรมใน คดียาเสพติด โดย มีผู้ ถูกสังหารเป็น อันมาก
-การบริหารจัดการใน เชิงนโยบายที่ผิดพลาดและไม่ ชอบธรรมใน การแก้ไขปัญหาความ รุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง แม้จะใช้ เวลายาวนาน แต่ก็ไม่ ทุเลาเบาบางลง

การบ่อนทำลายความ สามัคคีของคนใน ชาติและ การเผชิญหน้าที่เสี่ยงต่อการใช้ความ รุนแรง
-การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารของกลุ่มที่จะ ตรวจสอบรัฐบาลหรือ ตัวนายกรัฐมนตรีเอง และ เปิดเฉพาะข้อมูลที่คัดสรรแล้ว ทำให้ ประชาชนไม่สามารถ รับทราบความ จริงทั้ง หมด
-การจัดตั้งกลุ่มคนสนับสนุนเพื่อตอบโต้และ มุ่งหวังให้ เกิดการเผชิญหน้าที่เสี่ยงต่อการเกิดความ รุนแรงกับ กลุ่มผู้ ต่อต้านรัฐบาลโดย สันติ

ความ พยายามใน การหาทางออกเพื่อให้ มีการแก้ไขใน ระบบ

-การชุมนุมประท้วงโดย สันติวิธีและ ปราศจาก อาวุธ
-การให้ ข้อคิดเห็นและ ข้อเสนอแนะเพื่อหาทางออกโดย บุคคลหลายฝ่ายที่ได้ รับการยอมรับจาก สังคม
-บทบาทของศาลใน การผ่าทางตันทางการเมือง (ตุลาการภิวัฒน์) เนื่องจาก การดำเนินการตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ ผล (คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ที่ให้ การเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็น โมฆะ รวมทั้ง คำพิพากษาของศาลอาญาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ที่ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งมีความ ผิดเนื่องจาก การใช้ อำนาจโดยไม่ ชอบใน การจัดการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน 2549)

๐ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว พระราชทานแก่คณะผู้ พิพากษาศาลปกครองสูงสุด และ คณะผู้ พิพากษาศาลฎีกาบางส่วน เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549

สภาพทางการเมืองก่อน 19 กัน ยายน 2549

ก่อนที่ทั่ว โลกจะได้ เห็นภาพของทหารถือปืนพร้อมกับ รถถังประจำตามจุดสำคัญต่างๆ ใน กรุงเทพฯ และ ปริมณฑล ซึ่ง ถือกัน ว่าเป็น ภาพของสถานการณ์ความไม่ ปกติอย่างร้ายแรง สำหรับสังคมประชาธิปไตยทั่ว ไป แต่สำหรับประชาชนไทยแล้ว ต่างก็ได้ เห็นหลายภาพหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ซึ่ง แสดงถึงความไม่ ปกติและ ส่อเค้าถึง การเผชิญหน้ากันด้วยความ รุนแรงระหว่างคนใน ชาติ

การเลือกตั้งที่ผ่านมาเปรียบเสมือนภาพสะท้อนของการบรรลุถึง "รูปแบบ" ของการปกครองแบบประชาธิปไตย เมื่อประชาชนได้ รับ "โอกาส" ใน การเลือกตั้ง การได้ รับเสียงสนับสนุนใน การเลือกตั้งจำนวนมากให้เข้า มาเป็น รัฐบาลใน รอบที่สอง เมื่อมองอย่างผิวเผินดูเหมือนเป็น การแสดงให้ เห็นความ พึงพอใจของประชาชนต่อความ สำเร็จใน การบริหารประเทศใน ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ใน ช่วงหลังของการบริหารประเทศรอบแรกมาจนถึง ห้วงเดือนกัน ยายน 2549 เริ่มมีเสียงจาก ประชาชนที่แสดงถึงความ สงสัยและไม่ พอใจใน การบริหารประเทศของรัฐบาลมากขึ้น โดย เฉพาะอย่างยิ่งใน เรื่องของการเล่นพรรคเล่นพวกและ แสวงประโยชน์ให้กับ พวกพ้องและ บริวารอย่างไม่ มีที่สิ้นสุด การแต่งตั้งเพื่อนและ เครือญาติให้ ดำรงตำแหน่งระดับสูงใน ระบบราชการ ใน ขณะที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญถูกทำให้ อ่อนแอเกินกว่าจะ ป้องกันหรือ แก้ไขปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางได้ ดังจะ เห็นได้จาก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และ องค์กรหลักๆ อีกหลายองค์กร ที่สำคัญอย่างยิ่งคือไม่ มีพื้นที่เหลือให้ สำหรับกลไกการตรวจสอบโดย รัฐสภาอย่างมีประสิทธิภาพตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ผลการสำรวจประชามติของสำนักต่างๆ แสดงถึง การเสื่อมความ นิยมใน รัฐบาลมาเป็น ลำดับ ภาพสะท้อนดังกล่าวยัง เห็นได้จาก การออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการ NGOs และ สื่อมวลชน ความไม่ พอใจที่สะสมเพิ่มพูนจนกลายมาเป็น การรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลอย่างเปิดเผยทั้งใน กรุงเทพฯและ ต่างจังหวัด จนนำไปสู่การยุบสภาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนเดิมที่ทำให้ กลไกการคานอำนาจและ การติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลไม่ เข้มแข็งเพียงพอ

การดำเนินนโยบายความ มั่นคงของรัฐบาล มีความ ผิดพลาดอันเกิดจากความไม่เข้า ใจปัญหาและ การไม่ ยอมรับฟังความ เห็นของสังคม ทั้ง มีเจตนาใช้ อำนาจรัฐจัดการกับ ปัญหาที่ปลายเหตุด้วย วิธีการที่รุนแรงและ จนถูกกล่าวหาว่า ไม่เป็น ไปตามกฎหมายและ หลักนิติธรรม โดย เฉพาะกรณีการแก้ไขปัญหาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ กรณีการปราบปรามยาเสพติดที่ส่งผลให้ความ รุนแรงขยายตัวและ เกิดเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายต่อหลายครั้งจนเป็น ที่เสื่อมเสียต่อภาพพจน์ของประเทศ

ประเด็นสำคัญอันเป็น ที่คลางแคลงใจอย่างยิ่งและ ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติที่เป็น รูปธรรมคือ การกล่าวหาว่าผู้ นำประเทศได้ อาศัยช่องว่างทางกฎหมายและใช้ อำนาจทางการบริหารแสวงประโยชน์ทุกด้านให้ ตนเองและ ญาติมิตร ทั้ง ที่ผู้ นำประเทศน่าจะเป็น เสาหลักใน การบริหารแบบมีธรรมาภิบาลและ แก้ไขช่องว่างทางกฎหมายที่เอื้อต่อการแสวงประโยชน์โดย มิชอบ ทำให้ ศรัทธาของประชาชนต่อผู้ บริหารประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง การยึดอำนาจ 19 กัน ยายน และ สามสิบวันต่อมา

เมื่อเวลาพลบค่ำของวันอังคารที่ 19 กัน ยายน 2549 ประชาชนที่เลิกงานและ สัญจรอยู่ บนท้องถนนใน กรุงเทพมหานครสังเกตเห็นความ เคลื่อนไหวบางอย่างที่ผิดปกติ เช่น มีการเคลื่อนย้ายกำลังทหารบางส่วน รถถังเคลื่อนมาจอดตามจุดต่างๆ เช่น หน้าทำเนียบรัฐบาล ลานพระบรมรูปทรงม้า และ ถนนราชดำเนินกลางอันเป็น ถนนสายหลักที่ตั้งของส่วน ราชการหลายแห่ง ประชาชนหลายคนโบกมือให้ ทหารตามสี่แยกและ ที่ยืนอยู่ หน้ารถถังทหารเหล่านั้น ยิ้มให้ บางคนโบกมือตอบ ความ เคลื่อนไหวเริ่มผิดสังเกตมากขึ้นเมื่อสถานีวิทยุโทรทัศน์บางแห่งงดออกอากาศแพร่ภาพรายการปกติ หันมาแพร่ภาพพระราชกรณียกิจเปิดเพลงมาร์ช เพลงปลูกใจ และ เพลงพระราชนิพนธ์ต่อเนื่องกัน

ตั้งแต่เวลาประมาณ 21.00 น. เริ่มมีการอ่านประกาศ คำสั่ง และ แถลงการณ์ของคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข สรุปความได้ ว่า บัดนี้ คณะดังกล่าวซึ่ง ประกอบด้วยผู้ บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ บัญชาการทหารบก ผู้ บัญชาการทหารเรือ ผู้ บัญชาการทหารอากาศ และผู้ บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ ยึดอำนาจการปกครองเป็น ที่เรียบร้อยแล้ว ให้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 วุฒิสภา สภาผู้ แทนราษำร คณะรัฐมนตรี และ ศาลรัฐธรรมนูญเป็น อันสิ้นสุดลง ส่วน คณะองคมนตรี และ ศาลอื่น ๆ ยัง คงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ให้ ประกาศใช้ กฎอัยการศึกทั่ว ราชอาณาจักร บรรดากฎหมายต่างๆ ยัง คงมีผลใช้ บังคับต่อไป เว้นแต่จะ มีประกาศให้ ยกเลิกหรือ งดใช้ บางส่วน ให้ ทหารและ ตำรวจไปรายงานตัว ณ ต้นสังกัด ส่วน หัวหน้าส่วน ราชการฝ่ายพลเรือนไปรายงานตัวต่อหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ใน กรณีที่อยู่ ต่างจังหวัด ให้ รายงานตัวต่อแม่ทัพภาคให้ ปลัดกระทรวงต่างๆ ซึ่งเป็น ข้าราชการประจำ เป็นผู้ใช้ อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไปพลางก่อน ขออย่าให้ผู้ใช้ แรงงาน ชาวนา ชาวไร่ เคลื่อนไหวเรียกร้องหรือ ก่อความไม่ สงบเรียบร้อย ห้ามมั่วสุมประชุมทางการเมืองตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป พรรคการเมืองต่างๆ ยัง คงมีอยู่ แต่ให้ งดการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองไว้ ก่อน ห้ามกักตุนสินค้าหรือ ขึ้นราคาสินค้าทุกประเภท และได้ เรียกร้องให้ ประชาชนร่วมแรงร่วมใจกัน ฟื้นฟูชาติบ้านเมือง ฟื้นฟูความ สามัคคี นำความ สงบสุขกลับคืนสู่ประเทศชาติ พร้อมกัน นี้ก็ยืนยันว่า จะ ยึดมั่นใน กฎบัตรสหประชาชาติ และ พัฯธกรณีตามสนธิสัญญาหรือ ข้อตกลงที่ทำไว้กับ นานาประเทศภายใต้ หลักเกณฑ์แห่งความ เสมอภาคโดย เคร่งครัด รวมทั้งจะ ส่งเสริมและ รักษาไว้ซึ่งความ สัมพันธ์ที่มีอยู่กับ ต่างประเทศ ตลอดจนให้ การคุ้มครองชาวต่างประเทศ คณะทูตานุทูตกงสุล สถานเอกอัครราชทูต และ องค์การระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ใน ประเทศไทย

เพื่อเป็น การยุติความ เคลื่อนไหวต่างๆ ที่ไม่ จำเป็นและ เพื่อป้องกัน มิให้ เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือ ฉกฉวยโอกาสไม่ ว่าจาก ฝ่ายใด ตลอดจนเพื่อประโยชน์ใน การซักซ้อมความเข้า ใจใน วิธีปฏิบัติเรื่องต่างๆ คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขจึง มีคำสั่งให้ วันพุธที่ 20 กัน ยายน 2549 เป็น วันหยุดราชการ ต่อมาได้ มีการออกประกาศและ คำสั่งอีกหลายฉบับ เพื่อจัดระเบียบการปกครองใน ช่วงเวลาที่เกิดช่องว่าง ไม่ มีรัฐสภา และไม่ มีรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน โดย ยึดหลักพึงปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่า ที่จำเป็น เพียง 12 วัน หลังการยึดอำนาจ มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ ชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 แทนรัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไป ใน วันที่ 1 ตุลาคมเดียวกันนั้น เอง และ ปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ก็ได้ สลายตัวไปทำหน้าที่คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ ซึ่ง มีอำนาจหน้าที่จำกัดเฉพาะเรื่องทางพิธีการที่รัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราวกำหนด โดยไม่ มีอำนาจใน การออกกฎหมาย อำนาจใน การบริหารประเทศ และ อำนาจใน การพิจารณาวินิจฉันคดีแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ มีอำนาจสั่งใช้ มาตรการพิเศษเด็ดขาดใด ๆ ดังที่เคยรู้จักใน นามของ "มาตรา 17" เพื่อระงับยับยั้งภยันตรายที่อาจมีมา อันเป็น อำนาจพิเศษที่เคยปรากฏใน รัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราวภายหลังการยึดอำนาจทุกฉบับ ที่ผ่านมาใน รอบเกือบห้าสิบปี

นอกจากนั้น ใน วันเดียวกัน ก็ได้ มีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ข้าราชการบำนาญ อดีตผู้ บัญชาการทหารบก ผู้ บัญชาการทหารสูงสุด วัย 64 ปี ผู้ มีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็น ที่ยอมรับใน ด้านความ ซื่อสัตย์สุจริต ความ จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ความ กล้าหาญเด็ดเดี่ยว การดำเนินชีวิตที่ประหยัด เรียบง่าย ความ สนใจใน ธรรมชาติและ การนำธรรมะมาใช้ใน การดำเนินชีวิตขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 24 ตามคำกราบบังคมทูลของประธานคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ เลือกสรรผู้ มีความ รู้ความสามารถ อีก 26 คน เาดำรงตำแหน่งใน คณะรัฐมนตรีโดยเป็น พลเรือนทั้ง หมด ประกอบด้วยผู้ ที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญใน ภาครัฐ เช่น ผู้ ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวง เอกอัครราชทูต อธิการบดีมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ประธานศาลฎีกา อธิบดี อาจารย์ ส่วน ที่เป็น ภาคเอกชนก็ล้วนแต่ประสบความ สำเร็จทางธุรกิจและ มีประสบการณ์ใน ด้านรัฐสภาหรือ การบริหารราชการแผ่นดินมาบ้างแล้ว และ ที่เป็น อีดตข้าราชการทหารมีเพียง 2 คน

เมื่อเสร็จภารกิจด้านการวางโครงสร้างการบริหารประเทศใน ด้านบริหาร ก็ได้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวม 242 คน จาก บุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ หลากหลายความ รู้ และ หลากหลายภูมิภาค เช่น นักวิชาการผู้ ทำงานด้านสังคม นักต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ผู้ เคยทำงานด้านการเมือง การบริหารตุลาการ ข้าราชการตำรวจ ทหาร พลเรือน นักธุรกิจ นายธนาคาร เกษตรกร ผู้ใช้ แรงงาน สื่อมวลชนแขนงต่างๆ นักการศาสนา แพทย์ ครู ทนายความ คนพิการ ศิลปิน เป็น ต้น เพื่อทำหน้าที่ออกกฎหมายใน รูปของพระราชบัญญัติ ควบคุมการทำงานของรัฐบาลโดย การตั้งกระทู้ถาม และ เปิดอภิปรายทั่ว ไปเพื่อเสนอความ คิดเห็นเกี่ยวกับ การบริหารราชการแผ่นดินแก่รัฐบาล ตลอดจนเสนอความ คิดเห็นเกี่ยวกับ ร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำขึ้นเพื่อประกอบการพิจารณาใน การปรับปรุงหรือ แก้ไขเพิ่มเติม

ใน ด้านตุลาการ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง และ ศาลทหาร ยัง คงทำหน้าที่ต่อไปตามปกติ และ แม้ใน ช่วงเวลาที่ควรเป็น ช่องว่างเช่นนี้ ผู้ เกี่ยวข้องยัง คงสามารถ ฟ้องร้องหรือ นำคดีไปสู่องค์กรที่ได้ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ พิจารณาวินิจแยหรือ มีการตรวจสอบว่า กฎหมายใด ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ได้เป็น ปกติอีกด้วย อำนาจพิจารณาวินิจแยดังกล่าวนี้ ใน ต่างประเทศเรียกว่า "Power of Judicial Review of the Constitutionality of the law" ส่วน องค์กรที่ว่านั้น คือ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ประกอบด้วย ประธานาศาลฎีกาเป็น ประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็น รองประธาน ผู้ พิพากษาใน ระดับไม่ ต่ำกว่าผู้ พิพากษาศาลฎีกาซึ่ง ที่ประชุมใหญ่ ศาลฎีกาเลือกห้าคน และ ตุลาการใน ศาลปกครองสูงสุดซึ่งได้ รับเลือกโดย ที่ประชุมใหญ่ ศาลปกครองสูงสุดสองคน โดย สรุป องค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ และความ น่าเชื่อถือของสถาบันนี้ จึงไม่ แตกต่างไปจาก มาตรฐานใน นานาประเทศที่ยอมรับให้ มีระบบการตรวจสอบโดย ศาลว่า กฎหมายใด ขัดหรือ แย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

การที่ยัง คงมีระบบการตรวจสอบดังกล่าว แม้เป็น ช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ แสดงว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชนยังได้ รับความ คุ้มครอง ข้อนี้ถ้าผู้ ที่ไม่ คุ้นเคยกับ กฎหมายได้ ตรวจดูจาก รัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราวแล้ว อาจไม่ พบว่ามีการคุ้มครองดังกล่าว แต่หลักประกัน ข้อนี้ปรากฏอยู่ถึง สามแห่งใน รัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติเพียงไม่ กี่มาตรา แห่งแรกคือ คำปรารภอันเป็น เสมือนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ว่า "จำเป็นต้อง กำหนดกลไกทางปกครองที่เหมาะสมแก่สถานการณ์เพื่อใช้ ไปพลางก่อน โดย คำนึงถึง หลักนิติธรรมตามประเพณีการปกครองของประเทศไทยใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข...การส่งเสริมและ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" แห่งที่สองคือ บทบัญญัติใน มาตรา 3 ที่ว่า "ภายใต้ บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความ เสมอภาคบรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้ รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข และ ตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้ รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้" และ แห่งที่สามคือบทบัญญัติใน มาตรา 38 ที่ว่า "ใน เมื่อไม่ มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้ วินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข" เป็น ที่เข้า ใจได้ ว่าเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับ สิทธิเสรีภาพขั้นมูลฐานใน ระบอบประชาธิปไตย เช่น เสรีภาพใน การนับถือศาสนา เสรีภาพใน การแสดงความ คิดเห็น สิทธิเสรีภาพใน ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน สิทธิที่จะได้ รับการพิจารณาคดีอย่างเป็น ธรรม ตลอดจนสิ่งที่เรียกกันใน ภาคพื้นยุโรปว่า "The Rule of Law" หรือ ที่ใน สหรัรฐอเมริกา รู้จักกันใน นามของ "Due Process of Law" จนแม้แต่ความ ถูกต้อง ตามทำนองคลองธรรมที่เรียกว่า "Natural Justice" ซึ่ง บางครั้งมีความ หมายยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนตามตัวบทกฎหมายสิ่งเหล่านี้จะได้ รับการคุ้มครองและ ปฏิบัติตามเสมือนหนึ่งเมื่อก่อนวันที่ 19 กัน ยายน 2549 ทุกประการ

ในส่วน ของการจัดทำรัฐธรรมนูญซึ่ง น่าจะเป็น ภารกิจยิ่งใหญ่และ มีความ สำคัญมากที่สุด เพราะเป็น การวางกลไกกติกาการปกครองประเทศใกนารปฏิรูปการเมืองเพื่อความ มั่นคงสถาพรของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขใน อีกประมาณไม่ เกินหนึ่งปีข้างหน้านี้ การดำเนินการใน เรื่องนี้ได้ กำหนดให้ ประชาชนมีโอกาสเข้า มามีส่วน ร่วมทุกขั้นตอนยิ่งกว่ากระบวนการจัดรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ที่ผ่านมาใน ประวัติศาสตร์การเมืองเกือบ 75 ปีของไทย ใน ขั้นตอนแรก เมื่อยังไม่สามารถ จัดหาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจาก การเลือกตั้งโดย ตรงได้ ก็ใช้ วิธีให้ ประชาคมกลุ่มต่างๆ เช่นองค์กรอาชีพที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายทุกอาชีพ องค์กรด้านสาธารณประโยชน์ พรรคการเมือง แรงงาน สังคม ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรนิสิตนักศึกษา องค์กรปกครองท้องถิ่น องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วงการวิชาการ วงการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย วงการพัฒนาชุมชนด้านสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การสงเคราะห์ การคุ้มครองผู้ บริโภค วงการศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและผู้ เคยมีประสบการณ์ใน การร่างรัฐธรรมนูญจากทั่ว ประเทศ เลือกผู้ แทนกัน เองมาประกอบกัน ขึ้นเป็น สมัชชาแห่งชาติ มีสมาชิกจำนวนไม่ เกิน 2,000 คน ทำนองเดียวกับ ที่เคยมีพระบรมราชโอกงารโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ จำนวน 2,231 คน หรือ ที่รู้จักใน นามของ "สภาสนามม้า" มาแล้ว เมื่อ พ.ศ.2516 สมาชิกสมัชชาแห่งชาติจะ ประชุมและ คัดเลือกกัน เองอีกครั้งให้ได้ จำนวน 200 คน แล้ว เสนอให้ ประธานคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติคัดเลือกจาก จำนวนนี้ให้ เหลือก 100 คน เพื่อเป็น สมาชิกร่างรัฐธรรมนูญใน ระหว่างการจัดทำรัฐธรรมนูญ ประชาชนยัง มีส่วน ร่วมด้วย การวิพากษ์วิจารณ์เสนอข้อคิดเห็นต่างๆ ได้ และ เมื่อถึง ขั้นสุดท้ายก่อนจะ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แม้สภาร่างรัฐธรรมนูญจะให้ความ เห็นชอบแล้ว ก็ยังต้องให้ ประชาชนทั่ว ประเทศมีส่วน ร่วมอีกครั้งหนึ่ง ด้วย การนำร่างรัฐธรรมนูญออกให้ ประชาชนออกเสียงแสดงประชามติว่า จะ เห็นชอบหรือไม่ อันจะเป็น ปรากฏการณ์ครั้งแรกของประเทศไทย

เหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็น พัฒนาการตลอดเวลาประมาณสามสิบวันนับแต่มีการปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขเมื่อคืนวันอังคารที่ 19 กัน ยายน 2549 แต่อันที่จริงไม่ ว่าจะ เรียกอย่างไรก็ตาม ใน สายตาของคนทั่ว ไปทั้งในและ ต่างประเทศ ก็คือ "การยึดอำนาจ" หรือ "การรัฐประหาร" นั่นเอง

เมื่อกล่าวถึง การยึดอำนาจ ภาพที่ผู้ คนทั่ว ๆ ไปย่อมนึกถึงและไม่ สู้จะ ผิดความ จริงนักคือภาพทหารแต่งเครื่องแบบพร้อมอาวุธและ ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ครบครัน เช่น รถถัง รถหุ้มเกราะ รถจีเอ็มซี ออกวิ่งตระเวนทั่ว เมือง บางแห่งมีการติดตั้งบังเกอร์ ขึงรั้วลวดหนาม ขณะที่ทหารหมอบประทับอาวุธเตรียมพร้อมจะ เหนี่ยวไก บางครั้งมีการต่อสู้ การวางเพลิง ขว้างปาระเบิด บางครั้งมีภาพรถดับเพลิง รถพยาบาลเปิดไซเรนโหยหวน เสียงปืน เสียงระเบิด และ เสียงผู้ คนร้องระงมดังอยู่ทั่ว ไป บางครั้งฝูงชนกรูเข้า ขัดขวาง จนทหารต้อง กราดปืนเข้าใส่ ประชาชนอาจถูกจับ มีผ้าปิดตามัดมือไพล่หลัง และ กว่าเหตุการณ์จะ กลับสู่ความ สงบต้องใช้ เวลาอีกนาน บางครั้งแรมเดือน แต่ภาพที่ชาวต่างประเทศซึ่งอยู่ใน ประเทศไทญอาจประหลาดใจ ก็คือ ถ้าไม่ นับกลางดึกของคืนวันที่ 19 กัน ยายน ซึ่ง ทุกฝ่ายยังอยู่ใน สภาพงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น และ วันที่ 20 กัน ยายน ซึ่งเป็น วันหยุดราชการแล้ว สภาพทุกอย่างใน กรุงเทพมหานครและ ประเทศไทยดูเป็น ปกติเหมือนที่เคยเป็น เมื่อวันที่ 18 กัน ยายน หรือ ก่อนหน้านั้น เครื่องบินยัง คงบินขึ้นลงที่ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ เป็น ปกติ การจราจรตามท้องถนนกลับมาคับคั่งอย่างเดิม ศูนย์การค้าทุกแห่ง ร้านค้า บริษัท ห้างร้าน ธนาคาร เปิดทำการเป็น ปกติ ผู้ คนยัง คงเที่ยวเตร่และ จับจ่ายใช้ สอยเป็น ปกติ ร้านเพชร ร้านทองที่ถนนเยาวราชถสถานบันเทิงที่ถนนข้าวสารและ ย่านอาร์ซีเอ แหล่งเริงรมย์ที่พัฒน์พงษ์ โรงแรมและ สถานตากอากาศที่พัทยา ภูเก็ต เกาะช้าง เกาะสมุย เชียงใหม่ ยัง คงคลาคล่ำไปด้วย นักท่องเที่ยว วันที่ 28 กัน ยายน มีการเปิดใช้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอันเป็น ท่าอากาศยานแห่งใหม่ ตามกำหนดเดิมเทศกาลออกพรรษา การทอดกฐินของชาวพุทธ การถือศีลอดของชาวมุสลิม การไหว้พระจันทร์ และ เทศกาลกิยเจของชาวจีนยัง ดำเนินไปตามปกติ ที่ศูนย์การค้าและ มหาวิทยาลัยบางแห่ง มีผู้ ชุมนุมคัดค้านการยึดอำนาจแล้ว สลายตัวไปโดยไม่ มีการขัดขวางจาก เจ้าหน้าที่สื่อมวลชนทำหน้าที่ดังเดิม บางคอลัมน์และ บางรายการวิพากษ์วิจารณ์การยึดอำนาจ คณะยึดอำนาจ การแต่งตั้งรัฐมนตรี และ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอย่างรุนแรงเช่นเดิม ภายใน เวลาไม่ถึง สองสัปดหานับจาก การยึดอำนาจ ทหาร ตำรวจก็ถอยกลับเข้า ที่ตั้งเหลือแต่ผู้ มีหน้าที่ดูแลรักษาความ ปลอดภัยสถานที่ราชการและ สถานที่สาธารณตามปกติเหมือนเมื่อก่อนวันที่ 19 กัน ยายน

ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของผู้ พบเห็นใน ช่วงเวลาสองสัปดาห์แรก มิได้เป็น ภาพความ รุนแรง การต่อสู้ หรือ การปราบปรามอย่างที่เคยปรากฏใน การยึดอำนาจใน บางประเทศหากแต่เป็น ภาพที่ประชาชนนำอาหารและ ขนมมาหยิบยื่นส่งให้ ทหารที่ยืนอิดโรยอยู่ หน้ารถถังหรือ ตามสี่แยก บางคนนำพวงมาลัยมาคล้องให้ ทหารและ ปากกระบอกปืน หนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล เฮรัลด์ ทรีบูน ฉบับ วันที่ 22 กัน ยายน ค.ศ.2006 หน้า 7 ลงภาพการ์ตูนมีทหารยืนอยู่ บนปืนใหญ่ ปากปืนใหญ่ อุดไว้ด้วย ช่อดอกไม้ ชาวต่างประเทศคนหนึ่งยืนทำหน้าที่พิศวงอยู่ ข้างหน้า และ มีคำบรรยายได้ความ ว่า รถถังที่ไหนกัน เห็นมีแต่ดอกไม้ สื่อมวลชนทั้ง ไทยและ ต่างประเทศเสนอภาพประชาชนเหมารถจาก ต่างจังหวัดมาขอถ่ายรูปร่วมกับ ทหารและ ตำรวจที่ถือปืนยืนประจำยาม ราวกับ งานมหกรรม หนุ่มสาวบางคู่แต่งชุดวิวาห์ควงคู่มายืนถ่ายรูปหน้ารถถังราวกับเป็น ภาพที่ต้อง การเก็บไว้ในความ ทรงจำ ชาวต่างประเทศบางคนนุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดสีเหลืองสะพานเป้พาเพื่อนสาวมายืนถ่ายรูปด้วย ผู้ ปกครองบางคนพาลูกมาป่ายปีนรถถังราวกับ งานวันเด็ก เมื่อมีผู้ ไปสัมภาษณ์ว่าคนเหล่านั้น คิดอย่างไร ได้ คำตอบว่าไม่ มีอะไรมากไปกว่าอยากมีส่วน ร่วมใน การรักษาความ สงบเรียบร้อยครั้งนี้ด้วย บางคนตอบว่าสะใจและ ขอบคุณทหาร ประเทศไทยมีภาพการชุมนุมตั้งเวทีปราศรัยขับไล่และ โจมตีรัฐบาล ตั้งเวทีงิ้วและ การแสดงล้อเลียนรัฐบาล และ แทบทุกครอบครัวทุกประชาคมผู้ คนแตกแยกความ คิดเป็น ฝักเป็น ฝ่าย ถือข้างต่างกัน จนแทบไม่ มองหน้ากัน มาเป็น เวลานานแรมปีแล้ว ต่อไปนี้จะได้ไม่ มีฝักมีฝ่าย กลับมาพูดจาภาษาเดียวกัน เสียที บางคนยักไหล่ตอบตรงๆ ว่า ไม่ มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปกติเวลาทหารสับเปลี่ยนกำลัง หรือ สวนสนาม ทหารก็ออกมาอย่างนี้และ เรียบร้อยอย่างนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้ ประกาศล่วงหน้าเท่านั้น จึง น่าตื่นเต้น ชาวต่างประเทศบางคนตอบว่า "สนุกดี" ก่อนจะ กดชัตเตอร์ถ่ายรูปอย่างไม่ ยั้งมือ เมื่อทุกอย่างกลับเข้า สู่ความ สงบ ทหารและ รถถังกลับเข้า สู่กรมกอง ผู้ คนก็เกือบลืมไปแล้ว ว่าเมื่อไม่ กี่วันก่อนเกิดอะไรขึ้นใน บ้านเมือง

อย่างไรก็ตาม การยึดอำนาจการปกครองไม่ใช่ สิ่งที่พึงปรารถนา ถ้าจะ พูดว่าก่อให้ เกิดความ รู้สึกที่เจ็บปวดก็ไม่ ผิดนัก เพราะ การยึดอำนาจมิใช่ กระบวนการหรือ วิถีทางใน ระบอบประชาธิปไตย ถ้า หากเราจะ เน้นเฉพาะกระบวนการหรือ วิถีทางอันเป็น เรื่องของรูปแบบ การยึดอำนาจจึงเป็น ข้อยกเว้น ไม่ใช่ ปรากฏการณ์ปกติ ส่วน ที่ว่าข้อยกเว้นดังกล่าวมีได้หรือไม่ ชอบธรรมหรือไม่ เป็น ปัญหาที่ถึง ถกเถียงกันใน ทางตำราว่าด้วย ทฤษฎีประชาธิปไตย ดังที่ใน หลายประเทศ นักทฤษฎีประชาธิปไตยยัง คงถกเถียงกันถึง เรื่อง สิทธิธรรมชาติใน อันที่จะ ล้มล้างรัฐบาลหรือ การปกครองที่ไม่เป็น ธรรม เช่น คราวที่ โธมัสเจฟเฟอร์สัน ยกร่างคำประกาศอิสรภาพของอเมริกาใน ค.ศ.1776 หรือ ประเทศอาณานิคมหลายแห่งลุกขึ้นเรียกร้องเอกราชจาก ประเทศเจ้าอาณานิคมที่กดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็น ธรรมคตินิยมใน หลายประเทศโดย เฉพาะใน ทวีปเอเชียเองก็เคยกล่าวถึง กรณีที่ผู้ ปกครองไม่อยู่ใน สัตย์ใน ธรรม กระทำการย่ำยีจิตใจประชาชน จนต้อง ลุกฮือขึ้นแสดงปฏิกิริยาบางอย่างให้เป็น ที่ประจักษ์ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ การยึดอำนาจการปกครองที่หากจะ พอรับได้จะต้อง ทำใน ภาวะที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ อาจใช้ วิธีการอื่นเข้า จัดการ หรือ ที่บางทฤษฎีใช้ คำว่า "ภาวะอันสุดแสนจะ ทนทาน" เช่น หากปล่อยทิ้งไว้จะ เกิดความ เสียหายใหญ่ หลวงต่อประเทศชาติและ ประชาชนจนไม่ อาจแก้ไขเยียวยาได้โดย ง่าย อีกประการหนึ่งคือ ต้อง หลีกเลี่ยงความ สูญเสียชีวิตและ ทรัพย์สินเท่า ที่จะ ทำได้ มิฉะนั้นจะ กลายเป็น วิกฤตการณ์ร้าวฉานยิ่งใหญ่ การยึดอำนาจใน ตัวเองเป็น วิกฤตการณ์อย่างหนึ่งอยู่แล้ว และ มักอ้างการป้องกันหรือ ระงับวิกฤตการณ์อื่นใน อนาคตอันใกล้เป็น เหตุผลใน การก่อการเสมอ ดังนี้แล้วจะ ก่อวิกฤตการณ์ซ้ำ ขึ้นใหม่ อีกโดยไม่ จำเป็นได้ อย่างไร ประการสุดท้ายคือ การยึดอำนาจต้องเป็น ที่ยอมรับของประชาชนหรือ ประชาคมใน ชุมชนนั้น ดังที่การยึดอำนาจใน หลายประเทศทำท่าว่าจะ เริ่มต้นด้วยความ สำเร็จ แต่กลับล้มเหลวลงอย่างรวดเร็ว เมื่อประชาชนตั้งสติได้และไม่ ยอมรับหรือ ประสบความ สำเร็จไปแล้ว ชั่วขณะหนึ่งจนน่าจะ ครองอำนาจต่อไปได้โดย ง่าย แต่แล้ว ก็กลับล้มครืนลงเพราะ การคันค้านอย่างรุนแรงจาก ประชาชน

เหตุแห่งการยึดอำนาจ

ข้อที่ควรทำความเข้า ใจเกี่ยวกับ การยึดอำนาจการปกครองเมื่อคืนวันอังคารที่ 19 กัน ยายน 2549 ก็คือ สาเหตุแห่งการยึดอำนาจดังกล่าว

อันที่จริงข้อนี้ คณะปฏิรูปการปกครองฯ ได้ ชี้แจงใน ประกาศ คำสั่ง และ แถลงการณ์มาแล้วเป็น ระยะ ต่างกรรมต่างวาระกัน แต่เหตุผลที่ควรอธิบายขยายความ ณ บัดนี้ คือ

1.ความ แตกแยกอย่างหนักใน สังคมจนลามถึง แทบทุกสถาบันใน ชาติ นับแต่ปลายพุทธศักราช 2547 เป็น ต้นมา ประเทศไทยประสบปัญหาบอบช้ำอย่างหนักทั้งใน เรื่องภัยธรรมชาติร้ายแรงและ การก่อความไม่ สงบใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงเป็น เวลาที่ชาวไทยน่าจะ สมัครสมานสามัคคีให้ มากได้ แต่เป็น ที่น่าเสียดายว่าใน ช่วงเวลาเดียวกัน อันประจวบกับ ปลายวาระของสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรและ รัรฐบาลใน ขณะนั้น ประเทศไทยกลับเริ่มตกอยู่ใน ภาวะตึงเครียดทางการเมืองขึ้นเป็น ลำดับ เริ่มจาก การชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซึ่ง ครั้งแรกก็เป็น การรวมกลุ่มคนไม่ มากนักและเป็น เรื่องปกติใน สังคมประชาธิปไตย แต่ต่อมาได้ แพร่ออกไปทางสื่อสารมวลชน ทั้ง หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี วิดีโอ วีซีดี และยัง แพร่หลายออกไปใน ต่างประเทศอีกด้วย การชุมนุมขยายตัวกว้างขวางและ แพร่หลายมากขึ้น จนเป็น กลุ่มใหญ่และ แตกแยกเป็น หลายหมู่หลายพวก แพร่ไปใน หลายพื้นที่เกือบทั่ว ประเทศใน เวลาใกล้ เคียงกัน สภาผู้ แทนราษฎรและ วุฒิสภาต่างหมดวาระลง ต้อง จัดให้ มีการเลือกตั้งทั่ว ไป จึงเป็น ธรรมดาที่พรรคการเมืองและผู้ สมัครรับเลือกตั้งจะ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของตนอย่างเข้มข้น แต่แม้การเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงแล้ว อย่างน้อยก็ใน ระดับหนึ่ง การวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลและ บุคคลใน คณะรัฐบาลด้วย ข้อกล่าวหาต่างๆ ยัง คงมีอย่างต่อเนื่องและ รุนแรงมากขึ้นสิ่งที่ประชาชนผิดหวังอย่างหนักคือ รัฐบาลมิได้ อธิบายชี้แจงข้อกล่าวหาให้ ครบถ้วนถ่องแท้เป็น ที่พอใจ รวมทั้ง มิได้ มีการนำผู้ ถูกกล่าวหามาดำเนินคดีใน ระหว่างนั้นยัง มีการพูดจาพาดพิงจาบจ้วงถึง สถาบนพระมหากษัตริย์ เพื่อประกอบข้ออ้างข้อเถียงหรือ เหตุผลของตน จนนำไปสู่การผลัดกัน กล่าวโทษเป็น คดีอาญาหลายคดีและใน หลายท้องที่ว่า อีกฝ่ายหนึ่งหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คดีเหล่านั้นยัง ค้างอยู่ใน ชั้นสอบสวนและ ศาลเป็น อันมากอย่างที่ไม่ เคยปรากฏมาก่อนใน ประเทศไทย ซึ่งไม่ น่าเชื่อว่าใน ประเทศที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความ จงรักภักดี และใน ปีมหามงคลที่ทุกคนสวมเสื้อสีเหลือง โบกธงสัญลักษณ์งานพระราชพิธีทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จะ แตกแยกความ คิดใน เรื่องนี้ได้ถึง ปานนี้ ทั้ง ที่ควรจะ ยึดมั่นอยู่ใน หลักความ รู้รักสามัคคี ขณะเดียวกัน ก็เกิดความ รู้สึกขึ้นใน หมู่ประชาชนว่า รัฐบาลมิได้ ดำเนินการเพื่อรักษาไว้ซึ่ง พระบรมเดชานุภาพเท่า ที่ควร และไม่ได้ กระตือรือร้นที่จะ สนองพระราชปรารภใน การเร่งแก้ไขคลี่คลายปัญหา นอกเหนือไปจาก ข้อกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้ง ฝ่ายการเมืองและ ฝ่ายประจำ รวมทั้ง วงศาคณาญาติกระทำการทุจริตและ ประพฤติมิชอบใน การจัดซื้อจัดจ้าง การริเริ่มโครงการใหญ่ ๆ ของรัฐ การมีผลประโยชน์ทับซ้อน การหลีกเลี่ยงกฎหมาย และ การแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐใน หลายระดับ

การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกนำมากล่าวพาดพิงถึงใน ที่ลับและ ที่แจ้ง ใน ลักษณะที่หมิ่นเหม่หรือ แอบอ้างเช่นนี้ เหมือนจะ หยั่งเชิงให้ เกิดความ เคลือบแคลงใจและ กระทบกระเทือนต่อความ จงรักภักดีใน สถาบันที่ดำรงมายาวนานคู่กับ ประวัติศาสตร์ชาติไทยกรณีดังกล่าวนี้เป็น ที่อึดอัดและ ขัดเคืองอย่างยิ่งใน หมู่ทหารและ พสกนิกรผู้ มีความ จงรักภักดีจนมีการวิพากษ์วิจารณ์จาก ปากต่อปากทั่ว ไปโดย หวังจะได้ ยินคำชี้แจงที่ชัดเจนกอปรด้วย หลักฐาน แต่ก็ไม่ ปรากฏ

ส่วน การเปิดเวทีประชุม อภิปราย สัมมนาใน ที่สาธารณะซึ่ง ควรจะเป็น เครื่องมือสำคัญใน ระบอบประชาธิปไตย กลับกลายเป็น เวทีที่แบ่งแยกผู้ คนออกเป็น ฝักฝ่ายโดยไม่ ทราบสาเหตุ นักเรียน นิสิต นักศึกษาร่วมชั้นเรียนเดียวกัน สมาชิกใน ครอบครัวเดียวกัน เช่น พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา และ ญาติ ข้าราชการใน ที่ทำงานเดียวกัน พนักงานหรือผู้ใช้ แรงงานใน บริษัทห้างร้านหรือ โรงงานเดียวกัน สมาชิกสมาคมหรือ ชมรมเดียวกัน ที่เคยสังสรรค์กัน เพื่อความ บันเทิงหรือ กระทำสาธารณประโยชน์ ต่างเกิดความ แตกแยกในความ คิดเห็นซึ่ง มีทั้ง ที่เป็น สาระและไม่เป็น สาระ เพราะ บางหมู่บางเหล่าก็ใช้ อารมณ์และความ เชื่อถือใน ตัวบุคคลเป็นใหญ่ กว่าหลักการ ถ้า ยกเว้นช่วงเวลามหามงคลที่ประชาชนชาวไทยพร้อมใจกัน มีส่วน ร่วมใน การเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงดำรงสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ใน เดือนมิถุนายนเสียแล้ว อาจกล่าวได้ ว่า ตลอดปี 2548 และ ปี 2549 เป็น ช่วงเวลาแห่งการแตกร้าวความ สามัคคีครั้งใหญ่ ของคนใน ชาติ บางครั้งเกิดการประจัญหน้า บางครั้งเกิดความ หวาดระแวง มีการแบง่แยกเป็นเขาเป็น เรา บางครั้งฝ่ายที่มีอำนาจและไม่ เห็นด้ซยกับ อีกฝ่ายก็ใช้ อำนาจกลั่นแกล้งใน การปกครองบังคับบัญชา การจัดทำบริการสาธารณะ การจัดสรรความช่วย เหลือ จนแอม้แต่การลอบทำร้ายอีกฝ่ายดังที่ปรากฏข่าวกรณีลอบสังหารนายกรัฐมนตรีด้วย การวางระเบิด แต่มีการจับได้ เสียก่อน เป็น ต้น จนน่าวิตกว่า ถ้า รอยร้าวนี้บาดลึกไปนานจะ ยากสุดแก้ไข ซึ่งเป็น สัญญาณอันตรายอย่างยิ่งใน ภาวะที่ทั่ว โลกก็มีความ เปราะบางทางการเมือง การก่อการร้าย ปัญหาเศรษฐกิจ และ ปัญหาสังคมมากพออยู่แล้ว

2.ความ ไร้ประสิทธิภาพขององค์กรต่างๆ ใน การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินและ การตรวจสอบการใช้ อำนาจรัฐ ลำพังความ แตกแยกร้าวฉานดังกล่าวเพียงประการเดียวอาจเยียวยาได้ด้วยความ อดทนตามกาลเวลาที่ทอดยาวนานออกไป และโดย กลไกการทำหน้าที่ของรัฐ อันได้ แก่ สถาบันรัฐสภา ศาลแ ละองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญซึ่ง มีอยู่ หลายองค์กรและ ถือกำเนิดขึ้นด้วย เจตนาจะให้เป็น องค์กรตรวจสอบการใช้ อำนาจรัฐ แต่แล้ว เหตุอันมิคาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏว่า หลังการเลือกตั้งทั่ว ไปใน พ.ศ.2548 รัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ ก่อนสามารถ ชนะการเลือกตั้งและ มีที่นั่งข้างมากใน สภาผู้ แทนราษฎรด้วย จำนวนท่วมท้นยิ่งกว่าเดิม จนสามารถ จัดตั้งรัฐบาไลด้เพียงพรรคเดียว ใน ขณะที่ฝ่ายค้านทุกพรรคที่เหลืออยู่ใน สภาผู้ แทนราษฎร แม้รวมกัน ก็ยังไม่สามารถใช้ สิทะและ ทำหน้าที่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้ วางใจนายกรัฐมนตรีได้ (ตามรัฐธรรมนูญต้อง มีสมาชิกเข้า ชื่อขอเปิดอภิปรายไม่ น้อยกว่าสองใน ห้า หรือ 200 คน ใน ขณะที่ฝ่ายค้านทุกพรรครวมกัน มีจำนวนเพียงหนึ่งร้อยคนเศษ) ข้อนี้อาจเป็น เรื่องของกติกาตามรัฐธรรมนูญ และ ประชามติที่แสดงออกโดย ผลการเลือกตั้งแต่เสียงที่ไม่ไว้ วางใจองค์กรกลางผู้ ทำหน้าที่กำกับ ดูแลการเลือกตั้งก็มีอยู่ทั่ว ไป รวมทั้งความเข้า ใจของคนไม่ น้อยว่ามีการทุ่มใช้ เงินมหาศาลใน การเลือกตั้งโดย ผิดกฎหมายและ การครอบงำเจ้าหน้าที่ของรัฐ นอกจากนั้นยัง มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเมินเสียงข้างน้อยใน สภา เช่น นายกรัฐมนตรีไม่ มาตอบกระทู้ถาม และ การทำหน้าที่ตรวจสอบของรัฐสภาไม่ได้ รับความ ร่วมมือจาก ฝ่ายบริหารเท่า ที่ควร ขณะที่วุฒิสภาเองซึ่งเป็น อีกสภาหนึ่งและ ควรปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบได้ใน ระดับหนึ่งก็ครบวาระลง สมาชิกวุฒิสภาชุดเดิมที่อยู่ มาครบวาระ 6 ปีแล้วไม่ อาจปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบการใช้ อำนาจรัฐได้ ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ ก็ยืดเยื้อมานานโดญยัง ประกาศรายชื่อได้ไม่ ครบ องค์กรนิติบัญญัติจึงอยู่ใน ลักษณะไม่ สมประกอบหรือ ที่อุปมาใน ต่างประเทศว่าเป็น "เป็ดง่อย" ซึ่ง ทำให้ นักคิด ปัญญาชน และ นักวิชาการผู้ มีชื่อเสียงบางคนถึงกับ ออกมาปรารภใน ที่สาธารณะและ ทางสื่อมวลชนว่าหมดความ หวังหรือความ เชื่อมั่นใน สถาบ้นรัฐสภา และ เมื่อมีการยึดอำนาจแล้ว นักคิดปัญญาชน และ นักวิชาการบางคนได้ให้ สัมภาษณ์หรือ เขียนบทความ ว่า ระบบรัฐสภาของไทยถูกทำลายไปก่อนหน้านี้แล้ว จะ มีประโยชน์อันใด ที่จะ กอดกลไกไว้และ คร่ำครวญเสียดายกลไกที่ถูกยกเลิกไป ใน ขณะที่เนื้อหาสาระอันนับว่าสำคัญยิ่งกว่ากลไกได้ ถูกทำลายไปก่อนแล้ว นักวิชาการบางท่านถึงกับ เสนอความ เห็นด้วยซ้ำ ว่า มนุษย์มีสิทธิธรรมชาติที่จะ ก่อการรัฐประหารใน สภาพที่บ้านเมืองเป็น เช่นนี้

ข้างฝ่ายองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ หลายองค์กรก็ดูจะ มีปัญหาไปแทบทุกองค์กร คณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ก็ว่างเว้นไม่ มีมาเป็น เวลานาน เพราะ เกิดปัญหาเกี่ยวกับ การสรรหาผู้เข้า ดำรงตำแหน่ง เรื่องที่ค้างและ รอการพิจารณามีจำนวนนับหมื่นเรื่องจนคาดว่าต้องใช้ เวลาสะสางร่วมสิบปี ใน ขณะที่เรื่องใหม่ ก็ยัง คงทยอยหลั่งไหลเข้า มา ใน จำนวนนี้มีเรื่องทุจริตสำคัญมูลค่านับพันนับหมื่นล้านที่กำลังจะ หมดอายุความ ดำเนินคดี การตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและ หนี้สินของนักการเมืองและ ข้าราชการก็พลอยชะงัก เพราะไม่ มีคณะกรรมการตามกฎหมาย และ น่าเชื่อว่ายังจะ ว่างเว้นไปอีกนาน อันเป็น ช่องว่างที่น่าวิตกยิ่ง องค์กรอื่น แม้จะ มีตัวบุคคลทำหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้ รับความ เชื่อถือเท่า ที่ควร เช่น มีการกล่าวหาว่าตกอยู่ใน การครอบงำทางการเมือง เพราะ กระบวนการสรรหาผ่านทางพรรคการเมือง และ การเลือกสรรที่มีข่าวการวิ่งเต้นให้ สมาชิกวุฒิสภาเลือกตามบัญชีที่มีผู้ จัดทำขึ้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่ง มีบทบาทสำคัญยิ่งใน การกำกับ ดูแลการเลือกตั้งให้ บริสุทธิ์ยุติธรรมก็ถูกเพ่งเล็งจนไม่เป็น ที่ไว้ วางใจของบรรดาพรรคการเมืองที่จะต้องเข้า รณรงค์ใน การเลือกตั้ง

3.วิกฤตการณ์เลือกตั้งที่ต่อเนื่อง ใน ขณะที่กิดปัญหาดังกล่าว เหตุการณ์ก็ซ้ำ ร้ายหนักลงเมื่อมีการยุบสภาผู้ แทนราษฎรใน วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เจตนารมณ์ก็คงเพื่อยุติปัญหาสองข้อข้างต้น แล้ว กลับสู่กระบวนการประชาธิปไตยให้ ประชาชนเป็นผู้ ตัดสินใจใหม่ นั่นเอง ทั้ง ที่เพิ่งจะ ผ่านพ้นการเลือกตั้งมาเพียงหนึ่งปี แต่การยุบสภาอันแม้จะเป็น วิถีทางใน ระบอบประชาธิปไตยใน ระบบรัฐสภาก็มิได้ คลี่คลายปัญหาใด ๆ ซ้ำ ร้ายกลับทำให้ สถานการณ์ทรุดหนักลง เพราะ เมื่อมีการสมัครรับเลือกตั้ง ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทยของรัฐบาลเป็น พรรคใหญ่ เพียงพรรคเดียวที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ใน ขณะที่พรรคการเมืองเล็ก ๆ ลงสมัครบ้างใน บางเขตเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่ามีการว่าจ้างให้ บางพรรคการเมืองเหล่านั้น ลงสมัครเพื่อผลทางการ สร้างภาพและ การนับคะแนนเสียงเปรียบเทียบสัดส่วนกัน พรรคการเมืองสำคัญที่เคยเป็น ฝ่ายค้าน ได้ แก่ พรรคประชาธิปัตย์ (เคยจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ พ.ศ.2535-2538 และ 2540-2541) พรรคชาติไทย (เคยจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ พ.ศ.2538-2538) และ พรรคมหาชนไม่ ส่งผู้ สมัครแม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็น ธรรมดาที่พรรคไทยรักไทยจะ ชนะการเลือกตั้ง แต่แม้กระนั้น ก็ยัง มีปัญหาใน บางเขตเลือกตั้ง เพราะ กฎหมายกำหนดว่า ใน กรณีที่มีผู้ สมัครเพียงคนเดียว ผู้นั้นต้องได้ รับเลือกด้วย คะแนนเสียงเกินกว่าร้อยละ 20 ของผู้ มีสิทธิเลือกตั้งใน เขตเลือกตั้งนั้น แต่เมื่อได้ คะแนนเสียงไม่ถึง เกณฑ์ที่กฎหมายระบุ เพราะ ประชาชนจำนวนหลายล้านคนพร้อมใจกัน มาลงคะแนนเสียง แต่กาช่องที่แสดงว่าไม่ต้อง การเลือกผู้ สมัครรายใดหรือ พรรคการเมืองใด จึงต้อง จัดให้ มีการเลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำ เล่า และเป็น ที่มาแห่งการกล่าวหาว่า มีการจ้างบางพรรคการเมืองให้ ส่งคนลงสมัครเพื่อจะได้ หลีกเลี่ยงปัญหาผู้ สมัครเพียงคนเดียวจาก พรรคเดียว

ใน เวลาเดียวกัน ก็มีการกล่าวหาและ ขอให้ ดำเนินคดีกับ พรรคไทยรักไทยและ พรรคเล็ก ใน ข้อหาว่ามีการว่าจ้างผู้ สมัครซึ่ง อ้างว่าเป็น การทำลายระบอบประชาธิปไตย พรรคไทยรักไทยก็มีการขอให้ ดำเนินคดีต่อพรรคประชาธิปัตย์บ้างว่ามีการใส่ ร้ายป้ายสี คำขอจากผู้ กล่าวหาทั้ง สองฝ่ายคือขอให้ ยุบพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหา ขณะนี้คดีอยู่ใน ชั้นการพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ (เดิมอยู่ใน ชั้นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ) ทางฝ่ายคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ก็ไม่ได้ รบความ เชื่อถือ มีการชุมนุมต่อต้านคัดค้านคณะกรรมการดังกล่าว การปิดล้อมที่ทำการของคณะกรรมการ จนกรรมการผู้ หนึ่งจาก ห้าคนต้อง ขอลาออก ใน ขณะที่มีผู้ เสียชีวิตไปก่อนแล้ว หนึ่งคน จึง เหลือคณะกรรมการเพียงสามคน ซึ่ง การจะ ดูแลจัดการเลือกตั้งทั่ว ประเทศให้ เรียบร้อยเป็น เรื่องยากลำบากมาก ที่ควรกล่าวถึง คือในส่วน ของการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นทั่ว ประเทศ ซึ่ง จัดการเลือกตั้งมานานแรมปีแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้งก็ยัง มิได้ ประกาศผลรับรองครอบคลุมทั่วถึง ทุกแห่ง สภาพ "การง่อยเปลี้ยเสียขาไม่ สมประกอบ" จึง ลามลึกลงไปนับแต่การเมืองระดับชาติจนถึง การเมืองระดับท้องถิ่นทั่ว ประเทศ

ใน เวลาต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้ มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ว่า การจัดการเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองใหญ่ ลงสมัครเพียงพรรคเดียว และใช้ งบประมาณจัดการเลือกตั้งไปแล้ว หลายพันล้านบาท ไม่ ชอบด้วย รัฐธรรมนูญ ต้อง จัดให้ มีการเลือกตั้งใหม่ และ แม้ต่อมาจะ มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ มีการเลือกตั้งใหม่ใน วันที่ 15 ตุลาคม 2549 ก็มีผู้ไม่ เชื่อถือว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่จะต้องใช้ งบประมาณอีกหลายพันล้านบาทนี้สามารถ ดำเนินการเรียบร้อย บริสุทธิ์และ ยุติธรรมได้ ข้อสำคัญคือขณะเดียวกัน กรรมการการเลือกตั้งสามคนที่เหลืออยู่และจะต้อง จัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ ถูกฟ้องเป็น คดีอาญาต่อศาลว่าใช้ อำนาจหน้าที่โดย มิชอบ ศาลอาญาได้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ให้ ลงโทษจำคุกกรรมการการเลือกตั้งทั้ง สามคนโดยไม่ รอลงอาญา และไม่ให้ ประกัน ตัว ซึ่งเท่ากับจะต้อง รับโทษจำคุกจริง แต่ต่อมากรรมการการเลือกตั้งทั้ง สามคนขอลาออกจาก ตำแหน่ง และ อ้างความ เจ็บป่วย เช่น บางคนต้อง รับการฟอกไต จึงได้ รับการปล่อยชั่วคราว ขณะนี้คดีอยู่ ระหว่างการอุทธรณ์

เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่างลง ได้ มีการสรรหาใหม่โดย ศาลฎีกาเข้า มาทำหน้าที่ใน การสรรหา และได้ เลือกสรรส่งไปให้ วุฒิสภาเห็นชอบ ซึ่ง วุฒิสภาก็ให้ความ เห็นชอบจนได้ จำนวนครบถ้วนห้าคนเมื่อไม่ นานมานี้ แต่ก็ยัง มีผู้ไม่ วางใจว่า ถ้า การเลือกตั้งยัง คงดำเนินต่อไปภายใต้ กติกาเดิม แม้จะ มีคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ ที่พอเป็น ที่น่าเชื่อถือได้แล้ว ความ สงบเรียบร้อยจะ เกิดขึ้น การเลือกตั้งจะเป็น ไปได้ อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และ แม้แต่วันเลือกตั้งที่กำหนดไว้ ก่อนแล้ว ก็ดูจะไม่เป็น ที่เชื่อมั่นว่าจะ จัดการเลือกตั้งได้ ตามนั้น และ เมื่อมีการยึดอำนาจ ก็ได้ มีคำสั่งให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งทั้ง ห้าคนที่ได้ รับการคัดเลือกใหม่ นี้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และ เตรียมกำกับ ดูแลการเลือกตั้งครั้งใหม่ ภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ข้อนี้แสดงให้ เห็นวิกฤติทางการเมืองที่ชุลมุนและ อลเวงอย่างยิ่งจนแทบจะ กล่าวว่า ไม่ ว่าจะ แตะลงไปที่จุดใด ก็ดูจะเป็น ปัญหาไปหมด และ ทุกปัญหามีความ เกี่ยวเนื่องกัน คือ การสั่นสะเทือนต่อความ เชื่อมั่นศรัทธาใน รัฐธรรมนูญ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ พรรคการเมือง รัฐบาล รัฐสภา ความ สามัคคีปรองดองของคนใน ชาติ และ ระบอบประชาธิปไตยใน ที่สุด หลายเรื่องต้องใช้ งบประมาณมหาศาล แต่ก็ไม่ บังเกิดผล หลายเรื่องใช้ เวลาอันยาวนานใน การแก้ไข หลายเรื่องต้องใช้ความ อุตสาหะพากเพียรพยายามเป็น อันมากจาก บุคคลหลายฝ่าย ทั้งใน ที่ลับและ ที่แจ้ง โดย หวังจะ เห็นความ สงบสุข ความ ปรองดองกลับคืนมาโดยเร็ว แต่ก็ไร้ผล

สถาบันที่ดูจะเป็น หลักได้ มากที่สุดใน ช่วงเวลาดังกล่าวคือสถาบันตุลาการ ซึ่ง มิใช่ สถาบันทางการเมือง ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวได้ มีพระราชดำรัสต่อประธานศาลปกครองสูงสุดและ คณะ และ ประธานศาลฎีกาและ คณะ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ว่า เหตุการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ นี้เป็น วิกฤติร้ายแรง จึง มีพระราชประสงค์ให้ สถาบันศาลร่วมกัน ทำหน้าที่แก้ปัญหาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาโดย มาตรการทางตุลาการมีข้อจำกัด เพราะต้องใช้ ระยะเวลานาน ใน เบื้องต้นต้อง มีคดีเกิดขึ้นเสียก่อนและ กว่าคดีจะถึง ที่สุดต้องใช้ เวลายาวนาน ทั้งต้อง อาศัยกลไกวิธีพิจารณาความซึ่งต้อง ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย จึงได้ ผลทันทีใน ระดับหนึ่งเท่านั้น

4.ช่องว่างทางการเมืองขยายห่างออกไปทุกทีจนเนิ่นนานกว่าครึ่งปี โดยไม่ มีรัฐบาล สภาผู้ แทนราษฎร และ วุฒิสภาที่สมบูรณ์ วิกฤติที่ว่ามาทั้ง หมดนี้ เป็น วิกฤติใน ทางการเมืองโดย ตรง แต่ส่งผลกระทบต่อสังคมมหาศาล ดังที่ได้ กล่าวแล้วใน เรื่องการแตกแยกเป็น ฝักเป็น ฝ่าย จนน่าวิตกว่าอาจมีการใช้ กำลังเข้า ห้ำหั่นกัน ขณะเดียวกัน ก็กระทบต่อเศรษฐกิจด้วย แม้แต่การบริหารราชการแผ่นดินก็พลอยชะงักงัน เพราะ นับแต่เมื่อมีการยุบสภาใน วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 คณะรัฐมนตรีเป็น อันสิ้นสุดลง จึงไม่ มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มใน การบริหารราชการแผ่นดิน คงมีก็แต่รัฐบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปดังที่มีผู้ เรียกว่า "รัฐบาลรักษาการ" (Caretaker Government) โดยไม่ อาจกำหนดนโยบายใหม่ได้ สภาผู้ แทนราษำรเองก็สิ้นสุด จึงไม่ มีองค์กรที่จะ ทำหน้าที่ออกกฎหมายและ ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้ วุฒิสภาก็หมดวาระไปก่อนแล้ว ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาชุดใหม่ ก็ยัง ประกาศไม่ ครบถ้วน นับเป็น ช่องว่างทางการเมืองที่เกิดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ เคยปรากฏมาก่อนใน ประเทศไทย ดังนั้น เมื่อถึง วันที่ 1 ตุลาคม 2549 อันเป็น การเริ่มต้นปีงบประมาณกฎหมายว่าด้วย งบประมาณรายจ่ายจะไม่สามารถ ออกมาใช้ บังคับได้ ทัน ซึ่ง ก็ต้อง รอจนการเลือกตั้งครั้งใหม่ สิ้นสุดลงและ การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้ว เสร็จ เป็น ที่คาดหมายว่า ถ้า ปล่อยไปเช่นนี้กว่าจะ มีกฎหมายงบประมาณใช้ คงเป็นใน รายเดือนพฤษภาคม 2550 อันเป็น เวลาที่ปีงบประมาณล่วงพ้นไปกว่าครึ่งปี และ ปกติแล้ว กฎหมายงบประมาณปีถัดไปจะต้องเข้า สู่การพิจารณาของสภาผู้ แทนราษฎรแล้วด้วยซ้ำ

5.แนวโน้มการก่อความไม่ สงบและความ ขัดแย้งที่รุนแรงถึง ขีดสุด ความ รุนแรงสุดท้ายของปัญหาที่ประดังเข้า มาจนเหมือนตัวเร่งคือ รายงานข่าวอันเป็น ที่แน่ชัดใน ช่วงสองสามวันก่อนหน้าวันที่ 19 กัน ยายน 2549 ว่า ใน วันพุธที่ 20 กัน ยายน 2549 ราษฎรสองฝ่ายที่มีความ คิดเห็นไม่ ตรงกันอยู่แล้ว ดังสาเหตุใน ข้อ 1 จะ จัดชุมนุมใหญ่โดย เฉพาะใน กรุงเทพมหานคร แม้บางคนบางฝ่ายจะ ชุมนุมด้วยความ สงบโดย ปราศจาก อาวุธ และเป็น การใช้ สิทธิตามรัฐธรรมนูญโดย ชอบ แต่บางฝ่ายจะ มีการนำประชาชนจาก ต่างจังหวัดจำนวนมากเคลื่อนเข้า มาชุมนุมด้วย เสมือนหนึ่งการประลองกำลัง ซึ่ง ตามการข่าวที่ได้ รับคือ ได้ จัดหายานพาหนะ เสบียงอาหารและ อาวุธตามที่ฝึกปรือกัน มาแล้ว เป็น ที่เชื่อ่วาการชุมนุมครั้งนี้น่าจะ รุนแรงหวังผลแตกหัก โดย เกิดการยั่วยุจนถึง ขั้นใช้ กำลังเข้า ปะทะกัน อันจะ นำมาซึ่งความ เสียหายต่อชีวิตและ ทรัพย์สินของทางราชการและ ประชาชนอย่างใหญ่ หลวง หากมีการใช้ กำลังเจ้าหน้าที่เข้า ควบคุมหรือ สลายการชุมนุม ก็จะ ยิ่งยากต่อการดำเนินการใน ภาวะที่มีการเผชิญหน้ารุนแรงเสียแล้ว จนอาจมีการใช้ กำลังจาก ฝ่ายที่ไม่ พึงปรารถนาสอดแทรกเข้า ปฏิบัติการโดย ปราศจาก การควบคุมได้

สาเหตุทั้ง หมดนี้ได้ สรุปไว้แล้วใน คำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ ชั่วคราว) ที่ว่า "เหตุที่ทำการยึดอำนาจ...ก็โดย ปรารถนาจะ แก้ไขความ เสื่อมศรัทธาใน การบริหารราชการแผ่นดิน ความ ไร้ประสิทธิภาพใน การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และ การตรวจสอบการใช้ อำนาจรัฐ ทำให้ เกิดการทุจริตและ ประพฤติมิชอบขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยไม่ อาจหาตัวผู้ กระทำความ ผิดมาลงโทษได้ อันเป็น วิกฤตการณ์ร้ายแรงทางการเมืองการปกครอง และ ปัญหาความ ขัดแย้งใน มวลหมู่ประชาชนที่ถูกปลุกปั่นให้ แบ่งแยกเป็น ฝักเป็น ฝ่าย จนเสื่อมสลายความ รู้รักสามัคคีของชนใน ชาติ อันเป็น วิกฤตการณ์รุนแรงทางสังคม"

คณะทหารและ ตำรวจซึ่ง ประกอบกัน ขึ้นเป็น คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข เป็นผู้ ที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์และ ต่อหน้าธงไชยเฉลิมพลแล้ว ว่าจะ จงรักภักดีและ รักษาไว้ซึ่ง พระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้ายิ่งชีวิต ทั้งจะ ดูแลรักษาผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยและ ประเทศชาติให้ เกิดความ สงบเรียบร้อย แม้เรื่องราวที่ดำเนินมาจะเป็น เรื่องทางการเมืองการปกครอง แต่บัดนี้ลุกลามถึง ขั้นเป็นความ ทุกข์ความ เดือดร้อนของประชาชนทั่ว ไป เป็น ภัยคุกคามความ มั่นคงและความ ปลอดภัยของประเทศ และเป็น พระราชปริวิตกจนมีพระราชกระแสต่อผู้ นำทางตุลาการว่าเป็น วิกฤติที่สุด คณะทหารเป็นผู้ ดูแลรักษาเอกราชและ อธิปไตยของประเทศย่อมไม่ อาจเพิกเฉยอยู่ได้ จึง จำเป็นต้องเข้า คลี่คลายปัญหาและ ระงับยับยั้งภยันตรายอันใกล้จะถึงโดย ด่วนที่สุด เมื่อเห็นชอบร่วมกัน จนได้ ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว จึง ขอพระราชทานพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้า เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน กราบบังคมทูลถวายรายงานเพื่อทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทถึง เหตุผลและความ จำเป็น ตามข้อ 5 ข้างต้นนี้ รวมทั้งได้ กราบบังคมทูลให้ ทรงทราบถึง แนวทางที่จะ จัดการบ้านเมืองให้ สงบเรียบร้อย เรียกความ สามัคคีปรองดองให้ กลับคืนมาโดยเร็ว เมื่อความ ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอก สนธิ บุญรัตกลิน ผู้ บัญชาการทหารบก เป็น หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข เมื่อวันที่ 20 กัน ยายน พ.ศ.2549 เพื่อให้ มีอำนาจหน้าที่ใน การดูแลรักษาความ สงบเรียบร้อยและ ออกคำสั่งต่างๆ ได้ ตามความ จำเป็น ซึ่ง เมื่อมีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราว และ มีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ก็ได้ มอบอำนาจหน้าที่ในส่วน นี้ให้ แก่องค์กรและ กลไกการปกครองตามปกติต่อไป

การมีพระบรมราชโองการดังกล่าวเป็น การนำคณะปฏิรูปการปกครองฯ เข้า มาอยู่ใน ระบบภายใต้ การปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข เป็น การยืนยันความ จงรักภักดีของคณะปฏิรูปการปกครองฯ และ การได้ รับพระราชทานอำนาจภายใต้ เงื่อนไขและ กรอบเวลาอันจำกัด มิให้ ประพฤติปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจาก สิ่งที่ได้ กราบบังคมทูล อันเป็น วิธีปฏิบัติที่เคยดำเนินมาเช่นเดียวกับ เมื่อครั้งที่คณะรักษาความ สงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. กระทำการยึดอำนาจใน พ.ศ.2534 และได้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเช่นเดียวกัน

คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติขอยืนยันในความ สุจริตและความ ประสงค์จะ แก้ปัญหาที่สำคัญของชาติ โดย เฉพาะใน ระยะเฉพาะหน้า เพื่อให้ เหตุการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ว ที่สุด และ เรียกความ สามัคคีปรองดองกลับคืนมาโดยเร็ว ที่สุด สิ่งใด ที่ต้อง มีการตรวจสอบสอบสวนหรือ ดำเนินการเพื่อขจัดสิ่งอันเป็น เงื่อนไข หรือ สาเหตุของการยึดอำนาจและ ค้างคาอยู่ใน ใจของประชาชน หรือ แม้แต่จำเป็นต้องใช้ วิธีกำหนดกฎเกณฑ์กติกาใหม่ไว้ใน รัฐธรรมนูญเพื่อป้องกัน มิให้ เกิดซ้ำ ขึ้นอีก คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติจะ เร่งแก้ไขหรือ ประสานการดำเนินการร่วมกับผู้ มีอำนาจหน้าที่ให้ได้ คำตอบโดยเร็ว แต่ทั้ง นี้ ขอให้เป็น ที่เข้า ใจว่า เมื่อประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ไปแล้ว อำนาจหน้าที่และ บทบาทของคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติมีขีดจำกัดอยู่ เพียงตามมาตรา 34 ที่ว่า "เพื่อประโยชน์ใน การรักษาความ สงบเรียบร้อยและความ มั่นคงของชาติ" อันเป็น อำนาจหน้าที่โดยทั่ว ไปเท่านั้น ไม่ อาจเข้า ไปแทรกแซงกลไกขององค์กรอิสระที่แม้จะ ตั้งขึ้นโดย คณะปฏิรูปการปกครองฯ ก็ตาม ไม่ อาจแทรกแซงการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมัชชาแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ และ ศาลทั้ง หลาย บทบาทที่มีอยู่จึงเป็น การติดตาม ประสานและ ขอความ ร่วมมือเท่านั้น และ ตระหนักดีว่า การดำเนินการทุกอย่างขอให้ ทุกฝ่ายมีความ อดทน เพราะ จำเป็นต้องให้อยู่ใน กรอบแห่งกฎหมายบ้านเมือง เพื่อมิให้ได้ ชื่อว่าลุแก่อำนาจ หรือ กลั่นแกล้งโดยไม่เป็น ธรรม เพราะ การลุแก่อำนาจหรือ การกลั่นแกล้งผู้อื่นโดยไม่เป็น ธรรม เป็น พฤติการณ์ที่ประชาชนเคยรังเกียจและ หวาดหวั่นมาแล้ว และ บัดนี้เป็น ที่จับตาดูอยู่ทั่ว โลก ซึ่งเป็น ที่น่ายินดีที่บัดนี้การพยายามดำเนินการ มีผลคืบหน้าและเป็น ที่เข้า ใจแล้วใน ระดับหนึ่งตามสมควรแก่เวลา และ ขอขอบคุณในความเข้า ใจ ความ ปรารถนาดี และ คำแนะนำหลากหลายที่ประชาชนหลายท่านได้ แจ้งให้ ทราบ

คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติขอยืนยันว่า การบริหารประเทศนับแต่นี้ไปเป็น เรื่องของคณะรัฐมนตรีโดย เฉพาะ การทำหน้าที่นิติบัญญัติเป็น เรื่องของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดย เฉพาะ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็น เรื่องของสภาร่างรัฐธรรมนูญโดย เฉพาะ คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติจะไม่เข้า ไปแทรกแซง จะ ปฏิบัติหน้าที่เท่า ที่รัฐธรรมนูญฉบับ ชั่วคราวกำหนด ซึ่ง มีกรอบการปฏิบัติที่ไม่ มากนัก จะช่วย รัฐบาลดูแลรักษาความ สงบเรียบร้อยและความ มั่นคงของชาติภายใน กรอบกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ โดย เฉพาะตามกรอบอำนาจบังคับบัญชาใน ฐานะผู้ บัญชาการเหล่าทัพที่มีอยู่แล้ว แต่เดิม และจะให้ การสนับสนุนกระบวนการปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดย ขอยืนยันว่าจะไม่ มีการสืบทอดอำนาจหรือ รักษาอำนาจใด ๆ ต่อเนื่อง ยาวนานออกไปเป็น อันขาด ด้วย เหตุว่าประเทศไทยมีบทเรียนใน เรื่องเหล่านี้มากพอที่จะเป็น อนุสติควรแก่การหลาบจำได้ อย่างดีอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ภายใต้ อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอยู่ คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติจะไม่ ยอมให้ บุคคลหรือ คณะบุคคลใด อาศัยข้ออ้างใด ๆ เพื่อสร้างสถานการณ์กัดเซาะ หรือ ทำลายความ สงบเรียบร้อย ความ มั่นคงของชาติ และ พระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้าเป็น อันขาด

ประเด็นอื่น ๆ ที่อยู่ในความ สนใจ

สถาบันพระมหากษัตริย์กับ สถานการณ์ทางการเมืองใน ประเทศไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ ทรงครองราชย์ภายใต้ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขมาตลอดรัชกาลซึ่ง ยาวนานถึง 60 ปี ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ ทรงวางพระองค์อย่างเคร่งครัดใน ฐานะพระมหากษัตริย์ภายใต้ รัฐธรรมนูญ

ใน ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา สังคมไทยเผชิญกับความ แตกแยกอย่างหนักระหว่างคนที่สนับสนุนและ คัดค้านรัฐบาลของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ มิได้ ทรงเข้า แทรกแซงใน ทางใด ทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องใน การที่จะให้ นำมาตรา 7 ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้ กล่าวคือ การจัดให้ มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน นอกจากนั้น ยัง มีพระราชดำรัสแก่คณะผู้ พิพากษาศาลฎีกาและ ศาลปกครองสูงสุดเมื่อปลายเดือนเมษายน 2549 ขอให้ สถาบันตุลาการเข้า คลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตย แทนการเรียกร้องให้ พระมหากษัตริย์เข้า มาแทรกแซง

สำหรับการเข้า ยึดอำนาจการปกครองของฝ่ายทหารเมื่อวันที่ 19 กัน ยายน 2549 นั้น โดย ข้อเท็จจริง คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขได้เข้า ยึดอำนาจการปกครอง แล้วจึงได้ กราบบังคมทูลขอเข้า เฝ้าฯ เพื่อถวายรายงานเกี่ยวกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้ง นี้เป็น ประเพณีที่ถือปฏิบัติใน ประเทศไทยด้วย เห็นว่าการเข้า ยึดอำนาจการปกครองเป็น เหตุการณ์สำคัญ ซึ่ง องค์พระประมุขสมควรจะได้ ทรงรับทราบ

ส่วน การที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็น หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขก็เพื่อให้ มีอำนาจรักษาความ สงบเรียบร้อยและ ป้องกัน เหตุที่อาจจะ นำไปสู่ความ รุนแรงได้ ใน อดีตก็เคยมีการปฏิบัติทำนองนี้มาแล้ว เช่นเมื่อคราวที่คณะรักษาความ สงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เข้า ยึดอำนาจการปกครองเมื่อปี 2534

อย่างไรก็ตาม ใน ด้านการเมืองการปกครอง พระมหากษัตริย์ไทยทรงตระหนักถึง การดำรงไว้ซึ่ง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข และ ทรงเข้า พระทัยถึง การเมืองที่มีลักษณะแยกออกจาก สถาบันพระมหากษัตริย์ โดย ทรงวางพระองค์อยู่ นอกกรอบการเมืองของชาติอย่างเคร่งครัดเสมอมา

การประกาศกฎอัยการศึก

สำหรับเหตุผลของการประกาศกฎอัยการศึกและความ จำเป็นใน การคงประกาศกฎอัยการศึกนั้น เพื่อควบคุมให้ สถานการณ์ใน ประเทศดีขึ้น และ กลับสู่ภาวะปกติตามการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว ทั้ง นี้ การประกาศกฎอัยการศึกดังกล่าว เป็น ไปตามรัฐธรรมนูญไทยที่เคยมีมาทุกฉบับ และ แม้ใน ระดับสากลก็ยอมรับไว้ใน ข้อ 4 (1) ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิพลเมืองและ สิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) ซึ่ง ระบุว่าใน ภาวะฉุกเฉิน มีภัยสาธารณะอันคุกคามความอยู่ รอดของชาติและได้ มีการประกาศภาวะนั้น อย่างเป็น ทางการแล้ว รัฐภาคีแห่งกติกานี้อาจใช้ มาตรการที่เป็น การเลี่ยงพันธกรณีของตนภายใต้ กติกานี้ได้ เพียงเท่า ที่จำเป็น ตามความ ฉุกเฉินของสถานการณ์ ทั้ง นี้มาตรการเช่นว่านั้นจะต้องไม่ ขัดแย้งต่อพันธกรณีอื่น ๆ ของตน ภายใต้ กฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็น การเลือกปฏิบัติเพียงเหตุแห่งความ แตกต่างด้านเชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา หรือ เผ่าพันธุ์ทางสังคม

ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ฉบับ ที่ 9 ได้ ประกาศอย่างแจ้งชัดว่า "จะ ยึดมั่นใน หลักกฎบัตรสหประชาชาติ และ องค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ จะ รักษาไว้ซึ่ง สิทธิ และจะ ปฏิบัติตามพันธกรณีใน สนธิสัญญา หรือ ข้อตกลงที่ทำไว้กับ นานาประเทศ..." ซึ่ง ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ ชั่วคราว พ.ศ.2549 ที่ประกาศใช้ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ก็มีหลักประกัน การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เช่นนี้ โดย มาตรา 3 แห่งรัฐธรรมนูญฯ กำหนดว่า "ภายใต้ บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความ เสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้ รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขและ ตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศมีอยู่แล้ว ย่อมได้ รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้"

แม้ขณะนี้ ประกาศกฎอัยการศึกยัง มีผลใช้ บังคับอยู่ โดย มีข้อสังเกตว่า มาตรา 11 ของพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ให้ อำนาจเด็ดขาดแก่เจ้าพนักงานฝ่ายทหารที่จะ จำกัดหรือ ห้ามประชาชน มิให้ กระทำการใด ๆ ได้ หลายกรณี เช่น การห้ามมั่วสุมชุมนุมกัน การห้ามจำหน่ายหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือ หนังสือพิมพ์ การห้ามส่งวิทยุกระจายเสียงหรือ วิทยุโทรทัศน์ การห้ามใช้ ทางสาธารณะ การห้ามใช้ เครื่องมือสื่อสาร และ การห้ามออกนอกเคหสถาน เป็น ต้น แต่ คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขหรือ ที่ปัจจุบันคือคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติกลับใช้ อำนาจที่มีอยู่ ดังกล่าวอย่างจำกัดและเท่า ที่จำเป็นเท่านั้น ทั้ง นี้ เพื่อให้ มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนน้อยที่สุด โดย จำกัดสิทธิทางการเมืองเพียงบางประการ ได้ แก่ การห้ามชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่ง เหตุผลสำคัญก็เพื่อควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินภายใน ประเทศใน ระยะเฉพาะหน้า และ เพื่อเหตุผลด้านความ มั่นคง ซึ่ง เพิ่งผ่านพ้นการยึดอำนาจมาเพียงประมาณเดือนเศษ จึง เห็นได้ ว่า การใช้ กฎอัยการศึกจำกัดสิทธิดังกล่าวสอดคล้องและเป็น ไปตามข้อ 4 (2) ของ ICCPR ที่อนุญาตให้ มีการเลี่ยงพันธกรณีใน ภาวะฉุกเฉินได้เท่า ที่จำเป็น และ อันที่จริงก็สอดคล้องกับ ระบบกฎหมายของไทยอยู่ ก่อนแล้ว โดยจะ พิจารณาผ่อนคลายหรือ ยกเลิกเมื่อสถานการณ์เข้า สู่ภาวะที่ไว้ วางใจได้แล้ว ต่อไป

อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า การใช้ อำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ใน การจำกัดสิทธิของประชาชนบางประการข้างต้น มิได้ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่กฎหมายระหว่างประเทศกำหนดห้ามการละเมิดอย่างเด็ดขาดแต่อย่างใด เช่น สิทธิใน การมีชีวิต (right to life) สิทธิที่จะไม่ได้ รับการทรมาน สิทธิที่จะไม่ได้ รับการปฏิบัติ หรือ การลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม (right to be free from torture and other inhumane or degrading treatment or punishment) เป็น ต้น

ใน ทางปฏิบัติ ถึง แม้ว่าจะ มีการออกประกาศกฎอัยการศึกโดย จำกัดการใช้ สิทธิทางการเมืองบางประการก็ตาม แต่ในความเป็น จริง สื่อมวลชนแขนงต่างๆ ก็ยังสามารถ เสนอข่าวได้ อย่างปกติ คดีต่างๆ ยังสามารถ ไปสู่ศาลยุติธรรมได้ ตามปกติ อีกทั้ง ประชาชนทั่ว ไปก็สามารถ แสดงความ คิดเห็นทางการเมืองได้โดย เสรี หากต้องอยู่ใน ขอบเขตที่เหมาะสมตามกฎหมาย

สิทธิเสรีภาพของประชาชน

การปฏิรูปการปกครองและ มาตรการต่างๆ ของคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ทำให้ได้ รับคำวิพากษ์วิจารณ์มากว่าส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือ สิทธิพลเมือง (civil liberties) อาทิ การจำกัดบริเวณผู้ นำทางการเมืองบางคน ซึ่ง อันที่จริงบัดนี้ก็ได้ มีการปล่อยตัวไปแล้ว การจำกดเสรีภาพใน การแสดงความ คิดเห็นและ เสรีภาพของสื่อมวลชนใน ช่วงการยึดอำนาจการปกครอง การจำกัดเสรีภาพใน การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดย เฉพาะในส่วน ของพรรคการเมือง และ การจำกัดเสรีภาพใน การชุมนุมโดย สงบและ ปราศจาก อาวุธ (เกินกว่า 5 คน) ซึ่ง ขณะนี้ยัง มีผลอยู่

ใน การปฏิรูปการปกครองครั้งนี้ คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขไม่ มีความ ประสงค์ที่จะ จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ตระหนักดีว่า มาตรการต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ใน ระยะเฉพาะหน้า จึงได้ ระมัดระวังอย่างยิ่งที่ให้ มีข้อจำกัดสิทธิเสรีภาพให้ น้อยที่สุดและ ตราบเท่า ที่จำเป็น จริงๆ เท่านั้น ซึ่ง การดำเนินการและ มาตรการต่างๆ ที่ผ่านมาได้ แสดงให้ เห็นความ พยายามใน แนวทางนี้ ทั้ง นี้ เพราะ มีความ จำเป็นจาก สถานการณ์ฉุกเฉิน เหตุผลทางการเมืองความ มั่นคงและ การรักษาความ สงบเรียบร้อยภายใน ประเทศ เนื่องจากยังเป็น ช่วงหลังจาก มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง หลังจาก ที่สถานการณ์เข้า สู่ภาวะปกติแล้วจะ มีการประกาศยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ รวมทั้ง กฎอัยการศึกโดยเร็ว

ใน ทางปฏิบัติ เป็น ที่ประจักษ์ว่าคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข หรือ คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ และ รัฐบาลมิได้ มีเจตนารมณ์หรือ ดำเนินการใด ๆ ที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและ สื่อมวลชนแต่อย่างใด ยัง มีการชุมนุมเรียกร้องสิทธิเสรีภาพหรือ แม้กระทั่งคัดค้านการปฏิรูปฯ ใน มหาวิทยาลัยและ สถานที่สาธารณะอย่างเปิดเผย ซึ่ง ทางการเพียงแต่เฝ้าติดตามสถานการณ์เท่านั้น มิได้ สั่งระงับหรือ ห้ามกิจกรรมดังกล่าวตราบเท่า ที่ไม่ ส่งผลกระทบต่อความ มั่นคงหรือความ วุ่นวาย นอกจาก นี้ ในส่วน ของกิจกรรมของพรรคการเมือง ก็ได้ ประกาศให้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ.2541 ยัง คงใช้ บังคับต่อไป

ในส่วน ของประชาชน ยัง มีสิทธิเสรีภาพใน การติดต่อสื่อสาร รับข้อมูลข่าวสารและ เดินทางไปมาหาสู่กันเป็น ปกติ ดังเห็นได้จาก สื่อมวลชนของไทยและ ต่างชาติทุกแขนงยัง เสนอข่าวและความ คิดเห็นทางการเมืองต่างๆ อย่างแทบไม่ แตกต่างไปจาก ช่วงเวลาปกติ สื่อมวลชนและ นักวิชาการบางส่วนยัง แสดงความ คิดเห็นที่ไม่ เห็นด้วยกับ การปฏิรูปอย่างชัดเจน การดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนหรือ การดำเนินธุรกิจทั้ง ของคนไทยและ ต่างประเทศไม่ได้ รับผลกระทบแต่อย่างใดทั้ง สิ้น รวมทั้ง การประชุมทางวิชาการ ธุรกิจหรือ เพื่อประสานราชการยังสามารถ ทำได้ ตามปกติ

การดำเนินการข้างต้นและ แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับ เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนนี้ได้ รับการยอมรับ และ ระบุไว้ใน มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูยแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับ ชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ที่ว่า "ภายใต้ บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความ เสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้ รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข และ ตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้ รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้"

เศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง เป็น ปรัชญาชี้ถึง แนวการดำรงอยู่และ ปฏิบัติตนของประชาชนใน ทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึง ระดับรัฐ ทั้งใน การพัฒนาและ บริหารประเทศให้ ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดย เฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความ พอเพียง หมายถึง ความ พอประมาณ พออยู่ พอมี พอกิน พอดี ไม่ ฟุ้งเฟ้อ ความ มีเหตุผล การอยู่ใน หนทางสายกลาง รวมถึงความ จำเป็น ที่จะต้อง มีระบบภูมิคุ้มกันใน ตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจาก การเปลี่ยนแปลงทั้ง ภายนอกและ ภายใน ทั้ง นี้จะต้อง อาศัยความ รอบรู้ ความ รอบคอบ และความ ระมัดระวังอย่างยิ่ง ใน การนำวิชาการต่างๆ มาใช้ใน การวางแผนและ การดำเนินการทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันจะต้อง เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนใน ชาติโดย เฉพาะเยาวชน เจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎีและ นักธุรกิจใน ทุกระดับให้ มีสำนึกใน คุณธรรม ความ ซื่อสัตย์สุจริต และให้ มีความ รอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความ อดทน ความ เพียร มีสติ ปัญญา และความ รอบคอบเพื่อให้ สมดุลและ พร้อมที่จะ รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและ กว้างขวางทั้งใน ด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และ วัฒนธรรมจาก โลกภายนอกได้เป็น อย่างดี

ก้าวต่อไปของคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ

คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขได้ ดำเนินการตามที่ได้ ประกาศเจตนารมณ์ไว้ คือ ดำเนินการให้ มีนายกรัฐนตรีเข้า มาจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนภายใน สองสัปดาห์ ส่วน คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขได้ เปลี่ยนเป็น คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ โดย มีการดำเนินการที่ผ่านมาและ ที่จะ ดำเนินการต่อไป ทั้งในส่วน ของการตรวจสอบและ แก้ไขปัญหา อันเป็น เหตุแห่งการยึดอำนาจใน ครั้งนี้ และ การร่วมกับ ทุกฝ่ายปฏิรูปการปกครองต่อไปข้างหน้า ดังนี้

-การเข้า ยึดอำนาจสืบเนื่องจาก การทำลายหลักการและ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี 2540 โดยได้ ยืนยันที่จะ ดำเนินการที่จะ ฟื้นฟูประชาธิปไตยโดยเร็ว

-เข้า แทรกแซงทางการเมืองช่วงสั้น โดยใช้ เวลาน้อยที่สุด เพื่อรักษาความ สงบ ความ สามัคคี และความ ยุติธรรมภายใน ประเทศ

-ดำเนินการให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ คงสภาพต่อไป โดย มีอำนาจหน้าที่ใน การเตรียมการการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และ ยุติธรรม

-ดำเนินการให้ มีคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และให้ คง

-อำนาจหน้าที่ใน การตรวจสอบเหมือนเดิม และ แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้ เกิดความ เสียหายแก่รัฐ (คตส.) คู่ขนานกัน ไป พร้อมทั้งให้ผู้ ว่าการตรวจเงินแผ่นดินสามารถ ปฏิบัติหน้าที่ใน การตรวจสอบการใช้ เงินของรัฐและ การป้องกัน ปราบปรามการทุจริตต่อไปอย่างอิสระ

-ดำเนินการให้ผู้ ตรวจการรัฐสภาปฏิบัติหน้าที่ต่อไปใน การรับคำร้องจาก ประชาชนเกี่ยวกับ การใช้ อำนาจใน ทางที่ผิด

-องค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 บางองค์กร ได้ แก่ ศาลปกครอง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยัง คงมีสถานะดังเดิม

-สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติยัง คงมีบทบาทสำคัญใน การให้ คำปรึกษาแก่รัฐบาล

-มีการจัดตั้งคณะที่ปรึกษา 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม และความ สมานฉันท์แห่งชาติ

-ประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ (ฉบับ ชั่วคราว) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2549 ซึ่ง ส่งผลให้ คณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข กลายสภาพเป็น คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ

-ดำเนินการให้ มีการจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนเพื่อบริหารประเทศ

-จะ ยกเลิกกฎอัยการศึกเมื่อสถานการณ์เข้า สู่ภาวะปกติและ มีความ มั่นคงปลอดภัยเพียงพอ

-ดำเนินการเพื่อแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติจนแล้ว เสร็จ

-อยู่ใน ระหว่างการดำเนินการเพื่อแต่งตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติจำนวนไม่ เกิน 2,000 คน จาก ต่างสาขาอาชีพ เพื่อคัดเลือกกัน เองให้ เหลือ 200 คน และ 100 คน ตามลำดับก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อเป็น สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ถาวร โดย กระบวนการยกร่างจะใช้ เวลาประมาณ 6 เดือน นับแต่วันเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก หลังจากนั้น ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ คณะรัฐมนตรี คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ และ องค์กรอิสระต่างๆ ให้ความ เห็น และ จัดให้ มีการลงประชามติทั่ว ประเทศ ตลอดจนออกกฎหมายที่จำเป็น ต่อการเลือกตั้ง ซึ่งจะ นำไปสู่การเลือกตั้งทั่ว ไปภายใน เวลาไม่ เกินหนึ่งปี นับจาก เริ่มกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญ

ผู้ สนใจข่าวเกี่ยวกับ การดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข หรือ คณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ ตลอดจนแนวทางการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง สามารถ หาข้อมูลได้ ที่ เวบไซต์ของคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ www.mict.go.th/cdrc และ ของกระทรวงการต่างประเทศ www.mfa.go.th

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก