เพื่อชีวิต..ใคร???

วันอาทิตย์, ธันวาคม 09, 2550

เขย่า “ข้าราชการ” 1.5 ล้านคนใหม่ พวกไร้ฝีมือ บีบพ้นเส้นทาง!

* ภายใน 1 ปีข้าราชการกว่า 1.5ล้านคน ต้องเข้าสู่ระบบใหม่
* บิ๊กขี้หลี-เด็กเส้น-พวกเช้าชามเย็นชาม อยู่ยาก
* เผยกลไกสกัดอิทธิพลการเมืองล้วงลูกในทุกระดับ
* ส่วนคนดี มีฝีมือ พิสูจน์กึ๋นได้เต็มที่
* “สเปก” ข้าราชการแบบใด มีโอกาสโตทั้งเงินและตำแหน่ง...


ขณะนี้อาชีพที่ออกจะตุ๊มๆ ต่อมๆ มากสุดเพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จาก พ.ร.บ.ฉบับใหม่คือ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่ ที่ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติไปอย่างง่ายๆ ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ ที่จะเกิดผลกระทบกับข้าราชการกว่า 4 แสนคนและข้าราชการที่อยู่นอกระบบแต่ยึดระเบียบข้าราชการก.พ.เป็นเกณฑ์ พิจารณาอีกกว่า 1 ล้านคน

พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้ มีจุดเด่นตรงที่จะมีการยกเลิกระบบซีทั้งหมด มีการแยกการบริหารราชการออกเป็น 4 แท่ง คือแท่งทั่วไป แท่งวิชาการ แท่งอำนวยการ และแท่งบริหาร ที่สำคัญเมื่อ พ.ร.บ.นี้บังคับใช้ ข้าราชการทุกคนต่างสนใจและตั้งความหวังมากที่สุดว่าเงินเดือนของภาคราชการ ที่สามารถเทียบเคียงกับภาวะตลาดและภาคเอกชนได้แน่

เปิดข้อมูล 4 แท่ง-เงินเดือนใหม่

โดยข้าราชการทั้งหมดจะถูกจำแนกกลุ่มใหม่หมดตามภาระหน้าที่ โดยในแท่งทั่วไปจะประกอบด้วยข้าราชการเดิมที่มีหน้าที่ในฝ่ายปฏิบัติการ ทั้งหมด รวมถึงข้าราชการที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับเอกสาร จะถูกจัดแบ่งระดับออกเป็น 4 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติงาน (ซี 1-4 เดิม) ระดับชำนาญงาน (ซี 5-6 เดิม) ระดับอาวุโส (ระดับ 7-8 เดิม) และระดับทักษะพิเศษ

แท่งวิชาการ จะประกอบไปด้วยข้าราชการที่มีหน้าที่ในการวางแผน วิเคราะห์ทั้งหมด มี 5 ระดับคือ ระดับปฏิบัติการ (ซี 3-5 เดิม) ระดับชำนาญการ (ซี 6-7 เดิม) ระดับชำนาญพิเศษ (ระดับ 8 เดิม) ว/วช. ระดับชำนาญพิเศษ (ซี 8 เดิม) ว/วช. ระดับเชี่ยวชาญ (ซี 9 เดิม) วช./ชช. และระดับทรงคุณวุฒิ (ซี 10-11 เดิม) วช/ชช

แท่งอำนวยการจะมี 2 ระดับ คือ ระดับต้น (ซี 8 เดิม) บก. ผอ.กอง/เทียบเท่า และระดับสูง (ซี 9 เดิม) บส. ผอ.สำนัก/เทียบเท่า

แท่งบริหาร มี 2 ระดับเช่นกันคือ ระดับต้น (ซี 9 เดิม) บส.รองหน..สรก. และระดับสูง (ซี 10-11 เดิม) บส. หน.สรก.

โดยในแท่งทั่วไป ระดับปฏิบัติการจะมีเงินเดือนขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 4,630 บาท ขั้นสูง 18,190 บาท ระดับชำนาญงาน เงินเดือนระดับต่ำที่ 10,190 บาท ระดับสูงที่ 33,540 บาท ระดับอาวุโส เงินเดือนขั้นต่ำ 15,410 บาท ระดับสูง 47,450 บาท และระดับทักษะพิเศษ ขั้นต่ำ 48,220 บาท ขั้นสูง 59,770 บาท

ในแท่งวิชาการระดับปฏิบัติการ ขั้นต่ำ 7,940 บาท ขั้นสูง 22,220 บาท ระดับชำนาญการ ขั้นต่ำ 21,080 บาท ขั้นสูง 36,020 บาท ระดับชำนาญพิเศษ ขั้นต่ำ 21,080 บาท ขั้นสูง 50,550 บาท ระดับเชี่ยวชาญ ขั้นต่ำ 29,900 บาท ขั้นสูง 59,770 บาท ระดับทรงคุณวุฒิขั้นต่ำ 41,720 บาท ขั้นสูง 66,480 บาท

ในแท่งอำนวยการ ระดับต้น ขั้นต่ำ 25,390 บาท ขั้นสูง 50,550 บาท ระดับสูง ขั้นต่ำ 31,280 บาท ขั้นสูง 59,770 บาท

ในแท่งบริหาร ระดับต้น ขั้นต่ำ 48,700 บาท ขั้นสูง 64,340 บาท ระดับสูง ขั้นต่ำ 53,690 บาท ขั้นสูง 66,480 บาท

1 ปี พร้อมเดินหน้าระบบใหม่

ขณะที่ทั้ง 19 กระทรวง 159 กรม ต่างรู้ตัวเองแล้วว่าจะต้องมีการขยับและเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการจัดคนลงแท่งต่างๆ และ ก.พ.คือหน่วยงานหลักที่จะต้องวางกฎเกณฑ์การจำแนกข้าราชการลงแท่งต่างๆ ให้ชัดเจนดังนั้นปัญหาความขัดแย้ง การต่อต้านจะเกิดขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ที่ ก.พ.กำหนดขึ้นมา

ปรีชา วัชราภัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการ กล่าวว่า ขณะนี้ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ได้ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแล้วและอยู่ในขั้นตอนการทำเอกสารให้ครบ ถ้วนสมบูรณ์ก่อนทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงปรมาภิไทย หลังจากนั้นเมื่อมีการประกาศใช้ ก็พร้อมที่จะเดินหน้าในการจัดระบบข้าราชการใหม่ทันที และในขั้นตอนการจัดระบบใหม่ ทั้งจัดจำแนกข้าราชการลงใน 4 แท่ง พร้อมทำกฎหมายลูก 71 ฉบับรองรับ จะต้องให้เสร็จภายใน 1 ปี และเดินหน้าระบบใหม่ได้ภายในปี 2552 ทันที

“สิ่งที่ดูเหมือนง่ายแต่ยาก คือ ต้องจัดคนลงให้ครบทั้ง 4 แท่ง ที่จริงทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่าภาระหน้าที่งานที่ทำอยู่ของตัวเองจะต้องไป อยู่ในแท่งไหน แต่บางคนพอรู้สึกว่าถูกจัดไปอยู่ในแท่งทั่วไป ก็จะรู้สึกว่ามีศักดิ์ศรีน้อยกว่าแท่งวิชาการ ซึ่งไม่ใช่ เงินเดือนก็ไม่ต่างกันมาก ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ตอนนี้คนคิดไปเองมีเยอะ”

หวั่นคนไม่จบ ป.ตรีวุ่น

โดยปัญหาที่ ก.พ.กำลังมองอยู่และคาดว่าน่าจะเกิดความวุ่นวายมากที่สุด คือการจัดคนที่มีหน้าที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างแท่งทั่วไป กับแท่งวิชาการนี้เอง โดยเฉพาะข้าราชการที่ในอดีตมีการผ่อนผันว่าไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาในระดับ ปริญญาตรี ซึ่งจากการสำรวจของ ก.พ.ในปี 2549 ข้าราชการในกลุ่มที่ไม่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีมีสูงถึง 28.51% หรือ 104,071 คน ในข้าราชการพลเรือนสามัญทั้งหมด 365,083 คน

ปัญหาที่มองว่าน่าจะเกิดก็มี เช่น ข้าราชการสายบริหารงานทั่วไประดับ 7 แต่ไม่จบการศึกษาขั้นปริญญาตรี หากจัดให้เข้าแท่งวิชาการไป ก็จะอยู่ในระดับชำนาญการ ซึ่งจะสามารถมีความก้าวหน้าถึงขั้นความชำนาญการพิเศษ แต่ทุกคนต้องมีผลงานมาวัดถึงจะก้าวไปถึงขั้นนั้นได้ แต่ถ้าเข้าไปอยู่ในแท่งทั่วไป ก็จะเป็นระดับอาวุโสทันที มีเงินเดือนชนระดับ 8 ซึ่งก็ไม่ต้องทำผลงานอะไรเพราะมีเงินเดือนถึงเพดานของแท่งแล้ว

อย่างไรก็ดี คนกลุ่มนี้หากไม่เข้าใจก็อาจต่อต้านเมื่อจัดให้เขาไปอยู่ในแท่งทั่วไป ก็จะเกิดความรู้สึกว่าศักดิ์ศรีสู้แท่งวิชาการหรือวิชาชีพไม่ได้ ดังนั้น เมื่อ ก.พ.วางกรอบให้ก็เป็นปัญหาที่หน่วยงานจะไปจัดสรรคนใส่แต่ละแท่งซึ่งถือเป็น ภารกิจการกระจายอำนาจโดยตรง และแต่ละช่วงของแท่งต่างๆ ก็จะมีอัตราเงินเดือนที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน

อีกทั้งปัญหาของระดับซี 9 ที่มีอยู่ด้วยกันหลายสายงาน ก็จะถูกจัดลงอย่างเหมาะสมในแท่งวิชาการ อำนวยการและบริหาร ส่งผลให้เงินเดือนก็จะได้ตามความสามารถและภารกิจที่รับผิดชอบจริงๆ ไม่ใช่ว่าซี 9 เหมือนกันแต่ภารกิจงานที่ต่างกันกลับได้เงินเดือนในอัตราที่เท่ากันเหมือน ปัจจุบันนี้

ดังนั้น การจัดข้าราชการลงแท่งต่างๆ นั้นกำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทายหน่วยงานรัฐและ ก.พ.ต้องเร่งจัดการก่อนเป็นอุปสรรคให้ระบบราชการใหม่ก้าวไม่ถึงฝั่งเกษียณ ก่อนกำหนดทางออกที่ดี

อย่างไรก็ดี มติ ครม.ที่อนุมัติโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดให้ข้าราชการ ในปีงบประมาณ 2550 โดยข้าราชการที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป หรือข้าราชการที่มีเวลาราชการเกิน 25 ปีขึ้นไป (นับถึงวันก่อนออกราชการตามมาตรการฯ 30 ก.ย.50) สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้

โดยส่วนราชการต่างๆ จะต้องพิจารณาทบทวนบทบาท ภารกิจ วิเคราะห์และสำรวจอัตรากำลังของส่วนราชการตามหลักการบริหารบุคคล 5 กรณี คือ ครม.มีมติให้ส่วนราชการปรับเปลี่ยนสถานภาพโดยออกจากระบบราชการ,ส่วนราชการ จะยุบเลิกบางภารกิจ, ส่วนราชการมีอัตรากำลังเกิน, ส่วนราชการที่มีอัตรากำลังเหมาะสมแต่จำนวนข้าราชการสูงอายุ (50 ปีขึ้นไป)มากกว่า 20% และส่วนราชการที่มีอัตรากำลังไม่เพียงพอและมีข้าราชการสูงอายุ (50 ปี ขึ้นไป)มากกว่า 20%

ข้าราชการที่ตัดสินใจเข้าโครงการนี้จะมีสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ คือเงินก้อน 8-15 เท่าของเงินเดือนรวมเงินประจำตำแหน่งตามเวลาราชการที่เหลือ (ปี) โดยมีสูตรคำนวณ คือ เงินก้อน = 8+ อายุราชการที่เหลือ (ปี) x เงินเดือนเดือนสุดท้ายรวมเงินประจำตำแหน่ง * (ถ้ามี) แต่สูงสุดไม่เกิน 15 เท่าของเงินเดือนรวมเงินประจำตำแหน่ง (ถ้ามี) และยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติมอีก คือยกเว้นภาษีเงินก้อน, ยกเว้นภาษีในส่วนกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ,ยกเว้นไม่ต้องชดใช้ส่วนต่าง ของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปกติกับเงินกู้ตามพ.ร.ก.สวัสดิการเงินกู้เพื่อที่ อยู่อาศัย พ.ศ.2535 โครงการสวัสดิการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมทั้งโครงการเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย ธอส.-กบข.ด้วย และมีสิทธิได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเหมือนข้าราชการผู้ออกจาก ราชการด้วยเหตุเกษียณอายุ

“อันนี้แต่ละหน่วยงานต้องวางแผนกันเอง ภายใน 5 ปี สำหรับก.พ. ก็เข้าข่ายส่วนราชการที่มีคนอายุเกิน 50 ปี เกิน 20% จึงตั้งใจว่าในปี 52 จะให้คนเกษียณอายุ 22 คนต่อปี พอครบ 5 ปี ก็จะมีคนเกษียณอายุก่อนกำหนดไป 100 คน ก.พ.ก็จะบรรจุเด็กรุ่นใหม่อายุน้อยเข้ามาก็ได้ปีละ 20 กว่าคน อายุเฉลี่ยของข้าราชการในองค์กรก็จะมีน้อยลง”

ฉะนั้น ทางเลือกสำหรับข้าราชการในกลุ่มที่ไม่พอใจในการจัดจำแนกลงแท่งใหม่ครั้งนี้ การเกษียณก่อนกำหนดเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดทางเลือกหนึ่งในเวลานี้

นอกจากนี้หลังจาก 1 ปี แรกที่ ก.พ.จัดสรรคนตามแท่งต่างๆ สำเร็จแล้วก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะหลังจาก 1 ปี อำนาจทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯในการจัดสรรบุคลากรให้ ลงตัวที่สุดอีกครั้งหนึ่งได้ด้วย

ป่วนเลิกสวัสดิการ ขรก.ใช้ประกันสังคมแทน

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงปัญหาความไม่พอใจในตำแหน่งใหม่ เงินเดือนใหม่นี้ ก.พ.มีความกังวลและได้ให้ทางศศินทร์ได้ศึกษาประเมินความเสี่ยงจากการนำระบบ ข้าราชการใหม่เข้ามาใช้ครั้งนี้ด้วย เพราะเมื่อเกิดปัญหาใดๆ ขึ้น ก.พ.จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที และให้มีคนที่ต่อต้านน้อยที่สุด

ผลการศึกษาของสถาบันศศินทร์ พบว่า ความเสี่ยงระดับแรกสุดที่น่ากลัวที่สุดคือความเสี่ยงด้านการสื่อสาร คือ ข้าราชการสื่อสารข้อมูลที่คลาดเคลื่อนให้กับผู้อื่น โดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ และ ข้าราชการสื่อสารความคิดเห็นในทางที่เป็นอคติต่อตัวระบบใหม่ให้กับผู้อื่น

กรณีนี้เกิดขึ้นแล้วในขณะนี้ คือเริ่มมีข่าวลือที่หนาหูเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ด้านสวัสดิการของข้า ราชการที่จะต้องเสียไป คือมีการพูดกันว่าข้าราชการทั้งหมดจะต้องใช้ระบบประกันสังคมเหมือนพนักงาน บริษัทเอกชน และสวัสดิการการรักษาพยาบาลที่มีให้ตั้งแต่ลูกจนถึงพ่อแม่นั้นจะถูกยกเลิกไป และให้ไปใช้สวัสดิการในโครงการ 30 บาทห่างไกลโรคแทน

“ผมเพิ่งจะได้ยินข่าวนี้นะ ที่ตลกคือยังไม่มีใครพูดถึงประเด็นนี้ แล้วใครเป็นคนพูดขึ้นมา คำถามคือคนพูด พูดเหมือนรู้จริง แต่จริงๆ แล้วไม่รู้ แล้วไปบอกต่อ ตรงนี้ต่อไปอาจทำให้เกิดกระบวนการต่อต้านขึ้นมา ซึ่งไม่เป็นความจริง และประเด็นนี้ทางกระทรวงการคลังก็ต้องเป็นคนดูแล แต่กระทรวงการคลังก็ยังไม่เคยพูดเรื่องนี้ เอามาจากไหน พูดกันไปเพราะเข้าใจกันไปเองทั้งนั้น ไม่มีจริง”

ตรงนี้จึงขอวอนผู้ที่ยังไม่แน่ใจ ไม่รู้ก็อย่าปล่อยข่าว หรือผู้ที่ได้ยินได้ฟังมาก็ขอให้สอบถามที่ศูนย์บริหารของทุกกระทรวงที่ กำลังมีการแต่งตั้งขึ้นมา 19 ศูนย์ ส่วนก.พ.ก็จะเป็นตัวประสานงานกลางและเร่งทำความเข้าใจให้ข้าราชการไปพร้อมๆ กันด้วย

อย่างไรก็ดี แม้จะมีความเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคมากมายที่ ก.พ.จะต้องผ่าด่านไปให้ได้ แต่ ก.พ.ก็มีความมั่นใจในการขับเคลื่อนการปรับระบบข้าราชการยุคใหม่นี้ เพราะผลที่ได้รับจากเอแบคโพลล์ที่ลงสำรวจความเห็นของกลุ่มข้าราชการทั่ว ประเทศและมากกว่า 70% แสดงความเห็นด้วย

จากการสำรวจความคิดเห็นของข้าราชการพลเรือนทั่วประเทศในงานวิจัย เรื่อง “ความคิดเห็นของข้าราชการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ พลเรือนฉบับใหม่ : กรณีศึกษาข้าราชการพลเรือนทั่วประเทศ” โดยใช้วิธีตอบแบบสอบถามทางไปรษณีย์กับกลุ่มตัวอย่าง 721 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16-29 สิงหาคม 2550

พบว่าข้าราชการกว่าร้อยละ 70 เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่ในภาพรวม และเมื่อพิจารณาในรายประเด็นก็พบว่า ข้าราชการกว่าร้อยละ 80 เห็นด้วยกับประเด็นต่างๆ ที่อยู่ในร่าง พ.ร.บ.ใหม่ เช่น การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง บทบาท และใช้หลักการบริหารบุคคลทางราชการให้เหมาะสมและทันสมัยมากขึ้น การกระจายอำนาจและมอบหมายการตัดสินใจให้กับอธิบดี ปลัดกระทรวง การยกเลิกระบบซี แล้วเปลี่ยนเป็นกลุ่ม การปรับปรุงมาตรฐานค่าตอบแทน ฯลฯ ซึ่งในประเด็นนี้ข้าราชการกว่า 80% คาดว่าจะได้รับประโยชน์มาก

ส่วนจุดที่ข้าราชการอยากให้เน้นมากที่สุดยังเป็นเรื่องผลประโยชน์ เป็นสำคัญ เริ่มต้นจากเรื่องค่าตอบแทนที่ต้องการให้มีการกระจายอย่างทั่วถึงและ ยุติธรรม (23.5%), การยกเลิกระบบซีและจัดระบบซีเป็นแท่งใหม่ควรยึดวุฒิการศึกษาเป็นหลักในการ จัดแบ่งกลุ่มและกำหนดวิธีการปรับเปลี่ยนกลุ่มให้ชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอน (23.5%), การพิจารณาลงโทษใช้เส้นสายและสร้างตำแหน่ง (18.9%) และการปรับเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งโดยให้ดูความสามารถเป็นเกณฑ์ (15.1%) และการกระจายอำนาจให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจอย่างยุติธรรมโปร่งใส (10.9%)

แม้ผลการสำรวจของเอแบคโพลล์จะออกมาเป็นบวก แต่ ก.พ.ก็ยังต้องเร่งความเข้าใจกับข้าราชการทุกส่วนเพื่อให้การปรับเปลี่ยน ครั้งนี้มีการสะดุดน้อยที่สุดและให้เสร็จภายใน 1ปีตามที่กฎหมายกำหนด

ศึกช้างชนช้าง-ปลัดฯ ขจัดการเมืองแทรก

อีกทั้งระบบบริหารตาม พ.ร.บ.ใหม่นี้ จะเห็นข้าราชการพันธุ์ใหม่ซึ่งจะเป็นบทพิสูจน์ความสามารถของข้าราชการระดับ ผู้บริหารอย่างยิ่ง!เพราะคนที่ต้องชนกับฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะการแทรกแซงการ บริหารงานของข้าราชการคือผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงต่างๆ

“นักการเมืองจะเอาคนของตัวเองมายัดในตำแหน่งวิชาชีพ หรือแม้กระทั่งแท่งอื่นเพราะต่อไปนี้ต้องเอาผลงานมาดูทั้งคุณวุฒิทั้ง คุณสมบัติ แต่สำหรับแท่งทั่วไปอาจมีบ้าง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสมรรถนะการทำงาน และผลงาน เพราะตรวจสอบได้หมด”

ต่อไปเป็นระบบการบริหารงานบุคคลแบบกระจายอำนาจ ฝ่ายบริหารของกระทรวงต่างๆ จะต้องพิจารณาว่าจะแต่งตั้งใครตำแหน่งไหน อีกทั้งต้องบริหารให้งบประมาณของกระทรวงที่ได้มาจากรัฐบาลมีประสิทธิภาพสูง สุด ใครบริหารไม่ดี ไม่มีผลงานก็จะถูกเปลี่ยน

“เดิมปลัดกระทรวงไม่ต้องการให้ตำแหน่งกับเด็กนักการเมือง ก็ส่งเรื่องมาให้ ก.พ. แล้วกลับไปบอกนักการเมืองว่าก.พ.อนุมัติตำแหน่งให้แล้ว ไม่ได้ก็กลับไปบอกว่า ก.พ.ไม่อนุมัติตำแหน่ง แต่ต่อไปไม่ใช่ ผู้บริหารต้องตัดสินใจเองจะให้ตำแหน่งนั้นหรือไม่ ถ้าให้แล้วไม่เหมาะสม องค์กรก็เจ๊ง ไม่มีประสิทธิภาพ ผู้บริหารก็ต้องกล้าที่จะปฏิเสธ”

กรณีภาคการเมืองขอให้คนไปช่วยราชการ ขอกันมากๆ ก็ไม่มีคนทำงานในกระทรวง ตรงนี้ผู้บริหารก็ต้องปฏิเสธ

“คุณมีสิทธิ์ที่จะบอกว่าไม่มีคนทำงานผมไม่ให้นะ ไม่อย่างนั้นหน่วยงานคุณก็ไม่มีคนทำงาน”

ส่วนคนที่เคยโดนภาคการเมืองกลั่นแกล้ง เช่น ขัดแย้งกับรัฐมนตรี รัฐมนตรีสั่งผอ.กองมากลั่นแกล้ง ระเบียบเดิมข้าราชการคนนั้นต้องร้องไปที่ผู้บังคับบัญชาคือ อธิบดีหรือปลัดกระทรวง อธิบดีหรือปลัดกระทรวงก็เป็นคนของรัฐมนตรีอีก ร้องไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครให้ความยุติธรรมได้

กฎหมายใหม่จึงมีข้อกำหนดแก้ไขในจุดนี้ โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมขึ้นมา โดยมีกรรมการ 7 คน ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในวงการศาล องค์กรนี้ก็จะไม่มีใครเกี่ยวข้องกับภาคการเมือง เป็นองค์กรกึ่งตุลาการ ซึ่งจะให้ความยุติธรรมกับข้าราชการที่ถูกกลั่นแกล้งได้มาก

ฟันธง! ต้องดีกว่าเดิม

เลขาธิการ ก.พ.กล่าวว่า ระบบใหม่ ดีกว่าเดิมแน่นอน เพราะในเชิงจิตวิทยาองค์กร ที่เขาวิเคราะห์ว่าการเข้ามาในระบบราชการมีทั้งแรงดึงและแรงผลัก

แรงดึงแต่เดิมนั้นคือการที่มีสวัสดิการดี คือการรักษาพยาบาลครอบคลุมไปถึงบุตรและบิดามารดา ขณะที่แรงผลักใหญ่คือเรื่องของความไม่เป็นธรรม การเล่นเส้นเล่นสาย

ดังนั้น ก.พ.จึงพยายามสร้างแรงดึงมากขึ้น คือ เป็นการปรับระบบค่าตอบแทน ไม่ให้รู้สึกว่าต่ำต้อย และลดแรงที่จะผลักคนออกจากระบบ ยิ่งกรณีคนรุ่นใหม่ๆ นั้น เชื่อได้ว่ามีน้อยคนมากที่อยากเข้ามาทำงานระบบราชการ ใครเข้ามาทำก็อยู่ไม่เกิน 5 ปี ก็อยากย้ายงานไปภาคเอกชนกันหมด คนเหล่านี้อยากกลับเข้ารับราชการก็ต้องมารับเงินเดือนเท่าเดิม แต่ต่อไปไม่ใช่ ต่อไปต้องกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ว่า คนที่ออกไปแล้ว 5 ปี กลับเข้ามาเงินเดือนต้องเพิ่มขึ้นด้วย

โดยข้อดีของระบบราชการใหม่ที่ชัดเจนอันดับแรก คือ เป็นการดึงคนให้อยากเข้ามาทำงานในระบบราชการมากขึ้น ขณะที่ลดแรงผลักที่มีแต่คนอยากออกจากภาคราชการให้น้อยลง

ต่อมาคนที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการปรับระบบนี้ คือ คนที่ทำงานสายวิชาชีพอยู่แล้ว เช่น หมอ เภสัช พยาบาล วิศวกรรม นิติกร ฯลฯ จะมีการเทียบเคียงเงินเดือนในท้องตลาด โดยมีหน่วยงานกลาง และกรมบัญชีกลางเป็นผู้ควบคุม ซึ่งจะมีรายละเอียดอีกมาก

ในส่วนของระบบเพิ่มเงินเดือน ต่อไปก็อาจมีการพิจารณาโดยใช้เปอร์เซ็นต์เป็นหลัก คือขึ้นได้ตั้งแต่ 0-10% แต่ต้องมีกฎเกณฑ์รองรับ และต้องมีการประกาศผลงานอย่างโปร่งใส โดยอาจต้องประกาศผลงานคนที่ได้เลื่อนตำแหน่งผ่านทางอินทราเน็ต หรืออินเทอร์เน็ต เป็นเรื่องที่ต้องกำหนดอีกครั้งหนึ่ง

ตั้งศูนย์ฯ 19 กระทรวง

นอกจากนี้ เพื่อให้การจำแนกข้าราชการลงแท่งต่างๆ ไปอย่างราบรื่น ก็จะมีการให้ทุกกระทรวงมีการจัดตั้งศูนย์บริหารความเปลี่ยนแปลงซึ่งจะมี ก.พ.เป็นผู้ประสานงานให้ราบรื่น โดยใน 1 ปี นอกจากจะจัดคนลงแท่งต่างๆ ให้เสร็จแล้ว ก็ต้องมีการวางมาตรฐานกำหนดตำแหน่งให้เสร็จ มีการสร้างความเข้าใจในองค์กร และสร้างเครื่องมือการบริหารบุคคลในองค์กรต่างๆ สำเร็จ

สำหรับเรื่องระยะเวลาที่ต้องทำให้สำเร็จใน 1 ปีนั้น เป็นเรื่องที่ตอนนี้กำลังเป็นที่กังวลมากสุด เพราะมีกฎหมายลูกอีกมากถึง 71 ฉบับที่ต้องทำให้เสร็จพร้อมๆกันด้วย โดยเฉพาะในเรื่องหลักเกณฑ์การจัดประเภทและระดับตำแหน่ง, มาตรฐานการกำหนดตำแหน่ง, การได้รับเงินเดือน, การจัดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนเข้าประเภทสายงาน ระดับตำแหน่งใหม่ ฯลฯ ซึ่ง ก.พ.จะต้องจัดทำกฎหมาย จัดทำมาตรฐานให้ดีที่สุด เพื่อขจัดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการจัดบริหารบุคคลในระดับกระทรวงต่อไป

**************

หวั่น “หมอ” ป่วนค้านกติกาใหม่!
สธ.ตั้งทีมรับมือสารพัดปัญหา

หวั่น ประชาคมสาธารณสุข! ก่อหวอด ต้านกติกาใหม่ ตั้งคณะทำงานเฉพาะด้านรับมือสารพัดปัญหา ทั้งจำนวนบุคลากรมากที่สุด-สายงานทับซ้อน ชี้โครงสร้างใหม่หนุนคนเก่ง-มีผลงานเด่น สกัด “เด็กฝาก” ไร้คุณภาพพ้นกระทรวง

การผลักดันให้ข้าราชการกว่า 4 แสนคนไปสู่ระบบ ระเบียบ แนวใหม่ภายใต้พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่ ที่ใกล้มีผลบังคับใช้ในอีกไม่ช้านี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย โดยเฉพาะในกระทรวงที่มีขนาดใหญ่ทั้งในด้านกำลังคนและสายงานที่มากที่สุด อย่างกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีจำนวนข้าราชการหลากหลายทั้งที่เป็นแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านอื่น ๆ มากถึงร้อยละ 40 ของจำนวนข้าราชการทั้งสิ้นกว่า 4 แสนคน ซึ่งต้องได้รับการบริหารจัดการปรับบุคลากรทั้งหมดให้เข้าสู่ระบบการจำแนก ตำแหน่งใหม่ ตามแท่งต่างๆทั้ง 4 แท่ง เพื่อให้เกิดความทันสมัยและสอดคล้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคลให้มากขึ้น

ชี้ ขรก.มากที่สุด-ภารกิจไม่ชัดเจน

นพ.สุพรรณ ศรีธรรมา ที่ปรึกษาระดับกระทรวงด้านพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่ ว่าสธ.มีข้าราชการจำนวน1.5แสนคน ซึ่ง เมื่อ ก.พ.ยกเลิกระบบ "ซี" ไปแล้ว และให้มีการปรับตำแหน่งต่างๆลงแท่งทั้ง 4 แท่งภายในระยะเวลา 1 ปีนั้น กระทรวงได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับงานไว้เช่นเดียวกับกระทรวงอื่นๆ อีก 18 กระทรวงและกรมต่างๆ อีกกว่า 100 กรม

ในการเปลี่ยนแปลงระบบจากแบบเก่าไปสู่แนวทางใหม่นั้น เชื่อว่าโดยหลักการแล้วจะส่งผลให้ข้าราชการทั้งระบบได้รับประโยชน์ ทั้งในแง่ค่าตอบแทน ความรู้ความสามารถ ตลอดจนประสิทธิภาพของงาน ซึ่งในส่วนของ สธ.พร้อมปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของกฎหมายใหม่ โดยเวลานี้กระทรวงได้ตั้งคณะทำงานเฉพาะด้านขึ้น และประสานกับ ศูนย์บริหารการปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคล ที่ ก.พ.ได้ตั้งขึ้น เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นในระหว่าง 1 ปีในการเปลี่ยนถ่ายระบบ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าในการจัดสรรบุคคลลงในตำแหน่งต่างๆ ตามการจำแนกตำแหน่งงานทั้ง 4 แท่งนั้น อาจเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากข้าราชการของสธ.มีจำนวนมาก รวมทั้งมีสายงานที่มากกว่า 100 สายงาน ขณะเดียวกันพบว่าบางสายงานมีความก่ำกึ่งไม่ชัดเจนว่าใครควรจะอยู่ในสายใด แต่ทุกอย่างได้ถูกกำหนดให้ต้องแล้วเสร็จภายใน 1 ปี

“ที่ผ่านมาสายงานภายในกระทรวงมีค่อนข้างมาก บางสายก็ไม่ชัดเจนว่าจะจัดให้ลงไปอยู่ในแท่งวิชาชีพหรือแท่งบริหาร ซึ่งในเรื่องนี้คณะกรรมการชุดเฉพาะด้านที่กระทรวงตั้งขึ้นมาจะเป็นผู้ พิจารณาตัดสินโดยยึดตามประกาศและหลักการของก.พ.อย่างเคร่งครัด เพราะไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจน ส่วนคณะกรรมการของกระทรวงเองก็จะมีความผิด”

โครงสร้างใหม่-ไม่กลัว “เด็กเส้น”

ขณะเดียวกัน ในระหว่างการจำแนกบุคลากรลงตามแท่งทั้ง 4 แท่ง และเกิดมีข้าราชการคนใดคนหนึ่งรู้สึกว่าเกิดความไม่พอใจหรือเห็นว่าไม่เป็น ธรรม ก็สามารถร้องต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือ ก.พ.ค. ได้ ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวมาจากการสรรหาคณะบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นกับฝ่ายบริหาร โดยในร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ได้กำหนดองค์ประกอบของผู้สรรหา ได้แก่ ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธานในการสรรหา รองประธานศาลฎีกา กรรมการ ก.พ. ผู้ทรงคุณวุฒิ และเลขาธิการ ก.พ. ร่วมกันสรรหาคณะกรรมการ ก.พ.ค. เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ดูแลเรื่องการให้ความเป็นธรรม มีลักษณะการทำหน้าที่เป็นองค์กรกึ่งตุลาการ

นอกจากนี้ การจำแนกตำแหน่งออกเป็นแท่ง นั้นยังไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานและตัวข้าราชการเอง เท่านั้น แต่ยังเป็นการสกัดระบบ "เส้นสาย" ที่มาจากฝ่ายการเมืองได้เป็นอย่างดี เนื่องจากโครงสร้างตำแหน่งใหม่ที่กำหนดตำแหน่งออกเป็นแท่งทั้ง 4 ด้านนั้นจะกำหนดคุณสมบัติและขอบข่ายหน้าที่การทำงานแต่ละแท่งไว้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งจะมีการประเมินผลการทำงานปีละ 2 ครั้งโดยประเมินผลงานทุก 6 เดือน ดังนั้นหากข้าราชการคนใดไม่มีผลงาน ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ จะไม่ผ่านการประเมินในที่สุด

“ระบบแท่งแบบนี้เราจะไม่กลัวเลยว่าใครจะฝากคนของตัวเองเข้ามาทำงาน เพราะถ้าฝากคนไม่เก่ง ไม่ดี ในที่สุดก็จะไม่มีผลงานเมื่อมีการประเมินผล ทุก 6 เดือน

ในทางกลับกัน หากนักการเมืองหรือใครก็ตาม ฝากคนเก่ง สามารถสร้างผลงานให้องค์กรได้จริงก็คงไม่มีปัญหาแน่นอน เราก็จะได้คนเก่งมาพัฒนางานแต่ละกระทรวงได้มากขึ้น แต่อันดับแรกก่อนที่ส่งใครมาต้องไม่ลืมว่าคนคนนั้น มีคุณสมบัติครบตามที่โครงสร้างตำแหน่งกำหนดไว้หรือไม่”

นพ.สุพรรณ ยอมรับว่าปัญหาการแทรกแซงการทำงานในระบบข้าราชการที่ผ่านมานั้น เนื่องจากไม่มีการประเมินผลงานที่ชัดเจน โปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่ด้วยโครงสร้างตำแหน่งใหม่ตามกฎหมายใหม่จะทำให้เกิดการส่งเสริมบุคลากร ที่มีคุณภาพ และมีความสามารถได้อย่างแท้จริงและเป็นธรรมมากขึ้น

ตั้งรับ “หมอ” ก่อหวอด-ค้านกติกาใหม่

ทั้งนี้ภายในระยะเวลา 1 ปีระหว่างการเปลี่ยนถ่ายจากระบบเก่าไปสู่ระบบใหม่นั้น ทุกฝ่ายต้องยึดตามหลักการของกฎหมายฉบับใหม่เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งต้องสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับข้าราชการทุกประเภทภายในกระทรวง ให้มากที่สุด เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่าในระยะแรกของการปรับเปลี่ยนสิ่งที่จะสามารถสร้าง ผลกระทบต่อชีวิตการทำงานทั้งหมดของข้าราชการนั้น ย่อมเกิดความไม่เข้าใจและไม่พอใจจากหลายฝ่ายขึ้นอย่างแน่นอน

“สิ่งที่เรากลัวและเชื่อว่าต้องเกิดขึ้นแน่นอน คือเมื่อเราพยายามให้ข้อมูลและทำความเข้าใจกับข้าราชการทั้งหมดของเราแล้ว ก็ตาม แต่บางส่วนย่อมเกิดความไม่พอใจขึ้น ในสิ่งที่เราจะไปปรับเปลี่ยนเขา รวมทั้งบางคนอาจไม่พอใจกับกติกาใหม่”

โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนข้าราชการให้ขึ้นไปอยู่ในระดับ “ผู้ทรงคุณวุฒิ” ต้องระบุบทบาท และหน้าที่ให้ชัดเจน รวมทั้งต้องชี้แจงว่างานด้านใดเป็นงานใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิภายของกระทรวงนั้น ไม่มีการชี้ชัดบทบาทหน้าที่ออกมาชัดเจน ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่จะต้องเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่ ย่อมเกิดคำถามและแรงกระเพื่อมตามมาอย่างแน่นอน...


*************

โวย!ปฏิรูปราชการใหม่
ฝ่ายบริหารเงินดี-สายปฏิบัติการเงินน้อย

การ ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2550 และยกเลิก "ซี" ถือเป็นการปฏิรูประบบราชการพลเรือนครั้งใหญ่ในรอบ 33 ปี มูลเหตุสำคัญ มาจากสถานการณ์การแข่งขันของระบบทุนนิยมที่หลั่งไหลสู่ประเทศไทยอย่างต่อ เนื่อง แฉระบบใหม่เอื้อฝ่ายบริหารเงินดี ส่วนสายปฏิบัติการเงินน้อย

ปรับมาตรฐาน "เงินเดือน" สู้เอกชน

ปรีชา วัชราภัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการ กล่าวว่า เมื่อ ปี 2518 หรือ 33 ปีที่ผ่านมา ส่วนราชการเป็น "แกน" ของการประเมินราคาตำแหน่งและการจ่ายค่าตอบแทนของประเทศอย่างแท้จริง เพราะในช่วงนั้นได้ส่วนราชการเป็นตัวหลักของตลาดแรงงาน ไม่ใช่บริษัทเอกชนเหมือนเช่นปัจจุบัน

แต่วันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปส่วนราชการไม่ได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานกลาง ของค่าจ้างในประเทศอีกต่อไป ดังนั้นจึงได้มีการปรับเปลี่ยน "ระบบจำแนกตำแหน่ง" เสียใหม่เพื่อให้เข้าสถานการณ์ในปัจจุบัน

ในความจริงการปรับระบบราชการครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องระบบจำแนกตำแหน่งเดิม โดยจะมีการยกเลิกมาตรฐานกลางเงินเดือน ที่คนจบปริญญาตรีไม่ว่าจะสายอาชีพไหนก็ต้องเข้ามาเริ่มจาก ซี 3 ไต่เต้ากันขึ้นไป เงินเดือนเท่ากันหมดทุกอาชีพ

"เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ระบบนี้ทำได้เพราะอาชีพข้าราชการเป็นอาชีพที่ไม่มีใครมาเปรียบเทียบเรื่อง เงินเดือน และอาชีพข้าราชการมีแต่คนอยากเข้าทำงาน เพราะเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก"

ภายหลังระบบตลาดเข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีภาคธุรกิจต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งบรรษัทข้ามชาติ โรงพยาบาลเอกชน สถานศึกษาเอกชน ซึ่งทั้งหมดไม่ได้กำหนดเงินเดือนตามมาตรฐานกลางของระบบราชการไทย แต่ภาคเอกชนได้กำหนดเงินเดือนจากภาวะการณ์แข่งขันในภาคธุรกิจประเภทเดียวกัน

"ตัวอย่างโรงพยาบาลเอกชนจ้างแพทย์อัตราที่สูง โรงพยาบาลอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งก็ต้องสู้ราคาที่สูง อาชีพวิศวกรหรืออาชีพอื่น ๆซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานขณะนั้น ก็ต้องมีการแข่งขันและให้ค่าตอบแทนที่สูงในกลุ่มของตนเองด้วย ส่งผลให้ไม่มีใครอยากเข้ารับราชการ ระบบใหม่จึงต้องจัดอัตราผลตอบแทนให้อยู่ในความเป็นจริงของระบบตลาด"

นั่นคือเหตุผลที่ ก.พ.เห็นว่าการยกเลิกระบบ "ซี" จะช่วยให้ระบบราชการสามารถแข่งขันได้กับภาคเอกชนแก้ปัญหาเด็กเส้น-กระจาย อำนาจการบริหารนอกจากนี้ยังมีปัญหาการขยับซี ของซี 9 เพราะระดับซี 9 ตอนนี้มีทั้งรองอธิบดี รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสำนักงานจังหวัด ตลอดไปจนถึงนายอำเภอ กระทั่งระดับหัวหน้าฝ่ายที่อยู่ในระดับ ซี 8 ก็ขยับขึ้นมารอในระดับซี 9 จำนวนมาก ดังนั้นเมื่อทุกคนอยู่ระดับ 9 หมด เงินเดือนเท่ากัน แต่ตำแหน่งงานทำงานไม่เท่ากัน ปัญหาจึงเกิดขึ้นและเกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะมาตรฐานกลางเคลื่อน ระบบนี้จึงไปไม่รอด เพียงแต่จะล้มเมื่อไรเท่านั้น

"ถ้าวันนี้ไม่ปรับตัว ระบบข้าราชการไทยคงจะอยู่ยาก ปัญหาใหญ่เรื่อง งานไม่เท่ากัน แต่เงินเดือนเท่ากัน ใกล้ถึงจุดปะทุ เราจึงพยายามแก้ปัญหาโดยการนำระบบนี้มาใช้"

ปรีชา อธิบายอีกว่า เคยมีการเสนอแก้ปัญหาโดยการขยายซีจากสูงสุดซี 11 ให้ขยายไปถึงซี 13-15 แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป เพราะไม่ได้แก้ปัญหาแท้จริง ทาง ก.พ.จึงได้ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาและพบว่าทางออกที่ดีที่สุดคือต้องมีการ แยกบัญชีหรือแยกหน้าที่การทำงานออกเป็น 4 แท่ง ได้แก่แท่งทั่วไป แท่งวิชาการ แท่งอำนวยการ และแท่งบริหาร

อีกทั้ง ระบบใหม่ยังให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการที่ถูกกลั่นแกล้ง โดยมีการตั้ง "คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม" ซึ่งจะทำให้กระบวนการบริหารงานบุคคลถูกถ่วงดุลด้วยคณะกรรมการนี้ และ พ.ร.บ.ฉบับนี้จะช่วยให้ระบบการตรวจสอบต่างๆมีความคล่องตัวขึ้น โดยเฉพาะหากเกิดการร้องเรียนก็จะสามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น หากอธิบดีบริหารงานบุคคลโดยไม่เป็นธรรมเล่นพรรคเล่นพวก ก็สามารถฟ้องร้องได้

อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังมีการมอบอำนาจกระจายอำนาจในการบริหารงานบุคคลลงไปในกระทรวง 2 ระดับ คือ ปลัดกระทรวงและอธิบดี โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) จะวางหลักเกณฑ์เป็นมาตรฐานให้ปลัดกระทรวงและอธิบดี สามารถกำหนดระดับตำแหน่ง และสายงานของตำแหน่ง โดยวิธีนี้จะสามารถแก้ปัญหาระดับตำแหน่งและความยากง่ายของงานรวดเร็วขึ้น และเป็นความรับผิดชอบของส่วนราชการ ดังนั้นพ.ร.บ.ฉบับนี้ จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในภาครัฐมากขึ้น

4 ปีต่อแผนงานสู่ระบบใหม่

ขณะเดียวกันการเตรียมการที่จะปรับระบบเดิมไปสู่ระบบใหม่ เพื่อให้ระบบราชการสามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้อย่างดีนั้นได้เริ่มมานานถึง 4 ปี โดยริเริ่มมาตั้งแต่คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ดำรงตำแหน่งเลขาฯ ก.พ. สิ่งที่น่าสนใจมากคือ เป็นแนวคิดที่จะใช้การจ้างบริการภายนอกในระบบราชการมากขึ้น การให้บุคคลที่อยู่ในภาคอื่น เข้ามาสู่ระบบราชการได้

โดยระหว่างดำเนินการมีการประชาสัมพันธ์ส่วนที่ดีของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ห้ข้าราชการได้ทราบอย่างต่อเนื่องแต่ยังมีหลายส่วนที่ราชการ เห็นว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังมีปัญหาโดยเฉพาะผลอัตราเงินเดือนของฝ่ายบริหารและฝ่าย ปฏิบัติการ ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แฉฝ่ายบริหารเงินดี-สายปฏิบัติการเงินน้อย

จากการสำรวจความคิดเห็นของข้าราชการตามเว็บไซต์ต่างๆ พบว่า มีข้าราชการจำนวนมากตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวไปในแนวทางเดียวกันว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้มีปัญหามากเกี่ยวกับเรื่องผลของผลตอบแทนและความก้าวหน้าของ งานแต่ละประเภท ซึ่งหากพิจารณากันอย่างจริงจังจะเห็นว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวยังไม่มีความเป็นธรรมเท่าที่ควร เพราะประเภทงานบริหารนั้นมีค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งสูง มาก เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ

เมื่อเปรียบเทียบบกลุ่มงานประเภทวิชาการ จะเห็นว่าแตกต่างกันมาก และประเภททั่วไปนั้นยิ่งแตกต่างกันมากเพราะ ประเภทบริหารระดับต้น เงินเดือนขั้นต่ำ 46,820 บาท เงินประจำตำแหน่งอีก 14,500 บาท และประเภทบริหารระดับสูง เงินเดือนขั้นต่ำเริ่มที่ 61,860 บาท กับเงินประจำตำแหน่งอีก 21,000 บาท ซึ่งผู้บริหารระดับต้นก็คงเทียบได้กับ ซี 6-7-8 ตามระบบเดิม

แต่ถ้าลองเทียบกับกลุ่มงานประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษซึ่งคงเทียบได้กับซี 7 - 8 แต่เงินเดือนขั้นต่ำเริ่มที่ 20,260 บาท และเงินประจำตำแหน่งเพียง 5,600 บาท ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเทียบได้กับซี 10-11 เงินเดือนขั้นต่ำเริ่มที่ 28,980 บาท และเงินประจำตำแหน่งเพียง 15,600 บาท ทั้งๆ ที่ข้าราชการประเภทวิชาการเหล่านี้ล้วนมีการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นอย่าง น้อย และได้ศึกษาในวิชาชีพเฉพาะซึ่งจะต้องนำมาใช้ในการปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ ไม่อาจจะให้ผู้มีคุณวุฒิอื่นปฏิบัติหน้าที่แทนได้ และมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฝ่ายบริหารเท่าใดนัก ตรงกันข้ามถ้าหากส่วนราชการใดขาดตำแหน่งอันเป็นวิชาชีพเฉพาะเช่น วิศวกร นิติกร เภสัชกร ฯลฯ แล้ว ก็่จะส่งผลกระทบไปถึงความก้าวหน้าหรือการขับเคลื่อนไปได้ของระบบราชการ การบริการประชาชน การบริหารประเทศได้

ถ้าลองพิจารณาดูข้าราชการกลุ่มงานประเภททั่วไป จะเห็นว่ามีค่าตอบแทนหรือมีความก้าวหน้าที่น้อยกว่ากลุ่มงานประเภทอื่น เพราะจะเห็นได้จากข้าราชการระดับปฏิบัติงานซึ่งก็คือผู้ที่บรรจุใหม่ เทียบได้กับ ซี 1-4 มีเงินเดือนขั้นต่ำเริ่มที่ 5,460 บาท และถ้าพิจารณาระดับอาวุโส ซึ่งคงเทียบได้กับ ซี 8-9-10 เงินเดือนขั้นต่ำเริ่มที่ 12,730 บาท และไม่มีเงินประจำตำแหน่งเป็นต้น

ดังนั้น หากหน่วยงานใดจัดสรรข้าราชการลงในแท่งต่างๆ ไม่เหมาะสมจะเกิดปัญหาการต่อต้านและทำให้แผนการจัดระบบราชการใหม่ไม่บรรลุ เป้าหมายตามที่ ก.พ.วางไว้


*************

"19 กระทรวง" ถกกลางที่ประชุม ก.พ.
หวั่น พ.ร.บ.ใหม่กระทบ "สิทธิประโยชน์"

ข้า ราชการทุกกระทรวงหวั่นใจ "สิทธิประโยชน์" ถูกกระทบ หยิบยกถกกลางที่ประชุม ด้าน ก.พ.ให้ความมั่นใจ ไฟเขียวเร่งผลิตผลงาน ขอเลื่อนขั้นได้ก่อนจัดลงโครงสร้างใหม่

การพลิกโฉมหน้าระบบข้าราชการจากเดิมไปสู่แนวทางใหม่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่นั้น ต้องยอมรับว่าหน่วยงานที่มีบทบาทในการทำหน้าที่เป็นเสมือน "พี่เลี้ยง" ให้กับ 19 กระทรวงมากที่สุด คือ ศูนย์บริหารการปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคล ที่สำนักงาน ก.พ.จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการทำงานขึ้นที่ ก.พ.และได้ให้การสนับสนุนให้ทุกกระทรวงจัดตั้งศูนย์บริหารการปรับเปลี่ยนฯ ขึ้นภายในกระทรวงทั้ง 19 กระทรวง

โดยศูนย์บริหารการปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคลของ ก.พ.ดังกล่าวนี้จะมีหน้าที่วางแผน กำหนดกิจกรรม ขั้นตอน ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบจำแนกตำแหน่งค่าตอบแทน รวมทั้งทำการประเมินผลและรายงานความคืบหน้า ทบทวน ออกแบบ และปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งเดิม ค่าตอบแทนใหม่ เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใหม่กำหนด ซึ่งในการเปลี่ยนถ่ายจากระบบเดิมไปสู่ระบบใหม่นั้นจะต้องเกิดขึ้นภายในระยะ เวลา 1 ปี

ขณะที่ศูนย์บริหารการปรับเปลี่ยนฯ ประจำแต่ละกระทรวงทั้ง 19 กระทรวงนั้นจะทำหน้าที่ดำเนินการปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคล ในเรื่องการทำมาตรฐานการกำหนดตำแหน่ง ตามโครงสร้างตำแหน่งใหม่ที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 แท่ง รวมทั้งศูนย์ฯ ในแต่ละกระทรวงยังมีหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจแก่ข้าราชการในหน่วยงาน เกี่ยวกับรายละเอียดของ พ.ร.บ..ฉบับใหม่ และต้องรับฟังปัญหา ประสานกับศูนย์บริหารการปรับเปลี่ยนจากส่วนกลาง คือที่สำนักงาน ก.พ. เพื่อให้การประเมินผลการทำงาน ในการปรับเปลี่ยนระบบเดินหน้าไปให้ทันระยะเวลาภายใน 1 ปี

ในการจัดตั้งศูนย์บริหารการปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานทรัพยากรบุคคลนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมจากตัวแทนกระทรวงขนาดใหญ่ ทั้ง 4 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานกลาง และกรมขนาดใหญ่ เช่น กรมสรรพากร กรมส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อระดมสมองหาทางรูปแบบการตั้งศูนย์เพื่อรองรับการบริหารแนวทางใหม่ ซึ่งได้ข้อสรุปที่การจัดตั้งศูนย์ฯดังกล่าว

ล่าสุดเมื่อ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ได้ผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติ เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมานี้ ทาง ก.พ.ได้จัดให้มีการประชุมในระดับปฏิบัติการโดยเชิญตัวแทนจากกระทรวงทั้ง 19 กระทรวง เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2550 ที่ผ่านมา เพื่อให้ทุกฝ่ายรับทราบแนวทางการทำงานหลังจากที่กฎหมายผ่านสภาฯไปแล้วจะ เดินหน้าอย่างไร จากนั้นตัวแทนที่เข้าประชุมทั้งหมดจะกลับไปแจ้งต่อปลัดกระทรวงถึงความร่วม มือระหว่าง ก.พ.กับกระทรวงในการเปลี่ยนแปลงระบบทั้งในเรื่องของการกำหนดมาตรฐาน การกำหนดตำแหน่งต่างๆ การสื่อสาร ทำความเข้าใจระหว่างองค์กร การผลิตเครื่องมือใหม่ๆ เช่นการฝึกอบรมบุคลากรเพื่อเร่งขับเคลื่อนกระบวนการการเปลี่ยนแปลงระบบ ราชการ

โดยการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่จากทั้ง 19 กระทรวงซักถาม ข้อสงสัยต่างๆ ทั้งในเรื่องกฎระเบียบ การทำงาน จากนั้นเมื่อทุกฝ่ายเกิดความเข้าใจและรับทราบแนวทางการดำเนินงานแล้วจะนำไป สู่การทำ ข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่าง ก.พ.กับกระทรวงต่างๆ เพื่อจัดตั้งศูนย์บริหารฯของแต่ละกระทรวงต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมานั้น นอกเหนือไปจากการเปิดเวทีให้ฝ่าย ก.พ.ได้ให้ข้อมูล ชี้แจงทำความเข้าใจถึงกฎระเบียบต่างๆแล้ว ยังพบว่ามีประเด็นที่ตัวแทนจากกระทรวงต่างๆ หยิบยกขึ้นมาสอบถามมากที่สุด ได้แก่ เรื่อง "สิทธิประโยชน์" ที่ข้าราชการเคยได้รับจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่หลังมีการปรับไปสู่โครงสร้างใหม่ ซึ่ง ก.พ.ได้ชี้แจงและให้ความมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบใดๆ เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ข้าราชการบางกระทรวงยังแสดงความกังวลว่าในรายที่ถูกสั่งให้ทำเอกสารประจำ กระทรวงเพื่อปรับระดับนั้น จะสามารถเดินหน้าได้ต่อไปหรือจะให้หยุดชะงักไว้ก่อน ทางด้าน ก.พ.ได้ระบุว่าให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายทำงานดังกล่าวไปได้ และจะให้มีการเลื่อนระดับก่อนที่จะมีการจัดบุคลากรเข้าสู่แท่งต่างๆ ทั้ง 4 แท่งต่อไป


http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000144537

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก