เพื่อชีวิต..ใคร???

วันศุกร์, กรกฎาคม 18, 2551

เกาะติดเชื้อชั่วไม่เคยตาย ขบวนการโกยชาติ!ยุคเหลี่ยมไป'น้าหมัก'อยู่

* 'ทักษิณ-สมัคร'ต่างถือสุภาษิตไก่เห็นตีนงูงูเห็นนมไก่
* ส่งผลให้ระบอบทักษิณเวียนว่ายอยู่ในสังคมไทยจนบัดนี้
* เมื่อสมัครเป็นจอมโปรเจค-ทักษิณก็ต้องมีทายาทเหมือนกัน
* มุ้งต่าง ๆ เข้าร่วมวงสนุกสนาน
* ขบวนการหาประโยชน์จากการบริหารประเทศกำลังเกิดขึ้น
* จับตา 3 กลุ่มงบประมาณที่จะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้เครือข่ายทักษิณอีกแล้ว!....


การเปิดประเด็นเรื่องของ "บุญคุณ" ระหว่างสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลางที่ประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ได้ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าแท้ที่จริงแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นฝ่าย "ติดหนี้" บุญคุณ จนทำให้ต้องเกิดการชดใช้กันขึ้นมา เมื่อนายกฯสมัคร ยืนยันว่าเขาคือคนที่มีบุญคุณต่ออดีตนายกฯทักษิณ จึงไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทนคุณเหมือนกับที่ใครต่อใครพากันเข้าใจ

ดังนั้นการเข้ามาบริหารประเทศในฐานะผู้นำรัฐบาล "สมัคร 1"ครั้งนี้ของชายอารมณ์ร้อนวัย 73 ปีอย่างสมัคร สุนทรเวช จึงต้องการทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง แต่ดูเหมือนว่าสังคมกลับไม่ได้คล้อยตามในสิ่งที่นายกฯสมัคร พยายามอธิบายมากนัก
แต่กลับเฝ้าสงสัยว่าปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นในยุค "สมัคร 1"นั้นจะแตกต่างหรือพิสดารไปจากยุค "ทักษิณ" ได้มากน้อยแค่ไหน หลายคนที่รู้จักคนอย่างสมัคร สุนทรเวช ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ย่อมรู้ซึ้งเป็นอย่างดีว่าขณะที่เขาแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดใส่ฝ่ายตรงข้าม ทำให้ภายนอกเข้าใจได้ว่าเขาเหมือนผู้บริหารที่ไม่ลงมือทำงานนั้น แต่แท้ที่จริงแล้วกลับตรงข้ามอย่างสินเชิง?

"สมัคร" จอมโปรเจคเมเนเจอร์ ตัวจริง!

ว่ากันว่าเมื่อครั้งสมัคร นั่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นั้นข้าราชการกทม.ที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์จากเงินแผ่นดินภายใต้นโยบายและ โครงการต่างๆมักพอใจที่จะทำงานกับผู้บริหารอย่างผู้ว่าฯสมัคร เป็นที่สุด เนื่องจากต่างฝ่ายต่างไม่มีการก้าวก่ายล้วงลูกกันให้เกิดความวุ่นวาย

" ประเด็นที่ต้องจับตามองคือ ประวัติของคนที่จะมาเป็นนายกฯ ซึ่งกรณีคุณสมัคร นี่ต้องเรียกว่า PM แต่ไม่ใช่ Prime Minister แต่ขอเรียกว่า Project Manager เพราะมีลักษณะชอบทำโครงการขนาดใหญ่ รวบเอามาทำไว้เองทั้งหมด โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมซึ่งเป็นงานถนัด"

แหล่งข่าวจากคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณพ.ศ.2552 กล่าวกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์" พร้อมทั้งชี้ว่า โครงการด้านการคมนาคมนั้นมีโอกาสในการงุบงิบผลประโยชน์กันมากที่สุด ซึ่งโดยวิธีการทำงานของสมัคร ที่ผ่านมาจะไม่มีการพึ่งพาข้าราชการประจำ แต่จะดำเนินการเองทั้งหมด

"ในความเงียบ ของคุณสมัคร นั้นกลับปรากฏเสียงลือว่ามีการจัดสรรงผลประโยชน์กันไปแล้ว ว่าเส้นทางสายไหนจะแบ่งให้เจ๊คนไหนได้ไป แต่หลายฝ่ายกลับมาสนใจว่าคุณสมัคร จะแสดงอารมณ์หรือเกรี้ยวกราดใส่ใครมากกว่า"

จากการเปิดประเด็นซักฟอกนายกฯสมัครและ 7 รัฐมนตรีบนเวทีสภาผู้แทนฯในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดนั้น จะพบว่าเนื้อหาสาระที่ฝ่ายค้านนำมาเปิดเผยนั้นไม่ได้มีเฉพาะความผิดพลาดล้ม เหลวจากกการบริหารงานเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลในการผลักดันโครงการขนาดใหญ่ มีวงเงินงบประมาณก้อนโต อาทิ โครงการเช่ารถเมล์ปรับอากาศ NGV จำนวน 6 พันคัน วงเงิน 111,690 ล้านบาท ที่มีกระแสข่าวถึงความไม่โปร่งใส มีการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างแกนนำกลุ่มการเมืองในพรรคพลังประชาชน

ก๊วนการเมือง
เตรียมแบ่งเค้กงบ 52


การเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลเพียงแค่โครงการเช่ารถเมล์ปรับอากาศ NGV โครงการเดียวจากฝ่ายค้านนั้น สามารถทำให้ได้เห็น "ตัวละคร" จากฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องทั้ง เนวิน ชิดชอบ และ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ทั้งที่ทั้งคู่ต่างติดล็อค "บ้านเลขที่111" รวมทั้งก่อนหน้านี้ตัวนายกฯสมัคร เองก็ให้ความเห็นชอบโดยอ้างว่าเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาระบบขนส่งมวลชน แก้ไขปัญหาการขาดทุนให้กับขสมก.

การเข้ามาทำหน้าที่นายกฯนอมินีของ สมัคร เพื่อต่อชะตาให้กับพรรคพลังประชาชนในทางการเมืองและกุมอำนาจบริหารครั้งนี้ นั้น ไม่ว่าจะมาเพราะให้พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ซึ้งถึงบุญคุณของเขา หรือจะเป็นเพราะเข้ามารับงานในฐานะ "ลูกจ้าง" อีกคนหนึ่งเหมือนกับคนอื่นๆ ก็ตาม

แต่สิ่งที่ต้องจับตามองความเคลื่อนไหวของนายกฯสมัคร อย่างมากคือบทบาทในฐานะ "เซลล์แมนขายฝัน" จากนี้ไปกับการบริหารนโยบายและโครงการต่างๆของรัฐบาล ภายใต้งบประมาณประจำปี 2552 นั้นจะมีความโปร่งใสได้หรือไม่ (ล้วงลึกงบปี52ส่งกลิ่นหึ่ง ....ประกอบ)

ท่ามกลางการต่อรองผลประโยชน์จากกลุ่มก๊วนการเมืองภายในพรรคพลัง ประชาชนที่ต่างจ้องเข้าไปมีส่วนได้เสียกันทั้งสิ้น โดยแต่ละกลุ่มภายในพรรคต่างส่งตัวแทนเข้าไปเป็นรัฐมนตรีตามกระทรวงต่างๆ คอยดูแลผลประโยชน์ รวมทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณปี2552 กันอย่างคึกคัก

ไม่ว่ารัฐมนตรีสายตรงของพ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง สันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รมว.พาณิชย์ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกฯและรมว.ศึกษาฯ

กลุ่มบุรีรัมย์ มีทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม - สุพล ฟองงาม รมช.มหาดไทย-ธีระชัย แสนแก้ว รมช.เกษตรฯ - พงศกร อรรณพพร รมช.ศึกษาธิการ คอยรับคำสั่งจากเนวิน

กลุ่มกทม.ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ส่งสุธา ชันแสง นั่งรมว.พัฒนาสังคมและความมั่งคนของมนุษย์ และเตรียมดัน วิชาญ มีนชัยทนันท์ ส.ส.กทม.เข้าเสียบแทนหลังจากสุธา ลาออกจากตำแหน่ง

ส่ง "สหัส บัณฑิตกุล
"คุมงบ-กรองงาน

ขณะที่นายกฯสมัคร เองถึงแม้จะเป็นเพียง "ข้าวนอกนา" ไม่มีส.ส.ในสังกัดเหมือนกับแกนนำกลุ่มคนอื่นๆ ก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมว่าด้วยการมีเอกสิทธิตัดสินใจสั่ง "ยุบสภา"ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลแล้ว นายกฯสมัคร ยังมีอำนาจบริหารจัดการเงินงบประมาณสำคัญทั้งงบกลางมูลค่า 2.4 แสนล้านบาท และงบประมาณสำนักเลขาธิการนายกฯจำนวน 5.8 หมื่นล้านบาท ตลอดจนหน่วยงานที่สังกัดนายกฯโดยตรง ไม่ขึ้นตรงกับกระทรวงต่างๆ ดังนั้นหากนายกฯสมัคร ต้องการใช้งบประมาณเพื่อผลประโยชน์และเพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองย่อม ดำเนินการได้ไม่ยากเย็น

" หากดูงบประมาณโดยทั่วไปแล้ว ยังไม่เห็นความผิดปกติ เนื่องจากปีนี้มีงบลงทุนน้อย ขณะที่โครงการเมกกะโปรเจคต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศไว้ก็ยังไม่รู้ว่าจะใช้เงินจากที่ไหน นอกจากต้องใช้วิธีการกู้เข้ามาลงทุน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านายกฯน่าจะบริหารงบประมาณเป็นไปในลักษณะของการสร้าง อำนาจต่อรองทางการเมืองของตัวเองมากกว่า" แหล่งข่าวคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 ย้ำและว่าโดยธรรมชาติของนายกฯสมัคร นั้นเขาไม่ได้มีแต่ภาพของนักการเมืองปากร้าย อารมณ์ร้อนเท่านั้น

แต่ความเป็นจริงแล้วหลายคนที่รู้จักเขาดี จะรู้ว่าสิ่งที่เขาสนใจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องนั้นต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่เท่านั้น!

อย่างไรก็ตามแม้นายกฯสมัคร จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มการเมืองที่คอยแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ในพรรคพลัง ประชาชน แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาได้วางมือทำงานที่มีความใกล้ชิดและไว้ใจได้ดีที่ สุด คือ สหัส บัณฑิตสกุล รองนายกฯ ซึ่งมีความเกี่ยวพันแนบแน่นกันเนื่องจากสหัส เป็นญาติกับคุณหญิงสุรัตน์ ภริยานายกฯสมัคร เคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับสมัคร เมื่อครั้งที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นรมว.คมนาคม ในยุครัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดังนั้นจึงมีชื่อของสหัส เข้าไปนั่งเป็นคณะกรรมการดูแลนโยบายใหญ่ๆ อาทิ คณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชน คณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางอากาศยานและท่าอากาศยาน

ด้วยอำนาจหน้าที่ของรองนายกฯ ที่สหัส มีอยู่ในมือนั้นยังส่งผลต่อการ "ชง"นโยบายขนาดใหญ่ที่กลุ่มการเมืองในพรรคตั้งเป้าเอาไว้ ต้องมาผ่านการกลั่นกรองจากสหัส ในฐานะรองนายกฯอีกชั้นหนึ่ง

" ผลประโยชน์กับการต่อรองทางเมืองต้องมีขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองที่ไม่มีความเป็นเอกภาพ อย่างพลังประชาชน ถึงแม้ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ จะส่งคุณสันติ (พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม)เข้ามาเป็นตัวแทน

ส่วนคุณเนวิน เองก็มีคุณทรงศักดิ์ (ทองศรี รมช.คมนาคม)เป็นตัวแทน แต่ไม่ใช่ว่าจะเสนอทุกอย่างได้ตามใจชอบ เพราะตามหลักแล้ว รองนายกฯสหัส มีอำนาจในการพิจารณากลั่นกรอง เคาะโต๊ะคนสุดท้าย" แหล่งข่าวระบุ

คุมงบกลางเบ็ดเสร็จ
ออกหนังสือเวียนสั่งรมต.


นอกเหนือไปจากการมีมือทำงานที่ไว้วางใจได้อย่างสหัส รองนายกฯแล้ว แต่นายกฯสมัคร ก็ยังใช้ความช่ำชองส่วนตัวจัดสรรงบประมาณให้กับกองทัพเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ทางการเมืองให้กับตัวเอง รวมทั้งในส่วนของงบกลาง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงจำนวน 2.4 แสนล้านบาทนั้นเขาได้วางมาตรการเพื่อดึงงบกลางมาดูแลเองทั้งหมด

"มีรายงานล่าสุดว่า นายกฯสมัคร ได้ทำหนังสือเวียนไปยังรัฐมนตรี และหน่วยงานต่างๆทั้งหมดว่าต่อไปนี้นายกฯจะเป็นผู้ควบคุมและอนุมัติอย่าง เข้มงวดเอง หากมองในแง่ดีก็ถือว่าเป็นการดีที่นายกฯจะเข้ามาดูแลไม่ให้มีการรั่วไหล นายกฯรู้สึกไม่ไว้ใจรัฐมนตรีของตัวเอง"

ขณะที่เมื่อหัวหน้ารัฐบาลคนนอก พยายามหาทางดึงงบกลางมาควบคุมและอนุมัติเองทั้งหมด โดยไม่สนใจว่าจะสร้างความไม่พอใจต่อรัฐมนตรีและกลุ่มการเมืองต่างๆในพรรค หรือไม่ อีกด้านหนึ่งนายกฯสมัคร กลับจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหมเพื่อครองใจพล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.มูลค่า 1.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2551 ถึง 2.5 หมื่นล้านบาท

" มีการพูดกันว่ายุครัฐบาลทักษิณ ชอบให้งบเอาใจกองทัพ แต่พอมาถึงยุคคุณสมัคร ต้องบอกว่าเอาใจมากกว่า เพราะกองทัพคือเกราะกำบังชั้นดีของคุณสมัคร ในเวลานี้ ส่วนจะมีการต่อรองระหว่างเรื่องของงบประมาณกระทรวงกลาโหม กับโผแต่งตั้งโยกย้ายประจำปีในเดือนตุลาคมนี้ด้วย ก็เป็นไปได้"

ท่ามกลางการจัดสรรผลประโยชน์ให้ลงตัวระหว่างตัวนายกฯสมัครกับกลุ่ม การเมืองภายในพลังประชาชนนั้น มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งมากขึ้น หากการเจรจาต่อรองไม่ลงตัว รวมทั้งหากมีความไม่ชอบมาพากล จนทำให้นายกฯสมัคร ต้องเปลืองตัวจากโครงการใดโครงการหนึ่ง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมือง อาจทำให้นายกฯสมัคร ต้องทบทวนการให้ความร่วมมืออย่างหนัก

" เชื่อว่าจริงๆแล้วคุณสมัคร เองก็ไม่อยากอยู่นานไปมากกว่านี้ เพราะเขามีทุกอย่างครบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ครอบครัว เพียงแต่การได้รับตำแหน่งสูงสุดในชีวิต ซึ่งทุกอย่างก็ได้ครบหมดแล้ว แต่ถ้าจะต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงเพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์มหาศาล แต่ตัวเองได้ไม่คุ้มเสีย คิดว่าคงไม่ยอมแน่

ทำไมคุณสมัคร ต้องมาทำเพื่อคนพรรคพลังประชาชน พรรคนี้ไม่ใช่ของเขา แล้วถ้าเกิดความผิดพลาดจากการเอื้อประโยชน์ให้คนอื่น ก็เท่ากับว่าคุณสมัคร มาพังตอนจบ"

อย่างไรก็ดีการดำรงตำแหน่งนายกฯของสมัคร ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมานี้ หลายคนมองว่าหากเป็นคนอื่น หรือแม้แต่ตัวพ.ต.ท.ทักษิณ เองก็อาจยอมถอดใจยกธงยอมแพ้กระแสกดดันทางการเมืองจากคนรอบข้างไปนานแล้ว เนื่องจากต้องยอมรับว่าเขาเผชิญหน้าทั้งกระแสบีบคั้นทั้งจากในและนอกพรรค โดยเฉพาะจาก "นายใหญ่" ที่ส่งสัญญาณให้ส.ส.ในพรรคพลังประชาชน ออกมาถล่มสมัคร อยู่บ่อยครั้ง

ทั้งกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ2550 การสั่งสลายม็อบพันธมิตรฯที่เกือบทำให้รัฐบาลต้องพ้นวาระไปก่อนกำหนด รวมทั้งการตัดสินใจไม่ยอมเปิดให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้การเดินเกมการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องสะดุดลง และหากการเจรจาต่อรองเงินงบประมาณผ่านโครงการต่างๆของกลุ่มการเมือง ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากนายกฯสมัคร ไม่ได้ข้อยุติที่น่าพอใจ ยิ่งจะทำให้กระแสขับไล่ - เปลี่ยนตัวนายกฯ ดังกระหึ่มขึ้นภาย
ในพรรคพลังประชาชนอีกระลอก

"ทักษิณ"ถือไพ่คดี
หมิ่นประมาทบีบ "สมัคร"

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าการควบคุมบงการ "ลูกจ้าง"อย่างนายกฯสมัคร ของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นสร้างความยากลำบากใจต่อเขาอย่างยิ่ง เพราะเขาอาจไม่คาดคิดมาก่อนว่าลูกจ้างรายนี้ไม่เป็นไปได้ดั่งใจ แต่ก็หาช่องทางเล่นงานกดดันสมัคร ให้ยอมทิ้งเก้าอี้ไม่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อช่องทางทางการเมืองไม่อาจสนองตอบต่อความต้องการของพ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรฯที่ต้องการเห็นรัฐบาลประกาศลาออกก็ตาม

แต่ต้องไม่ลืมว่านายกฯสมัคร นั้นมีคดีความสำคัญติดตัวอยู่ ถึง 2 คดีด้วยกัน คือ คดีหมิ่นประมาท สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯกทม.กรณีกล่าวหาทุจริตประมูลโครงการต่างๆของกทม. ต่อมาศาลชั้นต้นได้มีคำตัดสินให้ สมัคร มีความผิด มีคำสั่งจำคุก คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ซึ่งเวลานี้คดีอยู่ในขั้นการต่อสู้คดีในศาลอุทธรณ์

ส่วนคดีที่ 2 คือกรณีวุฒิสมาชิก เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี จากกรณีเป็นพิธีกรรายการชิมไปบ่นไปและรายการอื่น ของบริษัท เฟซ มีเดีย จำกัด อันเป็นบริษัทของเอกชนที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร อันเข้าข่ายต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ที่ห้ามไม่ให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไร

โดยในคดีเดียวกันนี้เอง ยังปรากฏว่ามี สว.เข้าชื่อจำนวน 49 คนยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯสมัคร ว่าขัดต่อมาตรา 182 และม.91 หรือไม่ ซึ่งเวลานี้กำลังรอการพิจารณาคดีจากศาลรัฐธรรมนูญ และมีแนวโน้มว่าคดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญน่าจะได้คำตอบใน เร็วๆนี้

"คุณทักษิณ เคยให้ผู้ใหญ่ในวงการเศรษฐกิจคนหนึ่งไปช่วยพูด มาขอกับคุณสามารถ แต่คุณสามารถไม่ยอมความ ซึ่งผู้ใหญ่คนดังกล่าวนี้คือคนที่เจ้าของบริษัทใหญ่ที่คุณสามารถ เคยทำงานด้วยมาก่อน เคยให้พระผู้ใหญ่หลายคนมาขอ แต่สุดท้ายเวลานี้มีข่าวแพร่สะพัดว่าคดีน่าจะตัดสินแล้วในศาลอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์จะไม่เป็นคนอ่านคำพิพากษาเอง ต้องส่งมาให้ที่ศาลชั้นต้นเป็นคนอ่านคำพิพากษา"

อย่างไรก็ดีก็มีข่าวสะพัดอีกเช่นกันว่าคดีดังกล่าวนี้หากสมัครยอมลา ออกไปก่อนหน้านี้ คดีก็อาจจะไม่ออกมาเช่นนี้ แต่เมื่อไม่ยอมลาออกจากนายกฯ คงมีขั้นตอนหนึ่งที่สมัคร จะต้องรับผิด และถ้าคิดว่าจะอยู่ต่อไปอย่างไม่มีอนาคตเป็นเรื่องที่สมัครได้ตัดสินใจแล้ว

นอกจากนี้นายกฯสมัคร ยังมีคดีการทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง ของกทม. ที่ได้ถูกโอนถ่ายจากมือคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อรัฐ (คตส.)ไปสู่มือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาชี้ขาดอีกยาวนานกว่าสองคดีข้างต้น และสำหรับในส่วนของคดีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯกทม. นั้นตามขั้นตอนทางกฎหมายแล้ว หากคำสั่งของศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้สมัคร มีความผิดยืนตามศาลชั้นต้น ก็ใช่ว่านายกฯสมัคร จะไร้หนทางต่อลมหายใจให้กับตัวเองเสียทีเดียว

จับตาอัยการสูงสุดช่วย
"สมัคร"ต่อลมหายใจ


ดร.ปรีชา สุวรรณฑัต อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวงศ์ชลิตกุล กล่าวว่า ตามหลักแล้วคดีหมิ่นประมาทเป็นคดีเล็กๆ ซึ่งเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงไม่ใช่การตีความ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่คำตัดสินของศาลอุทธรณ์จะยืนตามศาลชั้นต้น และหากผลคดีออกมาในลักษณะดังกล่าว นายกฯสมัคร จะต้องหลุดจากตำแหน่งทันที

"ตามหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อคดีมีการตัดสินในชั้นศาลอุทธรณ์แล้วหากจำเลยต้องการยื่นต่อสู้ในชั้น ศาลฎีกา ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้พิพากษาคดีและอัยการสูงสุด จำเลยไม่สามารถยื่นคำร้องขอต่อสู้ได้เอง และคาดว่าประเด็นที่คุณสมัคร จะหยิบยกขึ้นมาต่อสู้น่าจะเป็นกรณีปัญหาข้อกฎหมาย"

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ กล่าวว่า การตัดสินใจของอัยการสูงสุดที่จะอนุญาตให้จำเลยได้สิทธิในการต่อสู้ชั้นต่อ ไปหรือไม่นั้น หากเกิดขึ้นกับบุคคลธรรมดาทั่วไปในคดีหมิ่นประมาทย่อมไม่มีปัญหา แต่กรณีของนายกฯสมัคร นั้นอัยการสูงสุดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมือง

ดังนั้นคดีหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นคดีเล็กๆแต่กำลังมีแนวโน้มต่อสถานะนายกฯของสมัคร อย่างมากเช่นนี้ ย่อมทำให้ตัวเขาเองจำเป็นต้องวิ่งหาทางออกให้กับตัวเองเช่นกัน

" เชื่อว่าคุณสมัคร ต้องหาทางวิ่งเต้นเพื่อขอยื่นอุทธรณ์ต่อสู้ในศาลสุดท้ายต่อไป กับอัยการสูงสุดให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นต้องยุติบทบาทนายกฯทันที"

แหล่งข่าวจากกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุ พร้อมทั้งกล่าวว่าต้องจับตาดูว่าอัยการสูงสุดจะยอมเปิดไฟเขียวให้กับนายกฯ สมัคร หรือไม่ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายต่างกังวลเนื่องจากการทำงานที่ผ่านมาของ อัยการสูงสุด มักสร้างความผิดหวังอย่างมาก โดยเฉพาะการตีกลับ ไม่ส่งฟ้องคดีอายัดทรัพย์ตระกูลชินวัตร 7.6 หมื่นล้านของคตส. รวมทั้งก่อนหน้านี้ยังสั่งไม่ฟ้องคดีหวยบนดิน2-3ตัวและคดีทุจริตกล้ายาง 90 ล้านต้น จนทำให้คตส.ต้องยื่นฟ้องเองมาแล้ว

"ไม่มีใครต้องการก้าวล่วงฝ่ายตุลาการ แต่ที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ" รวมทั้งยังมีคนในแวดวงอัยการสูงสุดบางคนที่เคยมีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับ ระบอบทักษิณมาแล้ว อาทิจุลสิงห์ วสันตสิงห์ รองอัยการสูงสุด ที่เคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบอร์ดการท่าอากาศยาน ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทยมาแล้ว

"เนวิน"ร่วมวง "แม้ว"
เฟ้นว่าที่นายกฯคนใหม่


จากนี้ไปชะตากรรมของนายกฯสมัคร อาจต้องขึ้นอยู่กับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรม และศาลรัฐธรรมนูญในอีกไม่เกินเดือนนี้ นั่นจึงเท่ากับว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกะทันหัน โอกาสที่จะพ.ต.ท.ทักษิณ จะได้เวลา "เปลี่ยนตัว"ผู้เล่นย่อมมาถึง

" พรรคเรามีมรสุมหลายลูกที่กำลังรออยู่ ทั้งวันที่ 8 ก.ค.ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดคดีใบแดงของยงยุทธ (ติยะไพรัช) วันที่ 9 ก.ค.จะเป็นคดีของคุณไชยา สะสมทรัพย์ จากนั้นคาดว่าคดีของคุณสมัคร คงอีกไม่นาน"

แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชาชนระบุ พร้อมทั้งกล่าวว่า แคนดิเดตพรรคเคยมองเอาไว้อย่างนพ.สุรพงษ์ ก็อาจติดปัญหาคดีหวยออนไลน์ ที่ถูกโอนงานไปยังป.ป.ช.แล้ว ส่วน สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรมหรือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยคนใกล้ชิดที่มีข่าวมาโดยตลอดนั้น ก็ยังมีความเป็นไปได้

" มีข่าวว่าเวลานี้คุณเนวิน กำลังหารืออย่างใกล้ชิดกับคุณทักษิณ แต่ไม่มีใครรู้ว่าผลออกมาจะเลือกใครขึ้นมาแทนคุณสมัคร หากต้องหลุดจากตำแหน่งจริง"

ขณะเดียวกันทางฝ่ายพันธมิตรฯ เองกลับไม่สนใจว่าใครจะเข้ามาทำหน้าที่ต่อจากสมัคร เพราะหากยังคงเป็นคนของพรรคพลังประชาชน การขับไล่ระบอบทักษิณ จะต้องเดินหน้าต่อไป แต่หากเปลี่ยนตัวให้นายกฯคนใหม่ ไม่ได้มาจากพรรคพลังประชาชน อาจเป็นเงื่อนไขที่พันธมิตรฯ พอที่จะยอมรับได้

แกนนำจากกลุ่มพันธมิตรฯ ชี้ว่า มีความชัดเจนว่า พรรคพลังประชาชนต้องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เห็นได้จากถุงเงิน 2 ล้านบาท เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณให้หลุดคดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าใครก็ตามที่เป็นสายตรงของพ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมที่จะอุทิศตัวและกล้าที่จะกระทำทุกวิถีทางที่จะช่วยให้เขากลับเข้ามามี อำนาจได้อีกครั้งหนึ่ง

"ขนาดคุณสมัคร ไม่ใช่หน่อเนื้อของพรรคพลังประชาชนยังทุ่มเทต่อกรให้คุณทักษิณ ขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นสายตรงจากคุณทักษิณ เหตุการณ์จะยิ่งเข้มข้นมากกว่านี้มาก"

*************

โหรฟันธงรัฐบาลมีสิทธิ์พัง!
ดวง 'สมัคร'เป็นกาลีดวงเมือง

โหราจารย์ จากหลายสำนักฟันธง 4 ธ.ค.51 รัฐนาวา "สมัคร"มีสิทธิ์ยุบสภา ระบุดวงนายกฯเป็นกาลีต่อดวงเมือง เตือนให้ระวังสุขภาพเพราะอาจถึงล้มหมอนนอนเสื่อ เชื่อช่วงปลายปีปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคมปะทุแน่

ชั่วโมงนี้คนไทยจำนวนมากหันมาให้ความสนใจในเรื่องโหราศาสตร์กับการ เมือง อย่างเป็นจริงเป็นจังโดยเฉพาะในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในช่วงเวลานั้นบ้านเมืองได้เกิดวิกฤตการณ์ต่างๆมากมาย ดังนั้นความเชื่อในเรื่อง "โหราศาสตร์"จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของคนไทยไปโดยปริยาย

เมื่อถึงรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชในปัจจุบัน ก็ได้มีโหราจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายๆคนออกมาทำนายอนาคตของการเมืองไทยกัน อย่างคึกคัก และหมอดูผู้หนึ่งที่ทำให้การเมืองไทย "ร้อนฉ่า"ขึ้นมาทันทีทันใดในช่วงที่ทุกฝ่ายกำลังชิงไหว ชิงพริบกันอยู่อย่าง หมอดูเจ้าของฉายา "หมอดูฟันธง"หรือ ลักษณ์ เรขานิเทศ ที่ออกมาบอกล่าสุดว่าในวันที่ 2 ก.ค.2551 ดาวอังคารและดาวเสาร์โคจรองศาทับกันแทบสนิท จะทำให้เกิดวิกฤตใน 2 ช่วงระหว่างวันที่ 2 ก.ค. บวกลบไม่เกิน 5 วัน กับวันที่ 1-5 ส.ค. จะเกิดเหตุการณ์รุนแรง และไฟทางอารมณ์ของผู้คนจะปะทุ เกิดการปะทะกัน ไฟทางใต้ที่สงบในระยะหนึ่งจะกลับมาร้อน ไฟจากการเผาตึกอาคาร แก๊งก่อกวน

โดยหมอลักษณ์ บอกว่าที่ท้ายนั้นไม่ได้ต้องการให้เกิดความตื่นกลัว แต่ในเชิงทฤษฎีต้องออกมาเตือน ในเดือน ส.ค. จะเกิดคราสหรือจุดดำจุดมืดคือ เงามืดทับดวงเมืองถึง 2 ครั้ง ต้นเดือน ส.ค.ครั้งหนึ่งและปลายเดือน ส.ค. จึงเตือนว่าในช่วงเวลาดังกล่าวที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน

อย่างไรก็ตามการทำนายมีผิดบ้างถูกบ้างก็ถือว่าเป็นการ "คาดคะเน"โดยอาศัยการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นตัวกำหนด "ผู้จัดการรายสัปดาห์"จึงได้สอบถามไปยังโหราจารย์หลายๆสำนักถึงเหตุที่จะ เกิดขึ้นตามคำทำนายว่าจะจริงเท็จหรือไม่

อาจารย์ธนกร สินเกษม นายกสมาคมโหร แห่งประเทศไทยฯ บอกว่าลัคนาราศีเกิดของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีสถิตย์อยู่ในราศีกรกฏ ปัจจุบันอายุย่าง 74 ปี ช่วงนี้มีดาวพฤหัสฯเป็นกาลี จะทำให้ตัวนายกรัฐมนตรีเองประสบปัญหาหลายๆอย่างรุมเร้าเข้ามา โดยเฉพาะปัญหาอันเกิดจากบริวาร แถมช่วงนี้ยังจะมีปัญหาด้านสุขภาพถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามในช่วงวันที่ 4 ธันวาคม 2551 ดาวพฤหัสฯเป็นกาลีจะย้ายมาทับลัคนาในราศรีกรกฏจะเป็นช่วงที่ไม่สามารถควบคุม และบริหารในพรรคพลังประชาชนได้ ช่วงนี้พรรคร่วมรัฐบาลจะเริ่มมีปัญหา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะเริ่มทำงานลำบากถึงขนาดทำงานไม่ได้เลยทีเดียว

"ผมขอฟันธงเลยว่าในช่วงวันที่ 22 เมษายน 2552 จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ถึงขนาดเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเลยที เดียวเพราะช่วงนี้ดวงเมืองซึ่งคือดาวอาทิตย์กุมลัคนาดวงเมืองเป็นกาลี แถมยังมีกาลีทับลัคน์ กาลีทับบริวารเข้ามาอีก ยิ่งมีสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง"

ด้านอาจารย์ พัฒนา พัฒนศิริ นักพยากรณ์ที่มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งได้ทำนายไว้ว่าสำหรับในปี 2551 ให้ระวังเภทภัยร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น 2 ช่วงดังนี้

ช่วงแรกจะเกิดกลางเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงจังหวะที่จะเกิดเหตุการณ์ก๊าซระเบิด ไฟไหม้ครั้งใหญ่ โรงงานระเบิด อุบัติเหตุบนถนนหลวง มีคนบาดเจ็บล้มตายเกลื่อนกลาด ตึกพัง รวมทั้งแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่จะสร้างความตื่นตระหนกแก่บ้านเมืองยิ่งกว่า ที่ผ่านมา คนที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในช่วงระยะเวลานี้ ให้ระมัดระวัง

ช่วงที่สอง จะเกิดกลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะช่วงวันที่ 17 ตุลาคมถึง 15 พฤศจิกายน เภทภัยร้ายแรง อาทิ เครื่องบินตก แก๊สระเบิด คลังแสงอาวุธ ภาคใต้มีการวางระเบิดร้ายแรง ไฟไหม้รายใหญ่ ฯลฯ

ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองจะมีความวุ่นวาย ภาพรวมหลายสิ่งหลายอย่างในบ้านเมืองยังหาจุดลงตัวไม่ได้ โดยช่วงวันที่ 4 ธันวาคม 2551 รัฐบาลจะเกิดความเสื่อมอีกครั้งหนึ่ง เพียงแค่ 1 ปีเศษ ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือยุบสภา ด้วยไม่มีดวงดาวมหัศจรรย์มาพลิกผันสถานการณ์ให้ดีขึ้น

"การที่เราพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต เป็นเสมือนการเตือนภัยล่วงหน้า แม้คำเตือนที่เราได้ฟัง จะดูเป็นเรื่องร้าย แต่ถ้าเราได้ลองทบทวนทำความเข้าใจ เราก็สามารถระมัดระวังมิให้เหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นได้ หรือทำให้เรื่องร้าย ผ่อนหนักเป็นเบาได้"อาจารย์ พัฒนา

ขณะที่อาจารย์ ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่าในปี 2551 ดาวพฤหัสโคจรเข้าสู่ศุภราศีเกษตร จะมีความมั่นคงและมีความสันติสุข มีพิธีการทางศาสนาสำคัญๆ เกิดขึ้น การศึกษามีการพัฒนาขั้นสูง การท่องเที่ยวจะดีขึ้น การติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศจะดีขึ้น แต่การดีนั้นจะเป็นแบบชนิดรีบเร่งแบบวิปริต

ช่วงหลังวันที่ 25 มิ.ย. 51 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้น อาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีและหลังวันที่ 4 ธ.ค. 51 ดาวพฤหัสจะโคจรสวนทางกับราหูในราศีมังกรในวันที่ 5 ก.พ. 52 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เช่น การยุบสภา

สิ่งที่น่าพิจารณาในปี 51 คือการเกิดคราส 4 ครั้ง ครั้งแรกเกิดในราศีมังกร เกิดสุริยคราสในวันที่ 7 ก.พ. 51 ครั้งที่ 2 เกิดวันที่ 21 ก.พ. 51 เวลา 10.32 น. ราศีสิงห์ ครั้งที่ 3 สำคัญมาก คือเกิดวันที่ 1 ส.ค. 51 เวลา 17.14 น. แนวคราสจะพาดผ่านพระจันทร์ ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้จะส่งผลต่อดวงเมืองโดยตรงคือจะเกิดการสูญเสีย เกิดความเศร้าสลดครั้งใหญ่ในบ้านเมือง การเมืองจะเกิดความสบสนวุ่นวาย เศรษฐกิจจะตกต่ำ ปัญหาสังคมโดยเฉพาะเรื่องของเยาวชนจะทำให้รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่าง เร่งด่วน

ส่วนซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดัง บอกว่านายสมัครเกิดปีกุน เดือนมะเมีย วันวอก ตั้งแต่หลังตรุษจีน 7 ก.พ. 2551 จะเป็นการย่างเข้าสู่ปีชวด ธาตุดิน ที่ไม่เกื้อหนุนกับชะตานายสมัคร ประกอบกับรอบอายุ 73 ปี ย่างขึ้น 74 ปี เป็นช่วงวัยที่อยู่ในเคราะห์ จะทำให้จังหวะก้าวเดินชีวิตจะต้องฟันฝ่ากับอุปสรรคมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ชนิดที่แทบจะประคองตัวเองไม่อยู่ ซึ่งเหตุการณ์บ้านเมือง ณ เวลานี้ เกิดเนื่องจากดวงเมือง และดวงของคนที่เป็นผู้นำ คณะผู้บริหารประเทศ คือนายกฯ สมัคร สุนทรเวช กับคณะรัฐมนตรีทั้งหมด

"ดวงชะตาของนายสมัครนั้นรอบอายุยังอยู่ในเคราะห์ และเดือน เม.ย.-6 มิ.ย. 2551 จะเป็นช่วงที่หนักที่สุด จะมีปัญหาทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ ภาระหน้าที่การงานที่ทำอยู่"

ซินแสคนเดิมระบุอีกว่าการที่นายสมัครจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคให้ผ่าน พ้นช่วงนี้ไปได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ "ต้องมีความอดทน" เป็นที่ตั้ง แต่แม้ว่าจะค่อย ๆ เบาขึ้น ก็ใช่ว่าจะพ้นปัญหา จะยังคงมีประเดประดังเข้ามาเรื่อย ๆ จะพ้นเคราะห์และปลอดโปร่งได้บ้างก็ต้องหลังจากวันที่ 23 ก.ย. 2551 ไปแล้ว

"แม้ช่วงต้นปียังพอประคองให้ผ่านพ้นปัญหามาได้ แต่พอย่างเข้าสู่กลางปี ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2551 จะเริ่มมีปัญหาหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรี โดยการเฟ้นหาคนที่ดวงดีมาช่วยกันบริหารประเทศ จะหนักชนิดที่รัฐบาลประคองสถานการณ์ไม่อยู่ หรือพังทั้งรัฐบาล"ซินแสภานุวัฒน์กล่าวในที่สุด

**************

ล้วงลึกงบปี 52 ส่งกลิ่นหึ่ง
แค่ 5 โปรเจครวยอื้อ-ทุ่มหาเสียงก่อนยุบสภา


กมธ. งบฯ ล้วงลึกงบประมาณปี 2552 แนะจับตา 5 แผนงานเอื้อฮั้วประมูลตั้งแต่โครงการเมกะโปรเจก-ท้องถิ่น แฉโครงการรถไฟฟ้าทุจริตไปแล้วในขั้นตอนการออกแบบกว่า 2 พันล้านบาท ขณะเดียวกันให้เกาะติดงบฯหาเสียง-งบผีอย่างใกล้ชิด เพื่อปูทาง "สมัคร" ยุบสภา

ผ่านไปแล้วกับวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ต้องยอมรับว่าร่างงบประมาณ ฉบับปี 2552 นี้ยังอยู่ในช่วงของการถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากคนในสังคม

เนื่องเพราะรัฐบาลของนายกฯที่ชื่อ "สมัคร สุนทรเวช" สืบทอดมาจากรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง แถมช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ปรากฏในภายหลังว่าได้มีการทุจริตเกิดขึ้นในรูปแบบของการทุจริตเชิงนโยบาย หลายโครงการ ซึ่ง คตส.ได้ติดตามและตรวจสอบพบมี มูลค่าความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นประมาณ 1.8แสนล้านบาท

แม้ว่าพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบไปแล้ว แต่ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญๆในปัจจุบัน ของรัฐบาลในนามพรรคพลังประชาชน ก็ล้วนยังเป็นผู้ที่เคยมีบทบาทอยู่ในไทยรักไทยแทบทั้งสิ้น ฉะนั้นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 ที่วางไว้สูงในจำนวนกว่า 1.8 ล้านล้านบาท นี้เอง จึงเป็นร่างนโยบายที่ถูกจับตามากที่สุดในประเด็นของการสานต่อด้านผล ประโยชน์!
แฉงบฯเอื้อทุจริต-หาเสียง

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ หนึ่งในคณะทำงานด้านงบประมาณ พรรคประชาธิปัตย์ และหนึ่งในคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"ว่า การศึกษาร่างงบประมาณฯ ปี 2552 เบื้องต้นพบว่า แผนการใช้เงินของรัฐบาลในนโยบายต่างๆ นั้น ไม่ได้อยู่ในส่วนของร่างงบฯประมาณ ทั้งหมด แต่กลับมีหลายส่วนสำคัญๆ เป็นงบประมาณที่ต้องใช้นอกงบประมาณประจำ ฉะนั้นถ้าจะจับให้ได้ไล่ให้ทันรัฐบาลก็ต้องดูรายละเอียดของงบประมาณและต้อง ติดตามข่าวสารการใช้งบประมาณที่แขวนลอยไว้ทั้งหมด

ในส่วนของแผนงบประมาณ ปี 2552 พบว่าแผนการใช้เงินในเรื่องของวิธีการใช้เงินของรัฐบาลนี้ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ยุทธศาสตร์ และแผนงาน ซึ่งส่วนที่ต้องจับตาดูเป็นพิเศษคือวิธีการใช้เงินตามแผนงาน

อีกทั้งยังพบว่ารัฐบาลชุดนี้ได้จับงบประมาณที่น่าสงสัยใน 3 กลุ่ม คือ 1.งบเมกะโปรเจค และงบฯในแผนงานต่างๆ ที่ใช้วิธีการเอื้อทุจริตแบบฮั้วประมูลในขั้นตอนต่างๆ 2.งบประมาณที่จัดไว้เพื่อการหาเสียง สร้างฐานเสียง และ3.งบที่มีแต่ตัวเงินแต่ไม่มีรายละเอียดการใช้เงิน ซึ่งเอื้อต่อการทุจริตได้ง่าย

5 โครงการใหญ่เอื้อฮั้วประมูล

ในส่วนของงบฯในแผนงานต่างๆ ที่สามารถใช้วิธีการทุจริตแบบฮั้วประมูลในขั้นตอนต่างๆ นั้นปรากฏพบว่ามีตั้งแต่โครงการเมกะโปรเจค ยันงบฯพัฒนาท้องถิ่น ปกติแล้วงบฯที่เอื้อต่อการทุจรติแบบฮั้วประมูลนั้น ส่วนใหญ่เป็นงบฯก่อสร้างหรืองบในส่วนของคมนาคมขนส่ง ซึ่งสามารถเอื้อทุจริตได้ใน 3 ขั้นตอนได้แก่ 1.โครงการอยู่ระหว่างการออกแบบ 2.โครงการอยู่ระหว่างการกำหนดราคากลาง และ 3.โครงการประกวดราคาก่อสร้าง ซึ่งเมื่อดูจากแผนการใช้งบฯ ของรัฐบาลสมัครฯ พบว่ามีโครงการที่ประชาชนต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในงบฯ 5 ส่วนคือ

1.โครงการเมกะโปรเจคในระบบคมนาคมขนส่ง ที่จะมีการใช้เงินนอกงบประมาณจำนวนมหาศาลมาบริหารงาน ทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟสายตะวันออก ปรับปรุงระบบราง รวมถึงโครงการรถไฟทางคู่ ที่เป็นโครงการที่รัฐบาลประกาศว่าเป็นโครงการที่จำเป็นต้องทำ และจะมีการใช้งบประมาณ 3 ส่วน คือ เงินกู้นอกประเทศ เงินกู้ในประเทศ และเงินบาทสมทบจำนวน 4182.9 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้นขณะนี้อยู่ที่การใช้งบในส่วน ของเงินสมทบซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้มีการนำไปใช้ในส่วนของค่าใช้จ่าย เบื้องต้น 2 กรณีคือ การจัดชดเชยกรรมสิทธิ์ที่ดิน (เวนคืน) และการออกแบบโครงการซึ่งในส่วนการออกแบบมีการใช้เงินสูงถึง 2,000กว่าล้านบาท

ทั้งนี้เพราะปกติแล้วการว่าจ้างบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา จะต้องมีการประกาศและมีการทำการประมูล แต่ที่ผ่านมาพบว่า ไม่มีการเชิญชวนประมูล ไม่มีการประกวดราคา ไม่มีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชน แถมมีข่าวออกมาจากคนอยู่ในวงการบริษัทที่ปรึกษาออกมาว่า มีการทุจริตในการเรียกเปอร์เซ็นต์การรับงานสูงถึง 20% ไปแล้ว

" ตรงนี้แม้ไม่มีหลักฐาน แต่ก็อยากถามว่าทำไมวิธีการสรรหาบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาถึงไม่โปร่งใสรถไฟฟ้า สายสีม่วง (บางใหญ่-บางซื่อ) ปกติต้องมีการประกาศเชิญชวนบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา แล้วต้องมีการยื่นซองประกวดราคา แต่ดูแล้ว ไม่มีขั้นตอนนี้ แต่กลับเข้าข่ายลักษณะรายไหนเคยทำกันมาก็ให้รายนั้นไป"

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ย้ำว่าการดำเนินการวิธีนี้ก่อให้เกิดการคอรัปชั่นได้ง่ายมาก และจำนวนมหาศาล เพราะสมัยก่อนค่าออกแบบจะอยู่ที่ประมาณโครงการละ 30-50 ล้านบาท แต่ปัจจุบันนี้ค่าออกแบบสูงเป็น 1,000 ล้าน ซึ่งวิธีนี้ถือว่าเพิ่งเริ่มต้นก็ไม่โปร่งใสแล้ว

2.แผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการขนส่งมวลชน สินค้าและบริการ 71,392.5 ล้านบาท ส่วนนี้มีรายละเอียดระบุส่วนหนึ่งว่าจะนำไปก่อสร้างทางหลวงเพื่อยกระดับ มาตรฐานถนนลูกรังเป็นถนนลาดยาง หรือถนนปลอดฝุ่น พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และระหว่างเมือง ส่งเสริมสวัสดิภาพการขนส่ง พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางรถไฟ และทางน้ำ พัฒนาท่าเรือเพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางน้ำ รวมทั้งก่อสร้าง ปรับปรุง และพัฒนาท่าอากาศยาน

"ส่วนนี้เป็นอีกส่วนที่ต้องจับตา เพราะเป็นโครงการที่ต้องอาศัยระบบการประมูลเป็นหลัก ที่ผ่านมาโครงการเหล่านี้ที่เป็นโครงการที่เอื้อต่อการฮั้วประมูลมากที่สุด ซึ่งประเมินแล้วว่าอย่างน้อยๆ โครงการในส่วนนี้จะมีเงินรั่วไหลได้สูงถึง 10-15% ของเงินงบประมาณ 7 หมื่นกว่าล้านบาทนี้"

3. งบท้องถิ่น ในชื่อว่าแผนงานส่งเสริมการกระจายอำนาจการปกครอง จำนวน 150,589.7 ล้านบาท งบฯส่วนนี้ตั้งแต่รัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และพบว่าเป็นงบฯที่รั่วไหลได้มาก โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เทศบาล อบจ. อบต ที่ไม่ดี สามารถทุจริตจากงบส่วนนี้ได้มากถึง 20-30% โดยตรวจสอบและติดตามผลการทุจริตได้ยากมากที่สุด ซึ่งประชาชนในท้องถิ่นเท่านั้นที่จะติดตามการทุจริตอย่างใกล้ชิดได้ แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครจับการทุจริตในส่วนนี้ได้

4.งบจังหวัด หรือ แผนงานบริหารจังหวัด จำนวน 18,000 ล้านบาท ตรงนี้น่าสนใจมาก เพราะงบฯ ตัวนี้เป็นงบฯใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย และกระจายไปทุกจังหวัด ถือเป็นเบี้ยหัวแตกที่สามารถเอื้อการทุจริตได้ง่ายแต่จับการทุจริตได้ยาก คล้ายกับงบท้องถิ่น คาดจะรั่วไหลในส่วนนี้ได้มากถึง 30-40% จำนวน 4-5 พันล้านบาท

5.งบแขวนของรัฐบาล งบแขวนนี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการเมกะโปรเจคของรัฐบาลที่ยังไม่มีระบุในแผนงบ ประมาณฉบับปี 2552 นี้ เช่น งบผันแม่น้ำโขง ที่รัฐบาลเคยประกาศนโยบายว่าจะทำและใช้งบประมาณ 4 แสนล้านบาทนั้น เมื่อไม่ปรากฏในเอกสารงบประมาณ จึงต้องคอยจับตาดูว่าจะไปใช้งบฯในส่วนไหน

"ตรงนี้เรียกว่าทริกของรัฐบาล เป็นทริกในการบริหารการเงินที่รัฐบาลชุดนี้ถนัดมาก หากในส่วนของการประชุมคณะกรรมาธิการงบประมาณของรัฐสภามีมติตัดงบฯตัวใดก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลก็จะสามารถนำงบฯ ที่ถูกปรับลดนี้ไปขอใช้ โดยผ่านมติครม. ฉะนั้นต้องจับตาดูว่าจะมีโครงการอะไรบ้างที่รอใช้เงินผ่านครม.ต่อๆไป"
งบหาเสียง-งบผีน่าจับตา

งบฯส่วนต่อมา คืองบที่มีผลโดยตรงในเขตการเลือกตั้ง หรืองบหาเสียง ส่วนนี้ที่สังเกตพบประกอบด้วย

1.งบ SML ที่มีการยกเลิกโครงการอยู่ดีมีสุขไป มีงบทั้งสิ้น 19,000,000 บาท ซึ่งอยู่ในส่วนของงบฯ กลาง
2.งบการจัดการน้ำชลประทาน งบลงทุน 9,159.1616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 สูงมากถึง 1,600 ล้านบาท และพบว่ามีโครงการไม่ระบุสถานที่ 3 ส่วนสำคัญคือ ค่าก่อสร้างแหล่งน้ำมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท 170.684 ล้านบาท ค่าปรับปรุงแหล่งน้ำมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท จำนวน 862.281 ล้านบาท และค่าขุดลอก 569.912 ล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นการจัดงบประมาณที่ไม่ตอบสนองโครงการเพิ่มผลผลิตของ เกษตรกรอย่างจริงจัง

3.แผนงานในส่วนของกรมส่งเสริมสหกรณ์ วงเงิน 3,858,698,100 บาท ได้แก่ฟื้นฟูอาชีพและพักหนี้เกษตรกรโครงการใหม่เริ่ม 2552-2554 วงเงิน 4,305,654,800 บาท ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตร 2,819,526,000 บาท

4.แผนงานปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตรกรของกรมการข้าว 1,413,568,500 บาท ซึ่งแบ่งเป็นค่าเงินเดือนและงบดำเนินงานสูงถึง 1,300 ล้านบาทซึ่งสูงมาก

5.แผนงานในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในโครงการพักชำระหนี้ 1,500,000,000 บาท ชดเชยดอกเบี้ยแทนเกษตรกรตามนโยบายรัฐ 920,649,200 บาท ชดเชยดอกเบี้ยและภาวะขาดทุนจากโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรแทนกองทุนรวม เพื่อ

อีกงบฯประมาณที่ต้องจับตาใกล้ชิดคือ งบฯที่มีแต่ตัวเลขแต่ไม่มีรายละเอียดโครงการ ในเบื้องต้นพบว่ามีหลายโครงการด้วยกัน ได้แก่

1.แผนงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 7,535,000,000 บาท ที่เป็นงบฯของกองกำลังรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร อยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรี

2.งบฯฟื้นฟูสภาพป่าเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนของกรมป่าไม้ จำนวน 393,607,500 บาท

3.งบฯก่อสร้าง ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช 1,447,687,000 บาท แต่ไม่มีรายละเอียด

4.งบฯในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติด ในแผนป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตั้งงบฯ ค่าใช้จ่ายด้านการป้องกัน 552,550,000 บาท

แจกงบฯ SML สู่มือหัวคะแนน

ด้านแหล่งข่าวในกรรมาธิการพิจารณางบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า งบที่น่าห่วงในรัฐบาลของนายกฯสมัครมีหลายโครงการ โดยเฉพาะงบที่ตั้งไว้เพื่อการหาเสียง เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ รีบร้อนให้ทางฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่ผ่านมานั้น เป็นไปอย่างรวดเร็วและในตอนแรก นายกฯ ไม่ยอมให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
แต่ภายหลังเมื่อพบว่าหากไม่เปิดให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ ก็จะไม่สามารถยุบสภาได้ แสดงให้เห็นชัดว่า นายกฯสมัครมีไม้เด็ดคือการยุบสภา หากเกิดวิกฤตทางการเมืองและไร้ซึ่งทางออก ดังนั้น เมื่อมีแผนยุบสภาไว้ในใจ จึงต้องมีการตั้งงบฯ หาเสียงและต้องเร่งใช้อย่างเร็วที่สุด

ดังนั้นงบประมาณตรงนี้จึงเป็นงบที่น่าเป็นห่วงที่สุด ได้แก่ งบ SML เอส เอ็ม แอล ที่มีการยกเลิกโครงการอยู่ดีมีสุขมารวมในโครงการเดียวกัน ที่ผ่านมางบในลักษณะจ่ายไปตามท้องถิ่นต่างๆ เช่นกองทุนหมู่บ้านจะมีลักษณะเลือกคณะกรรมการขึ้นมาบริหารงาน 12 คน และมี 3 คนที่มีอำนาจเบิกจ่ายเงินโดยตรงกับธกส.ได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหัวคะแนนนักการเมืองจึงต้องแก้ไขให้ได้ แม้ว่า สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะบอกว่ามีโครงการที่ประสบความสำเร็จ แต่โดยแท้จริงแล้วที่ผ่านมามีโครงการที่ล้มเหลวมากถึง 70-80%

อีกทั้งในส่วนของงบท้องถิ่น เดิมมีการรั่วไหลมากที่สุด เพราะมีการใช้ไม่ตรงวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะการนำเงินไปเที่ยวต่างประเทศ ปีนี้อาจจำเป็นต้องตัดงบฯ ส่วนนี้ออกให้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาการตั้งงบประมาณของรัฐบาลชุดนี้ พบว่า โดยความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลไม่สามารถกู้เงินเพื่อมาทำโครงการเมกะโปรเจคหลายโครงการได้ เนื่องจากติดเพดานภาระหนี้สาธารณะ ที่รัฐบาลจะสามารถกู้ได้เพียงแค่แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น แต่หากรัฐบาลยังยืนยันและจะขยายเพดานหนี้ให้มากขึ้น ก็จะเกินภาระที่ประเทศชาติจะรับไหว ซึ่งกระทรวงการคลังต้องเข้มงวดมากกว่านี้

"งบฯ ปีนี้พบว่า มีปัญหาหลายด้าน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากหลายเรื่องที่ผ่านมา 7-8 ปี เป็นเหมือนดินพอกหางหมู แต่เรื่องเพิ่งมาปูดเอาตอนนี้ เหมือนกับว่า พรรคพลังประชาชนต้องมารับกรรมที่พรรคไทยรักไทยก่อไว้ทั้งหมด ซึ่งจะโทษใครไม่ได้ อย่างแต่เดิมมีหนี้ที่เป็นต้นเงิน 3 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลก่อนจ่ายแค่หลักแสนล้าน ทำให้ตอนนี้ต้นเงินสูงถึง5 หมื่นกว่าล้าน ดอกเบี้ยสูงถึง 1.29 แสนล้านบาท พลังประชาชนก็ต้องรับกรรมนี้ต่อไป"

ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสังเกตคือการทำให้รายรับประจำปี 2552 เพิ่มมากขึ้น โดยรัฐบาลประมาณการไว้ที่ 1,900,000 ล้านบาท เปรียบเทียบกับปี 2551 พบว่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 127,500 ล้านบาท (ตัวเลขก่อนการหักภาษี) แยกเป็นรายได้จากกรมสรรพากรสูงถึง 109,700 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นภาระภาคประชาชนอย่างมาก เพราะตัวเลขประมาณการของรัฐบาลที่คิดขึ้นมานั้นมาจากการคาดการณ์เศรษฐกิจที่ มีแนวโน้มขยายตัวประมาณร้อยละ 5.5 อัตราเงินเฟ้อร้อยละ 3.5 ซึ่งเป็นการประมาณการรายได้ที่สูงเกินความเป็นจริง และไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

from : MGR online

ฉวยโอกาสการเมืองป่วน ‘ทักษิณ’ส่งทีมยึดตลาดหุ้น-แบงก์ชาติ! คุมการเมือง-ศก.เบ็ดเสร็จ!

* คนทักษิณวางหมากกุมหัวใจประเทศ
* ยึด”คลัง-ตลาดหุ้น-ก.ล.ต.”เบ็ดเสร็จ
* เดินเครื่องรุกคืบแบงก์ชาติ-ผู้ว่าฯ ไร้อิสระ
* โบรกเกอร์รุ่นเก๋าหวั่น”ทักษิณ”ฮุบหลังแปรรูปตลาดฯ
* นักวิชาการชี้การเมืองคุมได้หมดประเทศวิกฤติ......


การหวนกลับคืนมาครองอำนาจบริหารประเทศอีกครั้งของกลุ่มก้อนไทยรักไทย เดิมภายใต้ชื่อใหม่อย่างพลังประชาชนที่มีการเทคโอเวอร์มาจากเจ้าของพรรคเดิม นับว่าเป็นความสำเร็จไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่พรรคเดิมถูกยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 และถูกตัดสินให้ยุบพรรคพร้อมด้วยการให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีของกรรมการบริหารพรรค 111 คน

ทั้ง ๆ ที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีที่ขณะนั้นเดินทางอยู่ต่างประเทศไม่สามารถ กลับเข้ามาในประเทศไทยได้ จนกระทั่งรัฐบาลเฉพาะกาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ หมดสภาพไปและเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ คนของไทยรักไทยเดิมในร่างของพรรคพลังประชาชนยังคงกวาดที่นั่งในสภามาได้มาก ที่สุดและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การนำของสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี

เพียงแค่ 4 เดือนของการบริหารประเทศ อาการของรัฐบาลตกอยู่ในช่วงที่หนักหนาสาหัส ทั้งการลาออกของจักรภพ เพ็ญแข กรณีหมิ่นสถาบัน สุธา ชันแสง จากวุฒิการศึกษา นพดล ปัทมะ คดีปราสาทพระวิหาร การพ้นสภาพของไชยา สะสมทรัพย์ ยงยุทธ์ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรถูกใบแดง ที่อาจนำไปสู่คดียุบพรรคตามรอยของพรรคชาติไทยและมัฌชิมาฯ และจะตามมาอีกหลายกรณีทั้งวิรุฬ เตชะไพบูลย์ โดยเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีเองทั้งเรื่องหมิ่นประมาท การจัดรายการชิมไปบ่นไป หรือคดีค้างเก่าสมัยเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

แน่นอนว่าความสนใจของผู้คนค่อนประเทศ จับตาไปที่การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีว่าจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร ไม่ว่าจะปรับคณะรัฐมนตรี ยุบสภาหรือลาออก แต่ทั้ง 2 ทางออกหลังเจ้าตัวยืนยันแล้วว่าไม่ยุบไม่ออก คาดหมายกันว่าคงรอให้งบประมาณปี 2552 คลอดก่อนซึ่งในระหว่างนั้นคงมีการปูฐานบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยให้การเลือก ตั้งของพรรคครั้งต่อไปง่ายขึ้น

ช่วงที่การเมืองชุลมุนอย่างนี้ คนเกือบทั้งประเทศลุ้นกันว่ารัฐบาลจะออกหัวหรือก้อยกัน หรือกำลังดีใจที่รัฐบาลเข้ามาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพด้วย “6 เดือน 6 มาตรการฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทย” แต่ในอีกฝากหนึ่งกลับมีความเคลื่อนไหวที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน นั่นคือ ภาคการเงิน ที่เป็นหัวใจสำคัญของประเทศไม่แพ้ฝากการเมือง ที่กำลังถูกยึดครองด้วยกลุ่มอำนาจเก่า

“สุรพงษ์”คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ

การรุกคืบเข้ากุมอำนาจในหน่วยงานทางเศรษฐกิจเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลังเอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยจังหวะและโอกาสเหมาะที่ผู้คนหันไปให้ความสนใจสถานการณ์ทางการเมืองเป็น พิเศษ

กระทรวงการคลังภายใต้โควต้าของพลังประชาชน ที่นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ขุนพลคู่ใจอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ รับหน้าที่บัญชาการเอง แม้จะถูกค่อนแคะว่าเอาหมอมาเป็นขุนคลังก็ตาม แต่สามารถคุมข้าราชการในกระทรวงนี้ได้อยู่หมัด การปฏิบัติงานทุกอย่างเดินตามเส้นที่ขุนคลังผู้นี้ขีดไว้ทุกประการ

แม้กระทั่งการชุบชีวิตของข้าราชการระดับสูงอย่างเบญจา หลุยเจริญ ที่เคยช่วยเหลือปกป้องเรื่องการขายหุ้นชินคอร์ปว่าไม่ต้องเสียภาษี ที่ยังมีคดีความกันอยู่เนื่องจากถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิด ความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ยื่นฟ้องข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการเรียกเก็บภาษีการซื้อขายหุ้น บริษัทชินคอร์ป

ขณะที่หัวหน้าทีมศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากรในขณะนั้น กับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรอีก 5 คน ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดทั้งทางอาญาและวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และยังมีความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่เรียกเก็บ หรือตรวจสอบภาษีอากร กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด เพื่อให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร นั้น มิต้องเสีย

วันนี้กลับได้รับการปูนบำเหน็จจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการขึ้นเป็นรอง ปลัดกระทรวงการคลัง โดยที่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน ด้วยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา

แหล่งข่าวจากวงการเงินกล่าวว่า“วันนี้กระทรวงการคลังคงไม่ต้องพูดถึง เพราะข้าราชการเกือบทั้งหมดไม่มีใครกล้าแตกแถว และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ช่วงที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาบริหารตั้งแต่ปี 2544 ทุกอย่างเป็นไปตามที่เจ้ากระทรวงสั่งทั้งหมด แม้กระทั่งบทความที่เขียนโดยข้าราชการของกระทรวงนี้ก็ล้วนส่งเสริมนโยบายและ แนวทางของรัฐบาลไทยรักไทยและพลังประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง”

อีกทั้งยังพร้อมจะปกป้องแนวคิดและนโยบายของเจ้ากระทรวงกับหน่วยงาน อื่นที่ไม่เห็นด้วยกับเจ้านายของตน ข้าราชการที่มีคดีความก็ได้รับการปกป้องลบรอยมลทินให้ทั้งหมด รวมถึงกิจการของครอบครัวของข้าราชการระดับสูงบางท่านก็มีธุรกิจเชื่อมโยงกับ ธุรกิจของอดีตนายกทักษิณ

ตลาดหุ้นคือสินค้า
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น เมื่อ 25 มิถุนายน 2551 คณะกรรมการของตลาดหลักทรัพย์อนุมัติการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2554

จากเดิมที่แนวคิดดังกล่าวเคยมีมาตั้งแต่สมัยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ยุคก่อนของวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ และมีการผลักดันอีกครั้งในสมัยของพรรคไทยรักไทย ที่ครั้งนั้นมีวิจิตร สุพินิจ เข้ามาเป็นประธานตลาดหลักทรัพย์ แต่กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ในขณะนั้นไม่เห็นด้วย เรื่องดังกล่าวจึงต้องยุติลงระยะหนึ่ง

จากนั้นจึงเริ่มกลับมาเดินเครื่องอย่างจริงจังหลังได้ตัวกรรมการและ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนใหม่อย่างภัทรียา เบญจพลชัย ที่ยกระดับขึ้นมาจากรองผู้จัดการตลาด ที่แหกโผจากโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการอีกคนที่เป็นตัวเต็ง แต่ด้วยบุคลิกที่แข็งควบคุมยาก ทำให้เธอถูกโยกให้ไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด แทน

โดยมีการเดินเครื่องแปรรูปตลาดหลักทรัพย์อย่างจริงจังหลังจากได้ตัว ประธานตลาดหลักทรัพย์คนใหม่อย่างปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ที่ประกาศตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง และมีมติอนุมัติการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อ 25 มิถุนายน 2551

ผู้บริหารระดับสูงของวงการโบรกเกอร์เล่าให้ฟังว่า เดิมทีการทำงานในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่หน้าที่ของกรรมการและผู้จัดการตลาด หลักทรัพย์เป็นหลัก หลังจากยุคของกิตติรัตน์ ประธานตลาดหลักทรัพย์เข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการมากขึ้น ตำแหน่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์มีหน้าที่เพียงทำตามคำสั่งของประธานเท่านั้น

เพราะตำแหน่งของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์คนปัจจุบัน คนในวงการนี้หรือแม้แต่คนในตลาดหลักทรัพย์ก็ทราบดีว่าถูกวางตัวไว้เพื่อรับ ใช้ตัวประธาน ประธานอยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร ผู้จัดการตลาดก็ต้องดำเนินการตาม รวมถึงการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ที่จะกระทบต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของ พนักงานตลาดหลักทรัพย์ที่มีมากถึง 963 คน

จากนี้องค์กรของตลาดหลักทรัพย์จากเดิมที่เป็นองค์ที่ไม่แสวงหากำไร จะต้องพลิกบทบาทมาเป็นองค์กรที่ทำกำไร โดยทางตลาดหลักทรัพย์ได้วางแผนในการสร้างกำไรไว้ 3 ปี และจะเข้าตลาดหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นสินค้าอีกตัว หนึ่งในปี 2554

โดยได้มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจนใน 5 ปีข้างหน้า โดยกำหนดจะเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอีก 2 เท่าเป็น 12 ล้านล้านบาท และตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า เป็น4 พันล้านบาทภายในปี 2556 โดยร้อยละ 25 ต้องเป็นรายได้จากการออกสินค้าใหม่ รวมทั้งการมีบริษัทจดทะเบียนจากต่างประเทศไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ซึ่งจะมีการกำหนดแผนกลยุทธ์ เพื่อให้มีการดำเนินงานที่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ด้านโครงสร้างองค์กรนั้น คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติให้มีการแยกงานของตลาดหลักทรัพย์ออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุน และส่วนของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเน้นการทำงานในแต่ละด้าน คือการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาว และการดำเนินธุรกิจตลาดทุน

ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุน จะมีหน่วยงานที่ดูแลงานด้านการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุน และการพัฒนาความแข็งแกร่งให้ผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน งานด้านบรรษัทภิบาล และกิจกรรมเพื่อสังคม

ยกเมฆ-เฟ้อฝัน

ผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ที่อยู่ในวงการนี้มากว่า 20 ปีให้ความเห็นว่า การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็น สินค้าตัวหนึ่งนั้น เท่ากับเป็นการหาทางออกในการเพิ่มสินค้าใหม่ให้กับตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น

แน่นอนว่ามูลค่าของตลาดหลักทรัพย์เมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดทรัพย์จะ สูงเป็นหมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดให้สูงขึ้นได้ตามเป้าหมายที่ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ต้องการ แต่การหาสินค้าใหม่หลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบริษัทขนาดใหญ่บางแห่งเลือกที่จะไม่เข้าตลาดหุ้น บางแห่งไปจดทะเบียนในต่างประเทศแทน

หากจะมาเน้นในเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเหมือนก่อนคงไม่ง่าย เนื่องจากต้องเจอแรงต่อต้านจากภาคประชาชน เห็นได้จากกรณีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ทำให้รัฐวิสาหกิจอื่นที่แปรรูปเป็นเอกชนแล้วก็ยังไม่เข้ามาจดทะเบียนเช่น ทีโอที การสื่อสารหรือไปรษณีย์ไทย ดังนั้นการเพิ่มมูลค่าตลาดตามที่กล่าวอ้างนั้นก็เป็นไปได้ยาก

นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดอีกมาก เมื่อแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แล้วทุกอย่างจะต้องสอดคล้องกับระบบสากล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเงินออกนอกประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังควบ คุมอยู่ เพราะจะมีผลต่อทุนสำรองและค่าเงินบาท

บรรยากาศดีต่างชาติเข้าเอง

เขากล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยค่อนข้างซบเซา นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจน้อยกว่าประเทศอื่น แต่การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ต้องแปรรูปตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น คนในวงการนี้ก็รู้ดีว่าปัญหามันเกิดขึ้นมาจากอะไร

เศรษฐกิจไม่ดีแม้ว่าจะเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ผลกระทบของแต่ละประเทศก็ไม่เท่ากัน ประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องของต้นทุนการผลิตที่ต้องพึ่งพาน้ำมันมาก ขณะที่ประเทศอื่นเขามีระบบสาธารณูปโภคอื่นที่ดีกว่า ต้นทุนจึงต่ำกว่า ส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของเราอาจไม่โดดเด่นเท่า ประเทศอื่น

ประการต่อมาคือเรื่องการเมืองที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของไทย นักการเมืองของไทยยังยึดติดอยู่กับอำนาจ มุ่งมั่นในชัยชนะ ปัญหาจึงไม่จบ

ถามว่าถ้าเราแปรรูปตลาดหลักทรัพย์แล้วเศรษฐกิจและการเมืองของเรายัง เป็นเหมือนเดิม คงไม่มีนักลงทุนหน้าในที่จะเข้ามาลงทุน ตลาดหลักทรัพย์เองก็ไม่มีอำนาจพอที่จะไปดึงเอารัฐวิสาหกิจมาจดทะเบียน ไม่มีอำนาจที่จะคุยกับแบงก์ชาติเรื่องการนำเงินออกนอกประเทศ ซึ่งก็เหมือนกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ดังนั้นแปรรูปไปแล้วได้อะไรและประเทศไทยได้อะไร

“นักลงทุนทั่วโลกเหมือนกันทั้งหมด ที่ไหนให้ผลตอบแทนดี เขาก็ไปลงทุนที่นั่น ไม่สนใจว่าตลาดหุ้นประเทศนั้นจะแปรรูปหรือไม่แปรรูป ปัญหาจึงกลับมาอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์บ้านเราเองทำได้ดีเพียงใด มีสินค้าอะไรที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนและเราทำตลาดหลักทรัพย์ ของเราให้ดีขึ้นหรือยัง”

ตลาดหุ้นของเราไม่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน เงินที่เก็บจากโบรกเกอร์ไปนั้นมีการนำไปใช้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับวงการ ตลาดทุนน้อยมาก เรามุ่งแต่เพียงหาสินค้าเข้ามา ดึงนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาซื้อขายมาก ๆ เท่านั้นเอง เราไม่มีการสร้างฐานนักลงทุนใหม่ ๆ ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนผู้บริหารทุกอย่างก็เหมือนเดิม

หากเราต้องการจะแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ให้เทียบเท่ากับประเทศที่เจริญ แล้ว เราต้องกลับมาดูว่า โบรกเกอร์ในประเทศเราแข็งแรงหรือเก่งพอที่จะรับมือกับตลาดต่างประเทศได้แค่ ไหน ถึงวันนี้โบรกเกอร์ของไทยที่มีอยู่นั้นมีสักกี่รายที่เชี่ยวชาญตลาดต่าง ประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้วโบรกเกอร์ในบ้านเราก็จะถูกกลืนโดยต่างชาติ

ทักษิณมีสิทธิฮุบตลาดหุ้น

ที่สำคัญคือเมื่อแปรรูปเข้าตลาดหุ้น ต้องมีการขายหุ้นให้กับประชาชน ส่วนหนึ่งตลาดทรัพย์อาจถือหุ้นไว้เอง ส่วนหนึ่งให้โบรกเกอร์ถือ เราได้เห็นตลาดหุ้นในต่างประเทศที่แปรรูปแล้วถูกนักลงทุนจากอีกประเทศหนึ่ง ซื้อไป เช่นที่ดาวโจนส์ของสหรัฐและอีกหลายตลาดในยุโรป ตกลงตลาดหุ้นในสหรัฐเป็นของประเทศใด

ถ้าสิงคโปร์เข้ามาซื้อและครองหุ้นใหญ่ตลาดหุ้นของไทยแล้วเราจะว่า อย่างไร แม้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะออกมาตรการต่าง ๆ ออกมาเป็นอย่างดีเพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ในโลกการเงินแล้วทุกอย่างทำได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะการใช้นอมินี

“หากคุณทักษิณเข้ามาครองหุ้นใหญ่ในตลาดนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ประเทศนี้ก็ถือว่าจบถ้าเขามีอำนาจทางการเมืองและกุมหัวใจทางเศรษฐกิจของ ประเทศไว้อยู่ในมือ”

เรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าพิจารณาจากตัวบุคคลที่เป็นผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ล้วนทำงานใกล้ชิด กับอดีตนายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด

แก๊งเวียนเทียน

นอกเหนือจากการปูทางให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแปรรูปเป็นบริษัท มหาชนแล้วนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นสินค้าอีกตัวหนึ่งของตลาดหุ้น แล้ว หน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างสำนักงานคณะ กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ก็ได้มีการวางตัวบุคคลของ ตนเองไว้พร้อมสรรพ

ด้วยการเวียนเทียนเอาวิจิตร สุพินิจ ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งประธานตลาดหลักทรัพย์เข้ามาเป็นประธาน ก.ล.ต.แทนที่นั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ 7 กรกฎาคม 2551 ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ฉบับที่4) พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้เมื่อ 5 มีนาคม 2551

ภายใต้พระราชบัญญัติฉบับนี้กรรมการโดยตำแหน่งยังเหมือนเดิมคือ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดย 2 ตำแหน่งแรกเป็นตำแหน่งที่ภาคการเมืองมีอำนาจสั่งการได้โดยตรง และต้องมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 6 คน ในการแต่งตั้งครั้งนี้สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือก เพื่อคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ประกอบด้วยสมใจนึก เองตระกูล ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา นิพัทธ พุกกะณะสุต ณรงค์ชัย อัครเศรณี วิโรจน์ นวลแขและสุชาติ ธาดาธำรงเวช

แน่นอนว่าเมื่ออดีตประธานตลาดหลักทรัพย์ที่ผลักดันเรื่องแปรรูปตลาด หลักทรัพย์มาตลอดกลับเข้ามานั่งเป็นผู้ควบคุมตลาดหลักทรัพย์อีกที การแปรรูปของตลาดหลักทรัพย์คงผ่านความเห็นของจากหน่วยงานนี้ไปได้โดยง่าย

รวมถึงผู้ที่มีหน้าที่ในการคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ล้วนแล้วเป็นคนที่เกี่ยวข้องและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับภาคการเมืองและทำงาน ให้มาตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย รวมถึงชื่อของบุคคลเหล่านี้หลายคนเป็นที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลังและได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง บางคนเป็นทีมทำงานร่วมกับทักษิณ ชินวัตรมาก่อน ดังนั้นการคัดเลือกคนที่จะมาทำหน้าที่ในตลาดทุนย่อมหนีไม่พ้นคนของตนเอง

เตรียมยึดแบงก์ชาติ

ไม่เพียงฟากหน่วยงานที่ควบคุมตลาดทุนที่มีการวางตัวบุคคลเบ็ดเสร็จ ไว้ทั้งหมดแล้ว หากสังเกตุให้ดีจะเห็นว่ากลุ่มเดียวกันนี้ได้คืบคลานเข้าไปสู่หน่วยงานที่ ควบคุมตลาดเงินอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วย

ภายใต้พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างของธนาคารแห่งประเทศไทยค่อนข้างมาก อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่มีต่อแบงก์ชาติมากขึ้นกว่าเดิม

แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทยยอมรับว่า พ.ร.บ.ใหม่นี้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมากขึ้น แม้ว่าการปลดตัวผู้ว่าแบงก์ชาติจะทำได้ยากขึ้นก็ตาม วันนี้โครงสร้างของแบงก์ชาติเหมือนกับโครงสร้างของสำนักงาน ก.ล.ต.มาก

“ผู้ว่าแบงก์ชาติต้องทำงานภายใต้คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย 11 คน ที่มีประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5 คน ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยตรง มีเพียงตัวผู้ว่าการและรองผู้ว่าการอีก 3 คนที่เป็นคนของแบงก์ชาติที่เหลือเป็นบุคคลจากหน่วยราชการอื่นเช่นเลขาธิการ สภาพัฒน์ฯ ผู้อำนวยการเศรษฐกิจการคลัง ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลทั้งสิ้น”

แม้ว่าการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกฎหมายจะต้องให้มีการตั้งคณะ กรรมการคัดเลือกขึ้นมา 7 คน แต่สิทธินี้เป็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ผ่านมามีโผรายชื่อของคณะกรรมการคัดเลือกออกมาบ้าง หลายคนเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเคยทำงานให้ กับอดีตนายกทักษิณแทบทุกคน บางคนก็เคยกระทำผิดในคดีทางการเงินมาก่อน

“วันนี้จึงไม่ต้องถามถึงเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยอีกต่อไป”แหล่งข่าวสรุป

กุมหัวใจเศรษฐกิจชาติ

เมื่อองค์กรอย่างสำนักงาน ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังที่มีคณะบุคคลทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน วันนี้บุคคลเหล่านั้นได้คืบคลานเข้ามาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและพร้อมที่จะ ดำเนินการในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานภาคตลาดทุน

นักวิชาการรายหนึ่งกล่าวว่า นี่คืออันตรายอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย หากภาคการเมืองเข้ามากุมหัวใจทางเศรษฐกิจได้ทั้งหมด ที่ผ่านมาเป็นที่รู้กันว่าทุกรัฐบาลให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นแต่จะมากเป็น พิเศษในยุคที่พรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจในการส่งคนของตัวเองเข้าไปเข้าไปเป็น ประธานกรรมการ หรือตัวผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์

ขณะเดียวกันหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ อย่างก.ล.ต.วันนี้คนของกระทรวงการคลังนั่งเต็มบอร์ด แถมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฉบับใหม่เปิดช่องให้คลังตั้งกรรมการคัดเลือกเข้า มาอีก

เมื่อตลาดหลักทรัพย์ตัดสินใจแปรรูปตัวเองเป็นบริษัทเอกชน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ถามว่าองค์กรที่ควบคุมดูแลอย่าง ก.ล.ต.จะไม่ให้ความเห็นชอบได้อย่างไร เพราะทั้ง 2 องค์กรล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มาจากกระทรวงการคลังเป็นส่วนใหญ่ หากรัฐบาลจะบริหารประเทศได้ต่อเนื่องหรือกลับเข้ามาบริหารอีกครั้ง การสานต่อในเรื่องเหล่านี้ย่อมต้องเดินหน้าต่อ

ตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สุดของการประสานงานกันของกระทรวงการคลัง ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์นั่นคือการออกมาแถลงยืนยันเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่าการขายหุ้นชินคอร์ป ของตระกูลชินวัตรในวันที่ 23 มกราคม 2549 นั้นไม่ต้องเสียภาษี

ยิ่งเมื่อหันกลับมาที่องค์กรอิสระอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย ที่วันนี้ทีมงานหน้าเดิมของกระทรวงการคลังได้เข้ามามีบทบาทในแบงก์ชาติมาก ขึ้นทุกขณะ

จากนี้ไปคงไม่มีใครการคานอำนาจของรัฐบาลได้อีก เดิมธนาคารแห่งประเทศไทยถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่คานอำนาจของรัฐบาลทางด้าน เศรษฐกิจและวินัยทางการคลังได้ระดับหนึ่ง แม้จะต้องแลกกับการปลดผู้ว่าการก็ตาม

ด้วยโครงสร้างใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย การทำงานของผู้ว่าการจะอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐมนตรีคลังมากขึ้น โดยมีตัวประธานกรรมการธนาคารและผู้ทรงคุณวุฒิรวมถึงหน่วยงานราชการอื่นเป็น คนควบคุม

เช่นการควบคุมเงินเฟ้อที่แบงก์ชาติจะใช้วิธีขึ้นดอกเบี้ยด้วยการ ตัดสินใจของแบงก์ชาติเองคงลำบาก เพราะการทำงานภายใต้คณะกรรมการดังกล่าว หากฝ่ายใดมีอำนาจมากกว่าย่อมควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ แน่นอนว่าจากนี้ไปรัฐบาลจะทำงานสะดวก สอดรับกับนโยบายที่ต้องการมากขึ้น

หากเราได้รัฐบาลดีก็ถือว่าโชคดี ถ้าได้รัฐบาลที่มุ่งผลสำเร็จทางการเมืองเป็นหลัก ประเทศไทยย่อมอยู่ในสถานะที่สุ่มเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในสายตาของคนทั้งโลก ถ้าเลวร้ายไปกว่านั้นหากฐานะทางการเงินของประเทศไม่มีใครเชื่อถือด้วยแล้ว ประเทศไทยย่อมหนีไม่พ้นความล้มละลายทางเศรษฐกิจที่ไม่แตกต่างไปจากปี 2540

************

9 อรหันต์ผู้ทรงอิทธิพลทางเศรษฐกิจ
ล้วนเป็นเด็กในคาถา ‘แม้ว’


ความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงของกลุ่ม บุคคลที่เข้าไปมีบทบาททั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ล้วนแล้วเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาและเกี่ยวโยงกับเจ้ากระทรวงการคลัง หลายคนเป็นที่ปรึกษานายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเคยร่วมงานกับรัฐบาลของพรรคไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร มาแล้วทั้งสิ้น

เริ่มจากในฝั่งของ ก.ล.ต. ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แต่งตั้ง วิจิตร สุพินิจ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และเคยร่วมงานกับพรรคชาติพัฒนามาก่อน หลังจากนั้นได้ทำงานให้กับรัฐบาลไทยรักไทยมาโดยตลอด ล่าสุดเพิ่งพ้นจากตำแหน่งประธานตลาดหลักทรัพย์และกลับมานั่งคุมงานของตลาด หลักทรัพย์ภายใต้หน่วยงานของ ก.ล.ต.

ไม่แตกต่างจากชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ กรรมการ ก.ล.ต. อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงปี 2544-2549 รัฐบาลของพรรคไทยรักไทย เป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย

สมพล เกียรติไพบูลย์ กรรมการ ก.ล.ต. อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปี 2544 เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการธนาคารนครหลวงไทย

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กรรมการและเลขาธิการ ก.ล.ต. อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นศิษย์รักของวิจิตร สุพินิจ ตั้งแต่สมัยที่อยู่แบงก์ชาติ ที่คาดหมายว่าหากเกิดอุบัติเหตุในธนาคารแห่งประเทศไทย ชื่อของเขาพร้อมที่จะโยกไปนั่งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแทนธาริษา วัฒนเกส

รศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช กรรมการ ก.ล.ต. รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในอดีตเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในปี 2546 และเป็นที่ปรึกษานโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานจนถึงมีนาคม 2548 ชื่อของเขาถูกเอ่ยอ้างขึ้นมานั่งเก้าอี้ขุนคลังแทนหากสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไปจากคดีหวยบนดิน

ถัดมาในฝั่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ถูกวางตัวให้เป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เคยเป็นรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการ ก.ล.ต. และผู้บริหารแผน บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) จนในที่สุดประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ก็ต้องหมดอำนาจไป

แม้ในตลาดหลักทรัพย์จะดูเหมือนมีเขาเพียงคนเดียวที่เชื่อมโยงกับคนใน รัฐบาล แต่กรรมการของตลาดหลักทรัพย์คนอื่นที่ประกอบด้วยตัวแทนจากโบรกเกอร์ บริษัทจดทะเบียน ที่มาจากภาคเอกชน หรือตัวแทนจากส่วนอื่น ส่วนใหญ่แล้วเห็นว่าเมื่อประธานว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน เพราะคงไม่มีใครอยากที่จะมาขัดแย้งกับตัวแทนของภาครัฐ อีกทั้งการปูฐานไว้ของวิจิตร สุพินิจ ที่ทำหน้าที่ได้ดีกว่าประธานตลาดหลักทรัพย์คนก่อน ๆ ทำให้ทุกอย่างดูง่ายดายไปหมด

ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2551 ที่เปิดช่องให้มีกระทรวงการคลังตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อคัดสรรกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการ ก.ล.ต. ชื่อของบุคคลขั้นต้นได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นกรรมการคัดเลือกอีก ประกอบด้วยชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา สุชาติ ธาดาธำรงเวช และที่เพิ่มเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่

สมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในปี 2548-2549 เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเป็นกรรมการบริษัทการบินไทยและเป็นประธานกรรมการธนาคารทหารไทย ในยุคของทักษิณ ชินวัตร

นิพัทธ พุกกะณะสุต ฉายาแมวเก้าชีวิต อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง เคยร่วมทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทักษิณ ชินวัตร และเป็นผู้ปลุกปั้นกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่งในทีมบริหารแผนฟื้นฟูทีพีไอ ร่วมผลักดันไทยออยล์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) อดีตประธานกรรมการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ จีเอฟ ที่ถูกปิดกิจการไป เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และวุฒิสมาชิก ประธานกรรมการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี ประธานคณะทำงานติดตามผลเจรจาเขตการค้าเสรีรายประเทศในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

วิโรจน์ นวลแข อดีตผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ภัทร อดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย หนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในตลาดหุ้น

บุคคลเหล่านี้คือมือทำงานด้านการเงินที่ถูกพรรคไทยรักไทยเชื่อมือและ ไว้ใจมาโดยตลอดจนถึงยุคพรรคพลังประชาชน หลายคนถูกโยกหมุนเวียนกันไปเข้าไปดูแลหน่วยงานสำคัญทางการเงินมาอย่างต่อ เนื่อง บางคนแม้จะมีมลทินติดตัวมาบ้างแต่ก็ได้รับการบำบัดจากรัฐบาลไทยรักไทย

ช่วงที่ทหารเข้ายึดอำนาจคนเหล่านี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองไปตาม ปกติ เนื่องจากคณะที่เข้ามายึดอำนาจ มุ่งเน้นที่ภาคการเมืองเป็นหลัก ไม่ได้สนใจในภาคการเงิน ถึงวันนี้ไทยรักไทยในนามพลังประชาชนกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งพวกเขาก็เริ่ม ถูกใช้งาน กลับมามีบทบาทในภาคการเงินอย่างโดดเด่น

แม้ว่าในช่วงนั้นจะมีแรงต้านที่มีการเสนอชื่อณรงค์ชัย อัครเศรณี เข้าไปเป็นกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย จนต้องลาออกมา ครั้งนั้นผู้คนที่อยู่ในอารมณ์ชื่นชมการเข้ามายึดอำนาจก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ในเรื่องนี้

เมื่อพรรคพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาล ชื่อของนิพัทธ พุกกะณะสุต ถูกเสนอให้เข้าไปเป็นประธานธนาคารนครหลวงไทย แต่ก็ถูกปฏิเสธจากเจ้าเดิมคือธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่

รวมถึงกระแสข่าวที่ว่ามีการเสนอชื่อคนเดียวกันนี้ เข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในธนาคารแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับใหม่ ก็ได้รับแรงต้านจากคนในแบงก์ชาติเช่นเดียวกัน

จากรายชื่ออย่างไม่เป็นทางการของคณะกรรมการคัดเลือกของธนาคารแห่ง ประเทศไทย ที่ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้ง พบว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าว 3 ใน 7 คนเป็นผู้ทำหน้าที่คัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้งที่แบงก์ชาติและที่ ก.ล.ต.ที่ประกอบด้วย นิพัทธ พุกกะณะสุต สมใจนึก เองตระกูลและชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์

แน่นอนว่าในสายตาของนักการเงินและคนในแวดวงตลาดทุนยอมรับว่า คนกลุ่มนี้ที่มีต้นทางมาจากกระทรวงการคลังนั้นเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่ สุดในตลาดเงินและตลาดทุนในเวลานี้ และยังมีคนอื่น ๆ อีกที่พร้อมจะเข้ามาร่วมงานกับรัฐบาลในการเข้ามาดูแลหน่วยงานที่ควบคุมตลาด เงินและตลาดทุนของประเทศให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน

************

แปรรูปตลาดหุ้น
ยกระดับ ‘แก๊งปั่น’เป็นเจ้าของตัวจริง


ใน ฝ่ายของผู้ที่มีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์และนำ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น ได้ให้เหตุผลถึงความจำเป็นที่ต้องแปรรูปถึงโอกาสในการขยายตัวของตลาดทุน เพื่อผลประโยชน์จะตกกับประเทศโดยรวม สร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย

กัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการบริษัท ทรีนิตี้ วัฒนา จำกัด(มหาชน) ที่เพิ่งครบวาระรองประธานตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์นั้นผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับมุมมองของใคร ถ้าเราไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอกคงไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้ทาง MSCI ให้น้ำหนักในตลาดหุ้นไทยราว 8-10% แต่วันนี้เขาให้เราเพียง 1-2% ดังนั้นการแข่งขันต่อไปคงลำบาก ตลาดหุ้นบ้านเราโตในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ขั้นตอนจากนี้คงเป็นเรื่องของการเตรียมการปรับโครงสร้างตลาดหลัก ทรัพย์ โดยแยกออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่ต้องทำกำไรและส่วนที่ไม่ทำกำไรออกจากกัน ที่จะเริ่มในปี 2552

การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์เท่ากับเป็นการเปิดตัวเอง ทำให้ขนาดของตลาดใหญ่ขึ้น สามารถปรับปรุงหน่วยงานหรือองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่

“ที่ผ่านมาหน่วยงานที่มีการบริหารงานในลักษณะที่มีภาครัฐเข้ามา เกี่ยวข้องโดยปกติจะสู้เอกชนไม่ได้ ผมไม่ได้หมายถึงองค์กรของตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นภาพรวมทั่วไป หากหน่วยงานนั้นปรับเปลี่ยนมาบริหารงานแบบเอกชนแล้วจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เป็นหน่วยงานของรัฐ”

เขากล่าวเพิ่มเติมว่าการแปรรูปนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อแปรรูปแล้วรัฐจะค่อย ๆ ลดอำนาจการควบคุมลง ดูอย่าง ปตท.แม้จะแปรรูปเป็นเอกชน แต่ภาครัฐก็ยังคงถือหุ้นใหญ่อยู่ การบริหารงานก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จริง ๆ แล้วไม่อยากใช้คำว่าแปรรูป เพราะถึงอย่างไรหน่วยงานของรัฐก็ยังถือหุ้นใหญ่อยู่ ไม่มีหน่วยงานไหนที่แปรรูปเป็นเอกชนทั้ง 100% ส่วนใหญ่ทางการก็ยังคือให้สิทธิถือหุ้นใหญ่อยู่ราว 20-30% และกุมสิทธิในการออกเสียงลงมติไว้ระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ขององค์กรนั้นไปเป็นอย่างอื่น

ดังนั้นเรื่องความกังวลในเรื่องการมีกลุ่มทุนอื่น ที่จะเข้ามาถือหุ้นใหญ่หลังจากการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์คงไม่สามารถปรับ เปลี่ยนนโยบายของตลาดหุ้นในประเทศนั้น ๆ ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ที่จะกำหนดไว้ เพื่อป้องกันการยึดครองตลาดหุ้น

เขายกตัวอย่างนักลงทุนจากดูไบที่เข้าไปถือหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นแนสแด คของสหรัฐว่า กลุ่มนี้ถือหุ้นราว 27% แต่สิทธิในการลงมติต่าง ๆ มีเพียง 15% เท่านั้น ดังนั้นอำนาจต่าง ๆ ยังอยู่ในสหรัฐ หรือบางแห่งให้สิทธิผู้ถือหุ้นของประเทศตัวเองมีสิทธิในการโหวตมากกว่าต่าง ชาติเป็นต้น

สอดคล้องกับปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ให้มุมมองในด้านบวกของการแปรรูปว่า การแปรสภาพองค์กรตลาดหลักทรัพย์ จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม เนื่องจากจะมีการปรับเปลี่ยนองค์กรโดยมีการตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจน ในการดำเนินงาน รวมทั้ง ปรับเปลี่ยนการทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ลูกค้า ซึ่งได้แก่ บริษัทจดทะเบียน บริษัทสมาชิก และผู้ลงทุน โดยการทำให้กลุ่มลูกค้าดังกล่าวได้รับประโยชน์จากตลาดทุนอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างแข็งแรง เนื่องจากมีการจัดสรรทรัพยากรและใช้เงินทุนอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดจากช่องทางการระดมทุนผ่านตลาดทุน

ในด้านของบริษัทจดทะเบียน เมื่อมีมูลค่าเพิ่มก็จะสามารถขยายธุรกิจได้รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ก่อให้เกิดการขยายงานและการสร้างรายได้ ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศขยายตัว

ด้านของผู้ลงทุน เมื่อผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนได้สะดวก คล่องตัว มีต้นทุนที่ต่ำลง และมั่นใจได้ว่าจะได้ลงทุนในหลักทรัพย์ และตราสารทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยง ทำให้มีทางเลือกมากขึ้น เพื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเต็มที่ ก็จะสามารถเพิ่มค่าเงินออมของตนเอง สร้างความมั่งคั่งให้กับครอบครัว สามารถขยายไปถึงสังคมโดยรวม ซึ่งย่อมส่งผลไปยังความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจของประเทศเช่นเดียวกัน

ดังนั้นการแปรสภาพองค์กรในครั้งนี้ จึงเป็นตัวจักรสำคัญที่จะช่วยพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ

จากนี้ไปขั้นตอนในการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์จะเดินหน้าต่อ ต้องปรับโครงสร้างขององค์กร เพื่อสร้างให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดี มีกำไรต่อเนื่องกัน 3 ปีเหมือนกับบริษัทจดทะเบียนทั่วไป จากองค์กรที่มีสถานะควบคุม กำกับดูแลการซื้อขาย ให้คุณให้โทษกับนักลงทุนและโบรกเกอร์ที่ทำผิดกฎระเบียบหรือสร้างราคาหุ้น ก็จะกลายเป็นองค์กรธุรกิจหนึ่งที่โบรกเกอร์และนักลงทุนที่เคยถูกควบคุมจาก องค์กรนี้ จะถูกยกระดับขึ้นมาเป็นเจ้าของตลาดหุ้นร่วมกัน มีศักดิ์และสิทธิเท่ากัน

จึงถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อยหากโฉมหน้าของตลาดหลักทรัพย์จะเปลี่ยนไปจากเดิมในปี 2554
from : MGR online

ไม้เด็ด‘ป.ป.ช.’ฟัน‘แม้ว-หมัก’ไล่ขยี้แผน4ขั้น พปช.สิ้นท่า!

‘พลังแม้ว’ ใช้แผนบันได 4 ขั้น บดขยี้ ป.ป.ช. ให้พ้นตำแหน่ง แต่กลับกลายเป็นบุมเมอแรงเล่นงานทันทีด้วยประเด็น ‘ประสาทพระวิหาร’ ถูกหยิบเป็นวาระร้อนเข้าเชือดรัฐบาลสมัคร ขณะที่ ‘ปรีชา สุวรรณทัต’ชี้ช่องพันธมิตรฯระดม 50,000 ชื่อประกบพลังแม้วแก้รธน.ป้องกันรวบหัว-หางพร้อมทำประชาพิจารณ์ ถ่วงเวลา ให้คดีทุจริตถูกตัดสิน วงใน คตส.ส่งทีมช่วยงานคดีทุจริตหวังมัดแม้วดิ้นไม่หลุด..

พลันที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) สิ้นสุดหน้าที่ลง เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภารกิจตรวจสอบและเอาผิดในคดีทุจริตของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 24 เรื่อง จำนวน 14 แฟ้มถูกส่งมายังความดูแลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แทนโดยมีคดีร้อนมากมาย อาทิ คดีบ้านเอื้ออาทร คดีโครงการขนส่งทางรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (แอร์พอร์ตลิงก์) คดีทุจริตห้องปฏิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหาร(เซ็นทรัลแล็บ) ตลอดจนที่มาของเงินในการเข้าซื้อหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ เป็นต้น

แต่คดีที่ถือว่าเป็นวิกฤตที่สุดในขณะนี้ คือ“คดีปราสาทพระวิหาร” ที่สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐนาวา “สมัคร สุนทเวช” อย่างที่สุดในขณะนี้
การที่ “ของร้อน”จากคตส.ถูกส่งต่อมายัง ป.ป.ช. ให้เป็นผู้ชี้เป็น-ตาย รัฐบาลสมัคร ณ ห้วงเวลานี้ นอกเหนือจากฝ่ายศาลที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ ซึ่งผลให้เกิดกระบวนการเดินหน้าดิสเครดิตป.ป.ช.ทั้งจาก สมัคร เอง ไปจนถึงพลพรรคพลังแม้วที่ดาหน้าออกมาประสานเสียงโจมตีการทำงานของป.ป.ช.อยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน

ส่วนคิวล่าสุด การเคลื่อนไหวของมวลชนจากกลุ่มของแกนนำพลเมืองภิวัฒน์ สหภาพครูและ พันธมิตรสหภาพแรงงานเพื่อประชาธิปไตยเข้ายื่นหนังสือต่อ สุทิน คลังเเสง ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุนสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตรวจสอบการการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป.ป. ช. ชุดดังกล่าวโดยอ้างว่ามิได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์และ ผ่านการถวายสัตย์ฯ รวมถึงมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่โดยมิชอบและมีความผิดในมาตรา 157 และขัดมาตรา 249ของรัฐธรรมนูญ

แม้ว่า จะมีการออกมาชี้แจงของ “ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” ประธานคณะกรรมการป.ป.ช.แล้วก็ตาม ว่า กฎหมายมิได้ระบุให้ป.ป.ช.ต้องเข้าถวายสัตย์ฯ รวมถึงสถานะของป.ป.ช.เองก็ได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้ว รวมถึงอำนาจทั้งหมดก็เป็นการใช้ผ่านพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ.ศ.2542 นั่นเอง

ชี้ พลังแม้วใช้
4 ทางยุบป.ป.ช.

ดังนั้น กระบวนการเดินหน้ารุกไล่ ป.ป.ช. จากรัฐบาลและส.ส.พรรคพลังประชาชนจึงเริ่มต้นขึ้น ดังที่เห็นกันในขณะนี้และคาดว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้านฝ่ายตรงข้ามเองก็เดินหน้าขับไล่รัฐบาลสมัครอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เมื่อกลุ่ม 77 ส.ว.ที่นำโดย “รสนา โตสิตระกูล” ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ม. 275 เพื่อขอให้กรรมการป.ป.ช.ไต่สวนความผิดทางอาญาของครม.ตามประมวลกฏหมายอาญา ม.157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหารซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้วว่าผิดใน ม.190 นำไปสู่การยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีนั่นเอง

สอดรับกลับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ล่ารายชื่อ ประชาชนกว่า 40,000 คนในการร่วมถอดถอนคณะรัฐมนตรีสมัครอย่างเร่งด่วนเช่นกัน

ดังนั้น พลพรรคพลังแม้วจึง ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเร่งด่วนในทันทีโดยเฉพาะ มาตรา 237และ190 โดยไม่หวั่นกระแสต้านที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่ง“รศ.ดร.ปรีชา สุวรรณทัต” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า แนวทางที่รัฐบาลและพลพรรคพลังแม้ว จะเดินต่อไปเพื่อสกัดกั้นการทำงานของป.ป.ช.จะเดินเกมใน 4 ทาง

โดยทางที่ 1 คือ การยื่นตีความสถานะของป.ป.ช.โดยศาลรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับกรณีของคตส.ในช่วงก่อนหน้านี้

2.การยื่นถอดถอนคณะกรรมการป.ป.ช.โดยกลุ่มพลเมืองภิวัฒน์

3.การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการป.ป.ช.ที่นานถึง 9 ปี

4.การเดินเกมเพื่อดิสเครดิตคณะกรรมการป.ป.ช.ซึ่งกระบวนการดังกล่าวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“วาระพระวิหาร”
ไม้เด็ด ป.ป.ช.ตีโต้พลังแม้ว


อย่างไรก็ตาม กระบวนการเผด็จศึกที่มีการคาดการณ์นั้น ทั้งการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความสถานะของป.ป.ช.หรือการยื่นถอดถอนคณะกร รมการป.ป.ช.ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วผ่าน กลุ่มพลเมืองพลภิวัฒน์ นั้น อาจไม่บรรลุเป้าหมาย เมื่ออำนาจหนึ่งที่ถือเป็นสิทธิขาดของป.ป.ช. ก็คือ การใช้ดุลยพินิจในการหยิบยกเรื่องที่ถูกยื่นเข้าสู่การพิจารณาเป็น “วาระ เร่งด่วน” ซึ่งแน่นอนว่า การยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีด้วยความผิดรัฐธรรมนูญม.190ที่ยื่นโดยส. ว.-พันธมิตรนั้น อาจจะเป็น “ดาบอาญาสิทธิ์” ที่เร่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเรื่องดังกล่าวได้รวดเร็วขึ้น

เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม เฉกเช่นที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความสถานะหนังสือแถลงการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ว่าเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ รวมถึงการจะเอาผิดคณะกรรมการป.ป.ช.เพื่อถอดถอนนั้น ความผิดจะต้องรุนแรงและเด่นชัด เช่นเดียวกับที่ อดีตคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดก่อนกระทำการทุจริตด้วยการขึ้นเงินเดือนให้ตนเอง เป็นต้น จึงจะส่งผลให้พ้นสภาพได้ซึ่งที่ผ่านมาในช่วง 2 ปีก็ยังไม่พบว่ามีการกระทำผิดในกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด

ดังนั้น แนวทางของกลุ่มพลังแม้วที่ต้องการยื่นตีความอำนาจป.ป.ช.หรือการถอดถอนป.ป.ช. จึงได้กลายเป็นตัวเร่ง ให้ป.ป.ช. ตัดสินเร็วขึ้นและ คณะรัฐมนตรีอาจพ้นสภาพเร็วกว่าที่คาดคิดก็เป็นได้
แก้รธน.ยุบป.ป.ช.ไม่ทัน

ส่วนกรณีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้น “รศ.ดร.ปรีชา” อธิบายเพิ่มเติมว่า หากพิจารณาตามเงื่อนเวลาตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้วไม่ สามารถที่จะผลักดันให้รัฐธรรมนูญผ่านการแก้ไขใน 3 วาระรวดได้ หรือเสร็จสิ้นภายในเดือนส.ค.-ก.ย.นี้ได้ ซึ่งในรัฐธรรมนูญม.291วรรค 2ระบุขั้นตอนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า

“ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญแบ่ง เป็น 3 วาระ ในขั้นที่ 1 การรับหลักการนั้น สมาชิกไม่น้อยกว่า กึ่งหนึ่งของ 2 สภาจะต้องเห็นชอบ

ขั้นที่2.ขั้นการพิจารณาเรียงลำดับมาตรา จะต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อ เสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมด้วย โดยถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ และเมื่อเสร็จสิ้นให้รออีก 15 วัน ก่อนเข้าสู่วาระที่ 3

ขั้นที่ 3ลงมติด้วยเสียงของสมาชิกทั้ง 2 สภามากกว่ากึ่งเมื่อผ่านจึงนำร่างฯขึ้นทูลเกล้าต่อไป”

ดังนั้น เมื่อพิจารณาขั้นตอนดังกล่าว แนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจเป็นแนวทางที่ช้าเกินไปที่จะจัดการคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดปัจจุบันให้พ้น เส้นทางหรือพ้นจากตำแหน่งได้ทัน

แนะพันธมิตรฯ
ล่า 50,000 ชื่อ


อย่างไรก็ตาม ช่องโหว่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ยังมีเมื่อการเสนอชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นถูกเสนอผ่านส.ส.-ส.ว.โดยมิได้ เป็นการเสนอจากฝ่ายประชาชนนั้น ขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในขั้นตอนที่ 2 อาจจะถูกมองข้ามไปและไม่อาจเกิดขึ้นก็เป็นได้

ดังนั้น แนวทางที่สังคมต้องทำคือ การรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้ 50,000 รายชื่อเพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญพร้อมกับที่พรรคพลังประชาชนเสนอแก้ไขจึงจะ ตัดการแก้ไขที่ไม่ชอบธรรมแบบรวบหัวรวบหางได้ รวมถึงเป็นการประวิงเวลาในขั้นตอนรับฟังความเห็นได้อีกด้วย ซึ่ง ณ เวลานั้น คดีความบางส่วนอาจถูกตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้วและสถานการณ์ทางการเมืองที่ วุ่นวายอาจบรรเทาลงได้นั่นเอง

“การที่พันธมิตรมีเครือข่ายค่อนข้างแข็งแกร่งในภาคประชาชน นอกจากจะยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีแล้ว การรวบรวมรายชื่อ 50,000 ชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จำเป็นต้องทำควบคู่กับการขอแก้ไขในฝั่งของพรรค พลังประชาชน ทั้งนี้ เพื่อจะได้มีการทำประชาพิจารณ์และรัฐธรรมนูญจะไม่ถูกรวบหัวรวบหางได้ง่าย”

คตส.ส่งมือดีช่วยคดีมัดแม้ว

แหล่งข่าวหนึ่งในอดีตคตส. กล่าวกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์”ว่า นอกจากการส่งมอบคดีบางส่วนจากคตส.ไปยังป.ป.ช.แล้ว ทางคตส.เองได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อช่วยในการทำคดีบางส่วนที่ส่ง ต่อไปยังป.ป.ช.ในรูปของคณะอนุกรรมการด้วยซี่งจะทำให้ป.ป.ช.ทำงานได้รัดกุม มากขึ้น

“ทางคตส.แม้ว่าจะส่งเรื่องไปยังป.ป.ช.ไปแล้ว แต่ก็มีคณะทำงานเข้าไปช่วยในเรื่องคดีบางส่วนด้วยเพื่อความรัดกุม แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าป.ป.ช.จะไม่เป็นกลางเพราะสังคมย่อมจับตาการทำงานของป.ป. ช.เป็นแน่ หากป.ป.ช.ไม่เป็นกลางก็แย่เหมือนกัน รวมถึงฝ่ายรัฐบาลเองก็ควรที่จะปล่อยเป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมไม่ควร สอดแทรกเพราะสังคมย่อมเข้าข้างฝ่ายถูกเสมอ”

ด้วยอำนาจตามกฎหมายที่ค่อนข้างสูงของป.ป.ช. ส่งผลให้กระแสความกดดันจากฝ่ายการเมืองไหลบ่าไปยังป.ป.ช.ที่มีอำนาจชี้เป็น -ตายรัฐบาลสมัครได้ในทันที ซึ่งแน่นอนว่าด้วยอำนาจดังกล่าวแรงเสียดทานและการเดินเกมเพื่อรุกไล่ป.ป.ช. จึงเป็นแนวทางที่ “พลังแม้ว” จะต้องเล่นต่อไป

ดังนั้นสังคมจึงที่ต้องลุ้นทุกขณะจิตว่ากระบวนการยุติธรรมในส่วนของ ศาลฏีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเอง ศาลรัฐธรรมนูญ กกต.จะวินิจฉัยความผิดในคดีต่างๆของฝ่ายพลังแม้วที่สุมอยู่อย่างมากมาย จนรัฐนาวาสมัคร จะต้องหมดวาระก่อนที่จะกระทำการยับยั้งได้หรือไม่...

*************

ตุลาการภิวัฒน์พ่นพิษ “สมัคร1”กระเจิง

“สมัคร1” ทำงานไม่ราบรื่น เหตุคนในครม.ล้วนแล้วแต่ตกเป็น “จำเลย” คดีทุจริต ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญกันถ้วนหน้า คดีความยังรอการพิพากษาจากศาลฎีกา-ศาลรัฐธรรมนูญ จับตากรณีแถลงการณ์ปราสาทพระวิหาร มีสิทธิตกเก้าอี้ทั้งครม.

รัฐบาล “สมัคร 1”นั้นถือได้ว่ามีบรรดารัฐมนตรีในครม.เข้าไปพัวพันกับคดีทุจริตต่างๆด้วยกัน หลายคน นับตั้งแต่ผู้นำรัฐบาล ไปจนถึงรัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอ บี ล้วนแล้วแต่รอการตัดสินชี้ขาดจากฝ่ายตุลาการตามกระบวนการยุติธรรมกันถ้วน หน้า

โดยคดีความต่างๆที่มีทั้งนายกฯสมัคร และรัฐมนตรีในครม.มีชื่อในฐานะผู้ถูกร้อง หรือจำเลยนั้น มีทั้งคดีที่เกี่ยวข้องกับกระทำทุจริตด้านนโยบาย และโครงการของรัฐ รวมไปถึงคดีการฟ้องร้องระหว่างตัวบุคคล ซึ่งผลจากการพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งต่อผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบต่อเก้าอี้ที่คนเหล่านี้ดำรงอยู่ทั้งสิ้น รวมถึงส่งผลต่อเสถียรภาพการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อประมวลคดีความต่างๆทั้งที่ได้ส่งผลกระทบต่อตัวรัฐมนตรีไปแล้ว จนกลายเป็นเหตุกดดันให้นายกฯสมัคร ต้องตัดสินใจปรับครม.เพื่อต่ออายุให้รัฐบาลนั้น ได้แก่ กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามที่คณะกรรมการป.ป.ช.ยื่นคำร้องกรณีไม่แจ้ง การถือหุ้นของภริยา เกินร้อยละ 5 ตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา

เช่นเดียวกับวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.พาณิชย์ ที่ฟังพิพากษาจากศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีเดียวกับไชยา รมว.สาธารณสุข เนื่องจากไม่แจ้งการถือครองหุ้นเกินร้อยละ 5 ในบริษัท ทรัพย์วัฒนา จำกัด ธุรกิจของครอบครัวต่อคณะกรรมการป.ป.ช.

โดยก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคดีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อ ครม.อย่างมาก เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 ก.ค.2551 ได้มีมติ 8 ต่อ 1 ชี้ขาดให้แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีประสาทพระวิหาร นั้นเป็นสนธิสัญญาที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 วรรค ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามที่ 77 สว.ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จากการตัดสินชี้ขาดในกรณีดังกล่าวทำให้นพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่เดินทางกลับประเทศไทย 10 ก.ค.ที่ผ่านมา

และแม้นายกฯสมัคร จะประกาศเลือกใช้แนวทางการปรับครม.เพื่อเฟ้นหา “คนใหม่”เข้ามาช่วยทำงาน แทนที่รัฐมนตรีเหล่านี้ รวมทั้งจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ ซึ่งถูกพิษกรณีหมิ่นเบื้องสูง และคดีดังกล่าวยังอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้ว แต่จนถึงวันนี้การปรับครม.อย่างเป็นทางการยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้

เนื่องจากกระบวนการพิจารณาคดีจากฝ่ายตุลาการ ภายใต้ศาลต่างๆนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ยังมีรัฐมนตรีเกรดเอ สายใกล้ชิด “นายใหญ่” อย่างนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง ที่ตกเป็นจำเลยจากคดีหวยบนดิน 2-3 ตัว ตามที่คณะกรรมการคตส.ชี้มูลความผิดและส่งไปให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และรอการพิจารณาชี้ขาดในวันที่ 28 ก.ค.นี้ และหากศาลฎีกา มีคำพิพากษาให้นพ.สุรพงษ์ มีความผิดจริงร่วมกับอดีตรัฐมนตรีต่างพรรค ทั้ง อุไรวรรณ เทียนทอง และอนุรักษ์ จุรีมาศ จะทำให้ครม.ต้องเฟ้นหาขุนคลังคนใหม่ ส่วนพรรคชาติไทย ต้องหามือทำงานมาแทนอนุรักษ์ รมช.คมนาคม ด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกันเมื่อมองไปยังตัวนายกฯสมัคร เองก็ยิ่งพบว่ามีคดีความติดตัวที่รอการพิจารณาจากกระบวนการทางกฎหมายถึง 3 เรื่องประกอบด้วย คดีหมิ่นประมาทอดีตรองผู้ว่าฯกทม. สามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งเวลานี้คดีอยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์ โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้มีความผิดจริงให้ลงโทษจำคุกโดยไม่รอลง อาญาเป็นเวลา 2 ปีมาแล้ว นอกจากนี้นายกฯสมัคร ยังมีคดีการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง ของกทม.ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยที่นายกฯสมัคร เป็นผู้ว่าฯกทม. เวลานี้คดีได้ถูกโอนจากคตส.ไปอยู่ในมือคณะกรรมการป.ป.ช. และล่าสุดกรณีอดีตผู้บริหารบริษัทก่อสร้างประเทศญี่ปุ่น “นิชิมัตสึ” ออกมาเปิดเผยถึงการให้สินบน 125 ล้านบาทแก่ข้าราชการและนักการเมืองเพื่อแลกโครงการขนาดใหญ่ของกทม. ก็กำลังถูกคณะกรรมการป.ป.ช.ดึงเรื่องไปตรวจสอบ

รวมทั้งยังมีคดีทุจริตที่คตส.ได้โอนให้คณะกรรมการป.ป.ช. ดำเนินการต่ออีกหลายต่อหลายคดี ซึ่งเกือบทุกคดีนั้นมีทั้ง “นายใหญ่-นายหญิง”ร่วมเป็นจำเลย แทบทั้งสิ้น และเมื่อป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคดีต่างๆจะได้รับการพิจารณาจากศาลฎีกา ออกมาในที่สุด

อย่างไรก็ตามแม้ล่าสุดจะมีข่าวว่านายกฯสมัคร เตรียมที่จะปรับครม.เกือบ 10 เก้าอี้ เพื่อหาทางออกให้กับรัฐบาลก็ตาม แต่นายกฯสมัคร ต้องไม่ลืมว่าหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ถือเป็นสนธิสัญญาตามมาตรา 190 วรรค2 ไปแล้วได้เกิดการขับเคลื่อนกระบวนการถอดถอนรัฐมนตรีเกือบทั้งครม.โดยพรรคประ ชาธิปัตย์ ตามมาตรา 271 ไปยังคณะกรรมการป.ป.ช. ขณะที่ด้านสว.เลือกที่จะให้มีการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 275 ผ่านป.ป.ช.ไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาฯ และหากผลการวินิจฉัยทั้งกรณีการถอดถอนและการดำเนินคดีอาญา ออกมาในทางลบกับครม.จริง ยังไม่มีใครบอกได้ว่าหัวขบวนครม.อย่างนายกฯสมัคร จะได้เวลาตัดสินใจยุบสภา ได้แล้วหรือไม่

from : MGR Online

ความรับผิดชอบ

ปฏิรูปการศึกษาเยาวชน แห่งชาติ : : แนวทางและวิถีการสู่สังคมประเทศแนวใหม่

ประชาชน ชาวไทยทุกคนในสังคมโดยทั่วไปต่างมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อการงานและครอบ ครัว แต่ความเข้าใจในเรื่องของความรับผิดชอบนั้นน้อย ซึ่งมีความหมายที่กว้างและลึกซึ้งกว่านั้นนัก และคุณลักษณะแท้ของความรับผิดชอบนี้นี่เองก็จะแยกแยะได้ว่าผู้นั้นเป็น มนุษย์ที่ได้รับการพัฒนาแล้วเพียงไร..

ความรับผิดชอบคืออะไร ?

ความรับผิดชอบเกี่ยวข้องกับความไว้วางใจและเป็นสิ่งที่พึงพิงได้
เป็นที่ซึ่งคนอื่น ๆ สามารถมอบฝากทุกอย่างไว้ได้
การมีความรับผิดชอบต่อบางคนหรือบางสิ่งนั้น
ย่อมหมายความว่า
เราสามารถตอบรับกิจการทุกอย่างที่คนอื่นเขาเรียกร้องได้

ทำไมความรับผิดชอบจึงมีความสำคัญ ?

*+* ความรับผิดชอบเป็นมากกว่าคุณลักษณะ มันเป็นเจตคติซึ่งกำหนดว่าเราต้องรับผิดชอบต่อทุกสถานการณ์ในแต่ละวัน หลาย ๆ ครั้ง มันมีรูปแบบของการตัดสินใจในแง่ศีลธรรมด้วย เรารับผิดชอบพอที่จะรักษาคุณธรรมการอุทิศตน ความอดทน อดกลั่น ซื่อสัตย์ ยุติธรรม ฯลฯ ได้หรือ
มีหลายวิธีการที่จะกำหนดความรับผิดชอบ และมีหลาย ๆ วิธีที่จะแสดงมันออกมา เช่น การเป็นสมาชิกที่มีความรับผิดชอบของกลุ่มสังคม ชุมชนหรือครอบครัว รับผิดชอบต่อการกระทำของเรา รับผิดชอบต่อข้าวของของเรา รับผิดชอบต่อสัตย์เลี้ยง ฯลฯ
คุณคิดว่า ความรับผิดชอบหมายถึงอะไรสำหรับตัวคุณ ?

*+* หลายคนมักจะละเลยความรับผิดชอบ เพราะพวกเขาคิดว่าคนอื่นจะทำแทนแล้ว สิ่งนี้เกิดขึ้นทั้งในที่ทำงาน ในหมู่คณะ ในครอบครัวและแม้แต่ในชั้นเรียนด้วย
จงคิดถึงสถานการณ์ที่คุณสังเกตเห็น ความไม่รับผิดชอบ ระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือบุคคลกับสิ่งของ สิ่งนั้นมันยุติธรรมไหม? แล้วเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือ ?

*+* เมื่อเราเร่งรีบ บ่อยครั้งเราพบว่า มันเป็นการง่ายที่จะทำเองมากกว่าที่จะให้คนอื่นทำมาทำให้ เช่น เราไม่อยากเสียเวลาเพื่อจะสอนบางคนให้ทำบางสิ่ง สู้เราลงมือช่วยเขาไปเลยดีกว่า ในสังคมที่เร่งรีบเช่นนี้ มันแย่ที่ครอบครัวจะใช้เวลาในการสอนเด็กให้รับผิดชอบ หรือหาโอกาสให้เขาได้ฝึกความรับผิดชอบ
จงคิดถึงคนที่คุณรู้จัก เขากระจายความรับผิดชอบหรือทำเองซะทั้งหมด เขาทำงานแตกต่างกันระหว่างที่บ้านกับที่ทำงานหรือ? รับผิดชอบต่อเพื่อนมากกว่าต่อครอบครัวหรือ?

*+* ส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบ คือ การสร้างทางเลือกที่ดี และการสร้างทางเลือกที่ดีก็หมายถึง การให้เวลาในการประเมินทางเลือกเหล่านั้น บ่อยครั้งที่เด็กเอาชนะโดยการมีทุกอย่างมากกว่าที่จะเลือกบางอย่าง เมื่อทางเลือกมีมากเกินไป เด็กส่วนใหญ่จะไม่เลือกทั้งหมด เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบทำได้ดีกว่าและจะเรียกร้องถ้าเขามีทางเลือกน้อยกว่า และจะเรียกร้องถ้าเขามีทางเลือกน้อยกว่า 3 ทางเลือก
มีของขวัญพิเศษอะไรที่เด็กได้รับในช่วงวันหยุด
วันเกิดหรือในโอกาสพิเศษอื่น ๆ เขาได้เล่นของเล่นเหล่านั้นบ่อยไหม?
กิจกรรมพิเศษอะไรที่เด็กมักจะเล่นกันอยู่บ่อย ๆ ?

*+* เป็นแรงจูงใจภายใน ที่คนเราแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา เมื่อเขาประสบกับปัญหา เมื่อเขามองเข้าไปข้างในตัวของเขาเองเพื่อแก้ไขปัญหา พวกเขารับผิดชอบต่อชีวิตของพวกเขาเอง แรงจูงใจภายในที่ผู้คนมองออกไปนอกตัวเขาและไม่กล่าวร้ายต่อบุคคลหรือสิ่ง อื่น ๆ
คุณจะทำอะไรในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่เราได้วางแผนไว้เป็นเวลานานกับสิ่งที่สมาชิกของครอบครัวเรามีความต้องการ?
คุณจะเสียสละความต้องการของตัวคุณเพื่อคนอื่นได้ไหม?
ความรับผิดชอบเรียกร้องการเสียสละตนเองหรือ?
การเสียสละตนเองมีประโยชน์ต่อตนเองหรือ?
อะไรเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเอง?

*+* สังคมเกษตรกรรม เป็นสังคมที่ขึ้นอยู่กับการแบ่งปันความรับผิดชอบของครอบครัวขนาดใหญ่ ในการทำกิจการของฟาร์ม ตอนนี้เราอาจไม่ได้เจริญชีวิตเป็นเกษตรกรรมแล้ว แต่เราเจริญชีวิตแบบสังคม เทคโนโลยี เด็กไปโรงเรียนและกลับบ้านมาอยู่ในความรับผิดชอบของครอบครัวเล็ก ๆ
คุณสามารถคิดหาวิธี จะเสริมสร้างสำนึกของความรับผิดชอบในครอบครัวปัจจุบันนี้ได้ไหม?

พูดคุยกับเด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องความรับผิดชอบ

ความรับผิดชอบมีคุณค่าควรแก่การบำรุงรักษาหรือ? พูดคุยกับเด็ก ๆ เกี่ยวกับคำถามนี้ดู แล้วดูซิว่าพวกเขาคิดเห็นเป็นอย่างไร

++ ความรับผิดชอบหมายถึงอะไร? บอกซิว่าคุณสามารถรับผิดชอบอะไรได้บ้าง?

++ คุณต้องรับผิดชอบอะไรในห้องเรียน? หรือในบ้านของคุณ?

++ กับเด็กเล็กๆ ให้เขื่องหรือร้องเพลง “ Little boy blue ” แล้วถามพวกเขาว่า เด็กในเพลงนั้นทำอะไร เกิดอะไรขึ้นและเขาจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาได้ทำนั้นอย่างไร?

++ คนทั่วไปมีความรับผิดชอบมากขึ้นหรือน้อยลง ในขณะที่วัยของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นอยู่ทุกวัน

- ฝึกทักษะการใช้ภาษาของเด็ก ๆ และพูดคุยกันต่อเกี่ยวกับเรื่องความรับผิดชอบ โดยใช้คำศัพท์นี้ คือ..

สามารถรับผิดชอบได้ ( accountable ) สามารถพึ่งพาได้ ( dependable )

การกระทำ ( action ) หน้าที่รับผิดชอบ ( duties )

สามารถให้คำตอบได้ ( answerable ) การตัดสิน ( judgment )

ทางเลือก ( choices ) ความรับผิดชอบ ( responsibility )

งานบ้าน ( chores ) เป็นที่วางใจได้ ( trustworthy )

สิ่งที่ทำในชั้นเรียน
กิจกรรมสำหรับเด็กทุกวัย

+0+ เมื่อเด็กมาถึงโรงเรียน จงให้เขาคิดเกี่ยวกับกิจกรรมในแต่ละวันและให้วาดรูปของสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาจะทำหรือต้องนำมันมา

+0+ ปลูกต้นไม้หรือเลี้ยงสัตว์ในชั้นเรียน และให้แต่ละคนแบ่งปันความรับผิดชอบในการดูแล โดยอาจต้องทำตารางเวลาประจำสัปดาห์ แบ่งความรับผิดชอบให้แก่เด็กแต่ละคน โดยผลัดกันในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ก็ได้

+0+ ใช้แผนภูมิเป็นตัวช่วยและเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ สำหรับกิจกรรมในชั้นเรียน

+0+ เล่นเกมส์ “ ใครขโมย ” หรือ “ ของใครหาย...สงสัยใคร” พูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับความรับผิดชอบในกิจกรรมที่ทำ และพูดคุยถึงเรื่องการกล่าวโทษคนอื่น ๆ ด้วย

+0+ จัดแสดงละครหรือการแสดงเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยกำหนดความรับผิดชอบให้เด็กแต่ละคน หลังจากได้แสดงแล้วก็ให้พูดคุยกันถึงงานที่เพิ่งเสร็จ ซึ่งเรียกร้องทุกคนให้แสดงความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย เพราะความรับผิดชอบหมายถึง ไม่ต้องให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทนในสิ่งที่เราต้องทำนั้นเอง

กิจกรรมสำหรับเด็กโต

0+0 กำหนดโครงการให้เด็กมีส่วนร่วมทำ เช่น จัดกลุ่ม ๆ ละ 4 คน ให้ทำรายงานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กำหนดให้สมาชิกแต่ละคนในแต่ละกลุ่มได้รับผิดชอบ ทำการบันทึก ทำสถิติ รวบรวมเนื้อหา และทำรายงานส่ง

0+0 ให้เด็กระดมพลังสมอง เขียนรายการวิธีที่พวกเขาสามารถแสดงความรับผิดชอบต่อภาพพจน์ของโรงเรียนที่ มีต่อสังคม ให้เด็กตัดสินใจว่าพวกเขาจะทำตามรายการที่ได้เขียนไว้หรือไม่ เสร็จแล้วก็ให้พวกเขาแบ่งความรับผิดชอบกันเอง

0+0 เมื่อเด็กเล่นกีฬาเป็นทีม ช่วยเขาให้เรียนรู้ที่จะเล่นเป็นกลุ่ม กีฬาเป็นทีมเป็นวิธีการที่ท้าทาย ให้เด็ก ๆ วิเคราะห์แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบ ที่แต่ละคนพึงมีเพื่อความดีของส่วนรวม เช่น ในกีฬาฟุตบอล ทีมจะกำหนดผู้เล่น พวกเขาจะไม่สามารถเล่นกันได้ถ้าพวกเขาไม่รับผิดชอบในส่วนที่ได้รับมอบหมาย

การทำงานร่วมกับครอบครัว : แนวคิดสำหรับนำไปใช้ที่บ้าน

กิจกรรมสำหรับเด็กทุกวัย

*0* ให้เวลาในการสอนเด็กว่าพวกเขาควรจะรับผิดชอบอะไร ในกิจกรรมของครอบครัว และควรให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในส่วนต่าง ๆ ของกิจกรรมนั้น ๆ ด้วย

*0* วาดรูปปริศนาทายคำเป็นภาพซึ่งแสดงถึงสิ่งของต่าง ๆ ที่พวกเขาจำเป็นต้องนำไปบ้าน หรือ ต้องนำมาโรงเรียน เช่น กระเป๋า เสื้อแจ็คเก็ต ดินสอ อุปกรณ์การเรียน ฯลฯ เพื่อให้เขาได้ฝึกความรับผิดชอบและเช็ครายการต่าง ๆ ให้พร้อม

*0* ใช้ตารางหรือแผนภูมิแสดงการรับผิดชอบ เพื่อบันทึกความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัว แต่ต้องแน่ใจว่า มันเป็นวิธีการที่จะช่วยให้เด็กเห็นถึงการมีส่วนที่พวกเขาพึงมีต่อครอบครัว แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มความรับผิดชอบให้มากขึ้นตามลำดับความเป็นผู้ใหญ่ของเขา

*0* ปลูกผักหรือเลี้ยงสัตว์ในบ้าน โดยให้เด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมและช่วยดูแลมัน

*0* เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องความรับผิดชอบให้แก่เด็ก ๆ เช่น ถ้าคุณมีหน้าที่ที่จะต้องทำอะไร ก็จงทำมันให้เสร็จเรียบร้อยด้วยความรับผิดชอบ หรือถ้าคุณได้เริ่มทำงานอะไรไว้ ก็ให้รับผิดชอบและทำมันให้เสร็จ

*0* เป็นแบบอย่างความรับผิดชอบในกลุ่มสังคมที่ใหญ่กว่า เช่น ไปเลือกตั้ง ไปบริจาคเลือด ไปประชุมหรือเข้าร่วมในกลุ่มหรือองค์กรที่ให้บริการสังคม ฯลฯ

*0* ดูแลเอาใจใส่ในสิ่งที่คุณได้พูดไว้กับเด็ก ๆ ของคุณ เพราะเด็ก ๆ อาจจะรู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ ตามคำที่เราคาดหวังจากเขา เช่น เธอขี้เกียจเหมือนพ่อของเธอเลย หรือ เธอไม่รับผิดชอบเหมือนพี่ชายของเธอนั่นแหล่ะ คำเหล่านี้จะนำมาซึ่งความเสียหายให้แก่เด็ก เพราะเขาจะขาดความมั่นใจ และจะลดคุณค่าของตัวเองลงไป ความรับผิดชอบก็จะไม่เกิด

กิจกรรมสำหรับเด็กโต

0*0 เมื่อเด็กโตขึ้น เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนในกิจกรรมของครอบครัวที่เรียกร้องความรับผิดชอบมาก ขึ้น เช่น การเตรียมอาหารเย็น การช่วยทำความสะอาดบ้าน ฯลฯ

0*0 เมื่อเด็กโตพอที่จะเก็บเงินได้ จงช่วยเขาให้รู้จักเก็บเงิน และใช้เงินอย่างประหยัดและคุ้มค่า รวมทั้งการรู้จักการใช้เงินอย่างฉลาดด้วย ให้เขาฝึกจัดการเกี่ยวกับการเงินของเขา ช่วยฝึกเขาให้รับผิดชอบ โดยเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเขาจะได้รับผิดชอบในเรื่องที่ใหญ่ต่อไป

0*0 สอนให้เด็กรู้ว่า การกระทำของพวกเขามีผลที่ตามมาเสมอ เช่น ถ้าเขาลืมของที่เขาต้องใช้ ก็จงอย่าไปซื้อให้เขาในทันที อย่าไปขอโทษหรือทำแทนเขา แต่ให้เขาฝึกทำด้วยตัวเขาเอง เขาจะได้รับผิดชอบ

0*0 เมื่อเด็กเริ่มทำโครงการหรืองานอะไรก็สุดแล้วแต่ คุณต้องแน่ใจว่าเขาต้องรับผิดชอบและทำมันให้เสร็จ อย่าไปแสดงความเห็นใจเขามากเกินไป คนที่รับผิดชอบจะพยายามทำสิ่งที่เขาได้เริ่มไว้นั้นให้เสร็จเช่นกัน อย่าลืมที่จะชื่นชมเขาเมื่อเขาพยายามจนงานนั้นสำเร็จ

0*0 สนับสนุนให้เด็กเล่นกีฬาเป็นทีม ให้เขาเห็นบทบาทเฉพาะที่เขาต้องมีต่อทีม ในการช่วยทีมให้ประสบความสำเร็จ สังเกตความรับผิดชอบของผู้เล่นแต่ละคน และสนับสนุนให้เขาใช้ความรับผิดชอบที่เขามีต่อทีมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ ได้

0*0 ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อการงานในแต่ละวัน

หนังสือสำหรับใช้แบ่งปันกับเด็ก ๆ ...

วันเสาร์, กรกฎาคม 12, 2551

บทเพลงและกวี กู้ชาติ 2551

เพลง ความฝันอันสูงสุด
เพลง มองอย่างนก
เพลง แสงจันทร์
เพลง ความฝันอันสูงสุด
เพลง แผ่นดินนี้คือไทย
เพลง ความใฝ่ฝันอันสูงสุดและเราสู้
เพลง สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง
เพลง เราสู้
เพลง สรุปว่าบ้า1
เพลง สรุปว่าบ้า2
เพลง ผู้ชนะสิบทิศ
เพลง ดุจบิดามารดร
เพลง ชาวนาไทยขับไล่สมุนหน้าเหลี่ยม
เพลง ชะตาชีวิตและมีดอกไม้มาฝาก
เพลง เพื่อนพันธมิตรฯ
เพลง RainMan
เพลง Long live The King of Thailand
เพลง ฟืนเปียกฝน
เพลง เรารักพระเจ้าอยู่หัว
เพลง หลวงตามหาบัวกู้ชาติ
เพลง แผ่นดินไทย
เพลง ทาสแห่งเงินตรา
เพลง เราสู้
เพลง หนักแผ่นดิน
เพลง กำลังใจ
เพลง เพื่อมวลชน
เพลง สยามเมืองยิ้ม
เพลง กลองยาว
เพลง รัฐบวยหัวคาน
เพลง ความฝันอันสูงสุด
เพลง รักเธอประเทศไทย
เพลง น้ำตาเดือน 6
เพลง เก็บตะวัน
Thailand Web Stat