เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพุธ, มิถุนายน 29, 2548

กระบวนทัพสู้สงครามใต้ : กองพลใหม่-ความคิดเก่า ! by สุรชาติ บำรุงสุข


"การรับสมัครทหารใหม่จะต้องเริ่มจากสองด้าน ด้านหนึ่ง คำนึงถึงระดับความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนและจำนวนประชากร อีกด้านหนึ่ง คำนึงถึงสภาพของกองทัพในเวลานั้น และขอบเขตที่เป็นไปได้ของความสิ้นเปลืองของกองทัพในการยุทธ์ทั้งกระบวน"

ประธาน เหมา เจ๋อ ตุง

ธันวาคม 1936



เ ป็นเรื่องที่น่ายินดีว่า ในช่วงปลายรัฐบาลที่ผ่านมามีดำริที่จะให้มีการจัดตั้งกองพลใหม่ขึ้นในภาคใต้ ซึ่งดูไปแล้วก็จะทำให้กองทัพภาคที่ 4 ในอนาคตมีอัตรากำลังถึงสองกองพลทหารราบ แต่เมื่อเรื่องของกองพลใหม่ได้ผ่านจากคณะรัฐมนตรีไปสู่การปฏิบัติเพื่อที่จั ดตั้งกองพลนี้ขึ้นจริงๆ นั้น ก็ได้เกิดความสับสนอยู่พอสมควร โดยเฉพาะชื่อของกองพลกลับดูแปลกๆ คือ กองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากรที่ 15

ถ ้ามองในทางที่ดี รัฐบาลอาจจะพยายามสื่อว่า กองพลใหม่นี้เป็นกองพลพัฒนา ไม่ใช่กองพลดำเนินกลยุทธ์ของทหารราบในแบบปกติ แต่คนที่คุ้นเคยกับบทบาทของกองทัพกับงานพัฒนา ก็เกิดข้อสงสัยอยู่บ้างว่า แล้วในพื้นที่ภาคใต้ ไม่มีกองพลพัฒนาอยู่เลยหรือ ?

คำตอบซึ่งไม่ใช่ข ้อมูลที่เป็นความลับทางราชการทหาร บอกแก่เราได้ทันทีว่า ในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 4 นั้น มีกองพลพัฒนาอยู่แล้ว และว่าที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอีกเช่นกัน หากจะต้องถามต่อว่า แล้วถ้าเช่นนั้น กองพลพัฒนาเดิมที่มีอยู่ในพื้นที่กับกองพลพัฒนาใหม่จะมีภารกิจในการปฏิบัติง านในพื้นที่ซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ก็จะเป็นปัญหาอีกประการที่จะต้องตอบ

แ ต่ถ้าจะตอบว่า กองพลพัฒนาใหม่จะทำงานพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ส่วนกองพลพัฒนาเดิมจะทำภารกิจแบบเดียวกันในพื้นที่นอกสามจังหวัดดังกล่าว คำตอบเช่นนี้กำลังบอกแก่เราว่าพื้นที่ภาคใต้ของกองทัพภาคที่ 4 ต่อไปจะมี 1 กองพลทหารราบและ 2 กองพลทหารพัฒนา

ถ้ากองทัพไทยคิดจะจัดโครงสร้างกำลังรบในลักษณะเช่นว่านี้ ก็คงเป็นเรื่องที่น่าใคร่ครวญเป็นอย่างยิ่ง !



น อกจากนี้ ชื่อของกองพลยังระบุอีกว่า กองพลใหม่จะทำหน้าที่ในการพิทักษ์ทรัพยากร ซึ่งต้องถือว่าผู้ที่ตั้งชื่อกองพลดังกล่าว สามารถทำให้กองทัพไทยมีความแปลกพิเศษเป็นอย่างยิ่ง คือ นอกจากจะมีกองพลพัฒนาแล้ว ก็ยังมีกองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากรอีกด้วย ถ้าคิดให้สอดคล้องกับยุคสมัยก็คงจะต้องเรียกกองพลที่มีชื่อเช่นนี้ว่า "กองพลเอ็นจีโอ" เพราะชื่อกองพลได้สื่อถึงภารกิจพิเศษของทหารว่า นอกจากจะต้องทำงานพัฒนาแล้วก็จะต้องมีบทบาทในการพิทักษ์ทรัพยากรอีกด้วย

แ ต่เราจะคิดอย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นที่ยากต่อการแก้ไข เพราะได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรีออกมาแล้ว และจะต้องถือว่า ถ้ามองจากชื่อของกองพลแล้ว คงจะต้องถือว่ากองทัพไทยมีคุณลักษณะพิเศษ และหากเปรียบในระบบทหารสากล กองพลนี้จะมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า "Development and Resources Protection Division" ซึ่งแม้แต่กองทัพในประเทศสังคมนิยม ที่มีกองพลพัฒนา ก็ยังไม่ก้าวไปไกลขนาดที่กองทัพไทยมี

ในทางกลับกัน ก็มีบางคนคิดไปอีกทางว่า เมื่อตั้งขึ้นมาแล้ว ก็ใช้โอกาสจากการตั้งที่เรื่องผ่านมติคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยเปลี่ยนกองพลนี้ให้เป็นกองพลทหารราบมาตรฐาน และอาจจะทำให้หนักขึ้นด้วยการบรรจุรถรบเข้าไปด้วย อีกทั้งยังหวังเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยว่า การผ่านมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ จะทำให้กระทรวงกลาโหม (ความหมายในระดับกระทรวง) และ/หรือกองทัพบก (ความหมายในส่วนขององค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรง) สามารถบรรจุกำลังพลใหม่ได้หนึ่งกองพล หรือพูดในภาษาราชการ กองทัพบกสามารถเปิดอัตราใหม่ได้หนึ่งกองพล !

ในกรณีของความหวังที่จะ มีอัตราใหม่ เป็นประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่ง เพราะความรับรู้โดยทั่วไปคือ รัฐบาลไม่สนับสนุนให้มีการขยายอัตราบุคลากรภาครัฐ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐบาลไม่สนับสนุนให้มีการตั้งหน่วยราชการใหม่ และเปิดอัตราใหม่เพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่หากจะเปิดหน่วยใหม่ ก็ให้ใช้อัตราเดิมที่มีอยู่ ในความหมายคือเกลี่ยอัตรา ซึ่งน่าจะเป็นหนทางปฏิบัติที่เป็นไปได้มากที่สุด

แต่ดูเหมือนจะไม่มี ใครอยากพูดเรื่องเช่นนี้ เพราะฝันหวานในเรื่องของอัตราใหม่ อาจต้องเป็น "ฝันขม" ไปทันที ยิ่งถ้าจะต้องเกลี่ยอัตราแล้ว ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นปัญหามากขึ้น เพราะจะพัวพันอัตราทั้งในส่วนของกองทัพบกเอง หรืออาจจะพันไปถึงระดับกระทรวงกลาโหมด้วย และถ้าต้องเกลี่ย ใครเล่าจะเป็นคนชี้ขาดว่าใครจะต้องอยู่กับกองพลใหม่ แม้ว่าวันนี้เราจะมีนายทหารที่เสียสละส่วนหนึ่ง ที่อาสาไปอยู่กองพลนี้แล้ว แต่กำลังพลส่วนใหญ่ที่เป็นพื้นฐาน จะเอามาจากไหน

ความเป็นจริงก็คือ มีแต่ข้าราชการอาสาสมัครออกจากพื้นที่สามจังหวัด และหาข้าราชการอาสาสมัครไปสู่พื้นที่นี้ได้น้อยลง ในสถานการณ์เช่นนี้กำลังพลทหารจึงดูจะเป็นส่วนที่ต้องเสียสละอย่างมากกับการ ต้องไปทำงานสนาม แม้ทุกคนจะรับรู้ว่าอาชีพทหารคืออาชีพของการเสี่ยงชีวิตในการสงครามก็ตาม !

ป ัญหาที่กล่าวมาอย่างหยาบๆ ในข้างต้น ชี้ให้เห็นอย่างมากว่า การจัดตั้งกองพลใหม่เป็นสิ่งที่จะต้องคิดให้รอบคอบ จะใช้การคิดในลักษณะแบบง่ายๆ ว่า ในที่สุดแล้ว รัฐบาลก็จะต้องให้การสนับสนุนด้านงบประมาณแก่ทหาร ก็ดูจะเป็นการทำลายคุณค่าของกระบวนการคิดในทางยุทธการเป็นอย่างยิ่ง เพราะดังจะเห็นได้ว่า แม้ในยุคสงครามเย็นที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามใหญ่ทางทหารจากการยึดค รองกัมพูชาของกองทัพเวียดนามนั้น แม้จะมีผู้เสนอให้ขยายกำลังพลด้วยการจัดตั้งกองพลทหารราบใหม่เพิ่มขึ้น ก็ใช่ว่าจะทำได้ง่าย

การจัดตั้งกองพลใหม่นั้น แม้ปัญหาในเบื้องต้นจะเป็นเรื่องของงบประมาณ แต่ปัญหาที่เป็นจริงและบางทีอาจจะใหญ่กว่าเรื่องของงบประมาณก็คือ คำถามในทางยุทธการ การจัดตั้งกองพลใหม่จะสนองตอบต่อประโยชน์ทางยุทธการอย่างไร ? การมีกองพลนี้จะต้องตอบได้ว่า กองพลดังกล่าวได้ช่วยแก้ปัญหาของงานยุทธการในพื้นที่ที่เป็นปัญหาได้ เพราะนักการทหารในโลกสมัยใหม่จะคิดด้วยคตินิยมของการสงครามแบบเก่าที่เชื่อว ่า "พระเจ้าอยู่ข้างเดียวกับฝ่ายที่มีกองพันมากกว่า" (คำกล่าว Marshal Henri de la Tour D" Auvergne Turenne)

กล่าวคือการมีกำลังรบที่เพิ่ มมากขึ้นของฝ่ายเราโดยไม่มีแนวทางการยุทธ์ในสนา มที่ชัดเจนอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าในทางยุทธการได้โดยง่าย

อีกทั้ งคำถามที่สำคัญก็คือ กองพลใหม่จะสนองต่อยุทธศาสตร์ของไทยอย่างไรในสถานการณ์ที่ต้องต่อสู้กับการก ่อความไม่สงบของฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐ ยิ่งถ้าบอกว่าสงครามในภาคใต้เป็นลักษณะของ "สงครามก่อความไม่สงบ" และสิ่งที่รัฐต้องดำเนินการก็คือ "การต่อต้านการก่อความไม่สงบ" (COIN) แล้ว การวางกรอบคิดทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธการ ที่หวังว่ากำลังที่มากกว่าจะ "สยบ" ความรุนแรงจากการก่อความไม่สงบได้ ก็ยิ่งเป็นแนวคิดที่ต้องทบทวนเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีประวัติศาสตร์ทหารของสงครามต่อต้านการก่อความไม่สงบเล่มใด ที่บอกแก่เราว่า รัฐสามารถชนะสงครามชนิดนี้ได้ด้วยการมี และใช้กำลังที่มากกว่า

ในทางตรงข้ามประวัติศาสตร์กลับเตือนให้ผู้สนใ จทั้งหลายต้องสำเหนียกไว้เสมอว ่า การมีและใช้กำลังที่มากกว่าของรัฐ อาจจะกลายเป็น "กับดัก" ของฝ่ายต่อต้านที่ล่อให้รัฐเข้าไปสู่กระบวนทัศน์ของสงครามตามแบบ ที่วางน้ำหนักของชัยชนะไว้กับ "ชัยชนะทางทหาร" ที่มุ่งหวังการทำลายกองทัพข้าศึกเป็นจุดหมายพื้นฐานของการสงคราม เพราะด้วยการที่รัฐมีกำลังมากกว่าอยู่แล้ว จึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างง่ายๆ ว่า ความเหนือกว่าในทางทหารในสงครามตามแบบเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐสามารถเอาชนะสงค รามการก่อความไม่สงบได้ (หรืออาจจะเติมคำคุณศัพท์ ขยายความต่ออีกด้วยว่า "ได้โดยง่าย") ซึ่งไม่จริง !

แน่นอนว่าแม้เราจะแก้ไขมติ ครม. ที่ให้จัดตั้งกองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากรเช่นที่กล่าวแล้วในข้างต้นกันไม่ ได้ แต่ถ้าจะต้อง "ตั้งหลักทางความคิด" แล้ว ก็คงจะต้องยอมรับว่าการถกแถลงในประเด็นนี้มีความจำเป็นทั้งในทางยุทธศาสตร์แ ละยุทธการอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

ในสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน จะต้องยอมรับว่า การจัดและวางกำลังทหารในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นทั้งหัวข้อทางยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อสถานะของประเทศไทยในอนาคตเป็น อย่างยิ่ง จะคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่น หรือเอาไปอิงไว้กับผลประโยชน์ส่วนบุคคลไม่ได้ เพราะสถานะการเป็นผู้ครอบครองจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐไทย กำลังถูกท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จนอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประเทศได้ในอนาคต

ถ้าทดลองคิดกัน ใหม่ กองพลใหม่ของกองทัพภาคที่ 4 ควรมีลักษณะเป็น "กองพลผสม" และบรรจุกรมต่างๆ ตามเงื่อนไขที่เหมาะสมของเหล่าทัพในแต่ละพื้นที่ ซึ่งกองพลควรจะประกอบกำลังมากกว่ากำลังพลจากกองทัพบกในแบบปกติ

โดยจะมีกำลังจากเหล่าทัพอื่นเข้ามาร่วมอยู่ด้วย และใช้เส้นแบ่งจังหวัดเป็นเส้นแบ่งพื้นที่ปฏิบัติการ (AO)



กองพลผสมประกอบด้วย

- กรมปัตตานี (กำลังพลหลักมาจากกองทัพบก และ ผบ.กรม เป็นนายทหารจากกองทัพบก)

- กรมยะลา (กำลังพลหลักมาจากกองทัพบก และ ผบ. กรมเป็นนายทหารจากกองทัพบก)

- กรมนราธิวาส (กำลังพลหลักมาจากนาวิกโยธิน และ ผบ. กรม เป็นนายทหารนาวิกโยธิน)

- กรมเรือชายฝั่ง กองพลนี้จะมีกำลังทางเรือเป็นหน่วยเรือชายฝั่ง เพื่อใช้ในการลาดตระเวน และเฝ้าตรวจแนวชายฝั่งทะเล โดยมีสถานีเรือหลักอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส และมีสถานีเรือย่อยอยู่ที่จังหวัดปัตตานี

- ชุดติดต่อทางอากาศ กองพลนี้มีกำลังทางอากาศในลักษณะของชุดติดต่อและประสานงานทางอากาศ โดยมีกำลังหลักอยู่ที่สนามบินสงขลา และวางกำลังส่วนหน้าไว้ที่นราธิวาส

- กำลังตำรวจ โดยให้กำลังตำรวจที่มีลักษณะของกองกำลังกึ่งทหาร ได้แก่ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) ขึ้นทางยุทธการกับกองพลผสมนี้

- กำลังอาสาสมัครทหารพราน กองกำลังกึ่งทหารของฝ่ายทหารเอง ซึ่งได้แก่ กำลังทหารพราน ควรจะต้องนำมาใช้ในพื้นที่มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือกำลังทหารปกติในภารกิจต่างๆ

กองบัญชาการของกองพลผสมนี ้จะต้องทำให้เป็น "กองบัญชาการรวม" (Unified Command) ของงานยุทธการในพื้นที่สามจังหวัดให้ได้ และในขณะเดียวกันก็ให้กรมจังหวัดที่อยู่ในแต่ละจังหวัด มีฐานะเป็นกองบัญชาการรวมของงานทางยุทธการในระดับจังหวัดด้วย

โดยสภา พเช่นนี้ก็จะทำให้ผู้บังคับการกรมจังหวัดกลายเป็นฝ่ายอำนวยการด้านยุท ธการ (สธ.3) ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด อันจะทำให้ผู้ว่า CEO ในปัจจุบัน มีฝ่ายอำนวยการด้านความมั่นคงที่เป็นทหาร และเป็นผู้ควบคุมงานยุทธการที่เกิดขึ้นในพื้นที่แต่ละจังหวัดจริง มิฉะนั้นแล้ว ผู้ว่า CEO จะเป็นผู้ที่ขาดมิติด้านยุทธการเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าปัจจุบันจะแก้ปัญหาด้วยการให้มีการประชุมระหว่างฝ่ายจังหวัดและฝ่ายทห ารที่อยู่ในพื้นที่ก็ตาม

แต่หากคิดว่าปัญหาการก่อความไม่สงบดังกล่าว เป็นปัญหาที่จะต้องแก้อย่างจริงจ ัง การออกแบบโครงสร้างของกำลังและการจัดความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายทหารกับทางจังห วัดเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมาก มิฉะนั้นแล้วกองพลใหม่จะกลายเป็น "เป็ดง่อย" ที่ทำอะไรไม่ได้ทั้งในทางยุทธศาสตร์และยุทธการ

ที่สำคัญก ็คือ ถ้าไม่คิดอะไรกันให้ชัดเจนแล้ว กองพลใหม่จะเป็นเสมือน "ถูกลอยแพ" ทั้งที่นายทหารหลายคนที่มีฝีมือ ตั้งแต่ผู้บัญชาการกองพลคือ พล.ต.สำเร็จ ศรีหร่าย และอีกหลายคนได้เสียสละลงไปทำงานในพื้นที่แล้ว

ปัญหาคือพวกเราที่อยู่ส่วนหลังจะทำอย่างไรให้พวกเขาไม่เป็น "เป็ดง่อย" ในสนามรบที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ !

http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0416240648&srcday=2005/06/24&search=no

หนี้... โอ๊ย ! เครียด

น ับเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างมาก ที่ปัจจุบันคนไทยมีหนี้สินติดตัวกันมหาศาล อันเป็นหนี้ที่มาจากบัตรเครดิต หนี้ครัวเรือน หนี้เกษตรกร หนี้ทุนการศึกษา ฯลฯ

โดยเฉพาะบัตรเครดิต จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประจำปี 2547 ระบุว่า มีบัตรที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ ถึง 3,319,680 บัตร

บัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารต่างประเทศ ประจำอยู่ประเทศไทย 965,434 บัตร

และบัตรเครดิตที่ออกโดยไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอน-แบงก์) เช่น พวกบัตรอิออน, บัตรอีซี่บาย, บัตรเฟิร์สชอยส์ มากมายถึง 4,519,066 บัตร

แม้บัตรเครดิตจะทำให้คนไทยใช้จ่ายเงินได้สะดวกสบายขึ้น แต่มันก็เป็นดาบสองคม เมื่อมีหนี้ที่เกิดขึ้นทั้งระบบ 118,456 ล้านบาท

เป็นหนี้จากนอน-แบงก์ถึง 50,619 ล้านบาท

ขณะที่หนี้ที่ออกโดยธนาคารไทยอีก 44,413 ล้านบาท

และหนี้ธนาคารต่างประเทศ 23,423 ล้านบาท

แม้จะเป็นตัวเลขเฉพาะบัตรเครดิตเพียงอย่างเดียวก็น่าตกใจแล้ว เพราะมันย่อมชี้ชัดว่าพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนไทยนั้นเป็นอย่างไร

ยิ่งเฉพาะสโลแกนที่ว่า...จ่ายก่อนผ่อนทีหลัง เข้าไปมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมในการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้ประชาชนคนไทยมีหนี้ติดตัวมากขึ้น

ผลตรงนี้ มองเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร หากบุคคลผู้นั้นสามารถจ่ายหนี้บัตรเครดิตให้กับธนาคารตามกำหนด แต่เอาเข้าจริง พฤติกรรมการจ่ายหนี้มักเป็นวัวพันหลัก หลายคนมีบัตรหลายใบ ทุกบัตรเครดิตถูกหมุนเป็นระวิง เพื่อจ่ายทดแทนซึ่งกันและกัน

หากหมุนไม่ทัน ความวุ่นวายในชีวิตจะเกิดขึ้นทันที

จะถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินใช้ยุทธวิธีติดตามทวงหนี้ทุกรูปแบบ โดยแต่ละรูปแบบล้วนทำให้ลูกหนี้บัตรเครดิตเป็นได้อายและประสาทเสีย

ใครแก้สถานการณ์ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าใครแก้สถานการณ์ไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ เมื่อผจญหนี้จำนวนมากๆ เข้า โรคเครียด โรคซึมเศร้าจะย่างกรายเข้าหา

ยิ่งเข้าไปดูตัวเลขหนี้ครัวเรือนแล้วน่ากลัวไม่แพ้กัน เพราะจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 คนไทยมีหนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยแล้วถึง 103,940 บาท

ขณะที่หนี้ในภาคเกษตรกรนั้น คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) รายงานว่า ณ วันที่ 31 มกราคม 2548 มีปัญหาลูกหนี้ค้างชำระเงิน เป็นจำนวนสูงถึง 1,439,370 ล้านบาท

หันไปด้านหนี้ทุนการศึกษา จากข้อมูลของกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ระบุว่าขณะนี้ กยศ. ใช้เงินไปกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อให้นักเรียน นักศึกษากู้ยืมเพื่อเรียนหนังสือถึง 2.3 ล้านคน

โดยนักเรียน นักศึกษา 2.3 ล้านคนนั้น สำเร็จการศึกษาไปแล้วกว่า 1.3 ล้านคน และมีหนี้ตกค้างประมาณ 30% เนื่องจากยังไม่มีงานทำ และปัญหาเศราฐกิจ รวมถึงการวางแผนแนวทางการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน

ดังนั้น จึงทำให้นักเรียน นักศึกษาบางส่วนยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็เป็นภาระของพ่อ-แม่ ผู้ปกครองที่ต้องแบกรับภาระอีก

เมื่อตรวจสอบดูข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีผู้ป่วยโรคเครียดที่เข้ารับบริการในหน่วยงานสังกัดกรมสุขภาพจิตมี 2 ลักษณะคือ ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน

ตั้งแต่ปี 2543-2547 มีผู้ป่วยนอกที่มาปรึกษาและรักษาโรคเครียดสูงขึ้นทุกปี ในปี 2546 มีผู้ป่วยประมาณ 70,000 ราย ขณะที่ปี 2547 เพิ่มเป็นประมาณ 80,000 ราย

"นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน" โฆษกกรมสุขภาพจิตแจงว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขรวม ซึ่งบางครั้งผู้ป่วยรายเดียวกัน อาจมาปรึกษา และรักษาประมาณ 2-3 ครั้งก็อาจเป็นไปได้ อีกทั้งไม่ได้แยกประเภทว่าผู้ป่วยที่มาปรึกษาและรักษาเป็นโรคเครียดเพราะเกิ ดจากหนี้สินทั้งหมด

"แต่โดยรวมๆ แล้ว มูลเหตุส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มาปรึกษาและรักษายอมรับว่าโรคเครียดที่เกิดจากหนี้สินเป็นสาเหตุหนึ่ง"

เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ปี 2543-2547 พบว่าผู้ป่วยในที่มาปรึกษา และรักษาเกี่ยวกับโรคเครียดล้วนมีจำนวนสูงเช่นกัน โดยในปี 2546 มีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 7,000 ราย ขณะที่ปี 2547 มีจำนวนผู้ป่วยประมาณ 9,000 ราย และคาดว่าในปี 2548 น่าจะมีผู้ป่วยที่เกิดจากโรคเครียดมีจำนวนสูงขึ้น

ยิ่งเฉพาะโรคเครียดที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะจากข้อมูลของโรงพยาบาลต่างๆ ที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ระบุชัดว่า มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งต่างหวาดวิตกกับปัญหาเหล่านี้ จึงทำให้ชาวบ้านหลายคนเริ่มเป็นโรคเครียด

ขณะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยากลับมีไม่เพียงพอ !



เ มื่อสอบถามจาก "นายกิติกร มีทรัพย์" นักจิตวิทยา กลับให้ความเห็นว่าเรื่องโรคเครียดที่เกิดจากหนี้สิน และปัญหาเศรษฐกิจนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของประชากรที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ เพราะตราบใดที่ความเจริญมาเยือน นั่นหมายความว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจย่อมเจริญเติบโตตามไปด้วย

"ดังนั้น การที่ธนาคารไทย ธนาคารต่างประเทศ รวมถึงนอน-แบงก์ต่างๆ งัดกลยุทธ์ และวิธีการที่จะให้ประชาชนถือครองบัตรเครดิตมากที่สุด จึงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือพฤติกรรมคนไทยชอบที่จะจ่ายก่อนผ่อนทีหลัง ตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดปัญหา และไม่ใช่เพิ่งเกิด เกิดขึ้นมานานแล้ว"

"ผมมองว่ามันเป็นพฤติกรรมของคนไทยเลยแหละ ยิ่งพวกบัตรนอน-แบงก์ต่างๆ ด้วย ผมจึงมองว่า สิ่งแรกที่เราต้องเตือนคนไทยเลยคืออย่าไปหลงเชื่อกับรูปภาษา ก๊อบปี้ไรเตอร์ที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ เพราะตอนนี้หลายบัตรเครดิต พยายามที่จะชวนเชื่อเรื่องเหล่านี้ จนทำให้ผู้คนหลงเพลินไปกับการสมัครบัตรเครดิต"

"เมื่อสมัครมาก ใช้มาก แต่จ่ายเขาน้อย ก็ทำให้เป็นหนี้กันมาก เมื่อเป็นหนี้มาก ความเครียดย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้ไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ คือต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเสียใหม่ ต้องมีวินัยในการใช้จ่าย เพราะไม่เช่นนั้น จะตกหลุมพราง จนถอนตัวไม่ขึ้น"

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง คงต้องยอมรับกันอย่างหนึ่งว่า "วินัย" ในการใช้จ่ายของคนไทย น้อยคนนักที่จะควบคุมได้

เหมือนกับที่ "นวพร เรืองสกุล" นักวิชาการทางด้านการเงินที่ชี้ง่ายๆ สั้นๆ ว่า...ถ้าทุกคนมีวินัยในการใช้เงิน ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อ และหัดแบ่งเงินเป็นเงินออมเสียบ้าง โรคเครียดที่เกิดจากหนี้สินก็คงไม่เกิดขึ้น

"ไม่ว่าภาครัฐจะกระตุ้นอย่างไร ธนาคารต่างๆ จะหว่านล้อมด้วยสโลแกนน่าใช้อย่างไร ก็คงไม่สามารถทำให้เราๆ ท่านๆเดินตกหลุมพรางได้ เพราะอย่างที่ทราบบัตรเครดิตก็คือบัตรเครดิต บัตรที่เอาเงินอนาคตออกมาใช้ก่อน แต่ท้ายที่สุดก็ต้องใช้เขาอยู่ดี และถ้าหากเราไม่ใช้เขา เขาก็ต้องมีมาตรการ และวิธีการที่จะเอาเงินเขากลับคืน"

ฉะนั้น หมั่นเตือนใจตนเองเสมอว่า ทุกครั้งที่ใช้บัตรเครดิตหรือคิดจะเป็นหนี้นั้นแค่ไหนพอที่มันจะไม่รัดคอเราจนหายใจไม่ออก

http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0424240648&srcday=2005/06/24&search=no

วิธีคำนวณสูตร E=mc2 โดยคณิตศาสตร์ระดับมัธยม

ก ารค้นพบที่มีชื่อเสียงที่สุดคือสมการ E=mc2 ซึ่งไอน์สไตน์บอกกับเราว่า มวลสารกับพลังงานที่จริงเป็นสิ่งเดียวกัน ที่แสดงออกมาในรูปที่ต่างกัน หลักสัมพัทธ์ของไอน์สไตน์ที่บอกว่า สิ่งที่ผู้สังเกตทุกคนสังเกตได้ แม้จะอยู่ในสภาวะความเร็วที่ต่างๆ กันไป ล้วนเป็นความจริง ความถูกต้องทั้งสิ้น นี้แม้ฟังดูง่าย เป็นประชาธิปไตยดี แต่พอเรายอมรับความคิดใหม่นี้ของไอน์สไตน์ เราจะพบความมหัศจรรย์ของจักรวาล พบปริศนาที่น่างวยงง

(คนส่วนใหญ่ที่ได้ฟังผลซึ่งเกิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพเฉพาะเป็นครั้งแรกแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อ และมักจะถามว่าเป็นไปได้อย่างไร ? แต่ขอให้เชื่อเถิด เพราะมีการทดสอบทดลองมาแล้วจนนับครั้งไม่ถ้วน ล้วนปรากฏว่าทฤษฎีไอน์สไตน์ถูกต้อง โดยมีโอกาสผิดพลาดน้อยมาก ในการทดลองบางครั้งผิดพลาดเพียง 1 ในล้านล้านส่วน ทฤษฎีควอนตัมก็มีโอกาสผิดพลาดเพียง 1 ในพันล้านส่วน)

ไอน์สไตน์บอกกับเราว่า คนที่เคลื่อนที่จะวัดระยะทางได้สั้นกว่าคนที่อยู่กับที่ พวกเขาจะวัดมวลสาร เวลา ได้มากกว่าคนที่อยู่กับที่ เช่น ผู้ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง 0.8 ของความเร็วแสง เขาจะพบว่าไม้เมตรยาว 1 เมตร ลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนเวลาบนนาฬิกาข้อมือ 1 ชั่วโมง ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 1/2 ชั่วโมง เวลานี้จะรวมถึงเวลาชีวะ คือความเร็วในการแก่ตัวด้วย จึงเกิดปริศนาฝาแฝดว่า ถ้าแฝดคนหนึ่งเดินทางด้วยความเร็วสูงไปในอวกาศ แล้วย้อนกลับลงมา อาจพบว่าคู่แฝดบนโลกอายุ 80 ปีแล้ว ขณะที่ตัวเองยังอายุ 20 ปีเศษๆ เหมือนเดิม

นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความถูกต้องของทฤษฎีสัมพัทธภาพเฉพาะของไอน์สไตน์ อย่างชนิดไม่ต้องให้มีใครมาเถียงด้วยการผลิตระเบิดปรมาณู ซึ่งยืนยันสูตร E=mc2 อย่างแม่นยำน่าสะพรึงกลัว มีการทดสอบเพื่อวัดเวลาที่เพิ่มขึ้น และระยะทางที่หดสั้นลงหลายหนในยานอวกาศรุ่นต่างๆ ซึ่งส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก ซึ่งก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าถูกต้องหมดทุกอย่าง นักวิทยาศาสตร์ตรวจจับอนุภาคซึ่งเกิดจากรังสีคอสมิกจากดวงอาทิตย์วิ่งมากระท บชั้นบรรยากาศได้บนพื้นโลก ทั้งๆ ที่เมื่อคำนวณอายุขัยของมันตามทฤษฎีแล้ว จะสามารถเคลื่อนที่จากจุดแตกตัวได้ไม่กี่เมตร แต่มันวิ่งลงมาถึงพื้นโลกจนตรวจจับได้ ไม่ใช่เพราะมันวิ่งเร็วอย่างเดียว แต่เป็นเพราะช่วงอายุขัยหรือเวลาของมันยืดยาวขึ้นด้วย (ทั้งหมดนี้ตรงตามที่ไอน์สไตน์คำนวณไว้ทุกประการ)

ความคิดเรื่องภาวะสัมพัทธ์ของไอน์สไตน์มีผลกระทบรุนแรงคล้ายคลื่นยักษ์สึนาม ิ ที่ไม่เพียงกระทบโลกวิทยาศาสตร์ธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังกระทบโลกวิทยาศาสตร์ สังคม โลกแห่งปรัชญา และโลกแห่งศิลปะด้วย ในช่วง 1910 Durkheim ชาวฝรั่งเศส ผู้ถือเป็นบิดาของวิชาสังคมวิทยา ก็เสนอแนวคิดซึ่งตีความเชิงสัมพัทธ์ได้ว่า พฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ถูกกำหนดโดยสังคม ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จากแต่ละสังคมจะมีความคิด พฤติกรรมต่างๆ กันไปตามลักษณะของสังคมนั้นๆ

และที่สำคัญมากก็คือ ทฤษฎีภาษาศาสตร์ของ Ferdinand de Saussure ซึ่งถือเป็นบิดาของวิชาสัญศาสตร์ (Semiology) และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดปรัชญาโครงสร้างนิยมและหลังโครงสร้างนิยม (Post Structuralism) ซึ่งก็คือปรัชญาหลังสมัยใหม่นั่นเอง

Saussure เสนอทฤษฎีที่ฟังดูแล้วไม่ต่างไปจากทฤษฎีของไอน์สไตน์เลยก็คือ เขามองภาษาเป็นระบบของความสัมพันธ์ (หรือสัมพัทธ์) "ในระบบภาษามีแต่เพียงความสัมพันธ์และความต่าง (ซึ่งก็คือความสัมพัทธ์) โดยไม่มีความหมายที่สัมบูรณ์เลย (ไม่มี positive term ซึ่งก็คือไม่มีถ้อยคำที่มีความหมายในตัวเองโดยสมบูรณ์)"



ในด ้านศิลปะ ปิกาสโซและบร๊ากเป็นผู้บุกเบิกศิลปะ Cubism ในราวปี 1909 ศิลปะ Cubism เป็นศิลปะที่เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับ Space มีการฉีกรื้อคติเกี่ยวกับ space เดิมซึ่งแน่นอนคงตัว มาเป็น space ที่แยกออกเป็นส่วนๆ คล้ายสัมพันธ์กัน แต่ละส่วนมองวัตถุ ผู้หญิง รูปร่างคน จากแง่มุมที่ต่างๆ กัน เช่น จากด้านตรง ข้าง ด้านหลัง ปิกาสโซถือว่าแต่ละมุมมองมีสิทธิมีฐานะที่จะปรากฏในรูปได้ แล้วเอาเรียงต่อกันให้เกิดเป็นมุมมองใหญ่เดียวกัน ในภาพหญิงสาว ผู้หญิงร้องไห้ ม้าเจ็บปวด กระทิงดุ ฯลฯ

ในแง่นี้เท่ากับว่าปิกาสโซให้คุณค่าแก่ทุกมุมมองเท่าๆ กัน ตามคติคล้ายทฤษฎีสัมพัทธภาพเช่นกัน ศิลปินคนอื่น เช่น Marcel Proust นักเขียนมีชื่อ ยอมรับอิทธิพลความคิดของทฤษฎีสัมพัทธภาพโดยตรง เขากล่าว่า "มีเรขาคณิตของแผ่นระนาบ ขณะเดียวกันก็มีเรขาคณิตของอวกาศ สำหรับผมนิยายมิใช่เป็นเพียงจิตวิทยาในเชิงระนาบเท่านั้น แต่เป็นจิตวิทยาของเวลาและอวกาศด้วย"

เวลาเขียนรูป ปิกาสโซเอามุมมองหลากหลายมุมมองมาตีแผ่ ไม่ใช่มุมมองเดียวที่สมบูรณ์แบบจิตรกรในยุคคลาสสิค ในการบรรยายบุคลิกตัวละคร

Proust ก็ไม่ยอมรับบทบาทของผู้ประพันธ์ในฐานะผู้มีความรู้อย่างสมบูรณ์ และสามารถพรรณนาทุกๆ ด้านของตัวละคร Proust มองตัวละครของเขา "กระจัดกระจายอยู่ในอวกาศและเวลา" F. T. Marinetti ผู้ให้กำเนิดศิลปะแบบ Futurist เขียนในคำประกาศแรกของกลุ่มว่า "เวลาและอวกาศตายไปแล้วเมื่อวานนี้" กลุ่ม Dada และ Surrealist ได้อิทธิพลจากไอน์สไตน์ชัดเจนดังภาพเขียนเวลาที่หลอมเหลวของ Dali

นอกจากนี้ ในวงการปรัชญศาสน์ (Theosophy) ในกลุ่มของ Steiner ซึ่งพยายามจะเชื่อมโยงศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์หรือปรัชญาวิทยาศาสตร์ ก็ได้อิทธิพลจากแนวทฤษฎีของไอน์สไตน์มาเช่นกัน โดยตีความว่า การปรากฏอย่างปาฏิหาริย์ของ "เหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์" ต่างๆ เป็นไปได้ เนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โผล่ตัวมาจากมิติพิเศษที่นอกเหนือไปจาก 3 มิติของเรา จินตนาการว่ามดขังนักโทษมดไว้ในกรงขัง 2 มิติของตน สมมติว่ามดไม่สามารถเงยหน้ามองด้านบน-ล่างได้ จะมองได้ก็แต่ซ้าย-ขวา หน้า-หลัง เท่านั้น ถ้ามนุษย์ (พระเจ้า) ใช้มือหยิบนักโทษมดขึ้นมาด้านบน มดผู้คุมจะตื่นตกใจว่ามดนักโทษหายตัวไปเฉยๆ (เพราะพวกเขาไม่สามารถมองมิติพิเศษคือด้านบน-ล่างได้)

วงการปรัชญศาสน์จึงฮือฮากันกับการตีความปาฏิหาริย์โดยมิติพิเศษที่เพิ่มขึ้นมาตามทฤษฎีของไอน์สไตน์กันมาก



** สำหรับผู้อ่านที่มีพื้นคณิตศาสตร์ ไอน์สไตน์บอกว่า มวลสารที่เคลื่อนที่ m = m0/(1-v2/c2)? m0 = มวลสารที่หยุดนิ่ง v = ความเร็วของวัตถุ c = ความเร็วแสง จากสมการนี้ใช้การกระจายแบบ binomial ซึ่งนักเรียนมัธยมปลายก็เรียนกันแล้ว จะพบว่า (1-v2/c)? = 1- v2/2c2… เมื่อแทนค่าลงไปในสมการจะได้ (m0-m)c2 = ?mc2 = ?mv2 = E ซึ่งเป็นเค้าร่างที่จะบอกเราว่า พลังงาน = มวลสารที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง (ไอน์สไตน์พิสูจน์สมการนี้อย่างละเอียดลึกซึ้งกว่านี้) สมการดังกล่าวให้ข้อสรุปที่น่าสนใจ กล่าวคือ ถ้าวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับแสง ค่าในวงเล็บจะเท่ากับ (1-1) = 0 จากคณิตศาสตร์เบื้องต้นอะไรหารด้วยศูนย์ย่อมเท่ากับค่านับไม่ถ้วน infinity ดังนั้น ถ้าวัตถุที่เคลื่อนด้วยความเร็วแสง มวลสารจะเพิ่มเป็นอนันต์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะต้องใช้พลังงานมหาศาลมากเกินไปที่จะขับเคลื่อนวัตถุให ้เร็วขนาดนั้นได้ สมการที่บอกว่าความยาวจะหดสั้นลงคือ x = x0(1-v2/c2)? ก็น่าสนใจ เพราะถ้ามีสิ่งที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับแสง (เช่น อนุภาคแสงคือโฟตอนเอง หรืออนุภาคนิวตริโน v จะเท่ากับ c และค่าในวงเล็บจะเท่ากับ 0 เช่นกัน แสดงว่าแสงแม้จะวิ่งเร็วมากคือ 186,000 ไมล์/วินาที มันจะรู้สึกว่ามันไม่ได้เดินทางเลย เพราะระยะทางที่มันเดินทางเป็น 0 ตลอดเวลา นี่เป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่อาจทำให้เราเข้าใจจักรวาลตอนเริ่มต้นได้ เพราะในตอนเริ่มต้น จักรวาลซึ่งมีแต่อนุภาคหรือพลังงานที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง จักรวาลจะมีขนาดเป็น 0 หรือ infinity หรือค่าเท่าใดก็ไม่สำคัญ เพราะอนุภาคเหล่านั้นจะไม่รู้สึกว่าตัวเองกินระยะทางเลย ปัญหาขนาดของจักรวาลจึงเป็นปัญหาของมนุษย์ที่มีทิฐิสร้างขึ้นมาให้เป็นปัญหา เอง แต่ไม่ใช่ปัญหาของอนุภาคเหล่านั้น และเวลาสำหรับแสงหรือพระเจ้าในช่วงกำเนิดจักรวาลก็จะมีค่าเป็นอนันต์ คือไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดข้นเลย จึงไม่ต้องตั้งคำถามว่า ก่อนหน้ามีจักรวาลจะเป็นอย่างไร

http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0415240648&srcday=2005/06/24&search=no

วันเสาร์, มิถุนายน 11, 2548

‘ดนตรีบำบัด’ ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์

“ดนตรีบำบัด” (Music Therapy) คืออีกศาสตร์ที่กำลังมาแรง และเริ่มจะเป็นที่รู้จักกันในแวดวงด้านการแพทย์และด้านการศึกษาที่เป็นการนำ ดนตรี หรือองค์ประกอบอื่น ๆทางดนตรีมาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจ อารมณ์และการปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ตลอดจนผู้มีปัญหาความบกพร่องทางร่างกายที่เกี่ยวกับระบบประสาทการรับรู้และก ารเคลื่อนไหว โดยมีจุดหมายเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพนันทนาการและทางการศึกษา แต่ “ดนตรีบำบัด” ยังเป็นศาสตร์ค่อนข้างใหม่ และในประเทศไทยยังใช้ดนตรีมาบำบัดในวงจำกัดอยู่ เพราะเราขาดนักดนตรีบำบัดที่ได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะ ซึ่งก็จะต่างไปจากนักดนตรีและครูสอนดนตรีทั่วไป โดยดนตรีบำบัดที่นำมาใช้ในการศึกษาจะมีเป้าหมาย เพื่อการซ่อมเสริม ส่วนดนตรีศึกษาจะเน้นสอนให้คนมีความรู้ ทักษะสุนทรียภาพทางดนตรีและเป็นการให้ประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์กับทุกคน

วันนี้ “ทีมการศึกษา” ถือโอกาสนำสาระดี ๆ เกี่ยวกับ “ดนตรีบำบัด” มาเล่าสู่กันฟัง โดยการใช้ดนตรีบำบัดได้เริ่มมาจากประเทศตะวันตก เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเพิ่งจะเริ่มแพร่หลายเมื่อประมาณกว่าสองทศวรรษนี้เอง ซึ่งในปัจจุบันมีการนำ “ดนตรี” มาบำบัดในสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในโรงพยาบาล โรงเรียน และสถาบันต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน เนื่องจากดนตรีบำบัดมีจุดเด่นคือสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับคนทุกระดับอายุ ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ที่มีปัญหาบกพร่องในการพัฒนาการ ด้านสติปัญญา และการเรียนรู้ โรคซึมเศร้า โรคอัลไซเมอร์ หรือผู้ที่มีปัญหาการบาดเจ็บทางสมอง ความพิการทางร่างกาย อาการเจ็บปวด และภาวะอื่น ๆ ท ั้งนี้ดนตรีบำบัดนอกจากจะนำมาใช้กับคนกลุ่มนี้แล้วก็ยังสามารถนำมาใช้กับคนท ั่วไปได้ด้วย โดยจะช่วยลดความเครียดได้ เช่น การตีกลอง หรือเครื่องเคาะจังหวะ การฝึกเทคนิคการผ่อนคลายระหว่างการทำดนตรีบำบัด หรือแม้แต่การคลอดบุตรก็สามารถนำดนตรีบำบัดมาใช้ร่วมได้ด้วย

ส่วนการใช้ดนตรีบำบัดในโรงเรียนเริ่มมีมากขึ้น โดยจะนำดนตรีบำบัดมาใช้ใน 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ 1.เสริมสร้างจุดแข็งในตัวเด็กในทักษะด้านต่าง ๆ นอกเหนือจากทักษะทางดนตรี เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการทำงานประสานสัมพันธ์กันของร่างกาย และ 2.เสริมในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP-Individualized Educational Program) สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่องทักษะการเคลื่อนไหวการใช้กล้ามเนื้อใหญ่เล็กและใช้เ ป็นเครื่องกระตุ้นความร่วมมือระหว่างเด็กพิเศษกับผู้ใหญ่ โดยเด็กพิเศษอาจมีความพิการต่าง ๆ กัน เช่น ปัญญาอ่อน อารมณ์แปรปรวน บกพร่องทางการเคลื่อนไหว ตาบอด หูหนวก พูดช้า

นอกจากนี้ดนตรีบำบัดยังสามารถเข้าไปช่วยกระตุ้นพัฒนาการให้เด็กปกติได้ด้วย ทั้งช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด เพิ่มความสุขและความมั่นใจ เตรียมเด็กให้พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยการฝึกประสาทหูให้รับฟังเสียงที่สูงต่ำ เรียนรู้การสร้างจินตนาการตามเสียงและจังหวะเพลง เรียนรู้การฟัง และการฝึกการทำความเข้าใจจากการสื่อสารกับครู ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะเพลง การแสดงออกทางสีหน้าร่วมไปกับการเรียนรู้การเข้าสังคมและการทำงานร่วมกันกับ เพื่อนร่วมชั้น เรียนรู้การฝึกความอดทน รู้จักการควบคุมอารมณ์ที่เหมาะสม รู้จักการปลดปล่อย และระบายอารมณ์ เพื่อช่วยลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ด้วย

อาจารย์สมชาย อัศวโกวิท รักษาการหัวหน้าสาขาดุริยางคศาสตร์สากล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ซึ่งเป็นนักดนตรีบำบัดอีกผู้หนึ่งที่ได้นำดนตรีบำบัดมาใช้แล้วเห็นผล โดยอาจารย์สมชาย บอกว่า การใช้ดนตรีบำบัดด้วยการฟัง จะทำให้คนป่วยลืมความเจ็บ ลืมความเครียด ลืมความโกรธแค้นได้ชั่วขณะหนึ่ง และถ้าใช้ดนตรีบำบัดบ่อย ๆ ความเจ็บ ความเครียดและความโกรธแค้นจะตกตะกอน จากนั้นอาการจะดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เคยนำดนตรีบำบัดไปใช้กับเด็กกลุ่มประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ที่มีสมาธิสั้น ซึ่งเป็นเด็กที่จะไม่อยู่นิ่ง รวมทั้งเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว พบว่าหลังจากที่บำบัดด้วยดนตรีไปแล้วเด็กมีอาการดีขึ้น คือเด็กที่อยู่นิ่งไม่ได้ก็จะสงบลง ไม่ก้าวร้าวและมีท่าทีเป็นมิตรกว่าเดิม

นักดนตรีบำบัด ยังบอกอีกว่า ในการบำบัดนั้นนักดนตรีบำบัดจะเป็นผู้เลือกกิจกรรมให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน รวมถึงเลือกเครื่องดนตรีและเลือกเพลงที่เหมาะสมกับปัญหาของผู้เข้ามารับการ บริการในแต่ละรายกับการรู้จักจัดโปรแกรมที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังนั้นนักดนตรีบำบัดจึงต้องมีพื้นฐานความรู้ทางดนตรีและจิตวิทยาที่เกี่ยวก ับเสียงดนตรี เพื่อที่จะสามารถนำไปใช้เป็นสื่อกลางการติดต่อสัมพันธ์กับผู้มีปัญหาและรู้จ ักประยุกต์ใช้เพื่อการแก้ไขความบกพร่องต่าง ๆ ของผู้ที่ต้องการรับความช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการทำดนตรีบำบัดยังไม่มีกระบวนการและรูปแบบที่ตายตัว แต่จะต้องออกแบบการบำบัดรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล มีการวางแผนการบำบัดรายบุคคล และมีขั้นตอนการดำเนินงานที่ชัดเจน ตลอดจนการเลือกดนตรีที่จะมาบำบัดต้องเป็นดนตรีที่ไม่รุนแรง ผู้เข้ารับการบำบัดชอบ และถ้าเป็นดนตรีหรือเพลงที่ผู้ป่วยร้อง หรือสามารถทำกิจกรรมร่วมได้จะช่วยผู้ป่วยให้มีอาการดีขึ้นตามลำดับ ก็ต้องถือว่า ดนตรีบำบัด น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับใช้ในการฟื้นฟูจิตใจผู้ป่วยของเร า.
***********
http://www.dailynews.co.th/educate/each.asp?newsid=56137

60 ปี "ออง ซาน ซูจี" ผู้หญิงแห่งลุ่มน้ำอิระวดี

ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ หากจะหาใครสักคนหนึ่งที่สามารถผูกใจผู้คนเอาไว้ได้มากมาย เราคงนึกชื่อต่างๆ ได้ไม่ถึง 100 ชื่อ แน่นอน บุคคลเช่นนี้หายากนัก...

แต่คนที่เรากำลังพูดถึงเป็นหนึ่งในบุคคลประเภทนั้น เธอยังคงมีลมหายใจ เป็นตำนานที่ยังมีชีวิต เป็นตำนานซึ่งผู้รักประชาธิปไตยและสันติภาพทั่วโลกต่างพากันค้อมหัวคารวะให้ ด้วยศรัทธา เช่นเดียวกับประชาชนพม่าอีกนับสิบล้านคน....ออง ซาน ซูจี

ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ ออง ซาน ซูจีจะมีอายุครบ 60 ปี

- 1 -

นับตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 8 เดือน 8 ปี 1988 (พ.ศ.2531) หรือที่ชาวพม่ารู้จักกันดีในนาม 8-8-88 นั้น ชื่อของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอย่างโดดเด่น ในฐานะศูนย์รวมจิตใจและสัญลักษณ์อันสำคัญของการต่อสู้กับเผด็จการในพม่า ซึ่งตอนนั้นอยู่ในคราบของ "พรรคโครงการสังคมนิยม" (The Burma Programme Party - BSPP) ซึ่งปกครองประเทศมานานถึง 26 ปี

ปีนั้น ออง ซาน ซูจี วัย 43 ปีเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อดูแล ดอว์ ขิ่น จี มารดาที่กำลังป่วยหนัก นับจากนั้น ความลงตัวของประวัติศาสตร์ ความเป็นลูกของนายพลอองซาน (ผู้ปลดแอกพม่าจากการเป็นอาณานิคม) ภารกิจที่เธอตระหนักต่อแผ่นดิน ซูจีเลือกต่อสู้อำนาจเผด็จการโดยเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาลเผด็จการทหารเ มื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2531 อันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หลังเกิดการปราบปรามประชาชนผู้ชุมนุมประท้วง เพื่อขอให้ตั้งกรรมการอิสระแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป

นับจากนั้น ชื่อ ออง ซาน ซูจี ก็เป็นที่รู้จักทั่วโลก การเรียกร้องของเธอในคราวนั้นไม่ได้ทำให้เผด็จการในพม่าสำนึกแต่อย่างใด กลับตั้งสิ่งที่เรียกว่า "สภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ" หรือที่สังคมโลกรู้จักกันดีในนามสลอค (The State Law & Order Restoration Council - SLOC) ขึ้นเพื่อคุมสถานการณ์ที่ทำท่าบานปลายออกไป

ซูจีจึงร่วมกับสหายเก่าแก่ของบิ ดาและหนุ่มสาวรุ่นใหม่ จัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือ "เอ็นแอลดี" (National League of Democracy - NLD) เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2531 โดยตัวเธอดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค เริ่มต่อสู้ทางการเมืองโดยใช้แนวทางสันติวิธีและการดื้อแพ่ง

หลังจากนั้น การเลือกตั้งทั่วไปในพม่าที่รัฐบาลทหารจัดก็มีขึ้นโดยมีพรรคการเมืองนับร้อย ทั่วประเทศส่งตัวแทนลงชิงชัย การเลือกตั้งครั้งนั้นนำชัยชนะมาสู่พรรคของเธออย่างงดงามเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2533 ชนิดว่าที่นั่งกว่าร้อยละ 70 ในสภาในขณะนั้น เป็น ส.ส. จากพรรค NLD

แต่จะมีใครรู้บ้างว่าขณะที่พรรค NLD ทำการต่อสู้และหาเสียงในการเลือกตั้งช่วงสุดท้ายหลังวันที่ 20 ก.ค.2532 จนได้รับชัยชนะนั้น ออง ซาน ซูจี กลับโดนกักบริเวณ พร้อมกับมีการจับกุมสมาชิกพรรค NLD จำนวนมากไปขังไว้ที่คุกอินเส่ง

ซึ่งถ้าเอามาตรฐานสากลวัด นี่คือการจัดการเลือกตั้งที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้สนับสนุนของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลต้องถูกจับขังคุ ก แม้จะอยู่ในระหว่างการเลือกตั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้จะปรากฏในภายหลังว่าการเลือกตั้งจะไม่มีผลต่อการได้อำนาจรัฐของพรรคเอ็นแ อลดี แต่ถึงที่สุดแล้ว การเลือกตั้งครั้งนั้นก็ได้แสดงถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจและความต้องการของประช าชนพม่า ที่ไม่ต้องการให้เผด็จการทหารปกครองประเทศอีกต่อไป

รัฐบาลสลอคไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่ประชาชนทั่วประเทศตัดสิน พร้อมทั้งถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่าต้องรอให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จสิ้น ทั้งที่ความจริงนั้นเป็นเรื่องที่ต้องกระทำโดยตัวแทนที่ได้รับเลือกมาจากประ ชาชนมากกว่าจะเป็นกิจของทหาร

จนในที่สุดรัฐบาลสลอคก็ยื่นข้อเสนอให้ซูจีออกนอกประเทศไปใช้ชีวิตกับ ครอบครัว ขณะที่อีกด้านก็ทำการปราบปรามจับกุมสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีรวมถึงผู้ที่ได้รับก ารเลือกตั้งเข้ามาเป็นตัวแทนอย่างถูกต้องจากการเลือกตั้งอย่างหนัก

เมื่อซูจีปฏิเสธ จึงโดนกักตัวอีกครั้งภายในบ้านพักโดยเพิ่มระยะเวลาเป็น 5 ปี (คำสั่งเดิม 3 ปี) ก่อนจะบวกเพิ่มอีกหนึ่งปีในภายหลัง สิริรวมทั้งหมดจึงกลายเป็น 6 ปี

6 ปี ที่ผู้คนประเทศต่างๆ ทั่วโลกรับรู้เรื่องราวของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งหาญกล้าต่อกรรัฐบาลทหารพม่าที่มีทั้งอาวุธและกำลังคนพร้อมสรรพ สำหรับจะบันดาลชีวิตใครสักคนหนึ่งในประเทศให้เป็นหรือตายก็ได้

จนในที่สุดปี 2534 คณะกรรมการโนเบล ก็ได้ประกาศให้เธอได้รับ "รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ" รางวัลอันทรงเกียรติมากที่สุดรางวัลหนึ่งของโลกเป็นการการันตีในสิ่งที่เธอก ำลังยืนหยัด ยืนยันและตั้งมั่นอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลง ในเรื่องของประชาธิปไตย

ซูจีไม่มีโอกาสรับรางวัลนี้ด้วยตัวเอง อันเนื่องจากถ้าออกนอกประเทศแล้วจะไม่สามารถกลับพม่าได้อีกเลย แต่ลูกชายของเธอคืออเล็กซานเดอร์และคิม ก็ได้เดินทางไปรับรางวัลแทนโดยถือภาพถ่ายของมารดาขึ้นสู่เวทีท่ามกลางเสียงป รบมือกึกก้องยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

ระหว่างโดนกักตัว ซูจีปฏิเสธข้อเสนอทุกอย่างจากรัฐบาลพม่า เธอเคยเล่าสภาพชีวิตช่วงถูกกักบริเวณครั้งแรกให้นักข่าวต่างประเทศฟังช่วงหล ังจากได้รับการปล่อยตัว (ปี 2538) ดังนี้

"ดิฉันไม่ยอมรับสิ่งใดจากทหารเลย บางครั้งดิฉันแทบจะไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารรับประทาน ทำให้ร่างกายดิฉันอ่อนแอมาก ผมของดิฉันร่วง ดิฉันอ่อนแอจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว หัวใจดิฉันเต้นแรงแทบหายใจไม่ออก น้ำหนักของดิฉันลดจาก 106 ปอนด์เหลือเพียง 90 ปอนด์ดิฉันคิดว่าต้องตายจากเหตุที่หัวใจล้มเหลว ไม่ใช่เพราะอดอาหาร"

ระหว่างนั้นเธอได้ขายของในบ้านเพื่อนำมาเป็นทุนรอนในการใช้จ่ายจนเหล ือเพียงเปียโนและโต๊ะอาหาร โดยปฏิเสธแม้กระทั่งการเขียนจดหมายติดต่อครอบครัวซึ่งรัฐบาลทหารอนุญาต แต่กลับล่วงละเมิดโดยการเปิดอ่านทุกฉบับ และเรียกความประพฤติของรัฐบาลทหารเองว่าเป็นความ "กรุณา" อย่างยอดยิ่งต่อตัวเธอ

ออง ซาน ซูจี ได้รับการปล่อยตัวครั้งแรกในวันที่ 10 ก.ค. 2538 ถูกกักบริเวณเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2543 หลังจากได้รับอิสรภาพอยู่ระยะหนึ่ง

เธอได้รับอิสรภาพอีกครั้งในปี 2545 และถูกกักบริเวณครั้งที่สามในเดือนมิถุนายน 2546 โดย "สภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ" (The State Peace and Development Council - SPDC) หรือที่อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผู้เชี่ยวชาญอุษาคเนย์เคยเรียกอย่างขบขันนานมาแล้วว่า "สปึ้ด" เหล้าเก่าในขวดใหม่ของรัฐบาลทหารพม่า

ครั้งสุดท้ายมีสาเหตุจากการกระทบกระทั่งระหว่างมวลชนจัดตั้งของรัฐบา ล กับกลุ่มผู้สนับสนับสนุน ออง ซาน ซูจี ในระหว่างที่เธอพบประชาชนในเมืองเดพายิน (Depayin -ตอนเหนือของพม่า) ซึ่งไม่แน่ว่านี่คือความจงใจของรัฐบาลทหารที่จะจำกัดบทบาทของหญิงเหล็กคนนี้ อีกครั้งหนึ่ง

วันนี้ ไม่มีใครทราบว่าเธอใช้ชีวิตอยู่อย่างไรภายใต้อิสรภาพที่ถูกจำกัด บางคนบอกว่าเธอไม่มีทางต่อสู้ได้สำเร็จและอาจจะต้องติดอยู่ในบ้านพักของตนเอ งตลอดชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่เธอบอกกับโลกในจดหมายจากพม่าก็สามารถเล่าถึงความเชื่อ ความหวังของผู้หญิงคนหนึ่งกับประชาธิปไตยในพม่าที่ไม่เคยหมดได้ดี

เธอบอกกับโลกว่า ...." กำแพงคุกส่งผลสะเทือนต่อผู้ที่อยู่ภายนอกเช่นกัน "

- 2 -

ลองคิดดูว่าหากคุณผู้อ่านเป็นแม่คน มีสามีที่ป่วยหนักและต้องเสียชีวิตโดยไม่มีโอกาสเห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้าย มีทางเลือกของชีวิตที่ดีกว่าการอดทนเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศที่ยากจนติ ดอันดับโลก เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศที่มีรัฐบาลเผด็จการทหารที่คร่ำครึที่สุดในโลก คุณจะทำสิ่งนี้ต่อหรือไม่?

หากคุณชื่อ ออง ซาน ซูจี คุณจะทำการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่อยู่อีกหรือ คุณยังจะเลือกต่อสู้อีกหรือ หลังเวลาผ่านมาเนิ่นนานถึง 17 ปี และคุณเองก็อยู่ในวัยเกษียณอายุซึ่งควรจะถึงเวลาได้พักผ่อนอยู่กับลูกหลานเส ียที แต่ผู้หญิงคนนี้ เลือกที่จะสู้ต่อไป ด้วยความหวังที่ไม่เคยร่วงโรยไปตามกาลเวลาแม้แต่น้อย

"พูดถึง ออง ซาน ซูจี คิดว่าหลายคนยอมรับว่าเธอประสบความสำเร็จสำคัญในชีวิต มันไม่จำเป็นต้องตัดสินด้วยการได้อำนาจการเมืองเสมอไป ความสำเร็จในการผูกใจประชาชน ความสำเร็จในการชี้นำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เหล่านั้นเราเรียกเป็นความสำเร็จได้ในอีกลักษณะหนึ่ง" ดร.สุนตร ชุตินธรานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องพม่าจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นถึงความสำเร็จของมนุษย์คนหนึ่ง ที่อาจไม่ได้หมายถึงการได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองเสมอไป

"น่าสังเกตว่าที่ผ่านมาเราพูดถึงความสำเร็จของเธอในมุมเดียว ซึ่งก็ไม่ได้ผิด เป็นมุมที่ชัดเจน แต่ผมคิดว่าเราสามารถมองในมุมอื่นได้ด้วย...มุมที่เราให้ความสำคัญก็คือความ สามารถเฉพาะตัวของซูจีเป็นสำคัญ ฉะนั้นในทุกครั้งที่เราจัดงานเกี่ยวกับเธอ จะเป็นการนำประวัติมาเล่าซ้ำๆ ในทัศนะผม ถามว่าความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเธอมาจากปัจจัยอะไรบ้างอันสัมพันธ์กับปัจจัย เฉพาะตัวของเธอ โดยยังไม่มองปัจจัยอื่น"

ดร.สุเนตรบอกด้วยว่ามี 3 เงื่อนไข แรกสุด สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้มีความแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปก็คือ ออง ซาน ซูจี สามารถใช้ชีวิตภายใต้แรงกดดันยาวนานถึง 17 ปี ทั้งที่มีทางเลือกสู่ชีวิตที่สบายกว่าในเรื่องส่วนตัว

"เป็นที่รู้กันว่า รัฐบาลพม่ายอมให้เธอกลับไปบ้านที่ลอนดอนหรือที่ไหนก็ตาม แต่เธอเลือกใช้ชีวิตภายใต้แรงกดดัน หนึ่งในสักจำนวนกี่คนกันที่จะเป็นแบบนี้ นี่เป็นปัจจัยเฉพาะตัวทำให้เธอได้รับการยอมรับทั้งในและนอกประเทศ มีความยิ่งใหญ่กว่านั้นอีกระดับคือ โดยส่วนตัวแล้ว บางทีความไม่สบายกายไม่สบายใจ เป็นปัจจัยที่เราจะอดทนได้ แต่ถ้าสมมติว่ามันต้องเกิดกับครอบครัว เราจะพบว่าเพศแม่หลายคนยอมเสียสละ เพื่อครอบครัว สามีและบุตร กรณีของซูจีเมื่อสามีกับบุตรไม่สามารถมาเยี่ยมได้ จนที่สุดสามีเสียชีวิตในต่างแดน อองซานเลือกอยู่กับประชาชน เลือกอยู่พม่า ไม่กลับไปหาครอบครัวตัวเอง ผมคิดว่านี่คือความยิ่งใหญ่ในอีกมิติหนึ่ง"

"ประการที่สาม ซูจีไม่กลัวต่ออำนาจเผด็จการ ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถยืนหยัดแข็งข้อต่อรัฐบาลที่ใครๆ ก็กลัว แต่เธอทำได้ นี่คืออิสรภาพจากความกลัวหรือ Freedom from Fear ตรงนี้ที่น่าจะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เธอได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางน ำไปสู่การชนะใจคนพม่าทั้งประเทศ"

ส่วนมุมที่ ดร.สุเนตร มองแตกออกไปนั้นก็คือความเป็นเพศหญิงของ ออง ซาน ซูจี โดยอาจารย์สุเนตรได้ยึดโยงเรื่องนี้ไปถึงบทบาทของผู้หญิงพม่าในประวัติศาสตร ์

"เมื่อมองเงื่อนไขการขึ้นมาของเธอ ทำไมผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจึงเป็นที่ยอมรับได้ขนาดนี้ ถ้าพิจารณาผิวเผิน การยอมรับผู้นำในบริบทการเมืองพม่าส่วนมากเน้นที่ผู้ชาย ผมอยากยกตัวอย่าง ในพม่าถ้ามองว่าใครก็ตามที่สร้างความเป็นเอกภาพของรัฐในสมัยจารีตเขาจะมองชา ย 3 คน คือ พระเจ้าอโนรธา (สถาปนาอาณาจักรพุกาม) คนที่สองบุเรงนอง (ขยายดินแดน) คนที่สามคืออลองพญา (นำความเกรียงไกรกลับมาสู่ชนพม่าอีกครั้ง)"

"มายุคเป็นเมืองขึ้นเขาพูดถึงคนอย่าง ซะยาซาน ที่นำกบฏคล้ายกับกบฏชาวนา และพระอู วิสาละ ซึ่งอดอาหารประท้วงจนตาย พิจารณาผิวเผินเวทีการเมืองพม่าไม่มีพื้นที่ให้ผู้หญิง"

อาจารย์สุเนตรได้ยกกรณีของพระนางเชงสอบู และคนที่คนไทยรู้จักกันดีที่สุดผ่านละครในอดีตคือพระนางอเลนันดอ (พระนางศุภยรัตน์) มเหสีของพระเจ้าสีป่อ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าก่อนตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ

"มุมมองฝรั่ง ผู้หญิงเหล่านี้เป็นเหตุให้บ้านเมืองล่มสลาย มองแบบไทยก็เช่นเดียวกัน แต่ในมุมพม่า นี่คือคนที่ลุกขึ้นมาท้าทายจักรวรรดินิยมไม่ใช่หรือ อยู่ที่จะมองจากมุมไหน ถ้ามองจากมุมพม่า เขาคือคนที่ไม่ยอมอังกฤษ เพียงแต่ตอนนั้นพม่ามีกำลังสู้ไม่ได้ก็แพ้ไป"

อาจารย์สุเนตรกล่าวต่อว่า "ทั้งหมดทั้งสิ้นทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมการเมืองพม่ามีที่ให้ผู้หญิงมีบทบาท จริงๆ แล้ววัฒนธรรมนี้ไม่ได้หายไป ปรากฏให้เห็นในแง่ต่างๆ ทราบไหมครับว่าผีบ้านผีเรือนของพม่าที่นับถือมานานมีสองตน เรียกมหาคีรีนัต หนึ่งในสองเป็นผู้หญิงเรียกนางหน้าทองดอลัต สถิตอยู่ที่เขาโปปา ถ้าไปดูนัตพม่าจะเห็นว่ามีมากมายและมีนัยความเป็นเพศหญิงอยู่ ผมบอกตรงนี้เพื่อให้เห็นว่าพอเราพูดถึงสื่อที่ผมอยากจะเรียกว่า women sphere หรือ นารีเขต...สังคมวัฒนธรรมพม่ามันมีพื้นที่ให้ผู้หญิงพอสมควร ยิ่งบ้านเมืองเปลี่ยนไป ผู้หญิงก็สามารถมีบทบาทมากขึ้นๆ เพียงแต่จะถูกพูดถึงมากแค่ไหน"

จากข้อมูลในหนังสือ "จดหมายจากพม่า" ออง ซาน ซูจี บอกว่า "ดิฉันไม่ได้เป็นนักโทษการเมืองสตรีเพียงคนเดียวในประเทศพม่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังคงมีสตรีจำนวนมากที่ถูกจับขังเนื่องจากความเชื่อท างการเมืองของพวกเธอ..."

ข้อมูลตรงนี้อาจารย์สุเนตรชี้ว่าในกระแสความเคลื่อนไหว ออง ซาน ซูจี เป็นผู้หญิง เป็นผู้นำ แต่ในพื้นที่ "นารีเขต" ตรงนี้มีผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยร่วมมีบทบาท แต่เราไม่รู้ว่าเขาคือใคร ซูจีได้ยอมรับแล้วลุกขึ้นประกาศให้เป็นที่รู้กันว่ายังมีคนอื่นอีกนอกจากเธอ

- 3 -

ธีรภาพ โลหิตกุล นักเขียนสารคดีซึ่งสนใจแดนเจดีย์สี่พันองค์มานาน ก็มีความเห็นไม่แตกต่างจากอาจารย์สุเนตรเท่าใดนัก

"ถ้าความสำเร็จคือสามารถล้มเผด็จการทหารได้ผมคิดว่าตอนนี้ยังยาก มีองค์ประกอบเยอะมาก อย่างเช่นเงื่อนไขเรื่องชนกลุ่มน้อยและอื่นๆ...การที่จะปฏิวัติในพม่าผมมองว ่าต้องมี 2 ปัจจัยใหญ่คือ 1. ความแตกแยกภายในของเผด็จการทหารเอง ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาณเกิดขึ้นเป็นระยะ ในเรื่องผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว 2. ปัจจัยภายนอก คือองค์กรประชาธิปไตยต้องเข้มแข็ง แต่ตรงนี้ผมมองว่ายังมีไม่มาก"

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วันนี้เขาเชื่อว่า ออง ซาน ซูจี ประสบความสำเร็จแล้วเช่นกัน

"สิ่งที่ทำสำเร็จคือการที่เธอได้ยืนหยัดและยืนยันแนวทางความคิดของตน เอง...ความจริงเธอจะไปก็ไปได้ แต่เธอก็เลือกที่ไม่ไป เพราะฉะนั้นเธอทำสำเร็จในการทำให้ประชาชนเชื่อมั่นใน สิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย 'ออง ซาน ซูจี' ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ประชาธิปไตยในพม่าเท่านั้นหากเป็นของโลกด้วย"

อีก 10 วันหลังจากนี้ ออง ซาน ซูจี จะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ขณะที่เธอถูกปิดกั้นอิสรภาพอยู่ภายในบ้านพักของเธอเอง ไม่มีใครรู้ว่าวีรสตรีคนนี้คิดอะไรในวันครบรอบ 60 ปีของตนเองที่กำลังจะมาถึง

สิ่งที่เราทำได้ในขณะนี้ก็คือ ช่วยกันเผยแพร่สิ่งที่เธอกำลังพยายามเพื่อประเทศชาติและประชาชนอันเป็นที่รั กของเธอ เพราะเราเชื่อว่าคุกอาจสามารถกั้นอิสระทางกายได้

แต่สำหรับ "อิสรภาพทางความคิด" เราเชื่อว่าไม่มีคุกใดๆ สามารถมาปิดกั้นได้ ดังคำกล่าวของเธอที่ว่า
"กำแพงคุกส่งผลสะเทือนต่อผู้ที่อยู่ภายนอกเช่นกัน"

***************

วันที่ 19 มิถุนายน 2548 ที่จะถึงนี้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จะมีการจัดงาน "60 ปี ออง ซาน ซูจี : การต่อสู้ของผู้หญิงแห่งลุ่มน้ำอิระวดี-สาละวิน" เนื่องในวาระครบรอบวันเกิด 60 ปี ของ ออง ซาน ซูจี ตั้งแต่เวลา 9.00 - 20.30 น. โดยในงานทางคณะกรรมการจัดงานเชื่อว่าจะสามารถเป็นช่องทางที่มีประสิทธิผลช่อ งทางหนึ่งในการเล่าเรื่องของผู้อพยพจากพม่าในมิติที่หลากหลาย ให้สังคมไทยได้รับรู้และทำความเข้าใจในวิถีของประเทศเพื่อนบ้านอันใกล้ชิดมี พรมแดนติดกันถึง 2,400 กิโลเมตร ตามเจตนารมณ์ของออง ซาน ซูจี ที่เคยส่งสาสน์ขอร้องคนไทยมานับครั้งไม่ถ้วนขอความเข้าใจและเมตตาต่อเพื่อนร ่วมชาติของเธอที่อพยพหนีมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
********************
โดย ผู้จัดการรายวัน 10 มิถุนายน 2548 10:04 น.