เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพุธ, ตุลาคม 25, 2549

จับตาดูหม่อมอุ๋ยกันให้ ดีๆ !

โดย หมายเหตุผู้ จัดการ 25 ตุลาคม 2549 15:03 น.



หม่อมอุ๋ยหรือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ความ จริงเป็น ตัวเลือกหนึ่งของผู้ ที่จะได้ รับแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว แต่บุญยังไม่ มาวาสนายังไม่ถึงจึง พลาดไปก้าวหนึ่ง

ถึง กระนั้นความ ฝันสูงเทียมฟ้าของราชนิกูลคนนี้ก็ยัง คงคุกรุ่นอยู่ใน ใจ

ถึง แม้จะไม่ได้เป็น นายกรัฐมนตรี แต่ตำแหน่งหน้าที่ก็สูงยิ่งนัก จะเป็น รองก็แต่นายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น

แต่เมื่อดูถึง บทบาทและ เงาร่างของคนผู้ นี้ที่เคลื่อนกายเยื้องย่างใน ห้วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว ก็เห็นได้ ว่ามีบทบาทไม่ได้ น้อยหน้าไปกว่าพลเอกวินัย ภัททิยกุล เลขาธิการคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติแม้แต่น้อย

พวกพ้องของหม่อมอุ๋ยใน วงราชการยัง คงอยู่ใน อำนาจหน้าที่โดยไม่ มีใครโยกคลอนเปลี่ยนแปลง

พวกพ้องของหม่อมอุ๋ยใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่ง ส่อให้ เห็นถึง บทบาททางการเมืองและ เครือข่ายก็พอจะ เห็นได้ ว่ามีอยู่เป็น จำนวนมาก

เราได้ เห็นโยงใยอย่างชัดเจนระหว่างเครือข่ายของพลเอกวินัย ภัททิยกุล และ เครือข่ายของหม่อมอุ๋ยทั้งใน วงราชการ ใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และใน รัฐวิสาหกิจ

เราได้ เห็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มธุรกิจที่เป็น ฐานกำลังทางธุรกิจของหม่อมอุ๋ยมาแต่เดิม ซึ่ง คักคักมีชีวิตชีวาเป็น พิเศษ ด้วยความ มั่นใจว่าหลังเลือกตั้งครั้งหน้าหม่อมอุ๋ยอาจจะ ไปถึง ที่หมายปลายทางคือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ของประเทศไทย

เราก็ได้ แต่แสดงมุทิตาจิตไว้ ล่วงหน้า

และได้ แต่ภาวนาให้ หม่อมอุ๋ยโลดแล่นไปใน เวทีการเมืองอย่างราบรื่น เรียบร้อย ตลอดระยะเวลาปีเศษ ๆ ข้างหน้านี้ ขออย่าได้ สะดุดแข้งสะดุดขาใคร และ ขออย่าได้ สะดุดขาตัวเองล้มลงเสียก่อน
เต่าแม้เชื่องช้ายัง คลานไปถึง ที่หมายได้ สำมะหาอะไรกับ คนที่ว่องไวปราดเปรียวและ พลิกแพลงอย่างหม่อมอุ๋ยจะ ไปถึง ที่หมายไม่ได้ เล่า!

เพราะ เหตุนี้การเคลื่อนไหวของหม่อมอุ๋ยจึง น่าสนใจ น่าจับตามองด้วยความ ปรารถนาดี ดังนั้น หากมีสิ่งใด พอที่จะ แนะนำตักเตือนกันได้หรือ บอกกล่าวกันได้ ก็ย่อมเป็น เรื่องจำเป็น ที่คนไทยจะต้อง ทำ

หากเห็นคำเตือนเป็น แก้ววิเศษตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็ขอขอบคุณ แต่หากเห็นคำเตือนเป็น สิ่งที่ขยะแขยงแบบเดียวกับ นายทักษิณแล้ว ก็ช่วยไม่ได้

เพราะ สำหรับผู้ เตือนย่อมไม่ อาจหวังที่จะเป็น ดังแก้ววิเศษหรือเป็น สิ่งขยะแขยง ขอเพียงให้ คำเตือนนั้นเป็น ไปเพื่อประโยชน์และความ สุขของมหาชนก็เป็น อันใช้ได้แล้ว

เพราะ เหตุนี้เราจึง จำเป็น ที่จะต้อง เตือนและให้ จับตามองการขับเคลื่อนของหม่อมอุ๋ยสักครั้งหนึ่ง เอากัน แค่เบาะ ๆ สัก 2-3 เรื่อง

เรื่องแรก คือเรื่องการจัดเก็บภาษีจาก การขายหุ้นกลุ่มชิน ซึ่ง เจ้าหน้าที่ใน กรมสรรพากรและ อีกหลายคนได้ ร่วมสมคบกันช่วย หลีกเลี่ยงภาษี

มีการทำความ ผิดตามกฎหมายอย่างชัดเจน เพราะ กรณีเช่นเดียวกัน นี้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีซึ่ง มีอำนาจวินิจฉัยให้ ผูกพันกรมสรรพากรและ เจ้าหน้าที่สรรพากรทุกคนเคยวินิจฉัยไว้แล้ว ว่า การได้ มาซึ่ง หุ้นนั้นจะต้อง คำนวณเงินได้ พึงประเมิน ณ วันเวลาที่ได้ มา

เป็น คำวินิจฉัยที่ผูกพันตามกฎหมายและ มีผลบังคับให้ต้อง ปฏิบัติ จะ แก้ไขได้ ก็แต่โดย ออกกฎหมายใหม่ หรือให้ คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีวินิจฉัยใหม่

แต่เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรกลุ่มนั้นช่วย โกงภาษีดื้อๆ โดยไม่ เคยแก้ไขกฎหมายและโดยไม่ เคยเสนอให้ คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีเปลี่ยนคำวินิจฉัยใหม่
ช่วย โกงกัน ดื้อๆ โดย วินิจฉัยเอาเองว่าไม่ต้อง เสียภาษี

คนพวกนี้ควรจะต้อง ถูกโยกย้ายออกไปจาก หน้าที่ แต่หม่อมอุ๋ยกลับไม่ ทำ และ สนับสนุนให้อยู่ใน ตำแหน่งหน้าที่ต่อไป พร้อมกับช่วย แก้ตัวให้ด้วย ว่าไม่ใช่ผู้ ที่เกี่ยวข้องใน การโกงภาษีรายนี้ และยัง พูดกันไว้ด้วย ว่าคงจัดเก็บภาษีได้ ยาก

เรายืนยันว่ามีการทำผิดกฎหมายและ กรมสรรพากรมีอำนาจเรียกเก็บภาษีได้ การแก้ตัวของหม่อมอุ๋ยใน ครั้งนี้มีความไม่ ปกติอย่างยิ่ง ซึ่ง จำเป็น ที่ทุกคนจะต้อง เพ่งจับตามองให้ ดี

ว่านี่คือปรากฏการณ์ซูเอี๋ยเพื่อทำให้ไม่สามารถ จัดเก็บภาษีได้หรือไม่

เราเตือนว่าเรื่องนี้ไม่ จบง่ายๆ หรอก! หากช่วย โกงกัน ต่อไปเรื่องนี้คงจะ หลอกหลอนใครต่อใครไปจนหมดอายุความ นั่นแหละ

เรื่องที่สอง คือเรื่องศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ที่ให้ บริษัทใน สังกัดกรมธนารักษ์ไประดมทุนจาก ทุนการเมืองมาใช้ใน การก่อสร้าง ซึ่ง เราเคยเปิดเผยมาครั้งหนึ่งแล้ว ว่ามีเรื่องโกงมหาโกงอยู่ใน โครงการนี้

ก็ขอบอกให้ รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ ทราบอีกสักครั้งหนึ่งว่าโครงการนี้ลงทุนด้วย เงินเพียงประมาณ 13,000 ล้านบาท แทนที่กรมธนารักษ์จะ ลงทุนเองกลับไปให้ บริษัทลงทุน โดย ระดมทุนจาก กลุ่มการเมืองต่างๆ จากนั้น ก็ให้ส่วน ราชการทำสัญญาเช่าผูกพันถึง 30 ปี คิดเป็น ค่าเช่าถึง 86,000 ล้านบาท

ทุกส่วน ราชการต้อง ถูกผูกพันด้วย ค่าเช่าราคาแพง คือทั้ง ค่าเช่า ค่าสารพัด ตกตารางเมตรละ 460 บาท แพงยิ่งกว่าค่าเช่าสำนักงานบนถนนสีลมและ ผูกพันนานถึง 30 ปี

เมื่อดำเนินการโดย บริษัท จะ โกงกัน อย่างไรก็ทำได้ ตามใจชอบ แต่ทางราชการจะต้อง ผูกพันจ่ายค่าเช่าถึง 86,000 ล้านบาท เกินกว่าเงินลงทุนถึง 73,000 ล้านบาท

โครงการดีๆ อย่างนี้ทำไมกรมธนารักษ์จึงไม่ ทำเสียเอง? ดังนั้น เพื่อประหยัดเงินแผ่นดิน เราจึง เรียกร้องให้ รัฐบาลโดย เฉพาะหม่อมอุ๋ยรีบจัดการเรื่องนี้ใน ทันที

เราจะ ติดตามผลประโยชน์ของประเทศชาติ 73,000 ล้านบาท ไม่ให้ ถูกฉ้อฉลโดย วิธีการแบบนี้ต่อไป

เรื่องที่สาม คือเรื่องบุคลากรที่เป็น ลิ่วล้อทรราชใน สังกัดและ เครือข่ายของกระทรวงการคลัง

เราได้ พบว่าการแต่งตั้งโยกย้ายคราวนี้ไม่ ระแคะระคายคนพวกนี้เลย ที่ถูกโยกย้ายมีแต่พวกข้าราชการซึ่งไม่ รู้อีโหน่อีเหน่แต่ประการใด

ใครไม่ รู้ก็ดูเหมือนว่ามีการสะสางเครือข่ายอำนาจเก่าใน กระทรวงการคลังแล้ว อะพิโธ่อะพิถัง มันแค่กระบวนการแหกตาเท่านั้น !

อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่ รู้ทัน หากยัง หวังอนาคตที่สดใส ก็ควรกลับใจกลับตัวให้ ทันท่วงที อย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลย!

หมายเหตุผู้จัดการ

วันอังคาร, ตุลาคม 24, 2549

อารมณ์กลอนเมื่อผ้าโพกหัวสีเหลืองเกลื่อนมือง

ความคิดเห็นที่ 22

vbomoom

เบา-เบาหน่อย ค่อยร่อน ส่งกลอนเพราะ
ช่างฉอเลาะ สอิ้งสร้อย ร้อยกรองศิลป์
อ่านเบา-เบา เขาว่า ด่าจนชิน
กลอนใต้ดิน ดิ้นสดิ้ง ก็ยิ่งดี

มาเหลาะแหละ แคะคุ้ย มาถุยทุด
สรยวย หัวคุด ยังมุดหนี
สนธิ-ใส่อารมณ์ถล่มที
สมัครสาก กะเบือถี่ ตีพริกแกง

ล้วนสะเด็ด เผ็ดมัน สะบั้นแหลก
มีผันแผก แดกดัน พวกพันธุ์แผลง
ค่อยรอด-รู รู้จังหวะ จะแสดง
กลอนก็แปลง แถลงการณ์-สันดานคน

จะกล่าวกลอนตอนต่อหญิงหน่อหนึ่ง
มาหน้าบึ้งบูด-บูด พูดสักหน
สุดารัตน์ เรียกขาน เธอมารชน
เธอเคยบ่น เรื่องรอ หลงหอบิน

เธอจึงเป็นนางประแดะที่แคะคุ้ย
ซ้ำขี้คุยลุยงับ-ให้ยับสิ้น
ว่าชีวิต จะสละ ละชีวิน
ประชาธิป-ไตย ชิน.ชิน กินจนตาย

เหม่.โมโห..พันธมิตรประชิดพรรค
ศึกก็หนัก อกหน่อยใจพลอยหาย
เหลี่ยมมาพรากืจากเมือง-ทุกเรื่องกลาย
พรรควอดวายแล้วหนอ-หน่อยรอใคร

จะกลับบ้าน กกลูก-ผูกเปล กล่อม
เรื่องกลุ้มกลุ้มหน่อยยอม พร้อมยกให้
ให้สามีของหน่อยคอยปลอบใจ
ส่วนเรื่องพรรค พังไป-หน่อยไม่แคร์

vbomoom

6 Oct 2549
vbomoom




ความคิดเห็นที่ 21

ให้อาจารย์จงมีกำลังใจ
ให้คุณใจมีใจให้เหมาะสม
ขอให้ใจไม่เถื่อนเปื้อนโคลนตม
อย่าฉกฉวยอาจมมาอมกิน

อาจารย์ใจใจถึงซึ้งจริงเจ้า
ใจใหญ่เท่าคอห่านตะพานหิน
ใว้ชักโครกโกรกกรากทรากเกาะกิน
จึงใจจินต์ ยินดี กินขี้ควาย

ใจหนอใจ ใยจึง อึ๊งภากรณ์
ใจสู่ใจใครอ้อนว่านอนง่าย
เสียสกุลรุนชาติพลาดวอดวาย
ฉวยโอกาสเอียงซ้าย-เป้าหมาย " ดัง "

vbomoom
vbomoom




ความคิดเห็นที่ 20

เกิดเป็นหน่อยคอยรอบนห่อเหลี่ยม
ต้องตระเตรียมตัวใหม่ให้สะสวย
ไม่เห็นโลงหลั่งน้ำตาหาตะบวย
หน่อยแต่งตัวสวย-สวย ยังรวยเงิน

จึงกู้หน้าหาเงินเพลินจนพลบ
หน่อยจึงหลบนิดหน่อยเพราะหน่อยเขิน
นี่จะสู้ สู้อีกที หาที่เดิน
หน่อยบังเอิญหลงหอหวังรอนาย

โอ้หน่อยเอ๋ย..หน่อยหอ จะรอรุ่ง
ถึงวันพรุ่งยุ่งเหยิงเหลิงเหลือหลาย
แม้นไม่สู้รูไม่มีให้หนีตาย
หน่อยหมดอายคล้ายหนาคนหน้า..ทน

vbomoom 4 Oct 2549lllllllllllllllllllll
หน่อยหอรอรัก
vbomoom




ความคิดเห็นที่ 19

เสียดายปลูกลูกไม้หล่นไกลต้น
เสียดายฝนตกลงตรงหุบผา
ไม่สาดฝนหล่นไปในท้องนา
น้ำไหลบ่าท่วมหลากจึงพรากไพร

ชื่อว่าใจ นามสกุลอึ๊งภากรณ์
ทั้งรูปทรงองค์สุนทรสมสมัย
แต่ใจล้นเชี่ยวกราก ล้นจาก"ใจ"
จึง"ใจ"ทำสิ่งใดไม่คิดควร

มีรู้ทันทรราชย์ ทำกราดเกรี้ยว
ประชาธิปไตย เพียงเสี้ยว อันเรียวด้วน
มันจึงกุม อุ้มฆ่า ประชามวล
อีกฉ้อฉล กินอ้วน ม่วนแต้มัน

เหตุไฉน "ใจ" จึง ไม่พึงคิด
ฤาว่า"ใจ" ดัดจริตตามคิดฝัน
ยามประชาเรียกหา มาไม่ทัน
ครั้นนักรบ ปราบมัน "ใจ"ดันมา

มาทำไม"ใจ"เอ๋ย เลยไปเถิด
อย่าละเมิดส่วนดีอันมีค่า
ที่เขาทำ ใช่ทำ ตามตำรา
แต่ด้วยรัก ราชา ประชาชน

แม้"ใจ"หวัง ตั้งต้น บันดลสิทธิ์
"ใจ"เจ้าอย่า ดัดจริต ผิดเหตุผล
ทรราชย์ แห่งอดีต ล้วนพิษกล
"ใจ"ใยหวัง วังวน เป็นคนเลว

ด้วยมิตรภาพแด่ " ใจ อึ๊งภากรณ์" - นักวิชาการไร้เดียงสา
vbomoom
( 3 ตุลาคม 2549)
vbomoom




ความคิดเห็นที่ 18

ทั้งสมศักดิ์ ภูมิธรรม และโภณ
อลวน อลเวง บรรเลงปี่
ผสมขลุ่ย ซอซึง เสียงซึ้งดี
น้ำตาปรี่ เปลี่ยนแปลง จำแลงพรรค

ว่าโอ้.โอ๋ ท.ร.ท หนอจะล่ม
ดูคลื่นลม โหมพัด จะซัดหนัก
กรรมที่ก่อ ต่อแต่นี้ มีชนัก
มันจะปัก หลังไว้ หลบไม่พ้น

จำเหล่ามาร พาลชน คนเงินเยอะ
คงเปลี่ยนแปลง รอยเปลอะ พวกเคยปล้น
ทั้งคราบเลืด อุ้มฆ่า ประชาชน
ทั้งตัดตอน ฆ่าคน ชนชาวไทย

จะถูดยึด อายัด กำจัดทรัพย์
เอาคืนกลับ เมืองสยาม สุดห้ามได้
ต้องหลบหน้า สักหน่อย จึงค่อยกลาย
ไทย-ลัก-ไทย ลายจำหลัก พรรคโขมย

จักคืนคอยเวลามาคืนแค้น
หรือจะแล่น หลบซ่อน ตอนหิวโหย
รอประชา ราแรง จึงแกล้งโวย
กลับมาร่วม สวมโพย แทรกการเมือง

ต่อวันนี้ โสภณ คนหัวเถิก
ภูมิธรรมเล่า นึกเลิก เพิกถอนเรื่อง
ซาฟารี ตอผุด สุดขัดเคือง
พวกที่เชื่อง กลับฉุด เรื่องทรุดโทรม

น้ำตาริน โอดตะเลง เสียงเต่งตุม
สามขันที หนี้กลุ้ม สุ่มไฟโหม
ไปเลียแผล แก้เพี้ยน เปลี่ยนจีโนม
ลอบเปลี่ยนพรรค เปลี่ยนโฉม "นางโลมงอม"

ด้วยมิตรภาพแด่ภูมิธรรม-สมศักดิ์-โสภณ

vbomoom
3rdlllllOctlllllllll06llllllllll
vbomoom




ความคิดเห็นที่ 17

มันปากมอม-ปากหมาไม่กล้ารับ
ไม่อาจนับว่าผู้ชาย ใจกายแกร่ง
มันเป็นเพียง เลี่ยงล่อ พวกรอแรง
เพื่อเสริมแต่ง เลียนาย ด้วยหมายเงิน

มันดูหมิน ศาลสถิตยุติธรรม
มันพูดนำ คำไว้ โดยไม่เขิน
ว่ามีธง แถวทิว โบยปลิวเพลิน
มันประเมิน ประมาท อำนาจตุลย์

ทั้งที่มัน เป็นคน เรียนกฏหมาย
แต่เสียดาย กายใจ ไพร่สถุน
มิรู้ค่า สูงฉัตร จำรัสคุณ
ที่เหนือเกล้า โปรดอุ่น เอื้อประชา

จึงจาบจ้วง ล่วงคำ ทิ่มตำศาล
มิรู้จัก เจียมกบาล พาลเหมือนบ้า
ไปสุมหัว ทรราชย์ ก่ออาชญา
ไม่เคารพ ราชา ภัทราชน

จึงสมควร ให้ตาราง ใส่ร่างชั่ว
กักมันไว้ มิให้มั่ว ชั่วฉ้อฉล
ดัดสันดาน พาลจิต ผิดผู้คน
เลิกสามหาว กล่าวก่น จนเกินตัว

มอบแด่ทนายแม้ว-เตรียมตัวนั่งตะราง

( ๒ ตุลาคม ๒๕๔๙ )
vbomoom
vbomoom


วันอาทิตย์, ตุลาคม 22, 2549

อสมานฉันท์ (5)

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑

เดินอยู่คนละที่
ดีกันคนละทาง
เห็นเป็นคนละอย่าง
ต่างไปคนละมุม

รวมจึงกลายเป็นแบ่ง
แย้งกันทีละกลุ่ม
ร้อนจึงเร้าระรุม
สุมสะท้านในทรวง

ถูกกลับกลายเป็นผิด
คิดแล้วน่าเป็นห่วง
ดาวดับทีละดวง
ร่วงหล่นฟ้าละลาน

ดินกลางดงคนดิบ
หยิบเอาขึ้นมาหว่าน
สอดเป็นสร้อยสะพาน
สานต่อท่ออธรรม

เจ็บที่ไม่รู้จัก
รักจึงโลดถลำ
มึนจนหัวคะมำ
กรรมอีกแล้วละกู

หลุดจากอุ้งมือมาร
พาลมาเจอตาอยู่
เห็นสมบัติศัตรู
ดูอยากผลัดกันชม

ปฏิรูปไม่เสร็จ
เอ็ดอึงปฏิล่ม
ผลัดธนานิยม
ชมอำมาตย์อาชญา

ปาก - ประชาเป็นใหญ่
ใจ - เห็นเป็นขี้ข้า
บ้างไม่ขัดศรัทธา
ก็คว้าสนองกำนัล

เด็ดเอามาประดับ
จับเป็นตัวประกัน
เห็นไหมเทพสวรรค์
ปั้นหน้าเรียงสลอน

คราบสุภาพบุรุษ
หยุดเพราะเกลือเป็นหนอน
ขืนให้ตกตะกอน
พรจะกลายเป็นพิษ

เด่นจะกลายเป็นด่าง
กร่างจะมาสวมสิทธิ
สาปจะรุมทั่วทิศ
ผิดจะมาจนครบ

ปล่อยชงเองกินเอง
เกรงจะไม่สงบ
เมืองจะเรืองแนวรบ
หลบอย่างไรไม่พ้น

เพราะไม่หยุดที่อยาก
ลากกันมาแต่ต้น
ขุ่นจึงเคล้าระคน
ปนกับแค้นคาเคือง

เครียดจะกลายเป็นคลั่ง
ทั้งเสื้อฟ้าเสื้อเหลือง
กังสดาลงานเมือง
เปลืองและเปล่าปลี้ไป.

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
ชารี

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 19, 2549

ใครจะชนะสงครามแย่งประชาชน: ระบอบทักษิณหรือประชาธิปไตยอันมีมหากษัตริย์เป็นประมุข

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 17 ตุลาคม 2549 15:54 น.

เข้าใจระบอบทักษิณ

การยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 มิใช่อวสานของระบอบทักษิณเป็นแต่เพียงความสำเร็จในการปลดทักษิณออกจาก ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ระบอบทักษิณ มิได้ประกอบด้วยตัวตนของทักษิณเท่านั้น ยังประกอบด้วยระบบย่อยต่างๆ ทั้งที่เป็นระบบความคิด ระบบพฤติกรรม ตลอดจนโครงสร้าง องค์ประกอบหรือกลไกของระบบต่างๆ มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ระบบราชการ ระบบเศรษฐกิจประชานิยม ระบบการปกครองท้องถิ่น และระบบจัดตั้งของอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในรูปแบบต่างๆ เช่น สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน สโมสรหนึ่งเก้า ชมรมและสหกรณ์ต่างๆ ฯลฯ รวมทั้งมวลชนหรือกลไกคู่ขนานของระบบนั้นๆ

เครือข่ายหรือระบบย่อยของระบอบทักษิณนี้ยังเข้มแข็งเหนียวแน่นอยู่ ถึงแม้พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ หรือผู้แทนของพรรคไทยรักไทยแตกพรรคหนีไป หรือถูกห้ามมิให้เล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ระบบต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังเหลืออยู่ และยังมีโอกาสเติบโตต่อไป

ระบบเหล่านี้ต่างหากคือความเข้มแข็งและกำลังของระบอบทักษิณ และมีความสำคัญยิ่งกว่า ส.ส.ซึ่งเป็นเพียงนักเลือกตั้ง ที่เปลี่ยนไปมาตามแก๊งเลือกตั้ง ต่างๆ แบบ “ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ” แล้วแต่กฎเกณฑ์และสถานการณ์การเมืองในขณะหนึ่งๆ ในกรณีรุนแรงที่สุด ซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก คือ ส.ส.เก่าทั้ง หมดไปเพราะต้องห้าม ไม่เป็นการยากที่จะเลือกผู้สมัครใหม่ล้วนๆ เอาไว้สมทบกับอดีต ส.ส.เก่าที่แยกย้ายเพื่อรวมกลุ่มกันทีหลังเมื่อถึงยุค “มหาประชาชัย”

พรรคไทยรักไทยมีสโลแกนว่า “ไทยรักไทยหัวใจคือประชาชน” คำขวัญนี้มิใช่ political rhetoric ธรรมดา หากมีการตอกย้ำตามทฤษฎีเรียนรู้ Pavlovian Learning Theory ด้วย คำถามที่เป็นรูปธรรมว่า (ในอดีตและปัจจุบัน) ใครคือผู้ให้แก่ประชาชนมากกว่ากัน เพื่อที่จะให้ได้คำตอบที่เป็นหลักคิดว่าประชาชนได้รับจากใครมากที่สุด ประชาชนก็ต้องจงรักและตอบแทนผู้นั้นมากที่สุด

ความสำเร็จของประชานิยมนั้นขึ้นอยู่กับมาตรการระยะสั้นที่ให้ความติดใจทันที (immediate gratification) บวกกับลัทธิบูชาผู้นำ (cult of personality) ถ้าสองสิ่งนี้ถูกทอนอายุให้สั้นลง ก่อนที่ประชาชนจะมองเห็นความล้มเหลวและเสื่อมศรัทธาลงเองในระยะยาว ประชานิยมมักจะตีโต้เอาชัยชนะกลับคืนมาได้เสมอ และใช้เวลาไม่นาน

โอกาสที่ประชานิยมจะกลับมาไม่สำเร็จมีน้อยมาก เพราะในระยะข้ามผ่านหรือจุดเปลี่ยน รัฐบาลที่ตกอยู่ใต้อำนาจของชนชั้นสูงมักจะมีลักษณะอืดอาด อึดอัดและถือตัว เข้าไม่ถึงและไม่สามารถให้ความติดใจทันที (immediate gratification)และความเป็นธรรมแก่ประชาชนพร้อมๆ กันได้ ซ้ำจะมีเหตุให้เกิดความแปลกแยก (alienation) กับปัญญาชนและชนชั้นกลางได้สูง

โฉมหน้าของสงครามแย่งชิงประชาชนระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบประชาธิปไตยจะ เป็นอย่างไรย่อมขึ้นกับยุทธศาสตร์ยุทธวิธีและการจัดตั้งของคู่ต่อสู้ทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐ (บาล) กับฝ่ายทักษิณ

การจัดตั้งของทั้ง 2 ฝ่ายมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่เป็นหลักๆ อะไรบ้าง เพราะชัยชนะในสงครามประชาชนขึ้นกับความสามารถในการใช้จุดแข็งของตนไปสยบจุด แข็งของฝ่ายตรงกันข้าม และใช้จุดอ่อนของฝ่ายตรงกันข้ามให้ทำลายตนเอง

- ขณะนี้จุดแข็งของฝ่ายรัฐมีอะไรบ้างที่เป็นหลัก ตอบได้ว่าคืออำนาจรัฐ

- จุดแข็งของฝ่ายทักษิณเล่าคืออะไร ตอบได้ว่าคือหลักคิดและมวลชนจัดตั้ง และองค์กรอำพราง

- ส่วนจุดอ่อนของรัฐบาลนั้นคือการขาดหลักคิด และไม่สามารถจัดการกับมวลชนของทักษิณ ซึ่งยังแฝงตัวอยู่ในกลไกของระบบต่างๆ อย่างเป็นปกติสุขได้

- สำหรับจุดอ่อนของทักษิณ คือวิบากกรรมของทักษิณเอง การขาดอำนาจรัฐ และข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว (ชั่วคราว)

ในการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่ายนี้ยังมีปัจจัยที่ 3 คือแรงบีบและแรงดึงจากต่างประเทศอีกด้วย เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ นอกจากจะสรุปว่าฝ่ายที่ได้เปรียบคือฝ่ายทักษิณ

สรุป : จุดจบของรัฐบาลมิใช่จุดจบของระบอบทักษิณ

เข้าใจการยึดอำนาจ

การยึดอำนาจครั้งนี้ไม่มีคำเรียกอยู่ในปทานุกรมการเมือง เพราะเป็นการยึดที่ต่างจาก การยึดอำนาจ การรัฐประหาร การปฏิวัติ หรือ coup d' etat หรือ power seizure ในอดีต แต่อาจจะสงเคราะห์เรียกได้ว่า coup de grace คือการทำให้ตายโดยเฉียบพลันเพื่อให้พ้นความทรมาน หรือการปลดรัฐบาลอย่างฉับพลัน โดยปราศจาก violence แต่ถึงกระนั้นภาพหลอนของ military junta ก็จะตามมาทำลายประสาทฝ่ายรัฐและประชาชนผู้รักประชาธิปไตยอยู่ไม่วาย

บรรดาชนผิวขาวชาวต่างประเทศที่หยิ่งในความเหนือกว่าของวัฒนธรรมตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสื่อ ปัญญาชน หรือผู้นำรัฐบาล รวมทั้งนักวิชาการบริสุทธิ์หรือปัญญาชนหอคอยงาช้างเมืองไทย ก็จะมองเห็นเหมือนกันว่านี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทหารทำลายประชาธิปไตยไทย โดยมองไม่เห็นว่า ภาคประชาชนและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ต่อสู้ขับไล่เผด็จการของ ระบอบทักษิณอย่างไม่ลดละมาเป็นเวลาปีเศษแล้ว ในที่สุดก็ได้พึ่งบารมีของในหลวง และกำลังใจจากพลเอกเปรม ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทัพบกตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ ทักษิณจะทำการยึดอำนาจและปราบประชาชนด้วยกำลัง

ทักษิณได้ทำลายประชาธิปไตย บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ สถาบันนิติบัญญัติ สิทธิมนุษยชน ระบบราชการและกลไกในการถ่วงดุลตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องมาก ว่า 5 ปี จนเกือบจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากสัญลักษณ์อย่างเดียวคือการเลือกตั้ง

การโค่นล้มระบอบทักษิณโดยการสำแดงกำลัง (implied force) ครั้งนี้มิใช่การใช้กำลัง (violent overthrow of government by military force) ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว ที่กระทำได้และประสบความสำเร็จเพราะสมการดังต่อไปนี้

P+K+S+Aได้แก่ อำนาจของประชาชน P+บารมีของในหลวง K+ กำลังใจจากรัฐบุรุษเปรม S+ กองทัพบก A ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นขบวนการที่มีส่วนร่วมและองค์ประกอบหลายฝ่าย มิใช่ ปรากฏการณ์ อัศวิน ม้าขาวของฝ่ายทหารแบบข้ามาคนเดียว พลเอกสนธิเป็น ผู้ที่เข้ามาในวินาทีสุดท้ายเพื่อลงมีดผ่าตัด ในห้องที่เตรียมไว้พร้อมสรรพทั้งระบบไฟ หมอดมยา ยาดม คณะแพทย์ พยาบาล และมีดผ่าตัดเป็นชุด คนเดียวจะมีความหมายอะไร ถ้าไม่มีการต่อสู้มาเป็นปี

อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการ 19 กันยายนนี้ เกือบจะเหมือนกับ 24 มิถุนายน 2475 ในเรื่ององค์ประกอบ และการฉวยจังหวะปฏิบัติการ ต่างกันแต่ว่าผู้ที่มีส่วนร่วมกันทุกฝ่ายขาดความเป็นเอกภาพ และมองไม่เห็นว่า นี่คือโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งที่ 2 ซึ่งมีโอกาสดีกว่าครั้งแรก ที่จะพัฒนาไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้ จริง ภายใต้ร่มพระบารมี เพราะภาคประชาชนมีวุฒิภาวะทางประชาธิปไตยสูงขึ้นมาก กลุ่มขุนนางกับชนชั้นนำ (นอกจากบริวารทักษิณ) ไม่มีความขัดแย้งกับพระมหากษัตริย์ อุปสรรคมีอยู่เพียง 2 อย่าง คือ ระบอบทักษิณยังไม่ตาย และกรอบความคิดเก่า(old paradigm)ของหุ้นส่วนระหว่างชนชั้นนำกับขุนนางทหาร ที่ยังไม่ยอมปรับตัวไปสู่กรอบความคิดใหม่ (New Paradigm)

สรุป: กรอบคิดเก่าหลงว่า 19 กันยายน 2549 เป็นการยึดอำนาจ ประพฤติตนเป็นแบบนักยึดอำนาจ (old style military junta) ความเสี่ยงที่จะถูกกวาดล้างยึดอำนาจคืนมีสูง เพราะจะขาดภูมิคุ้มกันจากมวลชนและพลังประชาธิปไตยก้าวหน้า

เข้าใจการจัดตั้งรัฐบาล

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปัจจุบันคือกรอบคิดเก่าขนานแท้และดั้งเดิม ซึ่งมี 39 มาตราเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก 2475 แต่ล้าหลังกว่ามาก และเป็นเผด็จการมากกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะตรึงรัฐบาลไว้กับกรอบความคิดเก่า แวดล้อมด้วยบุคคลเก่าๆ และไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติของความขัดแย้ง(contradiction)ในระบบการเมือง ไทยได้ เว้นเสียแต่ว่านายกรัฐมนตรีเฉพาะกาลจะใช้มาตรการทางบริหารและการเมืองตาม กรอบความคิดใหม่เข้ามาแก้ โดยจัดตั้งรัฐบาล สภานิติบัญญัติ และสมัชชาแห่งชาติ ให้สอดคล้องและรับใช้ความเป็นจริงทางการเมือง

ความเป็นจริงทางการเมืองนั้นก็คือ การต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐกับฝ่ายทักษิณกำลังดำเนินอยู่ในรูปแบบของสงครามแย่งชิงประชาชน

ซึ่งถ้าหากยังดำเนินไปตามแนวโน้มที่มองเห็นอยู่ขณะนี้ ทำนายว่าระบอบทักษิณจะเป็นฝ่ายชนะ และใช้เวลาไม่นาน

รัฐบาลหมายรวมถึง ครม. สภานิติบัญญัติ และองค์กรจัดตั้งตามรัฐธรรมนูญ

สูตรและองค์ประกอบของการจัดตั้งรัฐบาลที่จะล้มเหลว ได้แก่สูตร EKG

EKG มิใช่วิธีตรวจหัวใจ แต่เป็นสมการอำนาจระบบเก่า ประกอบด้วย

E = Elite หรือ Establishment K= King หรือ Monarchy

G = Government

ต่างฝ่ายต่างก็กำนัลกันด้วยคำหวานว่ามีความผูกพันกันลึกซึ้ง และพูดจาเข้าใจกันดี ความจริงมิใช่ เพราะสายสัมพันธ์และการสื่อสารกันเป็นแบบเข้าๆ ออกๆ เหมือนจุดลูกน้ำ..........มีช่องว่างและช่องโหว่ให้สอดแทรกเข้าไปได้ แอบอ้าง และหลอกลวงกันได้ มิใช่ความสัมพันธ์เป็นเส้นทึบที่แนบแน่น และทำนายได้ predictable

เราจะต้องเปลี่ยนสมการจาก E+K = G มา เป็น P+E+K= G จึงจะสู้ระบอบทักษิณได้ P = People ซึ่งบัดนี้มิใช่ประชาชนธรรมดาที่ Marx ดูถูกว่าเป็น potatoes in the sack of potatoes แต่เป็น informed citizen coalition ประกอบด้วยประชาชน+NGO+ปัญญาชนผู้ประกอบวิชาชีพ+สื่อเสรี

อย่าลืมข้อเท็จจริงว่า E คือ ตัวอุปสรรคทำให้บารมีที่แท้จริงของ K ไปไม่ถึงประชาชน K เพียงถูกแอบอ้าง และจะถูกตำหนิในความผิดพลาดของ E ทั้งๆ ที่ K ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย เพราะอะไร

เพราะวัฒนธรรมการเมืองไทย ไม่เปิดโอกาสให้ สายสัมพันธ์หรือการบังคับบัญชา command line กับการสื่อสาร communication ระหว่าง K กับ E หรือ K กับ G หรือแม้แต่ K กับ C (Privy Council) ลื่นไหลเป็นกิจวัตร จนกลายเป็นเส้นทึบ คงเป็นเพียงเส้นแบบจุดไข่ปลาแบบนี้ K......E, K.......G, K......C จึงถูกแทรกแซงทะลุออกทางช่องว่างและรูโหว่ระหว่างจุดต่างๆ มาโดยตลอด นั่นก็คือ การแอบอ้าง บิดเบือน หลอกลวง ขู่เข็ญ ในนาม K โดย K ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือแก้ตัวใดๆได้เลย แม้พระบรมราชวินิจฉัยและพระราชอำนาจตามจารีตประเพณีที่แท้จริงก็ถูกนำมาบิด เบือนและครอบงำ หากไม่สามารถเปลี่ยนจุดไข่ปลาเป็นเส้นทึบได้ ก็จะเกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด อึมครึม ขาดความโปร่งใสและผิดพลาดบ่อยๆ

เส้นทึบได้แก่ สายสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องถูกต้องและเป็นทางการ Command Line และระบบสื่อสาร Communication ที่ Clear, Legitimate และ Predictable เส้นทึบนี้ รัฐบาลไม่มี แต่ทักษิณมีเต็มไปหมด โดยใช้ผลประโยชน์และหลักคิดร่วมเป็นเครื่องมือ

สรุป: การจัดตั้งรัฐบาลถ้าหากใช้สูตร EKG จะขาดพลังและพ่ายแพ้ทักษิณ ต้องใช้สูตร PEKG และในตัว P ควรมีเทพบุตรมารที่รู้เกมทักษิณอย่างแจ้งจบด้วยชาติและราชบัลลังก์จึงจะ ปลอดภัย

เข้าใจการต่อสู้

การต่อสู้ครั้งนี้พลเอกสายหยุด เกิดผล วิเคราะห์ว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยที่แท้จริงกับประชาธิปไตยรวมศูนย์

ถ้าเป็นเช่นนั้น เราเสียเปรียบ 2 ต่อ เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงเรายังไม่มี แต่ประชาธิปไตยรวมศูนย์มีแล้ว คือระบอบทักษิณ

รัฐบาลต้องแบกน้ำหนัก 2 เท่า คือต้องสู้กับระบอบทักษิณ และต้องสร้างประชาธิปไตย แถมยังมีตัวถ่วงเดิม คือระบบราชการที่ผุพัง

สงครามที่สู้กันคือสงครามแย่งชิงประชาชน มียุทธศาสตร์หลัก ขึ้นอยู่กับกุญแจ 2 คำ คือ Information กับ Mobilization

แต่สงครามแย่งชิงประชาชนครั้งนี้แปลกกว่าทุกครั้ง และเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก คือ ฝ่ายที่โค่นล้างรัฐบาลได้เปรียบมี legitimacy ภายนอกมากกว่า มีฐานที่มั่นในประเทศมากกว่า มีเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสารมากกว่าและดีกว่า มีฐานมวลชน (mass base) ที่จะระดม (mobilize) ได้กว้างกว่า สิ่งที่ทักษิณเสียเปรียบคือไม่มีอำนาจรัฐ แต่ถ้าหากรัฐบาลไม่สามารถใช้อำนาจรัฐทำลายความได้เปรียบของทักษิณ อีกไม่นานทักษิณก็จะได้อำนาจรัฐ

อนึ่ง การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับผู้ต้านอำนาจรัฐ แม้เช่นกรณี 3 จังหวัดภาคใต้ รัฐบาลจะต้องถูกมัดมือชก ไม่สามารถหลีกเลี่ยง การใช้ Low Intensity Warfare

โดยใช้กำลังทหารและตำรวจที่ไม่จัดเจน ทำการข่มขู่ปราบปรามฝ่ายต่อต้านเพื่อขยายฐานปกครอง และ body count ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่มีความขัดแย้ง (contradiction) ภายในสูง และจะผลักมวลชนไปให้ฝ่ายต่อต้าน ซ้ำต้องแบกระบบราชการที่ผุพังดังที่กล่าวมาแล้ว

ในขณะที่ฝ่ายทักษิณสามารถใช้ Asymmetric warfare ซึ่งยืดหยุ่นกว่า สามารถเลือกยุทธวิธี สมรภูมิ และคู่ต่อสู้คนไหน เมื่อใดก็ได้

เข้าใจการเคลื่อนไหวทางสังคม

การเคลื่อนไหวสังคมเป็นขบวนการที่ไม่มีใครห้ามได้ และมีอยู่ 3 แบบคือ 1. มีระบบหรือ control 2. ตามยถากรรม หรือ open และ 3. แบบผสม

ในประเทศไทยการเคลื่อนไหวมักจะเป็นแบบที่ 2 คือคนยากคนจน เมื่อลำบากที่สุดก็ร้องทุกข์ขอความเมตตา แบบที่ 3 ก็คือมีองค์ประกอบภายนอก เช่น NGO หรือ การเมืองทั้งในและนอกมาจัดตั้ง แบบที่ 1 ได้แก่โครงการพัฒนาต่างๆ ทั้งของรัฐบาล ในหลวง NGO ในและนอกประเทศ กลุ่มพลังการเมืองต่างๆ ทั้งใต้ดิน บนดิน เช่น พรรคคอมมิวนิสต์และขบวนการผู้พัฒนาชาติไทย ที่เข้ามาเป็นผู้รับประโยชน์และเป็น (กอง)กำลังให้พรรคการเมือง เป็นต้น

ถ้าหากรัฐบาลต้องการสู้กับทักษิณให้ได้ผล จะต้องเข้าร่วมกับขบวนการประชาชน เพื่อขยายฐาน information กับ mobilization ในการเคลื่อนไหวสังคมทั้ง 3 แบบ ฝ่ายรัฐจะต้องใช้การจัดตั้งจากภาคประชาชน และบุคลากรของรัฐที่ก้าวหน้าอย่างเต็มที่ จึงจะรับมือกลไกของระบบและระบอบทักษิณได้

การร่วมมือจะต้องมีลักษณะประจำ ต่อเนื่อง และเป็นทางการ ด้วยการมี communication และ command line แบบเส้นทึบมิใช่จุดไข่ปลา จึงจะประกันความน่าเชื่อถือ ทำนายทายทักได้

ภาพประกอบ





K = King E= Elite หรือ Establishment (Military+Business+Bureaucrat)

P=People (ประชาชนจัดตั้ง+ปัญญาชน+สื่อเสรี+NGO)

เส้นทึบ คือสายสัมพันธ์และระบบสื่อสารที่ดีแทรกแซงและบิดเบือนยาก

เส้นจุดไข่ปลาคือสายสัมพันธ์และระบบสื่อสารที่เลวมีช่องโหว่และช่องว่างมาก

เส้นผสม คือสายสัมพันธ์และระบบสื่อสารที่บกพร่องมีช่องโหว่และช่องว่างปานกลางแทรกแซงและบิดเบือนได้เป็นครั้งคราว

1. ถ้าหากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นแบบ EKG ในที่สุดจะล้มเหลว เพราะจะแพ้ยุทธศาสตร์ information กับ mobilization ของฝ่ายต้าน ซึ่งยึดฐานที่มั่นตามยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ-ชนบทล้อมเมือง” ไว้ได้ล่วงหน้าแล้ว รัฐบาลต้องบุกยึดคืน โดยการขีดเส้นทึบเข้าหากัน (diagram 3)

2. ถ้าหากตั้งรัฐบาลแบบ PEKS จะประสบความสำเร็จ และบุกเข้าไปตีฐานของทักษิณได้ ด้วยการรวมพลัง P คือประชาชนจัดตั้ง+ปัญญาชนผู้ประกอบวิชาชีพ+สื่อเสรี+NGO (diagram 2 )

3. ถ้าหากตั้งสภานิติบัญญัติและรัฐบาลแบบผสม คือมี K E P ตามยถากรรมก็จะต้องเสี่ยง อย่างดีอาจจะเสมอตัว พอรักษาสถานการณ์ไปได้ 6 เดือนหรือ 1 ปี (diagram 1)

สรุป: ขณะนี้เราเลือก model 3 ซึ่งจะพ่ายแพ้ทักษิณในที่สุด เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลจะสามารถ สร้างเส้นทึบไปให้ครบทุกฐาน 3 เหลี่ยม โดยการ mobilize การมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนขึ้นในอัตราเร่ง ทำไมต้องเร่ง เพราะทักษิณเร็วกว่า


วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 12, 2549

รายงานพิเศษ : นับถอยหลัง “ยุบพรรค”... “ทรท.” รอดยาก!!

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 ตุลาคม 2549 12:08 น.


พล.อ.ธรรมรักษ์ นำ พ.อ.เชิดพงษ์ บุญยเกียรติ ช่างภาพประจำตัวมาแถลงอ้างว่า เป็นบุคคลในภาพลับ กห.ไม่ใช่ตน พร้อมท้า ถ้าตนจ่ายเงินจ้างพรรคเล็กจริง พร้อมให้ยิงกบาล(31 พ.ค.49)


ภาพจากกล้องวงจรปิดของ ก.กลาโหม ลำดับเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันที่ 3 มี.ค.49 ขณะที่ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทยเข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เพื่อรับเงินค่าจ้างลงสมัครรับเลือกตั้ง

ไทกร พลสุวรรณ ผู้ ปสง.เครือข่ายอีสานกู้ชาติ เป็นคนแรกที่ออกมาแฉเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก


สุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงเปิดตัวพยานกรณีพรรค ทรท.จ้างพรรคเล็ก ประกอบด้วย ชวการ โตสวัสดิ์ ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทย,สุขสันต์ ชัยเทศ ผอ.เลือกตั้งพรรคพัฒนาชาติไทย ,ฐัติมา ภาวะลี ผู้สมัครพรรคแผ่นดินไทย



อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

หลังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด ได้สรรหาบุคคลเป็น “ตุลาการรัฐธรรมนูญ” ครบทั้ง 9 คนเพื่อทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญแล้วเมื่อวันที่ 6 ต.ค. มีข่าวว่าสัปดาห์หน้า คณะตุลาการฯ จะเปิดประชุมนัดแรกเพื่อกำหนดแนวทางการทำงาน ส่วนการพิจารณาคดีนั้น หากเป็นไปตามคาด “คดียุบพรรค” น่าจะเป็นภารกิจเร่งด่วนลำดับแรกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา เพราะเป็นคดีที่ประชาชนสนใจ และพรรคที่ถูกกล่าวหาต่างก็จดจ่อ-รอคอยว่าผลจะลงเอยอย่างไร ...ขนาดผลยังไม่ออก ลูกพรรค ทรท.ยังชิ่งหนีกันขนาดนี้ ราวกับยอมรับกลายๆ แล้วว่า พรรคผิดจริง ต้องถูกยุบแน่ แต่ก่อนจะถึงวันที่รู้ผล เรามาย้อนดู “ชนักติดหลัง”ของ ทรท.เรื่อง “จ้างพรรคเล็ก” รวมทั้ง “หลุมพราง”(ของ ทรท.หรือไม่?) ที่ล่อให้ฝ่าย ปชป.ติดกับ-ติดบ่วงเรื่องยุบพรรคไปด้วย

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีอันสิ้นสุดลงหลังคณะปฏิรูปฯ เข้ายึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ แต่น่ายินดีที่รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2549 ได้กำหนดให้มีคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ 9 คนขึ้นมาทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญไปพลางก่อน อย่างน้อยก็เพื่อพิจารณาคดีที่ยังค้างอยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ “คดียุบพรรค” ที่ประกอบด้วย 2 พรรคใหญ่อย่างไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ และอีก 3 พรรคเล็ก (พรรคพัฒนาชาติไทย-แผ่นดินไทย-ประชาธิปไตยก้าวหน้า) ซึ่งสังคมคงไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านเลย หรือมีอันต้องยกเลิกไป เพียงเพราะรัฐบาลทักษิณถูกยึดอำนาจแล้ว

ขณะที่รัฐบาลทักษิณยังมีอำนาจ หลายฝ่ายมองว่า คดียุบพรรค คงไม่พ้นต้องจบลงแบบ “ถ้ายุบไทยรักไทย ก็ต้องยุบประชาธิปัตย์ด้วย” หรือ “ถ้าไม่ยุบประชาธิปัตย์ ก็ต้องไม่ยุบไทยรักไทยด้วย” แต่ถ้าไม่ยุบไทยรักไทย ไม่ได้หมายความว่าประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบด้วย นั่นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีอำนาจล้นฟ้าที่จะแทรกแซงการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระอย่างไรก็ได้ แต่ยามนี้ ฟ้าเปลี่ยนสี อำนาจเปลี่ยนมือแล้ว สูตรสำเร็จข้างต้นคงใช้ไม่ได้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถ้าพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กให้ลงเลือกตั้งจริง ก็ต้องรับผลกรรมถูกยุบพรรคไป ส่วนกรรมการบริหารพรรคก็ต้องเว้นวรรคการเมือง 5 ปี ตามประกาศฉบับที่ 27 ของคณะปฏิรูปฯ ที่กำหนดให้เพิ่มโทษกรณียุบพรรค แต่กรรมการบริหารพรรคจะได้รับโทษดังกล่าวก็ต่อเมื่อตุลาการรัฐธรรมนูญ ระบุโทษให้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ได้กระทำผิด (2 เม.ย.49) หรือให้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิรูปมีผลบังคับใช้ (30 ก.ย.49) เพราะหากไม่นับโทษย้อนหลัง แต่ให้นับ ณ วันที่มีคำพิพากษา ก็เท่ากับว่า ผู้ที่เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยพ้นผิดทันที เพราะขณะนี้ไม่มีกรรมการบริหารพรรคหลงเหลืออยู่แล้ว เนื่องจากได้พ้นสภาพลงโดยอัตโนมัติจากการประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อวันที่ 3 ต.ค.

ไม่ว่าโทษจะนับย้อนหลังหรือไม่ เดี๋ยววันที่ตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินคงได้รู้กัน แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ลองมาย้อนดูจุดเริ่มต้นและพัฒนาการของการตรวจสอบกรณีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กกันอีกครั้ง เพราะแกนนำพรรคไทยรักไทยคุยนักคุยหนาว่า ยังไงพรรคก็ไม่ถูกยุบ เนื่องจากไม่มีหลักฐานชัดเจน แถมยังมีการนำจำนวนสมาชิกพรรค 14 ล้านมาพูดเชิงขู่ว่าพรรคถูกยุบไม่ได้อีกต่างหาก!?!

คงยังจำกันได้ว่า คนที่เปิดฉากติดตามตรวจสอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กอย่างจริงจังและเห็นผลเป็นรูปธรรมก็คือ นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ เขาเล่าให้ฟังว่า จุดที่ทำให้เขารู้สึกทนไม่ไหวแล้วกับระบอบทักษิณ ก็คือ ตอนที่สนธิ ลิ้มทองกุล จะไปเปิดปราศรัยที่ริมบึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น แต่ถูกตำรวจภูธรภาค 4 ยุคทักษิณ ปิดล้อมไม่ให้นำเครื่องเสียงเข้าไปยังจุดที่จะปราศรัย ไม่ให้คนเข้าฟังการปราศรัยของสนธิและครูภาคอีสาน เขารู้สึกเลยว่า “มันเกินไป...มันสุดที่จะรับได้” นับแต่นั้นเขาบอกกับตัวเองว่า “เขาอยากโค่นทักษิณ” เขาอยากให้ทักษิณหยุดใช้ชีวิตทางการเมือง อยากให้ทักษิณเลิกเล่นการเมืองไปเลย เขาจึงพยายามติดตามตรวจสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอะไรผิดบ้าง!

กระทั่งโอกาสก็วิ่งมาหาเขา เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศยุบสภา และฝ่ายค้านบอยคอตไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ไทกรได้ข่าวว่าพรรคไทยรักไทยเตรียมหาคนไปลงสมัครประกบผู้สมัครตัวเองในพื้นที่ภาคใต้เพื่อเลี่ยงเกณฑ์กฎหมาย 20% และบังเอิญโชคดีมีคนติดต่อมายังนายสุขสันต์ ชัยเทศ เพื่อนของเขาให้ไปลงสมัครด้วย ไทกรจึงไม่รอช้า รีบบอกให้เพื่อนตกปากรับคำสวมรอยคำเชิญนั้นเพื่อไปฝังตัวอยู่ในพรรคพัฒนาชาติไทย จะได้รู้ว่าพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กให้ลงเลือกตั้งจริง และจะได้รู้ว่ากระบวนการจ้างเป็นอย่างไร

“โชคดีมีคนติดต่อมาหาคุณสุขสันต์ ผมก็เลยว่า ถ้างั้นผมขอให้พี่สุขสันต์เข้าไปเลย ไปแต่งตัว แล้วก็เอาข้อมูลมา เดี๋ยวผมจะแฉมันเอง ผมก็พูดกันแค่นี้ หลังจากนั้นก็มีการประสานกันตลอด ในระยะที่เขาไปฝังตัวอยู่กับพรรคพัฒนาชาติไทย ที่โรงแรมกาญจน์มณี ถ.ประดิพัทธ์ ก็รู้ข้อมูล และผมก็เคยแอบเข้าไปดูเป็นเหตุการณ์ที่ล็อบบี้ครั้งหนึ่งว่ามีคนมาเยอะมั้ย อย่างไร กระทั่งรู้ว่ามันดำเนินการจริง ผมไปครั้งเดียว ไปแอบดูเขา แล้วก็กลับ ทีนี้ข้อมูลก็ไหลมาหาผมเรื่อยๆ จนกระทั่งคุณสุขสันต์ ตอนแรกเราว่าจะแถลงข่าวเลย ก็เลยปรึกษาหารือกัน ได้ข้อสรุปว่าจะยังไม่แถลงข่าวจนกว่าการกระทำผิดนั้นมันจะเสร็จสมบูรณ์ ก็คือรอให้คนที่รับจ้างลงสมัครก่อน ให้พวกย้อนหลังสมาชิกพรรค 90 วันทั้งหลายไปสมัครให้ครบ วันสุดท้ายก็เป็นวันที่ 8 มี.ค. พอเขาสมัครกันครบทุกคนแล้ว ผมเช็ค กกต.จังหวัดต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ผมก็แถลงข่าวขึ้นที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ว่ามีการทำอย่างนี้ พอดีทีวีในเครือเนชั่นเขาก็สัมภาษณ์ผม และมีการพูดจาท้าทายกันระหว่างท่านปริญญา (นาคฉัตรีย์ กกต.)กับผม ท่านแจ้งว่า “ไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น” ผมก็บอกว่า “มี” พิธีกรก็เลยให้ไปตรวจสอบ ผมก็เลยไปจริง ตอนเช้าวันนั้นวันที่สัมภาษณ์กันทางโทรศัพท์ ก็ไปจับได้ว่ามีการปลอม ทบ.6 ทะเบียนพรรคการเมืองหมายเลข 6 ซึ่งมีสมาชิกย้อนหลังเข้ามาๆๆ แล้วผมก็รู้ข้อมูลภายในจากคุณสุขสันต์ว่า มีการรับจ้างแก้แผ่นดิสก์ของ กกต.ด้วย เพื่อที่เวลาเช็กไปที่อินเทอร์เน็ตแล้วจะได้เห็นว่าคนเหล่านี้เป็นสมาชิกอยู่ในอินเทอร์เน็ต เพราะส่วนใหญ่ กกต.เขาจะเช็กที่อินเทอร์เน็ต เขาไม่ดูจากเอกสารต้นฉบับจริงสักเท่าไหร่ แต่ทะเบียนการโกง เขาโกง 2 อย่างคือ แก้ทั้งเอกสารจริง แก้ทั้งดิสก์ที่เอาไปใส่ในอินเทอร์เน็ต ก็เลยเปิดเผยมา”

ไม่เพียงมีการปลอมแปลงแก้ไขการเป็นสมาชิกพรรคย้อนหลัง 90 วันเพื่อให้ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทยลงสมัครได้ ไทกร บอกว่า ยังมีหลักฐานอีกหลายอย่างที่ยืนยันว่าแกนนำพรรคไทยรักไทยเป็นผู้ว่าจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัคร โดยมีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารหลักฐานการโอนเงิน หรือแม้แต่ภาพลับจากกระทรวงกลาโหมที่บันทึกเหตุการณ์วันที่ นายชวการ โตสวัสดิ์ ผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทย เข้าพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม เพื่อรับเงินค่าจ้าง โดยในภาพมี พล.อ.ธรรมรักษ์ด้วย (แม้ พล.อ.ธรรมรักษ์จะอ้างในภายหลังว่าบุคคลในภาพไม่ใช่ตน แต่เป็นช่างภาพประจำตัวที่มีรูปร่างคล้ายกันก็ตาม)

“กรณีของคุณสุขสันต์กับคุณชวการ คุณชวการเขาอยู่ในทีมของ พล.อ.ธรรมรักษ์อยู่แล้ว ซึ่งคุณชวการได้ให้การชัดเจนว่าได้มีการร่วมประชุมวางแผนกันที่พรรคไทยรักไทย ชั้น 4 หรือชั้น 6 กับ พล.อ.ธรรมรักษ์ และ รมต.พงษ์ศักดิ์ ก็ได้นั่งฟังอยู่ด้วยว่า เราจะส่งคนประกบโดยการตัดต่อพันธุกรรม เปลี่ยนรายชื่อในแผ่นดิสก์ เปลี่ยนชื่อสมัครอย่างนี้ๆ ส่วนคุณสุขสันต์ซึ่งเป็นคนในฝ่ายผมไม่ได้ร่วมประชุมด้วย แต่สิ่งที่ทำให้หลักฐานมัดชัดเจนก็เพราะคุณสุขสันต์ได้ไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้คุณชวการเป็นพยานในคดีนี้ ยอมเปิดเผยความจริง ก็เลยได้พยานที่มัดแน่นในการกระทำผิดของ พล.อ.ธรรมรักษ์ และคณะ ในฐานะที่เป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและทำผิดก็เพื่อประสงค์ที่จะให้พรรคไทยรักไทยได้ประโยชน์ทางการเมือง ก็คือ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมาก และทุกเขต …หลักฐานการจ้าง คือ คุณชวการยืนยันว่า ได้รับเงินค่าสมัครบัญชีรายชื่อปาร์ตี้ลิสต์ 5 คน มารับจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ โดยลูกน้องเขา คุณพงษ์ศรี (ศิวาโมกข์) เป็นคนเดินเข้าไปเอาจากในห้อง พล.อ.ธรรมรักษ์ ในวันที่ไปที่กระทรวงกลาโหม และมีรูปน่ะ(ภาพจากกล้องวงจรปิดกระทรวงกลาโหม) คุณชวการไปกับคุณพงษ์ศรี และไปกับลูกน้องสายของท่าน พล.อ.ธรรมรักษ์ หลังจากนั้นเขาก็เอาเงินส่งมาให้ๆๆ ก็มีหลักฐานการโอนเงิน การรับเงิน”

แม้ไทกรจะเปิดประเด็นและเปิดแถลงเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก แต่ กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ดูจะไม่สนใจตรวจสอบเท่าที่ควร ไทกรจึงคิดว่า คงต้องเปิดตัวพยาน เพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่า ถ้าเปิดตัวพยานไป เขาไม่มีศักยภาพพอที่จะดูแลความปลอดภัยให้พยานทั้ง 2 คนแน่ (สุขสันต์-ชวการ) เขาจึงต้องมองหาองค์กรหรือหน่วยงานที่พร้อมจะขุดคุ้ยเกาะติดเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก และที่สำคัญต้องมีศักยภาพพอที่จะดูแลความปลอดภัยของพยานให้เขาด้วย ซึ่งในที่สุดก็จอดป้ายที่ “พรรคประชาธิปัตย์”

“ตอนแรกเราก็จะไปหลายที่ จะไปพบองค์กรกลาง เราก็ดูว่าไม่น่าจะสามารถคุ้มครองดูแล(พยาน)ได้ จะไปพรรคชาติไทย ก็กลัวว่าเขาไม่เอาจริง จะไปพรรคมหาชนก็กลัวว่า เขาไม่เอาจริง นี่พูดกันตรงไปตรงมา เพราะเรารู้ว่าหัวหน้าพรรคมหาชน หรือหัวหน้าพรรคชาติไทยเนี่ยมีสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับคุณทักษิณ และในทางการเมืองก็ไม่ได้อยู่ตรงข้ามกับทักษิณอย่างชัดเจน ผมก็เลยตัดสินใจติดต่อไปหาคุณสุวโรช พะลัง (ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์) ซึ่งผมไปเจอแกที่ กกต. พรรคประชาธิปัตย์เขาก็มาร้อง(กกต.) เหมือนกัน ก็เจอกัน ก็แลกเบอร์โทร.กันไว้ ผมก็เลยติดต่อไป ก็ปรึกษาหารือกันว่าสามารถที่จะคุ้มครองพยานในการเปิดเผยความจริงโดยจัดแถลงข่าวได้มั้ย เพราะเรื่องนี้ถ้าเปิดออกไป โอกาสที่พยานจะถูกฆ่ามีสูง ผู้ใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ก็เลยคุยกับผม ก็คือ ท่านสุเทพ (เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค) ผมก็ถามท่านว่า “ท่านครับ ท่านรับปากมั้ยว่าท่านจะทำเรื่องนี้โดยไม่มีมวยล้ม” เราพูดกันตรงไปตรงมาวันนั้น ท่านสุเทพก็ให้สัญญาว่าตราบใดที่แกยังเป็นเลขาธิการพรรคอยู่ แกจะทำเรื่องนี้ให้เป็นที่สิ้นสุด ไม่ล้มโดยเด็ดขาด ก็เลยตัดสินใจว่า ถ้าไม่ล้มก็เปิดเผย ก็พูดความจริงกัน และยินยอมให้ทางพรรคประชาธิปัตย์บันทึกวีซีดีไว้ด้วย และมอบเอกสารหลักฐานให้หมดเลยในวันนั้น และมาทำเอกสารและให้พยานบุคคลทั้ง 2 คนอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพรรคประชาธิปัตย์ คุณสุเทพ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา”

นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะรับเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กจากนายไทกรมาเดินหน้าต่อแล้ว ยังมีกรณีที่ผู้สมัครพรรคเล็กมาร้องเรียนตรงต่อพรรคประชาธิปัตย์เอง นายสุวโรช พะลัง คณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ เล่าให้ฟังว่า มีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคพัฒนาชาติไทย 3 คนใน จ.ตรัง ร้องต่อพรรคว่าได้รับการทาบทามและว่าจ้างจาก “เจ๋ง ดอกจิก” ซึ่งเป็นคนหาผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคพัฒนาชาติไทย

“เจ๋ง ดอกจิก ซึ่งเป็นคนหาผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยไปทาบทามเขา เจ๋งเป็นคนดัง เป็นทำนองดารา ชาวบ้านก็ชอบ เจ๋งเป็นคนติดต่อ สนใจก็เลยมา เวลามาปรากฏว่าไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคพัฒนาชาติไทย เจ๋งบอกไม่เป็นไร เขาดูแลให้ได้ เขาก็มาแก้ฐานข้อมูลการเป็นสมาชิกของพรรคและดำเนินการกันที่โรงแรมกาญจน์มณี แถวสะพานควาย หลังจากนั้นก็รับค่าสมัครกันไป ค่าสมัครก็ตก 1 หมื่น มันมีค่าถ่ายรูป ค่าอะไร ก็ตกประมาณ 3 พันบาท เขาก็ให้มาประมาณ 2 หมื่น แล้วก็เหมารถตู้กลับไปสมัครที่ จ.ตรัง พอสมัครเสร็จปุ๊บ ก็มีข่าวเรื่องนี้ สื่อมวลชนก็ให้ความสำคัญ และทุกสื่อก็ตาม เขาก็ตกใจ จะขอถอนตัวก็กลัวจะติดคุก ติดต่อเจ๋งก็ไม่ได้ แล้วพรรคของเขาก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน เขาเป็นคนบ้านนอก ก็เป็นที่ทราบว่าภาคใต้ส่วนใหญ่ 90% ผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์ พ่อของผู้สมัครก็เลยแนะนำว่า อย่างนั้นมาที่พรรคประชาธิปัตย์สิ เพราะตอนนั้นกำลังเป็นข่าว พรรคประชาธิปัตย์ก็มอบหมายให้ผมกับพีระพันธ์ และท่านสาธิต ปิตุเตชะ ไปติดตามเรื่องนี้ที่ กกต. ก็เป็นข่าวทุกวัน”

ไม่เท่านั้น ยังมีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคแผ่นดินไทยติดต่อพรรคประชาธิปัตย์เพื่อให้ข้อมูลเรื่องถูกพรรคไทยรักไทยจ้างลงสมัครรับเลือกตั้งเช่นกัน นั่นคือ นางฐัติมา ภาวะลี ซึ่งเล่าให้ฟังว่า พรรคได้รับเงินสนับสนุนจากพรรคไทยรักไทยกว่า 3.6 ล้านบาท และว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สัญญากับหัวหน้าพรรคเล็กทั้งหลายระหว่างประชุมร่วมกับหัวหน้าพรรคเล็กหลังยุบสภา(ซึ่งพรรคฝ่ายค้านบอยคอตไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง) ว่าจะช่วยสนับสนุนพรรคเล็กพรรคละ 10 ล้าน

“เขา(ฐัติมา) ก็เอาเอกสารมาให้ผม ก็มีหลักฐานอะไรต่างๆ แล้วเขาก็เล่าให้ฟังว่า หัวหน้าพรรคไปร่วมประชุมกับนายกฯ ทักษิณ และนายกฯ ทักษิณก็บอก จะช่วยพรรคละ 10 ล้าน สุดแล้วแต่ว่า ส่งคนลงประกบกับพรรคไทยรักไทยได้มากหรือน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาแบ่งพื้นที่กัน พรรคแผ่นดินไทย พรรคคนขอปลดหนี้ แล้วก็พรรคพัฒนาชาติไทย ใน 14 จังหวัดภาคใต้ ให้ส่งคนลงสมัครประกบกับผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไทยรักไทย เพื่อหลีกไม่ต้องเป็นไปตามเงื่อนของกฎหมาย (20% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง) ก็กระจัดกระจายกันลงไปสมัคร ในส่วนของพรรคแผ่นดินไทย เขาจะมีผู้ใหญ่มาคุม หมายความว่า แต่ละพรรคเขาจะมีคนของพรรคไทยรักไทยลงไปคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ ประสานงานกับทาง กกต.เพื่อแก้ไขฐานข้อมูลในการเป็นสมาชิกพรรค 90 วันตามที่กฎหมายกำหนด แล้วก็ดูแลเรื่องเงินเรื่องทอง ในส่วนของพรรคแผ่นดินไทย คุณเจี๊ยบ(ฐัติมา) ก็เล่าให้ฟังว่า มี เสธ.ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ซึ่งเป็นคนสนิทของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีกลาโหม มาเป็นผู้ดูแล และเสธ.ไอซ์ได้เข้าร่วมประชุมกับพรรคแผ่นดินไทย โดยคุณเจี๊ยบเขาเป็นผู้ประสานงานทุกอย่าง ปรากฏว่า พอประชุมกันเสร็จ เสธ.ไอซ์ก็บอกว่า เดี๋ยวจะมีนายทหารหน้าห้องรัฐมนตรีเป็นคนนำเงินมาให้ ก็ปรากฏว่า เขาเล่าให้ฟังว่า มีการนำเงินมาให้ 3,675,000 บาท และมาให้คุณเจี๊ยบ คุณเจี๊ยบก็เป็นผู้บริหารให้กับตัวผู้สมัครกันไป คนละ 3 หมื่น หลังจากที่คุณเจี๊ยบเขาให้คนลงไปสมัครประกบเสร็จแล้ว ปรากฏว่า เงินที่จะให้งวดต่อไปเนี่ย มันไม่เป็นไปตามนัด ...พอผมได้รับข้อเท็จจริงได้เอกสารได้อะไรมา ผมก็บันทึกถึงท่านเลขาฯ สุเทพ (เทือกสุบรรณ)ท่านเลขาฯ ก็ประสานงานเอาคุณเจี๊ยบมาและมีเป็นข่าวไง พาไปที่สุราษฎร์ฯ (เพื่อความปลอดภัย) และอีกส่วนหนึ่งเราก็ไปแจ้งข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ให้ กกต.กลางได้รับทราบข้อมูล ซึ่งท่านเลขาฯ เป็นคนลงนามไปเอง”

หลังจากนั้น กกต.ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก โดยให้นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตรองประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ในที่สุด อนุกรรมการฯได้สรุปผลสอบว่า ผู้บริหารพรรคไทยรักไทยจ่ายเงินจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครรับเลือกตั้งจริง โดยผู้มีบทบาทสำคัญมีอยู่ 4 คน 1.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม 2.นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย และรักษาการรัฐมนตรีคมนาคม 3.พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต หรือ เสธ.ไอซ์ หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม และ 4.พล.ท.ผดุงศักดิ์ กลั่นเสนาะ ผู้ช่วยหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม

นอกจากนี้ อนุกรรมการฯ ยังสรุปด้วยว่าการกระทำของ พล.อ.ธรรมรักษ์ และนายพงษ์ศักดิ์ ถือเป็นการกระทำในนามพรรคไทยรักไทย เพราะบุคคลทั้งสองมีตำแหน่งใหญ่ในพรรค ประกอบกับเงินที่ให้การสนับสนุนพรรคเล็กก็เป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งผลที่ได้รับก็เป็นประโยชน์กับพรรคไทยรักไทย จึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการทำในนามส่วนตัว ด้วยเหตุนี้ อนุกรรมการฯ จึงมีมติเอกฉันท์ให้ กกต.แจ้งข้อกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด้วย!

แม้ภายหลัง นางฐัติมา ภาวะลี ผู้สมัคร ส.ส.พรรคแผ่นดินไทย จะกลับคำให้การต่อตำรวจกองปราบฯ ว่า พรรคไทยรักไทยไม่ได้จ้าง แต่อ้างว่าถูกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์กักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขู่และจ้างให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย แต่อนุกรรมการของ กกต.ก็ไม่ได้ถือเป็นสาระ เพราะเห็นว่า คำให้การของนางฐัติมาที่ยืนยันก่อนหน้านี้ว่าพรรคไทยรักไทยจ้าง มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะเป็นการให้การต่อหน้าตำรวจภูธรภาค 8 จ.สุราษฎร์ธานี ต่อหน้าประชาชนและสื่อมวลชน จึงไม่น่าจะอยู่ในภาวะที่ถูกข่มขู่ใดใด

เช่นเดียวกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยืนยันว่านายสุเทพไม่ได้กักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขู่หรือว่าจ้างนางฐัติมาให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยแต่อย่างใด โดยนายสุวโรช พะลัง ฝ่ายกฎหมายของพรรคฯ เชื่อว่า นางฐัติมาถูกอำนาจรัฐข่มขู่ จึงต้องมีการแต่งเรื่องขึ้นใหม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จ้าง ซึ่งพรรคฯ ไม่หนักใจ เพราะนางฐัติมาเคยพูดความจริงต่อหน้าอนุกรรมการ กกต. ต่อหน้าตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 แล้ว ซึ่งพยานหลักฐานต่างๆ ก็ชัดเจน

“ท่านนาม(ยิ้มแย้ม) กับคณะก็ลงไปสอบที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ที่สุราษฎร์ธานี ท่านสุเทพก็กลับมาที่นี่ คุณเจี๊ยบ(ฐัติมา) ก็อยู่ในความดูแลของทางตำรวจและให้ถ้อยคำต่อหน้าสื่อมวลชนที่นั่น ต่อหน้าพี่น้องประชาชนจำนวนนับร้อยที่เป็นข่าว ก็ปรากฏว่า พอเสร็จตูมปุ๊บ ทางฝ่ายท่านนายกฯ ทักษิณ พรรคไทยรักไทยก็ไปสืบเสาะ พอรู้ข่าวอย่างนั้นออกมา เขาก็เลยติดตามลงไปที่เทือกเถาเหล่ากอของคุณเจี๊ยบ ปรากฏว่าไปคลำเจอว่าคุณเจี๊ยบมีสามีอยู่ที่เทศบาลร้อยเอ็ด ก็ใช้ทั้งผู้ว่าฯ ทั้งผู้บังคับการ ใช้ทั้งทหาร ทั้งนอกเครื่องแบบ ทั้งฝ่ายปกครองว่าคุณเจี๊ยบหายตัวไป แล้วก็เอามาแจ้งความที่กองปราบฯ แล้วทางกองปราบฯ เองก็ได้เอาบันทึกอันนั้นตามไปที่สุราษฎร์ฯ เพื่อที่จะดำเนินคดีกับท่านสุเทพ แต่การไปของกองปราบฯ ไปที่สุราษฎร์ฯ คุณเจี๊ยบเขาให้ถ้อยคำต่อท่านนาม ยิ้มแย้มไปหมดแล้ว ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่มีเขาก็ยอมรับข้อเท็จจริงหมด เมื่อกองปราบฯ ไปรับตัวคุณเจี๊ยบกลับมา พอมาถึงกองปราบฯ เรื่องก็มีการแต่งกันขึ้นใหม่ และเอาคุณเจี๊ยบมาออกทีวี คุณสรยุทธรายการถึงลูกถึงคนแล้วก็ท้าตีท้าต่อยกับท่านเลขาฯ สุเทพ ซึ่งทางพวกเราเห็นว่า ท่านสุเทพเองไม่เหมาะสมที่จะไปออกรายการอย่างนั้น ก็ประสานงานมาให้ผมเป็นคนออกรายการ ผมก็เลยชี้แจงอย่างที่เล่าเนี่ย และคุณสรยุทธบอกว่า ผมชี้แจงทางโทรศัพท์มันไม่เหมือนมานั่งคุยกันในรายการ ก็นัดวันรุ่งขึ้น ผมบอก โอเค. วันรุ่งขึ้น คุณเจี๊ยบก็หายตัวไปเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ไปถึงไหน ประเด็นปัญหาก็คือ มันมีคดีเหมือนที่ผมเล่าเนี่ย ในส่วนของกองปราบฯ ก็ทำท่าจะเล่นเรา”

กรณีนางฐัติมากลับคำให้การ เป็นประเด็นหนึ่งที่พรรคไทยรักไทยนำมาอ้างและร้อง กกต.ว่า พรรคประชาธิปัตย์จ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ รู้สึกว่า พรรคไทยรักไทยไม่ยอมถูกยุบพรรคเดียว เลยต้องดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้ถูกยุบไปพร้อมกัน ซึ่งนอกจากกรณีนางฐัติมาแล้ว ยังมีกรณีที่นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายอีสานกู้ชาติ ถูกคนของพรรคไทยรักไทยแอบถ่ายวีซีดีขณะคุยกับหัวหน้าพรรคเล็กพรรคหนึ่ง โดยอ้างว่านายไทกรพยายามจ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยเช่นกัน แถมยังพยายามโยงว่า พรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังนายไทกรด้วย เรื่องนี้เท็จ-จริงอย่างไร นายไทกร เล่าให้ฟังว่า หลังจากตนได้ความจริงกรณีพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยก่อนการเลือกตั้ง 2 เม.ย.โดยมีนายสุขสันต์ และนายชวการ เป็นพยาน และตนได้ส่งต่อพยานและเอกสารหลักฐานต่างๆ ให้พรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว เพราะมีศักยภาพในการคุ้มครองพยานนั้น ปรากฏว่า เมื่อ กกต.จะจัดเลือกตั้งรอบ 2 วันที่ 23 เม.ย. เพราะยังมีหลายเขตที่ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยได้คะแนนไม่ถึง 20% ตนเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เพราะพรรคชีวิตที่ดีกว่าเคยส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง 2 เม.ย.แค่ 2 คนทั่วประเทศ แต่เลือกตั้งรอบ 2 นี้ ทำไมจึงส่งลง 4 คนที่ภาคใต้ จากนั้นนายไทกรก็เริ่มได้เบาะแสว่า พรรคไทยรักไทยมีการจ้างพรรคเล็กอีกแล้ว เขาจึงรอจังหวะให้การทำผิดชัดเจนเสียก่อน

“ผมก็รอว่าให้การกระทำผิดมันชัดเจนก่อน แต่ทาง ผอ.เลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง 4 เขตนี้ ได้ตัดสินว่า ผู้สมัครของพรรคชีวิตที่ดีกว่าไม่มีคุณสมบัติ เมื่อไม่มีคุณสมบัติ ทางฝ่ายพรรคชีวิตที่ดีกว่าจะต้องยื่นคำร้องต่อศาล(เพื่ออุทธรณ์) เมื่อยื่นคำร้องต่อศาล ผมก็รอ ในช่วงประมาณสักสงกรานต์ ผมทราบว่า ทางพรรคชีวิตที่ดีกว่า เขาจะมีการจัดทำเอกสารเพื่อส่งศาล และหาทางแก้ไขกันที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ผมก็เลยให้ลูกน้องปลอมตัวเข้าไป ประมาณ 2 คน เขาอยู่ที่ห้อง 391 หรือ 392 ผมก็ให้ลูกน้องไปอยู่ห้องที่ติดกันเลย แล้วคนหนึ่งก็อยู่ที่ล็อบบี้ คอยดูว่าใครขึ้นไปบ้าง มีใครมาบ้างในช่วงสงกรานต์ ก็คือตั้งแต่ช่วงวันที่ 11-14 เม.ย. ที่เขาจัดการเรื่องนี้กัน ก็เลยได้รับทราบว่า มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลกันจริง และมีการทำหนังสือเพื่อยืนยันไปที่ศาล แต่ผมก็ยังรอ จนกระทั่งศาลตัดสินอย่างชัดเจนว่าการกระทำของพรรคชีวิตที่ดีกว่านั้น เป็นสมาชิกพรรคย้อนหลัง เมื่อเป็นสมาชิกย้อนหลัง ก็เลยไม่มีสิทธิ(ลงสมัคร) ผมก็เลยตามพรรคชีวิตที่ดีกว่าไปที่สำนักงานเขาที่โคราช พยายามที่จะไปคุยกับหัวหน้าพรรคเขา ทีนี้ผมไม่รู้ว่า บ้านเขาอยู่ที่ไหน ผมก็เลยไปหาลูกน้องเก่าที่เป็นอดีตตำรวจ ให้เขาประสานงาน ไปถามว่าบ้านอยู่ตรงไหน เพื่อผมจะได้มีโอกาสได้คุยกับเขา ก็ไม่เจอนะ”

แม้จะไม่เจอ แต่ตอนหลังนายวรรธวริทธิ์ ตันติภิรมย์ หัวหน้าพรรคชีวิตที่ดีกว่า ก็เป็นฝ่ายโทรศัพท์มาหานายไทกรเอง โดยพูดทำนองต้องการขายข้อมูลเรื่องที่พรรคไทยรักไทยจ้าง หากนายไทกรสนใจ ต้องจ่ายเงินเท่านั้นเท่านี้ นายไทกรจึงบอกไปว่าให้มาคุยรายละเอียดกันก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าฝ่ายที่เสนอมีข้อมูลแค่ไหน เพราะถ้าข้อมูลน้อยจะได้ไม่เอา กระทั่งมีการนัดกันที่โรงแรมเซ็นทรัล แต่ไทกรไปรอแล้วไม่เจอเลยกลับ จากนั้นนายวรรธวริทธิ์โทรหานายไทกรอีกครั้ง ให้ไปพบที่โรงแรมเดอะแกรนด์ ด้วยความที่ไทกรอยากจับเรื่องนี้ให้มั่น คั้นให้ตาย จึงไปตามนัด โดยมาทราบภายหลังว่ามีการแอบถ่ายวีซีดีการพูดคุยระหว่างเขาและนายวรรธวริทธิ์ไว้ เพื่อกล่าวหาว่า นายไทกรจ้างพรรคเล็กให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งการพบกันครั้งนั้น ไม่ได้มีแค่บุคคลทั้งสอง แต่ยังมีคนอื่นที่มากับนายวรรธวริทธิ์ด้วย ซึ่งทราบภายหลังว่า เป็นตำรวจระดับรองผู้กำกับที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นลูกน้องของตำรวจระดับผู้บังคับการนายหนึ่งที่มีความสนิทสนมกับนายเนวิน ชิดชอบ มือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แม้นายไทกรจะตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายวางไว้ และถูกบันทึกไว้เป็นวีซีดี แต่นายไทกรก็ไม่รู้สึกตระหนกตกใจ เพราะตนไม่ได้หลงกลคำพูดที่อีกฝ่ายพยายามหลอกล่อ

“ในวีซีดี แก(นายวรรธวริทธิ์) ก็พูดลักษณะว่า แกก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครอยู่เบื้องหลังแก แกจะมายอมให้คนอื่นขี่คอแล้วจ่ายเงินให้แกเล็กๆ น้อยๆ แล้วให้ส่งสมัครนี่มันก็ยาก ก็คุยกัน และคนที่มาเนี่ย ซึ่งผมทราบทีหลังว่าเป็นตำรวจ ก็พยายามถามว่าใครอยู่เบื้องหลังผม ใครจ้างให้ผมมาอะไรพวกนี้ เหมือนพยายามเชื่อมโยงผมไปหาพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลยรู้ว่าเป็นการวางแผนไว้ ซึ่งก็ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไร เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ผมก็ไม่ได้มีส่วนไปพัวพันอะไรกับพรรคประชาธิปัตย์ (ถาม-ในวีซีดียืนยันว่า คุณไทกรจะจ่ายเงินให้เขามั้ย?) ไม่ได้ยืนยันว่าจะจ่ายเงิน มีแต่เขาพยายามถามว่า จะให้เขาได้เท่าไหร่อะไรอย่างนี้ ผมก็บอกว่า มันก็ต้องดูกรณีอะไรต่างๆ เช่น ถ้าเป็นไซโก้ก็ราคาหนึ่ง ซิติเซนราคาหนึ่ง ปาเต๊ะฟิลลิปราคาหนึ่ง โรเล็กซ์ราคาหนึ่ง ผมก็พูดของผมไป พูดง่ายๆ ก็คือหลอกล่อให้เขายอมที่จะเปิดเผยข้อมูลว่า คนในพรรคไทยรักไทยที่มาจ้างเขาในรอบที่ 2 นี่เป็นใคร ซึ่งในข้อเท็จจริงผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร เพียงแต่มันต้องมีพยานบุคคลยืนยันอีกครั้งหนึ่ง (ถาม-แสดงว่าในวีซีดี ทางนั้นไม่ได้เปิดปากเลยว่า ใครจ้างเขา?) ในขณะที่พูดกันต่อหน้าไม่เปิดปาก แต่ตอนพูดทางโทรศัพท์เขา(นายวรรธวริทธิ์) บอกแล้วว่าใคร แต่ตอนนั้นคือผมก็มาประมวลทีหลังเลยทราบว่า มันเป็นการบันทึกวีซีดีเขาจึงไม่บอกว่า ใครจ้างเขา เพียงแต่เขาต้องการให้ผมพูดจ้างเขาเพื่อให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งในวีซีดีนั้นก็ไม่มีคำพูดผมแม้แต่คำเดียวที่เสนอเงินว่าจ้างเขาให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย มีแต่คนที่เป็นตำรวจเขายกขึ้นพูดว่า ถ้าเป็นสุดารัตน์เท่าไหร่ ถ้าเป็นสุวัจน์เท่าไหร่อะไรอย่างนี้ เขาพยายามที่จะโน้มน้าวให้ผมจ้างว่า ถ้าคุณพูดถึงคนนั้นได้กี่บาท อะไรทำนองนี้”

แม้เรื่องนี้ และกรณีนางฐัติมากลับคำให้การจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกพรรคไทยรักไทยดึงเข้าไปร่วมวงถูก กกต.สอบเพื่อยุบพรรคด้วย แถม กกต.ชุด พล.ต.อ.วาสนา ยังทำเหมือนกลั่นแกล้ง เพราะรีบชิงผลสอบของอนุกรรมการฯ ที่สอบพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เสร็จ ส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อที่อัยการจะได้พิจารณาและมีมติให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปพร้อมกับพรรคไทยรักไทยและอีก 3 พรรคเล็กในวันเดียวกันซึ่งอัยการก็รับลูกและเก่งเหลือหลาย เพราะสามารถอ่านสำนวนสอบพรรคประชาธิปัตย์ที่หนาถึง 1,500 หน้าได้ในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนมีมติให้อัยการสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคทั้ง 5 พรรค

อีกไม่นานเกินรอ สังคมจะได้คำตอบว่า หวยยุบพรรคจะออกที่พรรคไหน? พรรคไทยรักไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ถ้าประเมินจากเหตุการณ์ที่ประมวลมาข้างต้น พรรคไทยรักไทยอาจ “รอดยาก” สักหน่อย แต่ลูกพรรคคงทำใจไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่ตีจาก-แพแตกถึงเพียงนี้ และหากงานนี้ พรรคใดถูกหวยยุบพรรคจริง ก็มีรางวัล “แจ็กพอต” ก้อนโตแถมให้ด้วย คือ “เว้นวรรคการเมือง 5 ปี” แม้จะเป็นรางวัลที่ไม่มีใครอยากได้ก็ตาม!!

* หมายเหตุ * - รายชื่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านกระบวนการสรรหา เพื่อทำหน้าที่แทนศาลรัฐธรรมนูญ

1. นายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา (ประธาน)
2. นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด (รองประธาน)
3. นายสมชาย พงษธา ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา
4. ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ รองประธานศาลฎีกา
5. นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา
6. นายกิติศักดิ์ กิติคุณไพโรจน์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา
7. นายนุรักษ์ มาประณีต ผู้พิพากษาศาลฎีกา
8. นายจรัญ หัตถกรรม หัวหน้าคณะตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
9. นายวิชัย ชื่นชมพูนุท ตุลาการศาลปกครองสูงสุด



อนาคตประเทศไทย อนาคตของเราร่วมกัน

โดย ประเวศ วะสี 11 ตุลาคม 2549 15:08 น.
1.
คนไทยรวมใจกำหนดอนาคตร่วมกัน

สรรพชีวิตต้องพยายามอยู่รอดท่ามกลางภยันตรายนานาชนิด

ตัวอะมีบาซึ่งเป็นสัตว์เซลล์เดียว ตามปรกติมันอาจจะต่างตัวต่างอยู่ แต่เมื่อเกิดวิกฤต เช่น อาหารขาดแคลน หรือสิ่งแวดล้อมมีความเป็นกรดเป็นด่างมากเกิน มันจะกระจุกตัวกันเป็นกลุ่มและช่วยกันทำหน้าที่

การกระจุกตัวช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอด


ปลาจึงอยู่กันเป็นฝูง ฝูงหมาไนตัวเล็กสามารถล้มสัตว์ที่ใหญ่กว่าได้ เพราะความร่วมกันทำให้ทำสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวได้สำเร็จ มนุษย์สมัยอาศัยอยู่ในป่าล่าสัตว์ก็อยู่กันเป็นกลุ่ม เมื่อตั้งบ้านเรือนเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว ก็รวมตัวกันอยู่เป็นชุมชน วิถีชีวิตร่วมกันทำให้มีพลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและภยันตรายต่างๆ ชุมชนจึงยั่งยืนมาเป็นพันปี

แต่ในสังคมสมัยใหม่ได้ทอนชีวิตมนุษย์ให้เป็นแบบตัวใครตัวมัน ท่ามกลางภยันตรายหนักหนาสาหัสที่มองไม่เห็น

สมัยก่อนใครขยันและไม่มีอบายมุขก็จะไม่จน เพราะการมีหรือจนขึ้นกับตนทำเอง แต่สมัยนี้คนดีๆ ก็อาจจะหมดเนื้อหมดตัวเพราะระบบที่ มันเชื่อมโยงกันและทำเอา เวลาเงินเฟ้อเงินไหลออกจากกระเป๋าของทุกคนโดยเขาไม่ได้ทำผิดอะไร วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2540 เงินไหลออกจากประเทศไทย 500,000 ล้านบาท (หน้าแสนล้านบาท)

ปัญหาเชิงระบบของสังคมที่เชื่อมโยงกันทั้งโลกเป็นภยันตรายอันใหญ่หลวงของคนไทยในปัจจุบัน

เราอาจล้มละลายทั้งประเทศอย่างทันทีทันใดก็ได้ หรือเราอาจถูกลากเข้าไปสู่สงครามการก่อการร้ายที่เกิดจากความขัดแย้งใหญ่ ระหว่างโลกตะวันตกและโลกอิสลามก็ได้ ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน

ทุกวันนี้ประเทศที่มีทุนมากกว่า และมีการบริหารจัดการที่เก่งกว่าก็กำลังรุกคืบเข้ามาเอาอะไรๆ ของเราไป เช่น ธนาคาร ธุรกิจการค้าต่างๆ แม้แต่การค้าปลีก ซึ่งกระทบธุรกิจรายย่อยและธุรกิจท้องถิ่น อีกหน่อยเขาก็จะเป็นเจ้าของที่ดินมากขึ้นเรื่อยๆ ที่คนไทยเข้าไปไม่ได้ หนักๆ เข้ามันจะเหมือนเปลี่ยนเจ้าของประเทศไทยที่คนไทยเป็นเพียงผู้อยู่อาศัย ต้องทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย แต่ผลประโยชน์คนต่างชาติที่เป็นเจ้าของเอาไปหมด

เหล่านี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มองไม่เห็น แต่อันตรายยิ่งนัก

ความยากจนก็เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง

มีโครงสร้างสารพัดที่ทำให้คนจนจน และไม่หลุดจากความยากจน เช่น โครงสร้างทางกฎหมาย โครงสร้างทางการศึกษา โครงสร้างทางการใช้ทรัพยากร โครงสร้างทางสังคม โครงสร้างทางภาษีอากร เป็นต้น

ความยากจนจึงแก้ไม่ได้โดยการไปแจกทานและเอาคนจนเป็นพวก ซึ่งเป็นการไม่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนจน ความยากจนจะแก้ได้ต่อเมื่อมีการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนจน และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้คนจนหายจนอย่างถาวรและมีเกียรติ

ในขณะที่เผชิญอันตรายอันร้ายแรงจากภายนอก แล้วเรายังทะเลาะจิกตีกันเอง ก็จะเหมือนไก่อยู่ในเข่ง ที่รอเวลาเขาเอาไปฆ่า แต่ระหว่างนั้นยังจิกตีกันเอง ทั้งๆ ที่จะต้องตายทั้งหมดเหมือนกัน

คนไทยจะต้องรวมตัวกันบินออกจากเข่ง

ความสมานฉันท์รวมตัวร่วมคิดร่วมทำ ทำความเข้าใจว่าอนาคตของเราร่วมกันคืออะไร และสร้างพลังร่วมที่จะไปให้พ้นเข่งหรือภยันตรายที่ครอบเราอยู่ จึงจะทำให้เราสร้างอนาคตประเทศไทยที่ดีให้ลูกหลานของเราอยู่อย่างมี ศักดิ์ศรี มีความภูมิใจ และมีความสุขร่วมกันได้

2.
เหตุปัจจัยของการร่วมกันได้
การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน

เหตุปัจจัยของการร่วมกันไม่ได้ ความขัดแย้ง และความรุนแรงต่างๆ คือการไม่เคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนอื่น

เราไปติดมายาคติเกี่ยวกับคน เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว คนชั้นต่ำ คนชั้นสูง คนจน คนรวย คนมีการศึกษา คนไม่มีการศึกษา คนสังกัดใด พวกใคร ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นมายาคติทั้งสิ้น ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกัน และความอยุติธรรมต่างๆ รวมทั้งการร่วมกันไม่ได้

ลึกที่สุดแล้วทุกคนล้วนเป็นคน

มีศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นคน

เป็นเพื่อนมนุษย์กับเรา

ล้วนปรารถนาความสุข ไม่ปรารถนาความทุกข์

ถ้าอยากเห็นคนไทยรวมตัวกันออกจากเข่ง “รัฐบาลต้องส่งเสริมการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน เคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันตามภูมิภาคต่างๆ ส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำด้วยความเสมอภาคของผู้คนในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง ส่งเสริมระบบการศึกษาและระบบราชการให้เคารพชาวบ้าน ว่าชาวบ้านก็มีความรู้อยู่ในตัว มีปัญญา มีศักดิ์ศรี ต้องกระจายอำนาจไปสู่ชุมชนท้องถิ่นให้มากที่สุด ให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถจัดการการพัฒนาที่สอดคล้องกับความเป็นคนของเขามาก ที่สุด รัฐควรออกกฎหมายตั้งองค์การสื่อสารสาธารณะที่เป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากรัฐและอำนาจเงิน มีที่มาของงบประมาณโดยอิสระอย่างเพียงพอ เพื่อจัดการการสื่อสารทุกประเภท ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เนต สิ่งพิมพ์ และการสื่อสารชุมชน ให้คนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึง และสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ ถ้าคนไทยรู้ความจริงโดยทั่วถึงประเทศจะเจริญขึ้นโดยรวดเร็วและร่วมกันได้

3.
วัตถุประสงค์ของคนไทยร่วมกัน

คนที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกันจะร่วมกันทำ

คนที่มีเป้าหมายการเดินทางร่วมกันจะร่วมกันเดินทางไปทางเดียวกันได้

ควรมีการหาวัตถุประสงค์ร่วมกัน ถ้ามีกระบวนการหาวัตถุประสงค์ร่วมกัน และหาวัตถุประสงค์ร่วมกันได้ คนไทยจะรวมตัวกันเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ร่วมกันนั้น

วัตถุประสงค์ที่แน่นอนและตรงกันหมดทุกคนคือความสุข

ทุกคนต้องการความสุข แต่มักได้รับความทุกข์

แสดงว่ายังขาดความเข้าใจว่าความสุขเกิดจากอะไร มักคิดแบบแยกส่วนเช่นว่าความร่ำรวยทำให้เกิดความสุข คิดเฉพาะความสุขของตัวแต่ไม่นึกถึงความสุขของคนอื่น หรือคิดว่ามีแต่จิตใจเท่านั้นวัตถุไม่สำคัญ ต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น การขาดความเข้าใจว่าความสุขเกิดจากอะไร ทำให้สร้างความสุขไม่ได้ ฉะนั้น ควรใช้เวลาช่วยกันทำความเข้าใจว่าความสุขเกิดจากอะไร ต่อไปนี้เป็นเพียงข้อเสนอเพื่อกระตุ้นให้คิด เมื่อร่วมกันคิดแล้วน่าจะออกมาเป็นปัญญาร่วมที่อาจดีกว่าเท่าที่เสนอ

ความสุขของคนทั้งมวลเกิดจากปัจจัย 8 ประการดังที่แสดงในรูปที่ 1 ดังต่อไปนี้

รูปที่ 1 ปัจจัย 8 ประการของความสุขของคนทั้งมวล
1.การไม่ทอดทิ้งกัน การทอดทิ้งกันทำให้เกิดทุกข์ การไม่ทอดทิ้งกัน การร่วมทุกข์ การมีไมตรีจิตต่อกัน เป็นบ่อเกิดของความสุข การพัฒนาที่เอาเงินเป็นตัวตั้ง คนจะทอดทิ้งกัน

2. การมีเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การมีปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงโดยทั่วถึง การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่เป็นบ่อเกิดของความร่มเย็นเป็นสุข การไม่พอกินไม่พอใช้ การเป็นหนี้สิน การมีมิจฉาอาชีวะ เป็นบ่อเกิดของการแย่งชิง ความขัดแย้ง และความรุนแรง

3. การใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น อากาศ ดิน น้ำ ป่า เป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิต ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึง และใช้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ความไม่เป็นธรรม และการแย่งชิงเป็นบ่อเกิดของความยากจน ความขัดแย้ง และความรุนแรง

4. การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน ถ้าคนทุกคนรู้สึกว่ามี และได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคน จะมีความสุขทั้งเนื้อทั้งตัว และเกิดพลังสร้างสรรค์มหาศาล การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนเป็นศีลธรรมพื้นฐานของสังคม เป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่แท้ สิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี สิทธิของผู้ด้อยโอกาส การศึกษาและการสาธารณสุขที่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ การเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเป็นธรรมทางสังคมและสิ่งดีๆ อื่น เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ และทำให้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาทุกประเภท

5. ความเป็นธรรมทางสังคม ความเป็นธรรมทางสังคมทำให้มีความสุข ความรักชาติ รักส่วนรวม ความร่วมมือ การรักษาระบบ ถ้าขาดความเป็นธรรมจะทำให้เกิดความเกลียดชัง ความไม่รักส่วนรวม ความไม่ร่วมมือ ความอยากทำลาย ควรจะดูแลความเป็นธรรมทุกๆ ด้าน ทั้งความเป็นธรรมทางกฎหมาย ความเป็นธรรมทางสังคม ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ฐานะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมากเกินทำให้ขาดความเป็นธรรมทางสังคม ในประเทศเราช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยห่างออกไปเรื่อยๆ ในไต้หวันช่องว่างนี้ลดลงมาก ในประเทศญี่ปุ่นคนที่มีรายได้สูงสุดมากกว่าคนต่ำสุดประมาณ 10 เท่า ในนอร์เวย์ตัวเลขนี้ต่างกันเพียง 7 เท่า เราจะมุ่งแต่สร้างความร่ำรวยอย่างเดียวไม่ได้ เพราะคนที่แข็งแรงกว่าหรือมีโอกาสมากกว่าจะเอาเปรียบคนอื่น ทำให้ช่องว่างนี้ห่างมากขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม การเมือง และความขัดแย้งต่างๆ ตามมา คนไทยคงจะต้องตกลงกันว่าคนที่รายได้ต่ำสุดกับสูงสุดควรจะแตกต่างกันสักกี่ เท่า จึงมีความเป็นธรรมทางสังคม

6. สันติภาพ สังคม ที่มีความรุนแรงหรือสงคราม จะขาดความสุขและขาดโอกาสการขาดพัฒนา สันติภาพเป็นสุขภาวะทางสังคม รัฐต้องไม่ชักนำให้เกิดความแตกแยก แต่ส่งเสริมการคิดอย่างสันติ พูดอย่างสันติสามารถแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ประเทศไทยควรจะมีบทบาทนำในเรื่องสันติภาพ

7. การพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น คนจำนวนมากถึงแม้มีอะไรๆ พร้อมก็ยังไม่มีความสุข แต่มนุษย์สามารถบรรลุความสุขได้ด้วยการฝึก การศึกษาที่เรียกว่า จิตตปัญญาศึกษา ช่วยให้เข้าถึงความจริง ความงาม และความสุข ทุกวันนี้เราศึกษาวิชาต่างๆ ร้อยแปด แต่ไม่เคยศึกษาให้เกิดความสุข รัฐพึงส่งเสริมให้จิตตปัญญาศึกษาเป็นการศึกษาสำหรับคนทั่วไป และอยู่ในการศึกษาทุกประเภทและทุกระดับ อันจะยังให้ความสุขมวลรวมของสังคมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

8. ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นและประชาสังคม ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนที่เป็นไปได้โดยปราศจากความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ควรรีบกระจายอำนาจการพัฒนาให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการเรื่องของเขาเองให้มากที่ สุด ชุมชนเข้มแข็งจะแก้ความยากจนและปัญหาอื่นๆ ได้ทั้งหมด แต่ละท้องถิ่นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย ท้องถิ่นต้องกำหนดการพัฒนาของตัวเองได้ การพัฒนาจึงจะสอดคล้องกับวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ตราบใดที่ความสัมพันธ์ทางสังคมของเรายังเป็นทางดิ่งระหว่างผู้มีอำนาจข้าง บนกับผู้ไม่มีอำนาจข้างล่าง เศรษฐกิจจะไม่มีวันดี การเมืองจะไม่มีวันดี และศีลธรรมจะไม่มีวันดี เศรษฐกิจ การเมือง และศีลธรรมจะดีต่อเมื่อสังคมมีความสัมพันธ์ทางราบ นั่นคือผู้คนมีความเสมอภาคและมีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง หรือที่เรียกว่ามีความเป็นประชาสังคม รัฐต้องส่งเสริมความเป็นประชาสังคม

ถ้าความสุขเป็นที่ต้องการของคนไทยร่วมกัน ก็ต้องสร้างและใช้ดรรชนีวัดความสุข ไม่ใช่ใช้จีดีพีอย่างเดียว จีดีพีไม่ได้บอกปัจจัยของความสุขทั้ง ๘ ประการ ดังกล่าวข้างต้นเลย การเน้นแต่ความร่ำรวยจะนำไปสู่ความเสื่อมเสียทางศีลธรรม ความขัดแย้ง และความรุนแรง

4.
อนาคตประเทศไทย
สังคมแห่งความพอเพียงและสันติ

เราจะเรียกอนาคตของประเทศไทยที่เรามีวัตถุประสงค์ร่วมกันว่าอะไร การเรียกว่าอะไรเป็นการบอกถึงทิศทางที่เราจะไป เรามีวัตถุประสงค์แล้ว เราต้องเลือกเส้นทางที่เราจะไป ถ้าเรามีวัตถุประสงค์อยู่ทางเหนือหรืออุดร หรืออุตระที่แปลว่าสูงส่ง แต่เราไปเลือกเส้นทางทักษิณ เราก็จะไปไม่ถึงเป้าหมายของเรา

เป้าหมายของเราอยู่ที่ความสุข

ปัจจัยแห่งความสุขของเรามี 8 ประการ ดังกล่าวข้างต้น

ทิศทางการพัฒนาของเราจะสร้างปัจจัยทั้ง 8 นั้นอย่างบูรณาการ เราจะเรียกทิศทางนี้ว่าอย่างไร เช่น

การพัฒนาอย่างบูรณาการ
การพัฒนาอย่างสมดุล
การพัฒนาด้วยมัชฌิมาปฏิปทา
การพัฒนาอย่างอาริยะ
การพัฒนาตามแนวทางรัตนโกสินทร์
สันติวรบท
ฯลฯ

ควรจะช่วยกันคิดว่าจะเรียกแนวทางการพัฒนาประเทศของเราว่าอะไร จึงจะมีความหมาย เป็นที่ถูกใจ และชอบใจ

อนาคตประเทศไทยคือสังคมแห่งความพอเพียงและสันติ โดยที่พระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ทรงพระราชทานแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และขณะนี้คนไทยก็คุ้นเคยและพูดถึงคำนี้กันบ่อย คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็ไม่ได้หมายถึงเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่หมายรวมจิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม และปัญญาด้วย ถ้าจะตีความว่าแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและสันติภาพ รวมปัจจัยแห่งความสุขทั้ง 8 ประการ ตามที่กล่าวถึงในตอนที่แล้วด้วยได้ก็จะเป็นการดี

ถ้าตกลงกันว่าแนวทางพัฒนาประเทศไทย จะเรียกว่าอะไรกันได้แล้ว ก็ควรจะสร้างสัญลักษณ์ของแนวทางนั้นเพื่อสร้างความมุ่งมั่นร่วมกัน เมื่อสังคมมีความมุ่งมั่นร่วมกันก็จะเกิดพลังทางสังคมมาก

5.
วิธีการสร้างความมุ่งมั่นร่วมกัน

รัฐบาลควรจัดให้มีการประชุมสมัชชาแห่งชาติที่ว่าด้วย “อนาคตประเทศไทย : อนาคตของเราร่วมกัน” โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทุกภาคส่วนของสังคมไทย ควรมีการการประชุมสมัชชาจังหวัดในทุกจังหวัดในหัวข้อเดียวกันนำมาก่อน แล้วแต่ละจังหวัดส่งผู้แทนประมาณจังหวัดละ 50 คน มาร่วมประชุมสมัชชาแห่งชาติ

ฝ่ายเลาขานุการควรจับประเด็นของข้อเสนอทั้งในสมัชชาจังหวัด และสมัชชาแห่งชาติ มาเรียบเรียงเป็นเป้าหมาย ทิศทาง และระเบียบวาระแห่งชาติ แล้วนำเสนอที่ประชุมใหญ่ เมื่อผ่านการรับรองจากที่ประชุมใหญ่แล้วนำเผยแพร่ทั่วไปให้สังคมไทยรับรู้ และร่วมคิดร่วมทำต่อไป

รัฐบาลนำวาระแห่งชาติที่ได้จากการประชุมใหญ่มาปฏิบัติโดยเชิญชวนทุก ภาคส่วนของสังคมมีส่วนร่วม เป็นการเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง

ในสังคมสมัยใหม่ที่ซับซ้อนและยาก จะใช้แต่อำนาจไม่ได้ผลมีแต่จะนำไปสู่ความพินาศ แต่ต้องใช้การเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง การเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวางคือประชาธิปไตยที่ แท้ ประชาธิปไตยไม่ได้มีแต่การเลือกตั้งเท่านั้น หากได้รับเลือกตั้งมาแล้วปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญา ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย หรือเป็นประชาธิปไตยแต่ในรูปแบบแต่ขาดสาระ หรือเป็นประชาธิปไตยปลอม หรือเผด็จการ

มีแต่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่อยู่บนฐานแห่งการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนไทยทุกคนเท่า นั้น ที่จะสร้างความรัก ความสมานฉันท์ และการร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคที่ยาก พาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่ดีงาม อันเป็นความใฝ่ฝันของคนไทยร่วมกัน

วันเสาร์, ตุลาคม 07, 2549

ทางออกของชาติ !!!

ทางออกของชาติ !!!
ผู้เขียน : นางแก้ว

ทางออกของชาติ : จากรัฐบาลเฉพาะกาลสู่นโยบายแห่งชาติ....ปฐมเหตุจากทฤษฎีแห่งสัมมา (Right Theory) ต่อต้านมหันตภัยมืดของลัทธิข้ามชาติตามวิถีแห่งปฏิวัติสันติ (Peaceful Revolution)

ไม่มีประเทศไหนเหมือนประเทศไทย “ทหารพูดกันรู้เรื่อง....ไม่มีการใช้กำลังแม้แต่น้อย…..ผมเชื่อว่าเป็น เพราะพระบารมีโปรดเกล้า ” เป็นคำพูดของครูประชาธิปไตยของเหล่าทหารแห่งกองทัพไทย ศ.พล.ท.ดร.สมชาย วิรุฬผล ที่ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 9225 ตอนหนึ่งนาฬิกาครึ่งของวัน “รวบอำนาจ “ เมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยกองทัพแห่งชาติภายใต้การนำของพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ.สูงสุดในคืนนั้นและคืนถัดมาในฐานะหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองตาม พระบรมราชโองการ

“ ทหารมีหน้าที่สำคัญในการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุข และจะต้องพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์.....ที่ผ่านมามีการล่อแหลมใน การหมิ่นเหม่พระบรมเดชานุภาพ ” ดร.สมชาย ชี้แจงออกรายการวิทยุอย่างมั่นใจ

คณะ ปฏิรูปได้ประกาศแถลงการณ์ 3 ฉบับติดต่อกันมีใจความชี้แจงชัดเจนว่ามิได้ต้องการยึดอำนาจการปกครอง มิได้ต้องการเป็นผู้กุมอำนาจ แต่เป็นการเข้ามาเพียงชั่วคราวเพื่อแก้วิกฤตบ้านเมือง มีการออกแถลงการณ์ยกเลิกคำสั่งประกาศฉุกเฉินของคุณทักษิณ และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 คณะรัฐมนตรี สภาสูง สภาล่าง และให้คงไว้แต่องคมนตรี

นี่คือการแก้ปัญหาอย่าง “สันติวิธี “ และเป็นไปอย่างมีความชอบธรรมเนื่องจากการก่อการครั้งนี้กระทำในนาม “สถาบัน” มิใช่บุคคล เป็นการรู้รักสามัคคีของ 4 ทหาร4เหล่าทัพทั้งกองทัพโดยมีเจตนารมณ์สูงสุดในการธำรงไว้ซึ่งความมั่นคง สูงสุดของชาติถูกต้องตามกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law) เมื่อเทียบกับปี 2535 พฤษภาทมิฬของรสช. ภาพลักษณ์และทัศนคติของประชาชนที่มีต่อทหารต่างกันราวขาวดำจนสามารถกล่าว ได้ว่า ทหารมีการพัฒนาอย่างมากต่อทีท่าทางการเมือง การตอบรับจากมหาประชาชนจึงเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางประวัติศาสตร์อีกครั้ง สำหรับประเทศไทย และถ้าหากตีความในทัศนะของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ การเข้ายึดกุมอำนาจในครั้งนี้จึงไม่อาจเรียกว่าเป็นรัฐประหาร หรือ Coup d’Etat อย่างเช่นในอดีต นอกจากคณะนี้ไม่ต้องการยึดอำนาจแล้วยังแต่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งนับเป็นพัฒนาการในบทบาทของทหารแห่งกองทัพไทยซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากอดีต

“ Old solders never die, they just fade away.” ศาสตราจารย์ พลโท ดร.สมชาย วิรุฬผล ย้ำ ” ทหารและกองทัพไทยจึงต้องร่วมการสถาปนาระบอบ เชื่อว่าคณะปฏิรูปครั้งนี้จะต้องดำเนินการ คืนอำนาจอธิปไตยให้แก่ปวงชน “ คือคำพูดของครูทหารในคืนวันแรกของการยึดกุมอำนาจ

เป็นที่แน่ชัดว่า นี่คือการปฏิรูปในปฏิวัติ (Reform in Revolution) แต่เป็นการหลีกเลี่ยงการใช้คำ เพราะเกรงว่าผู้คนจะเกิดความหวาดกลัว เหตุเพราะว่ามีการใช้ศัพท์ทางวิชาการผิดมาตั้งแต่ต้น จากการใช้คำว่ารัฐประหาร (coup d’etat )มาเป็นเครื่องมือของการปฏิวัติ (Revolution) ปฏิรูปในปฏิกิริยาคือการปฏิรูปเพื่อรักษาระบอบเดิมไว้ส่วนปฏิรูปในปฏิวัติ นั้นเป็นไปเพื่อไปนำไปสู่การปฏิวัติ คือสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบใหม่

ขบวน การประชาธิปไตยได้อธิบายมาโดยตลอดว่าแท้จริงแล้วประเทศไทยไม่เคยมี ประชาธิปไตย ในระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมาเป็นการปกครองระบอบเผด็จการมาโดยตลอด แต่ก็ถูกตบตาโดยชนชั้นปกครอง และถูกครอบงำโดยระบบการศึกษาจนเข้าใจว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่นักวิชาการตามระบบในสถาบัน เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าปฏิรูป เพื่อเป็นการแสดงความเข้าใจร่วมกัน ขบวนการฯจึงขอเรียกว่า ปฏิรูปในปฏิวัติ อันสืบเนื่องมาจากเจตนารมณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตยนั่นเอง นั่นคือการชี้ให้เห็นว่ากระบวนการปฏิรูปเช่นนี้จักเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่ นำไปสู่การปฏิวัติทางการเมืองการปกครองสู่ระบอบใหม่ตามทฤษฎีปฏิวัตินั่นเอง

หลาย วันผ่านไปในช่วงแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนจะเนิ่นนานจนประชาชนเริ่มรู้ สึกอึดอัดขัดเคือง ประการหนึ่ง คปค.ขีดเส้นให้ตนเองเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ทั้งๆที่หากจะอยู่กุมอำนาจนานกว่านั้นประชาชนก็เปิดทางให้ แต่สัปดาห์แรกคปค.ก็พบกับคำวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อและประชาชนอย่างหนัก เพราะเหตุที่นำนักวิชาการสายรัฐธรรมนูญที่เคยทำงานสนองต่อระบอบเผด็จการ ทักษิณมาเข้าร่วมประชุมอย่างเอิกเกริก

แน่นอน....สถานการณ์ขณะนี้ ประเทศชาติและประชาชนจึงอยู่ภายใต้ระบอบคปค.คือระบอบการส่งไม้ผลัดไปสู่ รัฐบาลเฉพาะกาลหลังสัปดาห์ที่สองตามที่ประกาศไว้ อำนาจอธิปไตยถูกนำมาพักไว้บนหิ้ง แต่ยังไม่มีคำสัญญาใดๆจากคปค.ว่าได้ถ่ายโอนอำนาจอธิปไตยใดสู่ปวงชนเฉกเช่น พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงพยายามกระทำให้บังเกิด

(ยังมีต่อ...)
วันที่ : 6 ต.ค. 49 เวลา : 11:45:26 PM

ความคิดเห็น
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 1 Posted: 10/6/2006 11:48:00 PM
ฤารอยต่อประวัติศาสตร์จะกลับคืนเข้าสู่ที่เดิมหรือว่าจะยังถูกกระทำให้ผิดเพี้ยนต่อไปด้วยโครงสร้างและวิธีคิดแบบเดิมๆ ?

เป็น ดังคาด นักวิชาการไทยหลายท่านแสดงความหวาดกลัวออกมาแล้ว ว่าไม่เชื่อในวิธีการของทหาร แม้จะไม่ต้องการระบอบทักษิณก็ตาม หลายท่านยังคงคิดว่าการแก้ปัญหาประเทศชาติอยู่ที่การ “ เร่ง” ร่างรัฐธรรมนูญ โดยยังคิดว่ารัฐธรรมนูญคือประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติขอฟันธงว่านี่คือร่องรอยทางความคิดของนักวิชา การสายรัฐธรรมนูญนิยมที่ยังมองปัญหาประเทศชาติไม่ออก

ณ วันที่เขียนบทความชิ้นนี้ คปค.ได้ผันเปลี่ยนไปเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ มีการโปรดเกล้าพระราชทานนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือพลเอก สุรยุทธ์ จุลลานนท์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยมีนักกฎหมายสาย รัฐธรรมนูญนิยมทั้งสามท่านที่ประชาชนออกมาท้วงติงถึงความไม่ชอบธรรมในทันที ทันใด

เรื่องการเร่งแก้รัฐธรรมนูญนี้ อ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เคยเขียนชี้แจงไว้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดว่าการเร่งแก้รัฐธรรมนูญ มิใช่การแก้ปัญหาของชาติ หากแต่เป็นการละทิ้งปัญหาต่างหาก การสร้างประชาธิปไตยมิได้สร้างจากกระดาษ อุปมาดั่งธรรมนูญแห่งชีวิตคู่ของสามีภรรยาที่ไม่จำเป็นต้องได้เริ่มต้นจาก การจดทะเบียนสมรสก่อนเสมอไป

“ ผู้ที่เข้าใจว่าหน้าที่ของรัฐบาลชั่วคราว คือการเร่งร่างรัฐธรรมนูญและประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็วนั้น ควรระลึกถึงประกาศพระบรมราชโองการตั้งสมัชชาแห่งชาติ ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2516 ซึ่งมีความตอนหนึ่งว่า “โดยสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ และรากฐานการปกครองราชอาณาจักร ก่อนที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญนั้น ก็ยังไม่มั่นคงพอที่จะไว้วางพระราชหฤทัยได้” ซึ่งหมายความว่าก่อนที่จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญนั้น สถานการณ์จะต้องเป็นที่ไว้วางใจได้ โดยการปกครองราชอาณาจักรได้มีรากฐานอันมั่นคง ซึ่งความข้อนี้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยเป็นอย่างดี……
.......... บุคคลเป็นอันมากซึ่งมีฐานะเป็นปัญญาชนหรือนักวิชาการ เรียกร้องแต่จะให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยเร็ว โดยไม่คำนึงว่าสถานการณ์จะเป็นที่ไว้วางใจแล้วหรือยัง การปกครองราชอาณาจักรจะมีรากฐานมั่นคงเพียงพอแล้วหรือยัง ยิ่งกว่านั้น พวกเขาต้องการจะให้ประกาศรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ทั้ง ๆที่การปกครองราชอาณาจักรยังไม่มีรากฐานอันมั่นคง โดยเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญนั่นเองจะเป็นของวิเศษบันดาลสถานการณ์ให้เป็นที่ไว้วางใจ และบันดาลการปกครองราชอาณาจักรให้มีรากฐานมั่นคง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่กลับตาลปัตรกับหลักประชาธิปไตยสากล และสร้างความล้มเหลวให้แก่รัฐธรรมนูญมาพอแล้ว.......”

สิ่งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าจากระบบการเรียนรู้ของเราแม้นักวิชาการ ปัญญาชนก็ยังไม่เข้าใจลัทธิประชาธิปไตยอย่างแท้จริงการดำเนินการของคณะคปค. (ในรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) จึงสะท้อนปัญหาดั้งเดิมของประเทศไทย นั่นคือแม้ชนชั้นนำ ก็ยังตกอยู่ภายใต้ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมมาช้านานจนยากต่อการชี้แจงแก้ไขความ เห็นผิด (มิจฉาทิษฐิ)

จึงเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่จะต้องรู้เท่าทัน กล เกม โกงเหล่านี้ จาก “มหันตภัย” มืดของนักปกครองที่ไม่รู้จักคำว่า “ประชาธิปไตย” ในเนื้อหาอย่างถ่องแท้แต่กลับทำได้แค่เพียงรูปแบบฉาบฉวย การที่มหาชนคนไทยออกมาท้วงคปค.เพื่อต่อต้านนักกฎหมายทั้งสามคนให้ออกไปจาก การทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ทฤษฎีใดๆอธิบายแม้แต่น้อย และนี่คือการเริ่มต้นบทบาทใหม่ของมวลชนประชาธิปไตยที่ผ่านการขับเคี่ยวทาง ความคิดมาในระดับหนึ่งซึ่งผู้ปกครองใดๆก็ไม่สามารถปรามาสบทบาทเช่นนี้ได้ กระแสการต่อต้านนักวิชาการสายรัฐธรรมนูญอย่างดร.วิษณุ เครืองาม ดร.บวรศักดิ์ อุวรรโณ และคุณมีชัย ฤชุพันธ์ จึงสะท้อนออกมาจากมหาประชาชนอย่างมิหยุดยั้ง

(ยังมีต่อ....).

ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 2 Posted: 10/6/2006 11:49:12 PM
ต้องร่วมมือกันระหว่างทหารกับประชาชน

อย่าง ไรก็ดีพล.อ.สนธิ บุณยรัตกลินยอมรับตรงๆว่าไม่เข้าใจการเมืองนัก แต่การที่ทหารไม่เข้าใจการเมืองนี่เองกลับเป็นสิ่งน่าเป็นห่วงเพราะทหารได้ รุกทำการรุกทางการทหารจนคืบหน้าแล้วแต่ยังขาดแนวรุกทางการเมือง หากกองทัพไม่เข้าใจการเมืองก็ไม่น่าจะเป็นข้ออ้างที่ยอมรับได้ ทหารแห่งกองทัพไทยต้องเข้าอกเข้าใจการต่อสู้อย่างต่อเนื่องของประชาชนตลอด ระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาว่าจะสูญเปล่าไปในขั้นตอนนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาและไม่ใช่วัฒนธรรมของคนไทยที่ประชาชนจะรวมตัวกันเพื่อ กระทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงขนาดนี้ถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยจิตสำนึกอย่างยิ่ง การตื่นพร้อมของประชาชนและให้การสนับสนุนทหารทางการเมืองอย่างเต็มที่ไม่ สมควรหยุดชะงักลงตรงคำว่า “ไม่รู้” ของผู้นำ หากทหารทำความเข้าใจเพิ่มถึงระบบความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างประชาชนกับ พระมหากษัตริย์ ทหารแห่งกองทัพไทยที่ขึ้นตรงกับจอมทัพ (Generallisimo) คือองค์พระธรรมราชาประมุขแห่งชาติแล้ว ก็จะเข้าใจว่ากองทัพจะเป็นกลไกเชื่อมประสาน “การเมือง” หรือ “รับลูก” ในจังหวะนี้ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมได้อย่างไร

ประชาชนได้ชุมนุม เรียกร้องอย่างสันติ (Peaceful) มาโดยตลอด กองทัพไทยเองได้กระทำการในการยึดอำนาจโดยสันติและอย่างละมุนละม่อม....... มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมจะทำให้เกิดการปฏิวัติสันติ (Peaceful Revolution) ทางการเมืองขึ้นในประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลกไม่ได้เล่า ? การรุกทางการเมืองโดยทหารจึงจำเป็นมากต่อการล้มล้างระบอบเก่าและกำจัดทิ้ง ซึ่งกลไกเก่าผุ และบุคลากรล้าหลัง ออกไปทั้งระบบอย่างเด็ดขาด

ขบวน การประชาธิปไตยแห่งชาติจึงต้องอรรถาธิบายเพื่อสร้างทำความเข้าใจร่วมกันต่อ อีกว่าสถานการณ์ขณะนี้มิได้ต่างจากในปี 2475 ที่คณะราษฎรยึดอำนาจจากพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 โดยที่ไม่เคยบอกว่า “ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” คณะคปค.(ในรูปของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ถึงแม้จะมีเจตนารมณ์ที่ดีแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าอำนาจที่ตนยึดมานั้นเป็น “ของร้อน” ที่ต้องรีบถ่ายโอนอย่างถูกที่ถูกทางสู่ภาชนะที่เหมาะสมเท่านั้น ของร้อนนั้นจึงจะไม่ลวกมือ นั่นก็คือการทำอำนาจนั้นให้เป็นของปวงชนเสียโดยด่วนตามครรลองของการสถาปนา ลัทธิประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย คณะคปค. (ในรูปของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ยังไม่มี “ข้อต่อ “ ทางการเมือง ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรม ระบอบคปค.มีอายุเพียง2 อาทิตย์ จึงเป็นจุดเชื่อมต่อที่อันตรายมากหากนำแนวทางรัฐธรรมนูญนิยมแบบคณะ ราษฏรมาใช้ซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีก

สถานการณ์ในขณะนี้คือความเป็น จริงที่ว่าการรุกทางการเมืองของประชาชนเป็นฝ่ายกระตุ้นให้ทหารออกมากระทำ การรัฐประหาร แต่ประชาชนมิได้ถืออำนาจรัฐแต่อย่างใดเป็นเพียงกลุ่มคนที่สร้างแรงกดดัน (Pressured Group) จนเป็นผลสำเร็จ แต่ขณะนี้การรุกทางการทหารของคปค. กลับมิได้ดำเนินการรุกทางการเมืองให้สอดคล้องไปกับมติมหาชน ทั้งๆที่สถานการณ์ขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีที่สุดในการรุกคืบ เพราะ 1) กองทัพถืออำนาจรัฐอยู่ 2) ประชาชนกำลังนิยมทหาร
ทำอย่างไรจะทำให้ทหาร ผู้กล้าทำรัฐประหาร กล้าอีกขั้นหนึ่งที่จะก้าวออกจากวงศ์วานว่านเครือและความคุ้นเคยเดิมของคำ ว่า “พวกพ้อง” โดยไม่ต้องเกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม มาสู่การสรรหาบุคคลคุณภาพที่เหมาะกับงานแต่ละสายโดยไม่ยึดติด องค์กรสถาบัน หรือแม้แต่ตัวตนอันเป็นอัตตาที่ไร้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ นี่ไม่ต่างอะไรเลยกับแนวทางนักปฏิบัติธรรมที่ต้องก้าวล่วง “ สักกายทิษฐิ " ที่เห็นว่าสิ่งนั้นมีตัวมีตนอันเป็นแนวทางแห่งอริยมรรคของผู้ที่จะผ่านวิถี ปุถุชนสู่การเป็นอริยบุคคลชั้นต้น

มาถึงวันนี้ เห็นทีจะต้องปรึกษาหารือกันเพื่อถามว่าเราจะเปลี่ยนความเห็นผิด แบบมิจฉาทิฏฐิมาเป็นความเห็นถูกเห็นชอบแบบสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร เพราะถ้าหากพลาดครั้งนี้ก็จะเป็นการก่อตราบาปให้กับประเทศชาติ ประชาชนอีกครั้ง
กระนั้นก็ตามขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติยังเชื่อว่านัก วิชาการสายทหารในแนวทหารประชาธิปไตยยังมีอยู่ หากใช้บุคลากรถูก ก็จะยังไม่สายเกินไปสำหรับการระดมสมองในครั้งนี้ ดั่งที่ศ.พล.ท.ดร.สมชาย วิรุฬผลกล่าวว่า นี่คือภารกิจของกองทัพแห่งชาติ มิใช่แค่เพียงคณะคปค.กลุ่มเดียว เพราะคณะคปค.ก่อการขึ้นในนามของกองทัพแห่งชาติอย่างเต็มตัว จึงมีภารกิจที่จะต้องต้องสถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น ไม่ว่าโดยเหตุผลใด คณะคปค.ย่อมต้องเปิดกว้างที่จะนำบุคลากรสายกองทัพที่มีความรู้เรื่องการ ปฏิวัติประชาธิปไตยมาระดมกันแก้ปัญหาให้ถูกทางให้จงได้ คณะคปค.จะต้องประกาศว่าจะสถาปนาประชาธิปไตยให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร

“ การประกาศว่าจะสร้างความสมานฉันท์ ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิรูปกันแล้ว “ คือคำวิจารณ์ตรงไปตรงมาของทหารประชาธิปไตย “ จะปฏิรูปกันไปทำไมถ้าไม่เด็ดขาด ตัดขาวตัดดำ และเลือกแนวทางที่ถูกตั้งแต่ต้น”

(ยังมีต่อ....)

ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 3 Posted: 10/6/2006 11:50:45 PM
ปฏิวัติประชาธิปไตย ต้องปฏิวัติการศึกษาทั้งระบบ และชำระประวัติศาสตร์ไทยใหม่

แท้ จริงแล้วการสร้างประชาธิปไตยในแนวคิดลัทธิประชาธิปไตย ได้รับการริเริ่มไว้แล้วโดยพระมหากษัตริย์ไทยเริ่มต้นขึ้นในสมัยพระพุทธ เจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงสร้างไม่สำเร็จ ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน จนถึงรัชกาลที่ 6 ที่ทรงสร้างลัทธิประชาธิปไตยต่อทางความคิดด้วยการสร้างลัทธิชาตินิยมมาต่อ สู้กับลัทธิล่าอาณานิคมอันเป็นภัยจากต่างชาติ จากนั้น พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เผชิญหน้าและทรงปราชัยต่อกลุ่มคนไทยใจฝรั่งเช่นคณะ ราษฎรที่ก่อการรัฐประหาร โดยเห็นผิด ( มิจฉาทิฏฐิ ) ว่าการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นมาแล้วประเทศจะกลายเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกได้ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้มิได้มีบันทึกไว้ในวิชาประวัติศาสตร์ไทยในระบบการ ศึกษาประเทศไทย หรือแม้แต่ได้รับการตีความหรือหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์มาก่อนในระบบการศึกษา ของประเทศเรา หากแต่เรากลับร่ำเรียนลัทธิประชาธิปไตยผ่านประวัติศาสตร์ยุโรปและอเมริกาแทน

เมื่อ นำเหตุการณ์มาเปรียบเทียบดู ก็จะเห็นว่าสถานการณ์ในยุคสมัยนี้เลวร้ายยิ่งกว่าสถานการณ์ในสมัยของพระ พุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 และพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 รวมกัน กล่าวคือประเทศไทยกำลังเผชิญภัยอันตรายจากลัทธิความเชื่อที่เกิดจากการเห็น ผิด (มิจฉาทิฎฐิ) ที่ก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อประทศชาติถึงสามอย่างคือ

1. ภัยอันตรายของลัทธิบูชาชาวต่างชาติที่ซ่อนแอบมากับระบอบทุนข้ามชาติของ ทักษิณไม่ต่างจากภัยคุกคามของนักล่าอาณานิคมตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ที่ใช่ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมมาเป็นตัวล่อ ถึงแม้ว่าเหรียญจะมีสองด้านคือด้านชาติและด้านสากลแต่ว่าผู้ปกครองประเทศ นับแต่ปี 2475 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มักให้ความสำคัญของด้านสากลเป็นหลักและให้ความสำคัญด้านชาติเป็นรองในหลาย สถานการณ์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดขณะนี้คือการให้ความสำคัญของคำวิจารณ์จากผู้นำ สหรัฐอเมริกาจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง ในขณะที่รัชกาลที่ 6 ทรงให้ความสำคัญของชาติเป็นหลักและให้ความสากลเป็นรอง โดยการสร้างชาติด้วยลัทธิชาตินิยมต่อสู้ภัยต่างชาติมาจนเป็นผลสำเร็จ

2. ภัยอันตรายของลัทธิบูชารัฐธรรมนูญที่สะท้อนมาจากนักกฎหมายทั้งสามในแนว ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมไม่ต่างจากกลุ่มคณะราษฎรที่เร่งร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา แซงโค้งการปฏิวัติประชาธิปไตยของรัชกาลที่ 7 ที่ได้ทรงร่างรัฐธรรมนูญของพระองค์ที่พร้อมจะทรงมอบให้แก่ประชาชนอยู่ก่อน แล้ว และเข้าทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการ ปกครอง

3.ภัยอันตรายที่เลวร้ายที่สุดจากลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ทำ หน้าที่ชักใยวางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีอยู่เบื้องหลังระบบทุนนิยมของเผด็จ การทักษิณ ซึ่งเลวร้ายกว่าก็เพราะว่าหากเกิดการเพลี่ยงพล้ำในการประคองสถานการณ์ต่างๆ ขบวนการก่อการของลัทธิคอมมิวนิสต์ก็จะเข้ามาฉกฉวยโอกาสยึดกุมสถานการณ์ใน ทันที ซึ่งเป็นภัยอย่างหนึ่งที่ในสมัยของพระพุทธเจ้าหลวงไม่มี

(ยังมีต่อ....)

ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 4 Posted: 10/6/2006 11:53:42 PM
คือภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของมวลหมู่มหาประชาชนแห่งยุคสมัย........

ทว่า ขณะนี้ประชาชนคนไทยมีการศึกษามากกว่าเดิมมิได้มีชีวิตอยู่ในสมัยเลิกทาส ใหม่ๆเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาอีกต่อไป มวลชนประชาธิปไตยที่ผ่านการเคี่ยวกรำทางความคิด ออกมาเรียกร้องให้เผด็จการลาออกจากอำนาจ ประชาชนมีการรวมตัวกันเพื่อต่อต้านการขายชาติยึดครองประเทศๆไทยทางเศรษฐกิจ คนล้าหลังได้ตื่นตัวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย ในสมัยรัชกาลที่ 5 การถูกชาติมหาอำนาจแบ่งประเทศไทยออกเป็นเศษเสี้ยว แบ่งแยกกัมพูชาและตัดดินแดนอีกฝั่งแม่น้ำโขงคือประเทศลาวออกไปที่ทรงทำให้ พระองค์ทรงทุกข์โทมนัสอยู่พระองค์เดียวเพราะประชาชนในสมัยนั้นยังไม่มีการ ศึกษาพอที่จะรับรู้ได้

ผู้ปกครองเห็นผิด นักกฎหมายหลงโรงเห็นผิด ทหารไม่รู้การเมือง แต่ประชาชนไม่ควรเห็นผิด ไม่รู้เกม กลกาม ตามไปด้วย ทางเดียวที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงคือการสร้างมวลชนประชาธิปไตยให้เข้ม แข็ง ก้าวหน้า รู้เท่าทันมหันตภัยของลัทธิทั้งสามดังที่ได้อธิบายมา เพื่อสนองคุณแผ่นดิน กอบกู้บ้านเมืองให้พ้นวิกฤตในขั้นต่อไป

ยังมีต่อ....

ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 5 Posted: 10/6/2006 11:54:49 PM
สร้างรัฐบาลเฉพาะกาล ทำให้อธิปไตยเป็นของปวงชน ขยายเสรีภาพของบุคคล ตามนโยบาย 66/23

ใน สถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมเป็นรัฐบาลชั่วคราว(เฉพาะกาล) โดยอัตโนมัติ แต่หากจะเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลที่มุ่งสร้างบ้านแปงเมืองใหม่ รัฐบาลนี้จะต้องอุบัติขึ้นอย่างสง่างามโดยเหตุผลหลักประการแรกคือ “ล้มล้าง” ระบอบปัจจุบันที่เป็นเผด็จการรัฐสภาเบ็ดเสร็จให้หมดจากแผ่นดินและมุ่งวาง รากฐานระบอบประชาธิปไตยขึ้นใหม่จึงจะเป็นที่ยอมรับได้ของมหาชน หากมิได้ทำการล้มล้างระบอบก็เท่ากับว่าเข้ามาเพื่อยอมรับเผด็จการแบบเดิมๆ ต่อไป ถึงแม้ว่าประชาชนจะก้าวหน้าสักเพียงไรแต่ในเมื่อพรรคการเมืองยังคงความเป็น เผด็จการอยู่ ก็จะไม่สามารถสร้างพรรคการเมืองของประชาชนเพื่อถือดุลร่วมกับพรรคของนายทุน ผูกขาดได้ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติจึงได้เสนอให้มีพรรคที่พัฒนามาจากประชาธิปไตย อย่างเป็นธรรมชาติซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาสักระยะมิใช่พรรคที่เกิดขึ้นจากการ จดทะเบียนตีตราที่สามารถเกิดขึ้นชั่วข้ามวัน โดยเหตุนี้เราจึงต้องหยุดพักเรื่องการเลือกตั้งไว้ชั่วคราวและนำรัฐบาล เฉพาะกาลเข้ามารองรับโครงสร้างการเปลี่ยนแปลงฐานรากในขณะนี้ก่อน

ปัญหา ประเทศไทยขณะนี้จึงเป็นปัญหาทางความคิดหมักหมมบูดเน่ามาถึง 75 ปีถูกการศึกษาครอบโดยเผด็จการชุดแรกให้เชื่อว่าเราอยู่ในระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยซึ่งแท้จริงแล้วคือเผด็จการ ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนไทยได้ตระหนักรู้ว่าการปกครองในประเทศไทยที่ผ่านมามิ ได้เป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อแท้ หากแต่เป็นการนำรูปแบบมาเพื่อตบตาประชาชน เมื่อประชาชนคนไทยได้ตระหนักแล้วก็จะเข้าใจว่าขณะนี้คณะคปค.(ในรูปคณะมนตรี ความมั่นคงแห่งชาติ) ยังมิได้ดำเนินการสร้างระบอบใหม่แต่อย่างใด หากแต่ยังอยู่ภายใต้กลไกเผด็จการรัฐสภาอันมีนักกฎหมายสายรัฐธรรมนูญนิยม เป็นผู้เชื่อมโยงสายใย

ดังวรรคทองของอ.ประเสริฐ ที่ว่า “ ปัญหาแก้รัฐธรรมนูญเป็นปัญหาความขัดแย้งของผู้ปกครองเท่านั้น มิใช่เรื่องของประชาชนไม้แต่น้อย เป็นเรื่องผลประโยชน์ของเผด็จการทั้งสิ้น ประชาชนจะไปอยู่ข้างไหนก็ไม่ถูกทั้งสิ้น มีแต่ทำให้เผด็จการรัฐสภาถูกทำลายไปเท่านั้นคือผลประโยชน์ของประชาชน”

ประชาชน จึงพึงตระหนักที่จะทวงถามถึงอำนาจอธิปไตยที่คปค. (ในรูปของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ได้ถ่ายโอนไปว่าจะนำมาใช้อย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อมหาชน นอกจากการเร่งร่างรัฐธรรมนูญในกระดาษ และยังต้องถามต่อไปว่าอำนาจอธิปไตยนั้นจะถูกนำมาใช้อย่างไรอย่างเป็นรูปธรรม คณะคปค.จำเป็นต้องวางผังการร่าง ทำRoadmap ออกมา นี่คือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขที่จะดำเนินการอย่างสง่างามโดยมีพลังประชาชนเปรียบเสมือน “ กองทัพแห่งความชอบธรรม” คอยให้การสนับสนุน ชี้แนะ และให้กำลังใจอย่างสมัครสมานสามัคคี

การสถาปนาการปกครองในลัทธิ ประชาธิปไตยนั้นโดยแท้จริงปรากฏอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วในนโยบาย66/23 ซึ่งเป็นแนวทางสร้างประชาธิปไตยขั้นสองคือ การทำให้อธิปไตยเป็นของปวงชน และขยายเสรีภาพของบุคคลให้บริบูรณ์ ไม่ว่าจะดำเนินการใดๆ ผู้ปกครองจะต้องยึดหลัก 5 ประการของลัทธิประชาธิปไตยไว้อย่างแม่นมั่น โดยเพิ่มเติมไปอีก 3 ข้อ คือหลักความเสมอภาคหลักนิติธรรม นั่นคือ

ในนโยบาย 66/23 หรือนโยบายแห่งชาติ (National Policy) ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้าไว้อย่างเป็นรูปธรรมต่อการแก้ปัญหาชาติ รวมทั้งนโยบายทางเศรษฐกิจที่จะหล่อเลี้ยงระบอบ”ประชาธิปไตยแบบไทย” ตามแนวทางพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดชรัชกาลปัจจุบัน

รูปแบบการถ่ายโอนอำนาจนั้น พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำริไว้แล้วให้มีการถ่ายโอนอำนาจจาก สภาองคมนตรีไปสู่สภาปวงชนชาวไทยอย่างสันติ สภาดังกล่าวเป็นสภาที่สถาปนาขึ้นมาจากผู้แทนปวงชนหลากหลายสาขาอาชีพ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสภาร่างรัฐธรรมนูญตามที่ปรากฏเป็นข่าวออกมาใน ปัจจุบัน การสร้างสภาขึ้นมาก็จะเป็นการสถาปนาสภาปวงชนขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การดำริให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นวงจรความคิดแบบเดิมในรูปแบบเดียวกัน กับคณะราษฎรนั่นเอง

จึงขอฝากไปยังประชานทุกท่านและขอให้จดจำคำครู ไว้ว่า “ ไม่มีประเทศไหนในโลกนื้ที่มีผู้ปกครองพูดแต่เรื่องรัฐธรรมนูญโดยยกเอา ประชาชนมาบังความชั่วร้าย ที่จริงก็คือเอารัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือแย่งอำนาจกันเท่านั้น “

ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
The National Democratic Movement of Thailand (NDMT)
www.geocities.com/thaidemocratic

ตอบกระทู้
นางแก้ว
ความคิดเห็นที่ 6 Posted: 10/7/2006 12:07:06 AM
สำหรับ ท่านผู้อ่านที่ต้องการแสดงทัศนะ หรือแลกเปลี่ยนข่าวสารใดๆ หลังอ่านข้อเขียนชิ้นนี้ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างก็ตาม ส่งเมล์มาได้ค่ะที่

ndmtsociety@gmail.com

และขอขอบคุณต่อการสละเวลาอันมีค่าของท่านในการทำความเข้าใจกับเนื้อหามาอย่างต่อเนื่อง

ขอ ให้กุศลแห่งการมีจิตสำนึกสูงส่งของท่านผู้อ่านในฐานะผู้ปกป้องแผ่นดินจาก ภัยมืดและอวิชชานานา นำมาซึ่งการเห็นชอบ(สัมมาทิษฐิ) ของคนไทยทั้งชาติ และก่อให้เกิดความคิดเห็นเสมอกัน (ทิษฐิสามัญญตา) ในเร็ววัน
ส่งผลให้การปฏิวัติสังคมไทยเป็นไปอย่างสันติสัมฤทธิผลด้วยเทอญ.....

วันจันทร์, ตุลาคม 02, 2549

ฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2549


โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 ตุลาคม 2549 12:05 น.


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับชั่วคราว
พุทธศักราช 2549


พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
ให้ไว้ ณ วันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2549
เป็นปีที่ 61 ในรัชกาลปัจจุบัน
-----------



พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า

โดยที่หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึงได้กระทำการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเป็นผลสำเร็จ เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ได้นำความกราบบังคมทูลว่า เหตุที่ทำการยึดอำนาจ และประกาศให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เสียนั้น ก็โดยปรารถนาที่จะแก้ไขความเสื่อมศรัทธา ในการบริหารราชการแผ่นดิน ความไร้ประสิทธิภาพ ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ทำให้เกิดการทุจริต และประพฤติมิชอบขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยไม่อาจหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ อันเป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงทางการเมือง การปกครอง และปัญหาความขัดแย้งในมวลหมู่ประชาชน ที่ถูกปลุกปั่นให้แบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย จนเสื่อมสลายความรู้รักสามัคคี ของชนในชาติ อันเป็นวิกฤตการณ์ความรุนแรงทางสังคม แม้หลายภาคส่วนจะได้ใช้ความพยายาม ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ดังกล่าวแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล กลับมีแนวโน้มว่า จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จนถึงขั้นใช้กำลังเข้าปะทะกัน ซึ่งอาจมีการสูญเสียแก่ชีวิตและเลือดเนื้อได้ นับว่าเป็นภยันตรายใหญ่หลวง ต่อระบบการปกครองระบบเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของประเทศ จำเป็นต้องกำหนดกลไกการปกครอง ที่เหมาะสมแก่สถานการณ์เพื่อใช้ไปพลางก่อน โดยคำนึงถึงหลักนิติธรรม ตามประเพณีการปกครองของประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การฟื้นฟูความรักความสามัคคี ระบบเศรษฐกิจและความสงบเรียบร้อย ของบ้านเมือง การเสริมสร้างระบบการตรวจสอบทุจริตที่เข้มแข็ง และระบบจริยธรรมที่ดีงาม การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ พันธะกรณีตามสนธิสัญญา หรือความตกลงระหว่างประเทศ การส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ การดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ขณะเดียวกัน ก็เร่งดำเนินการให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางจากประชาชนในทุกขั้นตอน เพื่อให้การเป็นไปตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้นำความกราบบังคมทูล จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ใช้บทบัญญัติต่อไปนี้ เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว จนกว่าจะได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่จะได้จัดทำร่างขึ้น และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย

มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้

มาตร 2 อำนาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 3 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับความคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยใน ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และตามพันธกรณีแห่งประเทศ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 4 พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งประธานองคมนตรีคนหนึ่ง และองคมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 18 คน ประกอบเป็นคณะองคมนตรี
การเลือกตั้ง การแต่งตั้ง และการพ้นจากตำแหน่งองคมนตรี และองคมนตรีอื่น ให้เป็นไปตามพระอัธยาศัย
ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราช โองการแต่งตั้งประธานองมนตรี และให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรี อื่น

มาตรา 5 ให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่เกิน 250 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี
ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา
ในการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้คำนึงถึงบุคคลจากกลุ่มต่างๆ ในภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาควิชาการจากภูมิภาคต่างๆ อย่างเหมาะสม
ในกรณีที่มีกฎหมายห้ามมิให้บุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับแก่การได้รับตำแหน่งแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ

มาตรา 6 สมาชิกภาพของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดลงเมื่อ
1. ตาย
2. ลาออก
3.ขาดคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในมาตรา 5
4.ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
5.สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติให้พ้นจากสมาชิกภาพตามมาตรา 8

มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นประธานสภาคน หนึ่ง และเป็นรองประธานสภาคนหนึ่งหรือหลายคน ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ให้นำความในมาตรา 6 มาใช้บังคับแก่การพ้นจากตำแหน่งประธานสภาคนหนึ่ง และเป็นรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วยโดยอนุโลม
ให้ประธานองคมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และการแต่งตั้งประธานสภา และรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

มาตรา 8 ในกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติผู้ใดกระทำการอันเป็นการเสื่อมเสีย เกียรติศักดิ์ของการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือมีพฤติการณ์อันเป็นการขัดขวางต่อการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน มีสิทธิ์เข้าชื่อร้องขอต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อให้ผู้นั้นพ้น จากสมาชิกภาพ
มติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้สมาชิกพ้นจากสมาชิกภาพตามวรรค 1 ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในการลงคะแนน

มาตรา 9 การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกและการ ปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา และกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติ การอภิปราย การลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

มาตรา 10 พระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชบัญญัติโดยคำแนะนำ และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ภายใต้บังคับมาตรา 30 วรรค 1 ร่างพระราชบัญญัติจะเสนอได้ก็แต่โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติร่วมกัน จำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน หรือคณะรัฐมนตรี แต่ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็แต่โดยคณะรัฐมนตรี
ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินตามวรรค 2 หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อความดังต่อไปนี้ ทั้งหมดหรือแต่อย่างหนึ่งอย่างใด กล่าวคือ การตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร การจัดสรร รับ รักษา จ่าย โอน หรือก่อภาระผูกพันแผ่นดิน การลดรายได้แผ่นดิน การกู้เงิน การค้ำประกัน หรือการใช้เงินกู้ หรือร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเงินตรา
ในกรณีเป็นที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติ แห่งชาติเป็นผู้เสนอ จะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวเนื่องการเงินหรือไม่ ให้เป็นอำนาจของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่จะวินิจฉัย

มาตรา 11 ในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องใดอันเกี่ยวกับงานใน หน้าที่ใด แต่รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบเมื่อเห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิด เผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัย หรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน หรือเมื่อเห็นว่าเป็นกระทู้ที่ต้องห้ามตามข้อบังคับ
ในกรณีมีปัญหาสำคัญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จำนวนไม่น้อยกว่า 100 คน จะเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อซักถามข้อเท็จจริงจากคณะรัฐมนตรีก็ ได้ แต่จะลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจไม่ได้

มาตรา 12 ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็น สมควรจะรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอให้มีการเปิด อภิปรายทั่วไปในที่ประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้

มาตรา 13 ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดๆ ในทางแถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็น หรือออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด จะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวผู้นั้นทางใดมิได้
เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในวรรค 1 ให้คุ้มครองถึงกรรมาธิการของสภา ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณารายงานการประชุม โดยคำสั่งของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือคณะกรรมาธิการ บุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตลอดจนผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติทางสถานีวิทยุ กระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ที่ได้รับอนุญาตจากประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย แต่ไม่คุ้มครองสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติผู้กล่าวถ้อยคำในการประชุมที่ มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ หากถ้อยคำที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และการกล่าวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดอาญา หรือละเมิดสิทธิ์ในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ
ในกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติถูกควบคุม หรือขัง ให้สั่งปล่อยในเมื่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติร้องขอ หรือในกรณีถูกฟ้องในคดีอาญาให้ศาลพิจารณาคดีต่อไปได้เว้นแต่ประธานสภานิติ บัญญัติแห่งชาติร้องขอให้งดการพิจารณาคดี

มาตรา 14 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่ เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน
พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจาก ตำแหน่งตามที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติถวายคำแนะนำ และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ
การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะเดียวกันมิได้
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมชี้แจงแสดงความคิด เห็นในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติแต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนน

มาตรา 15 ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความปลอดภัยของประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือเมื่อมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการภาษีอากร หรือเงินตราที่ต้องพิจารณาโดยด่วนและลับ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดัง เช่นพระราชบัญญัติ
เมื่อได้ประกาศใช้พระราชกำหนดแล้ว ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกำหนดต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยไม่ชักช้า ถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติอนุมัติแล้ว ให้พระราชกำหนดนั้น มีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป ถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่อนุมัติ ให้พระราชกำหนดนั้นตกไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนด นั้น เว้นแต่พระราชกำหนดนั้น มีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด ให้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีอยู่ก่อน การแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก มีผลใช้บังคับต่อไป ตั้งแต่วันที่การไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้น มีผลบังคับ
การอนุมัติ หรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ในกรณีไม่อนุมัติ ให้มีผลตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา 16 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกา โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

มาตรา 17 บรรดาบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการใดๆ อันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่รัฐธรรมนูญนี้ จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตร 18 ผู้พิพากษา และตุลาการ มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ในพระปรมาภิไท พระมหากษัตริย์ ให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม ตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 19 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิก ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ มีจำนวน 100 คน
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง และรองสภาร่างรัฐธรรมนูญ อีกไม่เกิน 2 คน ตามมติของสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งประธานสภา และรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง ภายในเวลา 2 ปี ก่อนวันได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และต้องไม่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในขณะเดียวกัน
ให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการของสภา ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณารายงานการประชุม โดยคำสั่งของสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือคณะกรรมาธิการ บุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ และผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทางวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ ที่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับเอกสิทธิ์ และความคุ้มกันตามที่บัญญัติไว้ ในมาตราที่ 13 เช่นเดียวกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ให้นำมาตรา 9 วรรค 1 มาใช้บังคับแก่องค์ประชุมของสภาร่างรัฐธรรมนูญ และให้นำข้อบังคับของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มาใช้บังคับแก่การประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญด้วยโดยอนุโลม

มาตรา 20 ให้มีสมัชชาแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิก ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี มีจำนวนไม่เกิน 2,000 คน
ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง สมาชิกสมัชชาแห่งชาติตามวรรค 1
ให้นำความในมาตรา 5 วรรค 3 และ วรรค 4 มาใช้บังคับแก่การสรรหาบุคคล และการได้รับการแต่งตั้ง เป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติด้วยโดยอนุโลม

มาตรา 21 ในการประชุมสมัชชาแห่งชาติ ให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานสมัชชาแห่งชาติ และรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รองประธานสมัชชาแห่งชาติ
การประชุมสมัชชาแห่งชาติ และวิธีการคัดเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามที่ผู้ทำหน้าที่ประธานสมัชชาแห่งชาติกำหนด

มาตรา 22 ให้สมัชชาแห่งชาติ มีหน้าที่คัดเลือกสมาชิกด้วยกันเอง เพื่อจัดทำบัญชีรายชื่อ ผู้สมควรได้รับการโปรดเกล้า แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 200 คน ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน นับแต่วันเปิดประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งแรก และเมื่อได้คัดเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแล้ว หรือเมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว ยังไม่อาจคัดเลือกได้ครบถ้วน ให้สมัชชาแห่งชาติเป็นอันสิ้นสุด
การคัดเลือกตามวรรค 1 ให้สมาชิกสมัชชาแห่งชาติ มีสิทธิเลือกได้คนไม่เกิน 3 รายชื่อ และให้ผู้ได้คะเเนนเสียงสูงสุด เรียงไปตามลำดับจนครบ 200 คน เป็นผู้ได้รับเลือก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากันในลำดับใด อันจะทำให้มีผู้ได้รับเลือกเกิน 200 คน ให้ใช้วิธีจับสลาก

มาตรา 23 เมื่อได้รับบัญชีรายชื่อที่ได้รับการคัดเลือกจากสมัชชาแห่งชาติแล้วให้คณะ มนตรีความมั่นคงแห่งชาติคัดเลือกบุคคลตามบัญชีรายชื่อดังกล่าวให้เหลือ 100 คน และนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ในกรณีที่สมัชชาแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่ไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา ตามมาตรา 22 วรรค 1 ให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเลือกสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ จำนวน 100 คน เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ให้นำความในมาตรา 5 วรรค 4 มาใช้บังคับแก่การได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการ ตามมาตรา 25 ด้วยโดยอนุโลม

มาตรา 24 ในระหว่างที่สภาร่างรัฐธรรมนูญยังปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญนี้ไม่แล้ว เสร็จหากมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติคัดเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อตามมาตรา 22 ที่เหลืออยู่ หรือจากบุคคลที่เคยเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ แล้วแต่กรณี เพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีตำแหน่งว่าง
ในระหว่างที่ยังมิได้แต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่เหลืออยู่

มาตรา 25 ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ ได้รับการคัดเลือกตามมติของสภา จำนวน 25 คน และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 10 คน ตามคำแนะนำของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

มาตรา 26 เมื่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้จัดทำ คำชี้แจงว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นใหม่นั้นมีความแตกต่างกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา จักรไทย พุทธศักราช 2540 ในเรื่องใด พร้อมด้วยเหตุผลในการแก้ไข ไปยังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ องค์กร และบุคคลดังต่อไปนี้เพื่อพิจารณาและเสนอความคิดเห็น
1. คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
2.สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
3.คณะรัฐมนตรี
4.ศาลฎีกา
5.ศาลปกครองสูงสุด
6.คณะกรรมการการเลือกตั้ง
7.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
8.ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
9.ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
10.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
11. สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
12.สถาบันอุดมศึกษา ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารชี้แจงตาม วรรค 1 ให้ประชาชนทั่วไปทราบ ตลอดจนส่งเสริมและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ประกอบด้วย

มาตรา 27 เมื่อสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้รับร่างรัฐธรรมนูญและเอกสารตามมาตรา 26 แล้ว หากประสงค์จะแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมให้กระทำได้เมื่อมีสมาชิกสภาร่างรัฐ ธรรมนูญลงชื่อรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ และต้องยื่นคำขอแปรญัตติพร้อมทั้งเหตุผลก่อนวันนัดประชุมสภาร่างรัฐธรรม นูญตามมาตรา 28
สมาชิกที่ยื่นคำขอแปรญัตติ หรือที่ให้คำรับรองคำแปรญัตติของสมาชิกอื่นแล้วจะยื่นคำขอแปรญัตติ หรือรับรองคำแปรญัตติของสมาชิกอื่นใดอีกไม่ได้

มาตรา 28 เมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ส่งเอกสารตามมาตรา 26 ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาความเห็นที่ได้รับมาตามมาตรา 26 และคำแปรญัตติตามมาตรา 27 พร้อมทั้งจัดทำรายงานการแก้ไขเพิ่มเติม หรือไม่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมทั้งเหตุผล เผยแพร่ให้ทราบเป็นการทั่วไป แล้วนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา
การพิจารณาของสภาร่างรัฐธรรมนูญตามวรรค 1 เป็นการพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และเฉพาะมาตราที่สมาชิกยื่นคำขอแปรญัตติตามมาตรา 27 หรือที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจะแปรญัตติแก้ไขเพิ่มเติมนอกจากที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 27 มิได้ เว้นแต่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจะเห็นชอบด้วย หรือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมีจำนวนไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 เห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น

มาตรา 29 ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและพิจารณาแล้วเสร็จตามมาตรา 28 ภายใน 180 วัน นับแต่วันเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรก
เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วให้เผยแพร่ให้ประชาชนทราบ และจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างรัฐ ธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งต้องจัดทำไม่เร็วกว่า 15 วัน และไม่ช้ากว่า 30 วัน นับแต่วันที่เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สภาร่างรัฐธรรมนูญประกาศกำหนด
การออกเสียงประชามติต้องกระทำภายในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

มาตรา 30 เมื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จตามมาตรา 29 วรรค 1 ให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐ ธรรมนูญเฉพาะที่จำเป็น เพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับจากวันที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ เพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินการต่อไป ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างจากคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
เพื่อประโยชน์ในการขจัดส่วนได้ส่วนเสีย ห้ามมิให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร หรือดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ

มาตรา 31 ในการออกเสียงประชามติ ถ้าประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติ เห็นชอบ ให้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้บังคับแล้วให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่ง ชาตินำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และเมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและบังคับใช้ได้
เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญและสภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างพระ ราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 30 แล้วเสร็จ หรือเมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามมาตรา 30 สุดแต่เวลาใดจะถึงก่อน ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันสิ้นสุดลง

มาตรา 32 ในกรณีที่สภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา ตามมาตรา 29 วรรค 1 ก็ดี สภาร่างรัฐธรรมนูญไม่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญตามมาตรา 28 วรรค 2 ก็ดี หรือการออกเสียงประชามติตามมาตรา 31 ประชาชนโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบให้ใช้ร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ดี ให้สภาร่างรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงและให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติประชุมร่วม กับคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ได้เคยประกาศใช้บังคับมาแล้วฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันออกเสียงประชามติไม่เห็นชอบ และนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นรัฐ ธรรมนูญต่อไป
ในการประชุมร่วมกันตามวรรค 1 ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม การประกาศใช้รัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระ บรมราชโองการ

มาตรา 33 เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาและรองประธานสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ และสภาร่างรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

มาตรา 34 เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงแห่งชาติ ให้มีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ประกอบด้วยบุคคลตามประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 24 ลงวันที่ 29 กันยายน พุทธศักราช 2549
ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ อาจแต่งตั้งสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเพิ่มขึ้นได้อีก ไม่เกิน 15 คน
ให้หัวหน้า รองหัวหน้า สมาชิก เลขาธิการ และผู้ช่วยเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประธาน รองประธาน สมาชิกเลขาธิการ และผู้ช่วยเลขาธิการ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติตามลำดับ
ในกรณีที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดทำหน้าที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และในกรณีที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติไม่อยู่ หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เลือกสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติคนหนึ่ง ทำหน้าที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
ในกรณีที่เห็นสมควร ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือนายกรัฐมนตรี อาจขอให้มีการประชุมร่วมกัน ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี เพื่อร่วมพิจารณาและแก้ไขปัญหาใดๆ อันเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงแห่งชาติ รวมตลอดทั้งการปรึกษาหารือเป็นครั้งคราว ในเรื่องอื่นใดก็ได้

มาตรา 35 บรรดาการใดที่มีกฎหมายกำหนด ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ หรือเมื่อมีปัญหาว่า กฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ให้เป็นอำนาจของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งประกอบด้วย ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นรองประธาน ผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา โดยวิธีลงคะแนนลับ จำนวน 5 คน เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ และตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งได้รับเลือกโดยทีประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุด โดยวิธีลงคะแนนลับจำนวน 2 คน เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ
ให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตามกฎหมาย ว่าด้วยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ธุรการ และการอื่นใดตามที่ประธานคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมอบหมาย
องค์คณะในการพิจารณาพิพากษา วิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัย ให้เป็นไปตามที่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
บรรดาอรรถคดี หรือการใด ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ของศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ให้โอนมาอยู่ในอำนาจและความรับผิดชอบ ของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ

มาตรา 36 บรรดาประกาศและคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ที่ได้ประกาศ หรือสั่งไว้ ในระหว่างสันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 จนถึงวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปใด และไม่ว่าจะประกาศ หรือสั่ง ให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ ให้มีผลใช้บังคับต่อไป และให้ถือว่า ประกาศหรือคำสั่ง ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้น ไม่ว่าการปฏิบัติตามประกาศ หรือคำสั่งนั้น จะกระทำก่อน หรือหลัง วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นประกาศหรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติ ที่ชอบด้วยกฎหมาย และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

มาตรา 37 บรรดาการกระทำทั้งหลาย ซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึด และควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 ของหัวหน้า และคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว หรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทาง นิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิง

มาตรา 38 ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใดให้วินิจฉัยกรณี นั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข
ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวแก่การวินิจฉัยกรณีใด ตามในวรรค 1 เกิดขึ้นในวงงานของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือเมื่อมีกรณีที่คณะรัฐมนตรีขอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติวินิจฉัย ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติวินิจฉัยชี้ขาด

มาตรา 39 ก่อนคณะรัฐมนตรีเข้ารับหน้าที่ ให้ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ



พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครอง
ในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข