เร่งกำจัดตัวการสกัด"ระบอบทักษิณ"คืนชีพ แฉแผนลับ"พปช"ตอกฝาโลงมือที่มองไม่เห็น!!
![]() |
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ | 28 กุมภาพันธ์ 2551 09:01 น. |
![]() |
* ข้อหาฉกรรจ์อยู่เบื้องหลังสกัด "ระบอบทักษิณ"คืนชีพ * "สมัคร-เลี๊ยบ" แยกกันเดินร่วมกันตี เป้าหมายดึงมวลชนทุกระดับเข้าสู่อุ้งมือแม้ว * เกมนี้มีเดิมพัน 6 เดือน-1ปี ..... สถานการณ์การเมืองไทยเวลานี้เริ่มเข้าสู่จุดเดือดอีกครั้ง เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่างเงียบหายกลับมาประชุมใหญ่เพื่อ ต่อต้านระบอบทักษิณอีกครั้ง ขณะที่ฟากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็พร้อมกลับเข้ามาในประเทศไทย ความวุ่นวายทางการเมืองเวลานี้ แม้แต่ละฝ่ายจะจับจ้องอยู่กับการกลับมาแผ่นดินไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลของการกลับมาสู้คดีทุจริตต่างๆ ที่อยู่ในมือคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่บางส่วนกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกระบวนการศาล แต่ฝ่ายของพลังประชาชนเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้กำลังระส่ำระสายอย่าง รุนแรง จากบารมีของ "มือที่มองไม่เห็น" ที่ได้ถ่ายทอดผ่านปากผู้นำพรรคพลังประชาชนอย่าง สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีมาแล้วหลายครั้งหลายหน เชื่อหรือไม่ว่า แม้กระทั่งเบื้องหลังกรณีคดี "ยุทธตู้เย็น" หรือ ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่เพิ่งนั่งฝันหวานในเก้าอี้ประธานสภาไม่นานก็ต้องล้มทั้งยืนเมื่อ คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต.มีมติ 3 ต่อ 2 ประกาศให้ "ใบแดง" ฐานทุจริตการเลือกตั้ง ล่าสุดในวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมานี้ คนในพรรคพลังประชาชนก็เชื่อว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการล้มรัฐบาลของ "มือที่มองไม่เห็น" ด้วย สถานการณ์การต่อสู้นี้ โดยเฉพาะการเมืองในรอบ 6 เดือนต่อจากนี้ไป จึงนับเป็นช่วงเวลาที่ห้ามกระพริบตา! "สะอาด-สกปรก"ล้วนคือ "มือที่มองไม่เห็น" อย่างไรก็ดี คำว่า "มือที่มองไม่เห็น"จุดประกายโดย รศ.ดร.ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งขึ้นมา ก่อนที่นายกรัฐมนตรีสมัครจะนำไปพูดจนกลายเป็นวลียอดฮิตติดปากในช่วงที่ผ่าน มา รศ.ดร.ธีรภัทร ให้สัมภาษณ์ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"ว่า ในมุมมองของตนเองที่พูดเรื่องนี้ออกมานั้นเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง ในช่วงการเลือกตั้งและก่อนการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งความหมายของมือที่มองไม่เห็น เป็นได้ทั้งด้านลบและด้านบวก ความหมายด้านลบ"มือที่มองไม่เห็น" คือ "มือสกปรก" ที่มีการใช้อำนาจเงินตราซื้อทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองได้เป็นรัฐบาล หรือแม้กระทั่งการใช้ผลประโยชน์ในการต่อรองรวมพรรคเพื่อเป็นรัฐบาล คนที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวมีความเคลื่อนไหวทั้งก่อนมีการเลือก ตั้ง และหลังการเลือกตั้ง นับว่าเป็น "มือที่มองไม่เห็น"หรือ "มือสกปรก"ทั้งสิ้น "มือที่สกปรกคือมือที่บงการอยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่ใช้เงินซื้อเสียงก่อนเลือกตั้ง มีการซื้อพรรคการเมืองบางพรรค มีการซื้อตัวส.ส.เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล พอหลังเลือกตั้งเสร็จแม้ว่าจะไม่รู้ว่ามีการใช้เงินหรือไม่ แต่เชื่อว่ามีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในการจัดตั้งรัฐบาล ในการดำเนินการทางการเมือง เช่น ก่อนเลือกตั้งพรรคการเมืองบางพรรคบอกจะไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ แต่พอหลังเลือกตั้งก็มีการไปเข้าร่วมรัฐบาลกับพลังประชาชน แสดงว่าต้องมีปัจจัยเอื้อประโยชน์ต่อกัน สำหรับผม มือที่มองไม่เห็นคือมือที่แอบอิงผลประโยชน์ที่ไม่มีจุดยืนทางการเมือง" ในความหมายด้านบวกคือ "มือสะอาด" ขอเรียกว่าพระหัตถ์ของพระสยามเทวาธิราช เป็นมือของสวรรค์ที่จะคอยช่วยปกป้องประเทศชาติให้พ้นจากคนไม่ดี คอร์รัปชั่น มุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองประเทศไทย ซึ่งหากใครทำไม่ดีก็ควรระมัดระวังตัวไว้ด้วยว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ใครทำอะไรไว้ก็จะปรากฏผลในรูปแบบกฎแห่งกรรม "รัฐบาลจะมีเสถียรภาพหรือไม่ สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับบทบาทของตัวเอง คือถ้าทำไม่ดี มือที่มองไม่เห็นก็จะทำให้อยู่ไม่ได้ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่" เผยโฉม มือที่มองไม่เห็นตัวจริง หลังจาก รศ.ดร.ธีรภัทรได้เปิดประเด็น "มือที่มองไม่เห็น"ขึ้นนั้น ได้กลายเป็นเรื่องทอล์คออฟเดอะทาวน์ในช่วงนั้นอย่างมาก โดยเฉพาะนักวิเคราะห์ทางการเมืองต่างให้ความเห็นถึงนิยามมือที่มองไม่เห็น ของ รศ.ดร.ธีรภัทร ว่าน่าจะหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากยังคงมีบทบาทเป็นตัวจริงเสียงจริงในอำนาจสั่งการของพรรคพลัง ประชาชน ที่แม้ว่าปากจะยังคงพูดว่าจะขอไม่เกี่ยวทางการเมือง แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็มีพฤติกรรมในทางตรงข้ามตลอด โดยเฉพาะการเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศถึงความไม่เป็น ธรรมที่ตัวเองได้รับ หรือแม้กระทั่งการเขียนหนังสือที่ประเทศจีน ในเวปไซด์ไฮทักษิณดอทเน็ต ก็เชียร์ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างออกหน้าออกตา รวมทั้งการที่บรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย พลิกลิ้นกลับลำมาอยู่ข้างพลังประชาชนเพื่อจัดตั้งรัฐบาลในนาทีสุดท้าย ทั้งๆ ที่ประกาศจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ต้น ซึ่งก็ล้วนถูกมองว่ามีเบื้องหลังในการประสานผลประโยชน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือแม้กระทั่งการเดินทางไปเยี่ยมเยียนพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่บ่อยครั้งของแกนนำพรรคพลังประชาชนล้วนถูกโยงใยไปถึงบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น "การที่ทักษิณ เลือกมาใช้ชีวิตอยู่ที่ ฮ่องกง ก็เพราะเป็นการเปิดทางให้แกนนำและสมาชิกพรรคพลังประชาชน ไปพบได้สะดวก เพราะกรุงเทพ-ฮ่องกง สามารถเดินทางไป-กลับได้ภายใน 1 วัน ที่สำคัญไม่ต้องใช้วีซ่า ทำให้ลูกพรรคสามารถเดินทางไปพบและรับคำสั่งได้ตลอดเวลา" แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชาชน ระบุ อย่างไรก็ดี มือที่มองไม่เห็น ได้ถูกย้อนศร จากพรรคพลังประชาชน โดยทำให้สังคมเห็นว่า "มือที่มองไม่เห็น"นี้ไม่ใช่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นมือของผู้มีอำนาจ-บารมี ที่มีความต้องการกำจัดขั้วอำนาจเก่า และพลังประชาชนมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการทำปฏิวัติรัฐประหาร การยุบพรรคไทยรักไทย การแขวนลอยกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 ศพ การแก้รัฐธรรมนูญ การจัดทหารลงพื้นที่เลือกตั้ง ความไม่ชอบมาพากลของการเลือกตั้งล่วงหน้า และอีกสารพัดที่ "มือที่มองไม่เห็น"ได้มีคำสั่งให้จัดการเด็ดปีก "พ.ต.ท.ทักษิณ" ในช่วงที่ผ่านมา นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไม นายกฯสมัคร ถึงต้องออกมาตอกย้ำ ย้ำแล้วย้ำอีกถึง "มือที่มองไม่เห็น" ว่ามีอำนาจวาสนามาก ชอบอ้างอำนาจที่เหนือกว่าเพื่อจัดการงานนอกสั่ง เพื่อก่อกวนพลังประชาชนไม่มีหยุดหย่อน ดังนั้น การตอกย้ำของ สมัคร ก็คือหนึ่งในเกมการของพลังประชาชนในการต่อสู้กับมือที่มองไม่เห็น! แหล่งข่าวในพรรคพลังประชาชน ระบุว่า ทุกคนในพรรคพลังประชาชนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่นายกสมัคร สื่อถึง "มือที่มองไม่เห็น" คือใคร และรู้ดีว่ามือที่มองไม่เห็นนี้ยังคงมีเป้าหมายเพื่อล้มรัฐบาลพลังประชาชน แม้ว่าตอนนี้พรรคพลังประชาชนผ่านพ้นการเลือกตั้ง และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่มือที่มองไม่เห็นก็ยังไม่หยุด ซึ่งเหตุนี้เองทำให้ "สมัคร สุนทรเวช" เป็นคนที่ได้รับเลือกอย่างไม่เป็นทางการในพรรคให้เป็นมือชน "มือที่มองไม่เห็น"ด้วย เพราะด้วยคุณสมบัติส่วนตัวของนายกฯสมัครซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ว่า เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดแล้ว ยังมีเลือดนักสู้ที่พร้อมจะแลกหมัดหากใครก็ตามที่ต้องการทำลายพรรค และที่สำคัญคือนายกฯสมัคร ใช้ภาษาที่ง่ายในการสื่อสารให้ประชาชนทุก ๆชนชั้นเข้าใจได้ "คุณสมัครไม่ต้องทำอะไรมากกับมือที่มองไม่เห็น เพียงแค่ฟ้องสาธารณะชนให้รับรู้ว่าพลังประชาชนกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นเล่น นอกกติกา" สั่งการหน่ายงานรัฐจัดการพปช. อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวเปิดเผยว่ากระบวนการทำลายพรรคพลังประชาชนจากอำนาจของมือที่มองไม่ เห็นมี 3 ช่วงที่สำคัญ คือก่อนเลือกตั้ง ช่วงเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง ซึ่งสมาชิกพรรคพลังประชาชนต่างรับรู้ทั่วกันคือ โดยช่วงก่อนเลือกตั้งเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ที่มีการเปลี่ยนวิธีการเลือกตั้งจากเขตเดียวเบอร์เดียวเป็นรวมเขต เพื่อไม่ให้มีการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเหมือนที่เคยเกิดขึ้น พอถึงช่วงเลือกตั้งก็มีการส่งตำรวจ ส่งสันติบาลลงพื้นที่เลือกตั้งต่างๆ เพื่อสร้างหลักฐานให้มีการให้ใบแดงใบเหลืองกับผู้สมัครพรรคพลังประชาชน "คุณสมัคร ได้รับรายงานจากส.ส.พรรคฯ ตลอดว่ามีสันติบาลลงไปในพื้นที่ และมีความพยายามในการสร้างหลักฐานเพื่อร้องเรียนกกต.ว่า ส.ส. คนนั้นๆ ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและเพื่อให้ได้รับใบแดงในที่สุด โดยเฉพาะหลักฐานว่ามีวีซีดีทักษิณกี่อันในมือ" ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากกรณีนี้คือกรณี ส.ส.ทรงศักดิ์ ทองศรี ที่มารายงานที่พรรคฯว่ามีคนเคลื่อนไหวแปลกๆในพื้นที่เลือกตั้งของตัวเอง โดยดูเหมือนว่าจะมีความพยายามในการสร้างหลักฐานว่ามีการโกงเลือกตั้ง ซึ่งส.ส.ทรงศักดิ์ ไหวตัวทันก่อนจึงมีการนำหลักฐานไปแจ้งกับกกต. เพราะหลักฐานนั้นทำในนามเจ้าหน้าที่กกต. ตอนหลังจึงพ้นจากข้อหาได้ "บางครั้งทำให้พรรคฯเข้าใจว่า กกต.ก็ถูกแทรกแซงโดยมือที่มองไม่เห็น กกต.บางคนก็อยากจะดิ้นให้หลุดจากมือนี้ ก็มีหลุดบ้างไม่หลุดบ้าง" สส.พลังประชาชนระส่ำ หวั่นได้ใบแดงย้อนหลัง หลังเลือกตั้งเสร็จ หลายฝ่ายอาจมองว่าเรื่องจบแล้ว มือที่มองไม่เห็นไม่สามารถทำอะไรพรรคฯ ได้แล้วแต่ความจริงไม่ใช่ พลังประชาชนยังไม่สามารถทำให้มือที่มองไม่เห็นยุติบทบาทได้ กลับยิ่งรุกหนักขึ้น ทั้งเกม ยงยุทธ์ ติยะไพรัช ที่กกต.เพิ่งมีมติ 3 ต่อ 2 ให้ใบแดง ฐานมีพฤติกรรมการทุจริตการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับไทยเพียงไม่กี่วัน แถมคดียงยุทธนี้ท้ายที่สุดอาจโยงไปสู่การยุบพรรคได้อีก ตรงนี้ทำให้ส.ส.พรรคพลังประชาชนทุกคนต่างหวั่นเกรงว่าในที่สุดพรรคพลัง ประชาชนอาจถูกยุบอีกครั้งในไม่ช้านี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องหนักใจอย่างยิ่ง แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชาชน ย้ำว่า กระบวนการของมือที่มองไม่เห็นมีการรุกคืบมาถึงตัว ส.ส.และผู้สมัครของพรรคพลังประชาชนด้วย โดยช่วงหลังเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้มีหมายเรียกจาก กกต.ถึงส.ส.ของพรรคฯ และผู้สมัครของพรรคฯ เกือบ 100 คน เข้าชี้แจงกับกกต.ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้กระทั่งก่อนเข้าประชุมสภาฯ ก็มีหมายเรียกส.ส.ให้เข้าไปชี้แจง ตรงนี้ทำให้ส.ส.พรรคตกใจ และหวั่นไหวกันมาก และมีการโทรศัพท์เข้ามาในพรรคว่าควรทำตัวอย่างไร จะไปเข้าประชุมสภาฯ หรือต้องไปตามหมายเรียกของกกต.ก่อน ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่เคยปรากฏในการเลือกตั้งครั้งก่อนๆมาเลย "ส.ส.จะเริ่มทำงานได้เมื่อไร ถ้าเรียกแต่ไปสอบสวน แล้วหมายเรียกนี้เหมือนหมายศาลไม่มีผิด คำถามก็มีเดิมๆ คือรับเงินใครมาไหม สมัครใจเป็นส.ส.หรือเปล่า ให้เซ็นชื่อคนละ 10 ชื่อ ดูว่าเหมือนลายเซ็นที่สมัครส.ส.หรือเปล่าอย่างนี้ อย่างทางใต้ พรรคไม่ได้ ส.ส.สักคน แต่ผู้สมัคร ส.ส.ก็ถูกเรียกไปถามแบบเดียวกันหมด" ประเด็นดังกล่าว ผู้บริหารพรรค และแกนนำพรรคฯ ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากเชิงลึกและข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่าทั้งที่ผ่านมาและปัจจุบัน "มือที่มองไม่เห็น" กำลังลุกคืบในการใช้อำนาจกกต.ตัดสินว่าสมาชิกพรรคพลังประชาชน กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยเฉพาะหลักการแรกเขาต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าคนเหล่านี้สมัครเข้าพรรคพลัง ประชาชนโดยไม่เต็มใจ ซึ่งหากมีการปลอมแปลงเอกสารก็นำไปสู่การยุบพรรคได้ หรือไม่อีกกรณีคือทำให้เห็นว่ามีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง "ทุกวันนี้ ส.ส.ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน ก็ลุ้นกันอยู่ตลอดว่าวันนี้ใครจะโดนอะไรอีก ใครจะโดนใบแดงเป็นรายต่อไป ทุกวันต้องมานั่งระวังหลัง เกิดความระส่ำระสายในวงส.ส.ของพรรคไปทั่ว" โดย ส.ส.ทุกคนในพรรครู้ดีว่าสถานการณ์อย่างนี้ในขณะนี้มีแต่คนอย่าง สมัคร สุนทรเวชเท่านั้นที่จะแก้ปัญหานี้ได้ "พอมีคนไปกวนหนักๆ ส.ส.ก็ไปบอกนายกฯสมัคร และ นายกฯก็ออกมาพูดทีหนึ่ง คือต้องทำให้สังคมรับรู้ว่าโดนกลั่นแกล้งหนักนะ มีคนที่จ้องล้มล้างรัฐบาลพลังประชาชนจริง" แยกการทำงานเป็น 2 ขา สมัครท้าชนมือที่มองไม่เห็น ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้น พรรคพลังประชาชน จึงมีความเชื่อมั่นว่าจุดแข็งที่มีอยู่ในตัวนายกฯสมัคร ซึ่งทุกคนในพรรคฯให้การยอมรับกันมากคือเรื่องการพูดภาษาที่เข้าใจง่าย สามารถทำภาษาการเมืองเป็นภาษาชาวบ้านได้ มีความฉลาดในการแก้ปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง มีบทบาทที่พร้อมจะประนีประนอมทุกฝ่ายหากพูดคุยกันด้วยเหตุผล และหากใครขัดขวางก็พร้อมจะสู้กับคนที่จ้องทำลายพรรคพลังประชาชนให้ถึงที่สุด ดังนั้นจุดแข็งที่มีอยู่ในตัวนายกฯสมัคร และความพร้อมในสรรพกำลังของเครือข่ายต่าง ๆจึงถูกกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ในการต่อกรกับ "มือที่มองไม่เห็น" ด้วยการเดินหน้าชนและสร้างความเชื่อมั่นคู่ขนานกันไป เพื่อนำไปสู่เป้าหมายในการดึงพลังมวลชนเข้าเป็นแรงหนุนหลักในการทำลายมือที่ มองไม่เห็นและปกป้องระบอบทักษิณให้คงอยู่ต่อไป โดยยุทธวิธีในการดำเนินงานนั้นประกอบด้วย ทางหนึ่งคือให้สมัครต่อกรกับมือที่มองไม่เห็น โดยมีหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อให้อีกทางหนึ่งหนึ่งเดินหน้าในการทำงานคือ ทีมเศรษฐกิจที่ต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจชาติและปัญหาปากท้องประชาชน "ต้องยอมรับก่อนนะว่า นโยบายเก่าของไทยรักไทยโดนใจประชาชนมาก โดนใจเพราะว่าทำได้จริง โดยเฉพาะ 30 บาทรักษาทุกโรค ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลไปกี่รัฐบาล ประชาชนเขาก็รู้ว่าเป็นของใคร ใครเป็นคนทำขึ้นมา ตรงนี้กินใจประชาชน แต่ตอนนี้จะทำงานก็ทำไม่ได้ โดนก่อกวนตลอด ทีมเศรษฐกิจก็มีอุปสรรค ต้องจัดการปัญหาการเมืองออกไปก่อนถึงเดินหน้าได้" ดังนั้น วิธีการหลุดจาก "มือที่มองไม่เห็น" คือต้องทำนโยบายพรรคให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เน้นการแก้ไขเศรษฐกิจ ให้ได้ภายใน 6 เดือนนี้ เพราะเชื่อว่าหากสามารถพิสูจน์ว่ามีฝีมือในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปาก ท้องให้ประชาชนได้จริง และทำได้ดี มือที่มองไม่เห็นถึงแม้จะมาล้วงลึก มาแทงหลัง มาก่อกวน ก็ทำอะไรกับ พลังประชาชนไม่ได้ เพราะประชาชนได้เห็นแล้วว่าพลังประชาชนมาเพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติจริง ถึงเวลานั้นปัญหาความขัดยังทั้งหมดก็น่าจะหมดไป มือที่มองไม่เห็นก็จะหมดอำนาจไปเอง "ประชาชนเขามีสิทธิกำหนดชะตากรรมของตัวเอง อย่าไปคิดว่าเขาโง่ คุณสมัครไม่ได้ทำอะไรมาก แค่ฟ้องประชาชน เราต้องเร่งเดินหน้าแก้เศรษฐกิจให้เสร็จใน6เดือนแต่ถ้าปล่อยให้นานถึง 1 ปี ก็อาจจะถูกมือที่มองไม่เห็นก่อกวนได้ง่าย " ใช้แท็กซี่กระจายข่าวคนชั้นกลาง-ต่างจังหวัด ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งการทำความเข้าใจประชาชน โดยใช้เวทีของนายกฯสมัคร เป็นผู้สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน เอาสิ่งที่พรรคพลังประชาชนคิดว่าไม่ยุติธรรม การโดนกลั่นแกล้ง มาพูดให้ประชาชนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น "รายการสนทนาประสาสมัคร ทุกวันเสาร์ จะเป็นกลไกที่ดีในการฟ้องประชาชน รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ในทุก ๆ วัน หากมือที่มองไม่เห็นเข้ามาลุกคืบ คุณสมัครก็จะพูดตอบโต้ให้ประชาชนรับรู้ทันที่เช่นกัน " นอกจากนี้ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนก็ต้องเร่งสร้างผลงานให้ประชาชนยอม รับให้เร็วที่สุดใน 6 เดือนด้วยด้วยการลงพื้นที่สื่อให้ประชาชนได้เข้าใจ พลังแท๊กซี่ ตอบโต้มือที่มองไม่เห็น นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้เครือข่ายแท็กซี่ เป็นกลไกในการตอบโต้หรือสื่อให้ประชาชนที่ใช้บริการรถแท๊กซึ่งได้รู้ว่ามือ ที่มองไม่เห็นที่จ้องทำลายพรรคพลังประชาชนคือใคร ได้อย่างดีที่สุด "แท็กซี่ในกรุงเทพมีเป็น4-5 หมื่นคัน ทุกวันมีคนขึ้นอย่างน้อยวันละ 10 คน ธรรมชาติของแท็กซี่คือรับข่าวสารจากผู้โดยสาร ขณะเดียวกันก็เป็นคนกระจายข่าวสู่ผู้โดยสารที่ดีที่สุด ตรงนี้คือกระบวนการที่ทำให้คนชั้นกลางในกรุงเทพมหานคร รับรู้ได้มากที่สุดว่า มือที่มองไม่เห็นกำลังก่อกวนอะไรอยู่ แถมเวลาที่กลับบ้านต่างจังหวัดแท็กซี่ก็สามารถเอาข้อมูลข่าวสารไปบอกญาติๆ ได้อีก กลุ่มแท็กซี่คือกลุ่มที่มีพลังมาก" ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าพลังแท็กซี่มีเพียงใดโดยช่วงที่ผ่านมา พลังแท็กซี่นี่แหละที่เป็นกำลังสำคัญในการประชุมนปก.ทุกครั้ง พลังแท็กซี่นี่แหละทำให้ฝ่ายคมช.ต้องตั้งด่านตรวจแท็กซี่ที่กลับบ้านต่าง จังหวัดช่วงสงกรานต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในช่วงที่ผ่าน มา การที่พลังแท็กซี่มีความภักดีต่อไทยรักไทยขนาดนี้ สาเหตุหลักที่มัดใจแท็กซี่ให้ทำงานเพื่อพลังประชาชนด้วยความเต็มใจคือ นโยบายแท็กซี่เอื้ออาทรที่เกิดขึ้นในรัฐบาลทักษิณ ขณะเดียวกันเมื่อมีการทำรัฐประหารจนรัฐบาลขิงแก่เข้ามาบริหารประเทศ 1 ปี กลับปรากฏว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก เศรษฐกิจตกต่ำ รายได้แท็กซี่ลดลง และยิ่งทำให้แท็กซี่สมัครใจภักดีกับพลังประชาชนมากขึ้น "มือที่มองไม่เห็นก็คือมือที่มองไม่เห็น ไม่มีใครมองเห็น แต่แท็กซี่จะทำให้ชาวบ้านรู้ ว่ามือที่มองไม่เห็นคือใคร ด้วยคำพูดสื่อง่ายๆ ว่า เกย์เฒ่า -ผู้เฒ่าผมขาว -ไอ้แก่ผมขาว-ชายแก่บ้าอำนาจ..คือผู้อยู่เบื้องหลังสั่งการทหาร ตำรวจ กกต.จัดการพรรคพลังประชาชน.." ยุทธวิธีการจัดการมือที่มองไม่เห็น มิได้มีเพียงแค่แท๊กซีเท่านั้น ยังมีการปล่อยข่าวไปในวงสังคมและบรรดาคอการเมืองด้วยว่า ชายผมขาวกำลังจะถูกปลดจากตำแหน่งสำคัญ เพราะกระทำการนอกเหนือคำสั่งในการจัดการ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพลังประชาชน โดยให้บุคคลสำคัญที่มีความใกล้ชิดสมัคร สุนทรเวช ยุครัฐบาลหอย ขึ้นมาทำหน้าที่แทน แหล่งข่าว ย้ำว่า การปล่อยข่าวเพื่อทำลายมือที่มองไม่เห็นจะเกิดขึ้นเป็นระลอกในแต่ละวงสังคม เพื่อเป็นการตอบโต้การจ้องทำลายพรรคพลังประชาชนเท่านั้น ส.ส.พร้อมลุยมือทำลาย ทั้งนอกพรรค-ในพรรค อย่างไรก็ดีนอกจาก "มือที่มองไม่เห็น"นอกพรรคพลังประชาชนแล้ว ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า พรรคฯยังต้องเผชิญกับมือที่มองไม่เห็นที่อยู่ในพรรคด้วย "แม้กระทั่ง ภายในพรรคเอง ก็มีมือที่มองไม่เห็นพยายามสร้างความแตกแยก ท่ามกลางการแต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี ที่ปรึกษา ก็มีการปล่อยข่าวโจมตีกันเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก" ทั้งนี้ ร.ท.กุเทพ มองว่า แนวทางแก้ไขปัญหา "มือที่มองไม่เห็น" ทั้งจากภายนอกพรรคและและภายในพรรคนั้น สามารถแก้ไขได้ด้วย 3 แนวทางคือ 1.แนวทางประนีประนอม 2.สร้างศรัทธาต่อประชาชน 3.ตัดวงจรมือที่มองไม่เห็น สำหรับแนวทางการประนีประนอมนั้น จะเน้นแนวทางสมานฉันท์และประสานประโยชน์กับฝ่ายต่างๆให้ลงตัวที่สุด ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและกลุ่มต่างๆที่อาจจะเกิดปัญหา ซึ่งต่อไปนี้แนวทางที่รุนแรงจะลดลงจะเน้นในแนวทางสมานฉันท์เป็นหลัก ขณะที่ มือที่มองไม่เห็นภายในพรรค นั้น เชื่อว่า สามารถพูดคุย เพราะ ภายในพรรคนั้นสามารถพูดคุยกันได้เนื่องจากมีเป้าหมายรวมที่เหมือนกัน "มือที่มองไม่เห็นในพรรค ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเหนียวแน่น ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคต้องต่อสู้อย่างหนักจนสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ และเมื่อผ่านจุดหนักสุดมาได้ก็เชื่อว่าทุกคนภายในพรรคจะสมานฉันท์และตกลงกัน ได้ " ขณะที่แนวทางที่ 2 คือการสร้างศรัทธาต้องยอมรับว่า จำเป็นที่จะต้องสร้างศรัทธาที่แข็งแกร่งต่อประชาชนให้เกิดขึ้นอีกครั้ง ด้วยการสร้างโครงการใหม่ที่สามารถกระตุ้นศรัทธาต่อรัฐบาลให้ได้ แม้ว่าโครงการประชานิยมต่างๆจะถูกสานต่อจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทย(เดิม) แต่ก็ไม่สามารถสร้างแรงกระตุ้นได้มากเท่าที่ควร ดังนั้นต่อจากนี้รัฐบาลจะมีโครงการใหม่ๆที่จะสร้างแรงศรัทธาต่อประชาชนให้ ได้ แนวทางที่ 3 คือการตัดวงจรของมือที่มองไม่เห็นนั้น ร.ท.กุเทพ มองว่า แม้ภาพที่ออกมาจะเป็นการล่าถอยของคมช.แต่ก็ยังถือว่าไม่เป็นจุดสิ้นสุดอย่าง แท้จริง ทั้งนี้ มือที่มองไม่เห็นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น จึงต้องขจัดแนวร่วมของมือที่มองไม่เห็น อาทิ การตัดวงจรมิให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องในทางการเมือง หรือแนวร่วมอื่นๆอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ เป็นต้น "การตัดทอนอำนาจของมือที่มองไม่เห็นก็คือ การสกัดความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มต่างๆวึ่งเมื่อตัดความเชื่อมโยงนั้นได้ มือที่มองไม่เห็นก็จะไม่สามารถกระทำการใดๆได้ และเชื่อว่าในยามนี้ความแข็งแกร่งที่มีอยู่จะสามารถควบคุมปัญหาดังกล่าวได้" เกมต่อสู้สู่จุดเดือด-สุดท้ายนองเลือด นี่คือการประกาศความพร้อม ประกาศศักยภาพ และประกาศท้าชน "มือที่มองไม่เห็น"ของพลังประชาชนแทบจะทุกฝ่าย ที่ดูแล้วแม้จะรู้ดีว่า "มือที่มองไม่เห็น"คนนี้ เป็น "ของแข็ง"ที่ต่อกรได้ยาก แต่ก็ไม่ได้แสดงความ "เกรงกลัว"อำนาจที่มองไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว และยิ่งอาจจะมากขึ้นครั้งนี้เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับมาประเทศไทยแล้ว การต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่ายที่ยิ่งนับวันยิ่งดุเดือดรุนแรง และหากมือที่มองไม่เห็นมีการเล่นนอกบทมากขึ้นเรื่อยๆ และพลังประชาชนก็พร้อมจะลุยทุกเมื่ออย่างนี้ โอกาสของการเกิดเหตุการณ์นองเลือดรุนแรงก็อาจเกิดขึ้นได้ไม่ยากแล้ว! ************** 6 ก๊กพปช. ฟัดกันเพลิน เปิดทาง "มือลึกลับ"ถล่มพรรค " สมัคร" คุมเกมไม่อยู่"ทักษิณ-หญิงอ้อ" เจ้าของ"มือที่มองไม่เห็นในพรรค"เร่งกำกับ 6 ก๊กพลังประชาชน หวั่น "ศึกใน" ชิงอำนาจกันเอง เปิดทางให้อำนาจภายนอกป่วนรัฐบาลพังเร็ว ขณะที่ "เนวิน" งัดข้อ "เจ๊หน่อย" ต่างหวังขยายบารมี - ชิงเข้าใกล้ศูนย์อำนาจใหญ่ แรงกดดันจากกระแสสังคมรอบด้านที่มีต่อรัฐบาลผสม ซึ่งมีสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำในขณะนี้ต้องยอมรับว่ามีแนวโน้มนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายให้เกิด ขึ้นได้อย่างง่ายดาย ซึ่งชนวนที่จะนำไปสู่เหตุการณ์ที่ล่อแหลมดังกล่าวนั้นมีปัจจัยมาจากกรณีที่ รัฐบาลถูกมองว่ากำลังให้การช่วยเหลืออดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ให้กลับคืนสู่อำนาจ ภายใต้กลไกและอำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือ โดยไม่สนใจคำถามต่างๆจากสังคมรอบด้าน การที่สมัคร ได้รับความไว้วางใจจากพ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ให้รับหน้าที่สำคัญทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลการทำงานในครม.ทั้ง 35 ตำแหน่ง และรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ดูแลความเป็นอยู่ของสมาชิกพรรคกว่า 200 ชีวิต เคยกลายเป็นเรื่องที่สร้างความปลาบปลื้มให้แก่สมัคร ก็ตาม แต่นานวันเข้าดูเหมือนความวุ่นวาย ปัญหาสารพัดเรื่องทั้งในครม.และงานการเมืองภายในพรรค ยิ่งเพิ่มดีกรีรุนแรงมากขึ้น วันนี้ไม่เพียงแต่บรรยากาศการพลิกฟื้นสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของ ประเทศจะยังไม่กระเตื้องขึ้น จนสามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้แล้ว ภายในครม.เองยังเต็มไปด้วย "ความไม่ลงตัว" จากการทำงานระหว่างรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเดียวกันและจากพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในภาวะที่สร้างความปั่นป่วนให้กับฝ่ายบริหารและฝ่ายการเมืองในลักษณะ เช่นนี้ อาจเป็นการยากที่ สมัคร ที่แม้ดำรงตำแหน่งทั้ง 2 สถานะจะคลี่คลายปมปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ บ่อยครั้งที่ต้องอาศัย "มือที่มองไม่เห็นนอกพรรค" สั่งยุติปัญหาตรงมาจากกรุงลอนดอน ความวุ่นวายที่กำลังจะกลายเป็น "ศึกใน" พรรคพลังประชาชน นั้นสืบเนื่องมาจากการที่พรรคประกอบไปด้วยกลุ่มก๊วนการเมืองหลายกลุ่มโดยที่ แต่ละกลุ่มต่างมีแกนนำที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญทุกคนต่างพยายามวิ่งเข้าใกล้ "ศูนย์แห่งอำนาจ" คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงอ้อ กันอยู่ตลอดเวลา หวังแผ่ขยายอำนาจบารมีเพื่อสร้างพลังต่อรองผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตัวเองให้ มากที่สุด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มักเห็นว่า ข้อเสนอแนะหรือหลักการของสมัคร ในฐานะนายกฯและหัวหน้าพรรค จะไม่ได้รับการตอบสนอง 6 ก๊วนในพปช. โดยเฉพาะการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีบางตำแหน่ง ที่ข้อเสนอของสมัคร ถูกปฏิเสธตกไป รวมทั้งตำแหน่งเลขานุการและที่ปรึกษารัฐมนตรี ที่มีการแทรกชื่อ "ชลสวัสดิ์ อัศวเหม" โควตาพรรคเพื่อแผ่นดิน "วัน อยู่บำรุง" ลูกชายร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้เป็นเลขานุการรมว.สาธารณสุข ซึ่งแม้รายชื่อดังกล่าวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า " ขี้เหร่ " รวมทั้ง นายกฯสมัคร เองยังแสดงความไม่พอใจ แต่ผลสุดท้ายวัน อยู่บำรุง ก็สามารถเข้าทำงานในตำแหน่งดังกล่าวได้ในที่สุด เหตุที่กลุ่มการเมืองภายในพลังประชาชน ไม่สนองตอบต่อท่าทีและแนวทางของนายกฯสมัคร นั้นได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อครั้งแรกที่สมัคร มีชื่อถูกวางตัวให้เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค เนื่องจากกลุ่มก๊วนต่างๆมองว่าสมัคร ไม่มีบารมีมากพอและที่สำคัญไม่สามารถสร้างบรรยากาศที่เป็นบวกทางการเมืองได้ สำหรับกลุ่มก๊วนภายในพรรคพลังประชาชนนั้น ต้องถือว่าเป็นตัวละครเก่าหน้าแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มบุรีรัมย์ ของเนวิน ชิดชอบ กลุ่มอีสานก้าวหน้า ของสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ กลุ่มภาคเหนือของสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ -เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ กลุ่มกทม.ของคุณหญิงสุดารัตย์ เกยุราพันธุ์ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) กลุ่มบ้านจันทร์ส่องล้า ในฐานะสายตรงจากรุงลอนดอน ที่มีนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นตัวหลัก กลุ่มบุรีรัมย์ ซึ่งมีเนวิน ชิดชอบ เป็นแม่ทัพหลักนั้นถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีจำนวนส.ส.ในมือมากที่สุดทั้งที่ แกนนำกลุ่มอย่างเขาถูกคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญให้เว้นวรรคทางการเมืองเป็น เวลา 5 ปีนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางการเคลื่อนไหวของเนวิน แต่อย่างใด เพราะหลังการเลือกตั้ง 23 ธ.ค.2550 ปรากฏว่าเนวิน สามารถดึงส.ส.ในกลุ่มจากภาคอีสาน ได้กว่า 100 ที่นั่งซึ่งกลุ่มบุรีรัมย์นั้นมีความเหนียวแน่น และมีพลังต่อรองตำแหน่งสำคัญในพรรคค่อนข้างมาก โดยสามารถวัดได้จากจำนวนเก้าอี้ในครม. "สมัคร 1" ที่เด็กในกลุ่มเนวิน คว้าเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเกรดดีไปครองได้ถึง 4 เก้าอี้ ไม่ว่าจะเป็น ทรงศักดิ์ ทองศรี ซึ่งเนวิน ให้ความไว้วางใจเป็นแม่ทัพคุมการเลือกตั้งในอีสานแทน ก็ได้รับตำแหน่งรมช.คมนาคม ธีระชัย แสนแก้ว นั่งรมช.เกษตรและสหกรณ์ สุพล ฟองงาม เป็นรมช.มหาดไทย พงศกร อรรณนพพร รมช.ศึกษาธิการ คนเหล่านี้มาจากการส่งเข้าประกวดโดยเนวิน ทั้งสิ้น "อีสานก้าวหน้า" ยึดโควต้า "ประธานสภาฯ" และผลจากการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีภายในกลุ่มอีสานนั้นพบว่าบุคคลที่ ได้ดีล้วนแล้วแต่ใกล้ชิดกับเนวิน เท่านั้นจึงทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้นกับส.ส.อีสานจำนวนหนึ่ง ต่อมาส.ส.กลุ่มดังกล่าวได้แยกตัวออกไปตั้งกลุ่ม "อีสานก้าวหน้า" โดยมีสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นผู้ดูแล ซึ่งภายหลังกลุ่มบุรีรัมย์และกลุ่มอีสานก้าวหน้า ได้เปิดศึกชิงเก้าอี้ประธานสภาฯขึ้นอีกครั้ง โดยกลุ่มแรกพยายามผลักดัน ชัย ชิดชอบ ส่วนกลุ่มหลังผลักดัน ยงยุทธ ในที่สุดจึงต้องมีการเจรจาเพื่อยุติปัญหารอยร้าวภายในขึ้น ด้วยการเปิดทางให้ "ยุทธ ตู้เย็น" รับตำแหน่งประธานสภาฯ แต่เมื่อกกต.ได้มีคำตัดสินให้ใบเดงแก่ยงยุทธ คดีทุจริตการเลือกตั้งในจ.เชียงราย เมื่อวันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวจากกลุ่มอีสานก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง ด้วยการจองเก้าอี้ประธานสภาฯให้กับ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ รองประธานสภาฯคนที่ 1 ได้ก้าวขึ้นมาแทนที่ยงยุทธ ไปโดยปริยาย ไม่เพียงแต่กลุ่มเนวิน จะเกิดอาการงัดข้อกับกลุ่มอีสานก้าวภายในภาคอีสานด้วยกันเองเท่านั้น แต่ปรากฏที่ผ่านมา " เวบไซต์ ไฮทักษิณ" ได้เปิดฉากวิพากษ์ครอบครัว "อยู่บำรุง" ถึงความชอบธรรมที่เข้ารับตำแหน่งรมว.มหาดไทย ทั้งที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นั้นไม่ได้มีส่วนร่วมต่อสู้ทวงคืนอำนาจให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่กลับคว้าเก้าอี้มหาดไทย แถมยังผลักดันให้ลูกชาย "วัน อยู่บำรุง" นั่งเก้าอี้เลขานุการรมว.สาธารณสุข ทั้งที่ภาพลักษณ์ของลูกชายติดลบในสายตาคนในสังคมมาตลอด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร.ต.อ.เฉลิม ผ่านเวบไซต์ครั้งนี้ถูกมองว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเกมเครดิตคือเนวิน อันเนื่องมาจากความไม่พอใจการจัดสรรตำแหน่งโควต้าเลขานุการและที่ปรึกษา รัฐมนตรี ที่เด็กในกลุ่มกทม.ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำอีกคนหนึ่งที่มีชนักติดหลังเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 แต่สามารถผลักดันส.ส.กทม.ที่มีอยู่เพียงหยิบมือเข้าไปนั่งเป็นเลขานุการและ ที่ปรึกษารัฐมนตรี กระทรวงดีๆเช่นเดียวกับกรณีร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งกลุ่มนปก.และเนวิน ต่างมองว่าในวันที่พวกเขาต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรฯและอำนาจของคมช. อย่างรุนแรง แต่ทั้งคุณหญิงหน่อยและร.ต.อ.เฉลิม กลับไม่ได้เข้าร่วมขบวนมาตั้งแต่ต้น ทั้งนี้หากจับคู่ขั้วอำนาจภายในพรรคพลังประชาชน นั้นจะสามารถแยกได้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ที่กำลังเปิดศึกงัดข้อกัน คือกลุ่มบุรีรัมย์ ของเนวิน ที่ได้ "หมอเลี้ยบ" สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรค ให้การสนับสนุน และว่ากันว่าการใช้เครือข่ายเวบไซต์ไฮทักษิณ ตอบโต้ร.ต.อ.เฉลิม ครั้งนี้ยังได้รับความร่วมมือจากกลุ่มนปก. เอื้อเฟื้อเนวิน เป็นอย่างดี ขณะที่กลุ่มกทม.ของเจ๊หน่อย ที่มีส.ส.เพียง 9 ที่นั่งเท่านั้นและถูกครหาจากคนในพรรคด้วยกันมาโดยตลอดว่าเป็นเสมือนจุดบอด ในสนามเลือกตั้งของพรรค แต่ปรากฎว่าบรรดาเด็กในกลุ่มเจ๊หน่อย จะพยายามเล่นเกมและเคลื่อนไหวเพื่อสร้างราคาต่อรองมาโดยตลอด ตั้งแต่ยังไม่มีการเลือกตั้ง23 ธ.ค.2550 ขึ้น โดยเฉพาะเปิดศึกกับกลุ่มนปก. ก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากในการจัดโผผู้สมัครลงรับเลือกตั้งระบบสัดส่วนกลุ่มที่ 6 ของกทม.นั้น ปรากฏชื่อ "จตุพร พรหมพันธุ์-มานิต จิตจันทร์กลับ" เข้ามาแทรกคนของเจ๊หน่อย ตกโผ ซึ่งเหตุการณ์ในขณะนั้นส.ส.กทม.ได้รวมกลุ่มขอเจรจาแตกหักกับหัวหน้าพรรค ซึ่งเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้สมัครส.ส.สัดส่วน รอบนั้นมีเสียงแว่วมาจากในพรรคว่าเป็นฝีมือของเนวิน ที่ต้องการให้บำเหน็จแก่กลุ่มแนวร่วมนปก. ชี้ "ศึกใน" ไม่ทำให้พรรคแตก ความขัดแย้งภายในกลุ่มการเมืองในพรรคพลังประชาชนนั้น ต้องยอมรับว่าสามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากธรรมชาติของพรรคพลังประชาชนวันนี้ ย่อมไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเมื่อ5-6 ปีที่ผ่านมา ที่พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ยังคงเป็นบุคคลที่กุมอำนาจอยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด และบ่อยครั้งที่ปัญหาความไม่ลงรอยกันมีขึ้น ระหว่างกลุ่มก๊วน ก็จะมี "มือที่มองไม่เห็นนอกพรรค" เข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย พร้อมทั้งสั่งสงบศึกได้อย่างชงัด " ที่ผ่านมา เรารู้ว่า เราทุกคนเหนื่อยกันมากแค่ไหน กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ดังนั้นถ้าวันใดเรายอมให้เกิดปัญหาจนถึงขั้นแตกหักกันเอง ก็จะหมายความว่าเรากำลังฆ่ากันเอง คนที่พอใจที่สุดคือคนที่อยากเห็นเราถูกทำลาย" แกนนำพรรคพลังประชาชน กล่าวและยอมรับว่าการอยู่ร่วมกันภายในพรรคใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราประกอบไปด้วยกลุ่มการเมืองต่างๆ ซึ่งอาจเกิดปัญหาหรือกระทบกันบ้าง แต่ทั้งนี้ทุกคนในพรรคต้องมองถึงเป้าหมายรวม จุดหมายหลักเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม ถ้าภายในพรรคเกิดความขัดแย้งกันอย่างหนัก จนทำให้เกิดปัญหาบานปลาย กระทบต่อการทำงานของฝ่ายบริหาร ในครม. จะยิ่งทำให้ มือที่มองไม่เห็นนอกพรรคสามารถดำเนินการกับพรรคและรัฐบาลได้ง่ายมากขึ้น " ปัญหาต่างๆภายในพรรค เชื่อว่าถึงที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรแน่นอน มือที่มองไม่เห็นในพรรค ตามที่ฝ่ายค้านบอก ก็สามารถจัดการทุกอย่างได้อยู่แล้ว" ดังนั้น ทั้งศึกนอกและศึกในที่กำลังรุมเร้ารัฐบาลและพรรคพลังประชาชนอยู่ในขณะนี้ อาจกลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ "มือที่มองไม่เห็น" นอกพรรค ดำเนินการให้รัฐบาล "สมัคร 1" หมดวาระได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะหาก "ศึกใน"ที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มการเมืองภายในปะทะกันอย่างรุนแรง จนถึงขั้นลุกลามขยายข้อมูลไปให้ฝ่ายตรงข้าม เพื่อดิสเครดิตพวกเดียวกันเอง... **************** โหรฟันธงรัฐบาลสมัครอายุสั้น ดวงทักษิณเป็นอริกับดวงเมือง! 3 นายกสมาคมโหรฟันธงรัฐบาล "สมัคร"อายุสั้นแค่ 2 ปี ชี้ปลายเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2551 จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ขณะที่โหรภิญโญฟันธงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าร้ายแรงขนาดยุบสภา ส่วนนายกสมาคมโหราจารย์ ระบุ เดือน เม.ย-พค.51 "สมัคร"ต้องเผชิญวิกฤตการเมืองอย่างหนัก แถมดวง "ทักษิณ" ยังเป็นอริกับดวงเมืองและดวงสมัครในเวลาเดียวกัน การเมืองกับโหราศาสตร์ เป็นเรื่องที่นำ "ตัวเลขแห่งกาลเวลา" มาทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า หรือพยากรณ์เรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัยการเดินทางของดวงดาว ในหลักวิชาโหราศาสตร์เป็นเกณฑ์ตัดสิน ยิ่งกับเหตุการณ์บ้านเมืองหลังการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของนายสมัคร สุนทรเวช ซึ่งถูกมองว่าเป็น "นอมินี"ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่เริ่มส่อเค้าลางแห่งความวุ่นวายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆดังนั้นเราลองมาดูความ เคลื่อนไหวทางการเมืองตามหลักโหราศาสตร์ดูว่ารัฐนาวาของสมัคร สุนทรเวช จะอยู่บริหารประเทศได้ครบเทอมหรือไม่!? | |||||
ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ บอกว่ารัฐบาลชุดนี้จะต้องทำงานอย่างหนัก และอาจจะอยู่ไม่ครบเทอมบริหาร เพราะดวงเมืองทำนายจากตัวเลขตามหลักโหราศาสตร์ จะพบว่า ช่วงปี 2550 กำลังข้ามสู่ปี 2551 การโคจรของดวงดาว ส่งผลกระทบในด้านดีและไม่ดีควบคู่กันมาตลอด จะเห็นได้ว่า มีเรื่องวุ่นวายในบ้านเมืองมาตลอด กรุงรัตนโกสินทร์ ที่วางพระฤกษ์เสาหลักเมือง วันที่ 21 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น. ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จุลศักราช 1144 ปัจจุบันกรุงเทพมหานคร มีอายุ 225 ปี การโคจรของดวงดาวทั้งหลายในช่วงตลอดปีที่ผ่านมาอาจารย์ภิญโญ อธิบายว่า ส่งผลกระทบในด้านดีและด้านลบควบคู่กันมาตลอด อย่างเช่นดาวพฤหัสบดีในช่วงปีที่ผ่านมาโคจรอยู่ในเรือนมรณะของดวงเมือง ซึ่งเป็นเรือนแห่งการจาก การตาย การแปรสภาพหรือการหยุดชะงัก แล้วสิ่งใดบ้างที่หยุดชะงักหรือแปรสภาพไป? ต้องมาวิเคราะห์ความหมายของดวงดาว ภิญโญ บอกว่า ปัจจุบันดาวพฤหัสบดี โคจรย้ายจากภพมรณะของดวงเมืองเข้าสู่ราศีพิจิก ถือว่าเป็นภพ 'ศุภะ' เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นมา ตามหลักทางโหราศาสตร์ถือว่า ภพศุภะเป็นภพที่ส่งผลดีกับดวงชะตา มีความหมายถึงความดี ความสงบสุข ความร่มเย็น ฉะนั้น สิ่งใดที่เคยไม่ดีมาก่อนก็จะเปลี่ยนเป็นดีขึ้น และสิ่งที่ดีก็ย่อมเป็นไปตามความหมายของประธานดาวศุภเคราะห์องค์นี้ คือ การมีพิธีสำคัญทางศาสนา การฟื้นฟูพิธีสำคัญ การพัฒนากฎหมาย กิจการการศึกษา กิจการของพระศาสนา และโรงพยาบาลต่างๆ รวมไปถึงกิจการอสังหาริมทรัพย์ กิจการเกี่ยวกับการเดินทางระหว่างประเทศ การเดินเรือ การสื่อสาร โทรศัพท์ จะได้รับผลดีไปด้วย "แต่ความดีที่เกิดขึ้น จะเป็นไปในลักษณะฉาบฉวย" ดาวพฤหัสโคจรเข้าสู่ศุภราศีเกษตร จะมีความมั่นคงและมีความสันติสุข มีพิธีการทางศาสนาสำคัญๆ เกิดขึ้น การศึกษามีการพัฒนาขั้นสูง การท่องเที่ยวจะดีขึ้น การติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศจะดีขึ้น แต่การดีนั้นจะเป็นแบบชนิดรีบเร่งแบบวิปริต ช่วงวันที่ 21 เม.ย. 51 ถึง 25 มิ.ย. 51 หลังจัดตั้งรัฐบาลแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้น อาจมีการปรับ ครม. และหลังวันที่ 4 ธ.ค. 51 ดาวพฤหัสจะโคจรสวนทางกับราหูในราศีมังกรในวันที่ 5 ก.พ. 52 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เช่น การยุบสภา นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าพิจารณาเพิ่มเติมคือในปี 51 คือการเกิดคราส 4 ครั้ง ครั้งแรกเกิดในราศีมังกร เกิดสุริยคราสในวันที่ 7 ก.พ. 51 ครั้งที่ 2 เกิดวันที่ 21 ก.พ. 51 เวลา 10.32 น. ราศีสิงห์ ครั้งที่ 3 สำคัญมาก คือเกิดวันที่ 1 ส.ค. 51 เวลา 17.14 น. แนวคราสจะพาดผ่านพระจันทร์ ดวงเมืองจะเกิดการสูญเสีย เกิดความเศร้าสลดครั้งใหญ่ในบ้านเมือง และครั้งสุดท้ายจันทรุปราคาเกิดวันที่ 21 ส.ค.51 | |||||
ด้านอาจารย์สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน) นายกสมาคมโหราจารย์ บอกว่า อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ลัคนาสถิตราศีกันย์ เป็นอริแก่ดวงเมืองในขณะที่ สมัคร สุนทรเวช นายกคนปัจจุบัน ลัคนาสถิตราศีเมษ ราศีเดียวกับดวงเมืองจึงเท่ากับว่าโดยพื้นเพเดิมแล้ว ดวงของอดีตนายกทักษิณ เป็นอริกับดวงนายกสมัคร ดังนั้นดวงอดีตนายกทักษิณ ก็ตกอยู่ในตำแหน่งอริกับดวงเมืองด้วยโดยไม่ตั้งใจ "ที่ผมต้องเอาลัคนาของแต่ละท่านมาเทียบเคียงเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้ เห็นว่าที่คุณสมัคร กับคุณทักษิณ เหมือนเสือกับสิงห์การจะอยู่กันอย่างสันติ สุขสงบไม่น่าจะเป็นไปได้" อย่างไรก็ตามการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดกลับบ้านเกิดเมืองนอนเร็วขึ้นเพราะตามวันเวลาที่ควร ต้องราวเดือนมีนา-เมษา 51 เพราะในช่วงนั้นดาวอาทิตย์ ๑ จรเข้าเล็งลัคน์ทักษิณในราศีกันย์ การเดินทางกลับบ้านเกิดจึงจะเกิดขึ้น ยิ่งพอหลังจากวันเกิดคือวันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2551 (ท่านเกิดวันพุธตามหลักโหราศาสตร์) ดวงของนายกสมัคร ดาวบริวารเดิมจะเป็นกาลีจรนั่นคือต้องปวดหัวกับลูกน้อง ทั้งเก่าและใหม่ไม่เว้น ถึงตอนนั้นแม้ "มือที่มองไม่เห็น" และ"มือที่มองเห็น" ไม่เข้ามากระหน่ำซ้ำเติม ก็คงยืนให้ตัวตรงได้ยาก นอกจากนี้ในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่อาทิตย์ทับลัค นายกฯสมัครจะเผชิญวิกฤตการด้านการเมืองอย่างหนัก น่าเป็นห่วงว่า ถ้านายกสมัคร ต้องรับศึกหนักทั้งนอกและใน การงานก็คงต้อง สะดุดหรือไม่ก็สโลว์ดาวน์ ไม่อาจจะบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ซึ่งก็น่าเสียดายโครงการดี ๆ เช่นการผันน้ำให้กับคนอีสาน การสร้างรถไฟฟ้า ฯลฯ ยิ่งถ้าเมื่อสถานการณ์บีบหนักหลายด้าน ด้านหนึ่งการไม่ลงตัวกันกับ "มือที่มองเห็น"เพราะลัคนาเป็นอริมรณะแก่กันกับอีกด้านหนึ่ง ม็อบคนรักทักษิณ คนเกลียดทักษิณ ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก แถมบริวารที่เป็นกาลี มาผนวกกันหลายด้าน "ผมเชื่อว่าในราวเดือนตุลาคม 2551 อาจจะมีการยุบสภาหรือไม่เช่นนั้นจะมีการกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่ง ด้วยการปรับทีมงานรัฐมนตรี เป็นสมัคร 2 หรือยุบสภาเลือกตั้งกันใหม่ย่อมมีทางเป็นไปได้สูงและเมื่อดวงของท่านนายก สมัครคับขัน ดวงเมืองก็จะคับขันตาม" | |||||
ด้านอาจารย์ธนกร สินเกษมนายกสมาคมโหรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ บอกว่า สมัครได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะดาวการเมืองคือดาวอาทิตย์เป็นศรีได้ตำแหน่ง อุจจาภิมุข และดาวเดชซึ่งเป็นดาวแห่งอำนาจวาสนาบารมีคือดาวศุกร์ได้ตำแหน่งราชาโชคเล็ง ลัคนาก็เปรียบเหมือนบุญหล่นทับและดาวอังคารเป็นอุตสาหะได้ตำแหน่งมหาจักร ตรีโกณกับลัคนาอันหมายถึงการสู้ไม่ถอยจนได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ในช่วงปัจจุบันนี้ดวงนายกฯสมัครลัคนาอยู่เรือนกาลีทำให้มีเรื่อง ทุกข์ร้อนใจเข้ามากระทบตลอดเวลาแต่ก็ผ่านพ้นไปได้เพราะดาวเดชยังเล็งลัคน์ อยู่และนายกฯสมัครจะต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา "สิ่งที่ต้องระวังคือสุขภาพถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อและอาจมีคนลอบปอง ร้ายได้และลูกน้องบริวารจะสร้างปัญหาให้ต้องปวดหัวอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ยัง บริหารประเทศต่อไปได้" อาจารย์ธนกร อธิบายต่อไปว่า นับตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2551 ดาวพฤหัสฯจะโคจรมาเป็นกาลีทับลัคนาช่วงนั้นนายกฯสมัครจะมีปัญหามากกับลูก น้องในพรรครวมทั้งมีปัญหามากกับพรรคร่วมรัฐบาลในการกุมเสียงในสภาและต้องคอย ดูแลสุขภาพที่เริ่มทรุดโทรมในขณะเดียวกันตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2552 คุณสมัครจะบริหารประเทศได้อย่างยากลำบากและอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองเกิดขึ้น ************** 6 เดือนฟื้นศก.ยังงมโข่ง.! 'คลัง-พาณิชย์' เกาไม่ถูกที่คัน- หวั่นการเมืองซ้ำเติม " สภาอุตฯ-หอการค้า" ประสานเสียงราคาสินค้าแพงแก้ไม่ได้เหตุผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนเพิ่ม คาดตรึงราคาสินค้าได้แค่อีก 3 เดือนก่อนขยับอีกรอบ ขณะที่มาตรการลดภาษีเป็นของดีแต่ต้องคำนึงถึงรายได้ภาครัฐที่เสียไปและ กระตุ้นผู้บริโภคภายในพร้อมๆกันไป แนะส่งเสริม"ลงทุน-ส่งออก" ที่ยังไปได้สวย ทั้งอย่าลังเลเดินหน้าคลอดเมกะโปรเจกต์ ขณะที่นักวิชาการเสนอเตรียมรับมือปัญหาทั้งใน-นอกฉุดศก.ไทยไม่กระเตื้อง ก็ผ่านไปแล้วสำหรับการแถลงนโยบายของ "รัฐบาลสมัคร1" บรรยากาศการอภิปรายก็พอหอมปากหอมคอทั้งฝากรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งต่อไปนี้ก็ต้องใส่เกียร์ห้าเดินหน้าทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ตก สะเก็ดมาตั้งแต่ยุคขิงแก่ แต่จนถึงขณะนี้ทั้งคีย์แมนเบอร์ 1 อย่าง "นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี" รองนายกฯควบรมว.คลังและเบอร์ 2 อย่าง "เจ๊มิ่ง-มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ" รองนายกฯควบรมว.พาณิชย์ยังคลำเป้าไม่เจอเพราะปัญหาการเมืองที่ถาโถมทั้ง ปัญหามุ้งในพรรคก็แหลมคมขึ้นทุกวันทำให้ความหวังจะฟื้นเศรษฐกิจภายใน 3-6 เดือนนั้นคงจะยากเต็มที สินค้าแพงปัญหาแก้ไม่ตก.! ปัญหาอย่างแรกและเร่งด่วนคงจะหนีไม่พ้นเรื่องสินค้าราคาแพงที่ กระทรวงพาณิชย์สั่งคุมเข้มห้ามขายเกินราคาแต่ยังไม่สามารถลดราคาลงมาได้ ทำได้เพียงแค่ตรึงราคาให้อยู่ในระดับที่สามารถซื้อหาได้เท่านั้นและล่าสุด แม้ว่ารมว.พาณิชย์จะนัดผู้ประกอบการในกลุ่มสภาอุตสาหกรรมทั้ง 39 กลุ่มหารือในวันที่ 6 มี.ค.นี้แต่ก็มีเสียงยืนยันแล้วว่า ราคาข้าวของแพงเพราะต้นทุนเรื่องน้ำมัน ค่าขนส่ง และวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาจึงขยับสูงขึ้นตามไปด้วย "รมว.พาณิชย์เชิญหารือเรื่องลดราคาสินค้าแต่ที่กลุ่มอุตสาหกรรมฯจะไป คุยเรื่องขึ้นราคาสินค้าเพราะไม่สามารถตรึงราคาได้อีกแล้ว" สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรม ระบุและว่าการตรึงราคาอย่างมากจะไม่เกิน 3 เดือนนับจากนี้ผู้ประกอบการก็จะขอขึ้นราคาสินค้าอีกเพราะไม่สามารถแบกรับต้น ทุนการผลิตที่สูงขึ้นได้ นอกจากนี้การควบคุมราคาสินค้าของกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่สามารถทำให้จริง เพราะการดูแลของเจ้าหน้าที่ไม่ทั่วถึงแค่ราคาผัก ผลไม้ในตลาดก็ยังไม่สามารถควบคุมราคาได้เพราะราคาสินค้าขึ้น-ลงตามราคาค่าขน ส่งที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็พยายามตรึงราคาสินค้าช่วยรัฐบาลอยู่แล้วในสินค้าจำ เป็นจำพวก สบู่ ยาสีฟัน แชมพู ซึ่งในแต่ละห้างสรรพสินค้าจะมีมุมประหยัดขึ้นมาโดยมุมดังกล่าวจะเป็นการนำ สินค้าจำเป็นมาบรรจุหีบห่อใหม่ ไม่เน้นสวยงาม ทั้งจำนวนปริมาณละลดลงแต่คุณภาพยังเหมือนเดิมเพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อได้ ในราคาที่ต้องการ คาด 6 เดือนยังไร้ผลงาน ด้านหอการค้าไทยต้องการให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาด้วยความเป็นธรรม เพราะหากผู้ประกอบการได้มีความพยายามในการลดต้นทุนแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้า เพื่อให้คุ้มทุน ก็ต้องให้ปรับขึ้นราคาได้ แต่ถ้าต้องการให้มีการตรึงราคาต่อเพื่อเหตุผลทางการเมือง หรือช่วยเหลือค่าครองชีพให้กับประชาชนก็ต้องมาคุยกันและจำเป็นต้องมีมาตรการ ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ "6 เดือนนับจากนี้เชื่อว่ารัฐบาลสมัคร1 ยังจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้แม้จะมีการลดภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชนก็ตาม ทั้งโครงการเมกะโปรเจกต์ก็อยู่ระหว่างรอความชัดเจน แต่ปัญหาใหญ่ที่กว่านั้นคือการประกาศเดินขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งจะซ้ำ เติมเศรษฐกิจเข้าไปอีก" ประธาน ส.อ.ท. กล่าวยืนยัน แนะกระตุ้นบริโภคมากกว่าลดภาษี ส่วนมาตรการทางภาษี 11 มาตรการที่กระทรวงการคลังจะประกาศอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้าคือการเพิ่ม เงินในกระเป๋าแก่ประชาชนอาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อเดือนจาก 16,000 บาทต่อเดือน การช่วยเหลือผู้ที่มีบุตรหรือบิดา-มารดาทุพพลภาพ โดยจะอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้เพิ่มจาก 60,000 บาท เป็น 90,000 บาท การคงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ร้อยละ 7 ต่อปีไปอีก 2 ปี ซึ่งมาตรการเหล่านี้ถือว่าเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมาตรการระยะสั้นเป็นการ ปฏิบัติตามนโยบายที่เคยได้หาเสียงไว้ โดยการนำมาตรการทางภาษีมาใช้จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน และยังช่วยส่งเสริมการออม ส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน รวมทั้งยังช่วยให้มีผู้เข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น แต่ทั้งนี้รัฐบาลควรคำนึงถึงรายได้ที่ขาดหายไปด้วยว่าจะเพียงพอต่อการใช้ จ่ายของรัฐหรือไม่ เพราะนโยบายดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลต้องพิจารณาปรับลดงบประมาณแต่ก็คงไม่มาก และเห็นว่าการกระตุ้นการบริโภคเป็นสิ่งที่รัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญมากกว่า ขณะเดียวรัฐบาลพิจารณามาตรการด้านภาษีกับนิติบุคคลที่ไม่ได้จด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และไม่ใช่กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีด้วย เพื่อให้มีบริษัทนิติบุคคลในระบบภาษีมากขึ้น รวมถึงการลดหย่อนในเงินบริจาคแก่สถานศึกษา ที่เคยเสนอไปแล้วก่อนหน้านี้ ทั้งต้องมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีโดยยกเว้นการเก็บภาษีสำหรับราย ได้ 150,000 บาทแรกเป็นต้น ส่งออก-ลงทุนยังไปได้สวย ส่วนเรื่องการส่งออกมองว่าจะยังไปได้ดีเพราะผู้ส่งออกได้ปรับตัวและ ขยายตลาดใหม่ๆขึ้นมาทดแทนตลาดสหรัฐฯที่กำลังซื้อลดลงทำให้ยอดส่งออกกระจายไป ตามทวีปต่างๆทำให้ออเดอร์สั่งสินค้ายังเป็นไปตามปกติขณะที่ปัญหาซับไพร์มก็ ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจจะฉุดการส่งออกของไทยได้ ขณะที่การลงทุนนั้นเป็นที่ทราบดีแล้วว่ายังมีโครงการต่างๆมูลค่าหลาย แสนล้าน อาทิ เรื่อง ปิโตรเคมี อีโคคาร์ ที่อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งแนวโน้มการลงทุนน่าจะไปได้ดี แต่อย่างไรก็ดีนักลงทุนทั่วประเทศที่ยังไม่มีการขอ BOI มีมากว่า 1 แสนรายทั่วประเทศหากรัฐบาลสร้างความมั่นใจนักธุรกิจเหล่านี้ก็จะขยายกิจการ ขยายการลงทุนเพิ่มเติม จะทำให้เกิดการลงทุนทั่วประเทศมูลค่าจะมหาศาลมากกว่าตัวเลขที่ขอจาก BOI เสียอีก ด้านสภาหอการค้าไทยยังห่วงเรื่องมาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ทำให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสีย และยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนระยะยาวในไทย การที่นักลงทุนชะลอการลงทุนในไทยน่าจะเป็นเพราะปัญหาการเมืองภายในไม่สงบ มากกว่า และที่ผ่านมาก็มีการผ่อนปรนมาตรการมาแล้วหลายครั้งจนแทบจะไม่มีการบังคับเลย ยกเว้นเงินทุนที่เข้ามาระยะสั้น และไม่มีที่มาที่ไปเท่านั้น โดยหอการค้าไทยเชื่อว่ามาตรการกันสำรอง 30% ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน หรือดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ดูอย่างประเทศที่นักลงทุนสนใจทั้งจีน เวียดนาม ต่างมีมาตรการเข้มงวดกว่าไทย แต่เขาก็ไปลงทุนเพราะเขาสนใจที่จะลงทุนเขามั่นใจในรัฐบาล เขาก็ไปลงทุน หอฯชี้ กันสำรอง 30% ยังจำเป็น.! แม้มาตรการกันสำรอง 30% ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่ถ้าต้องการยกเลิกเพื่อผลทางจิตวิทยาเราไม่คัดค้าน แต่เมื่อเลิกมาตรกันสำรอง 30% แล้วรัฐบาลต้องมีมาตรการรองรับถ้าเงินบาทแข็งจาก 33 ไป 30 บาท/เหรียญสหรัฐมีมาตรการอะไรรองรับ เพราะเรามีมาตรการรับมือไม่มากต้องพิจารณาให้ชัดเจน "ถ้าจะยกเลิกเพราะถ้าคุมไม่ดีจะกระทบต่อการส่งออกจะมีคนตกงานอีกเยอะ ผู้ประกอบการต้องปิดกิจการและมีผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวม" ประมนต์ สุธีวงส์ ประธานสภาหอการค้าระบุ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ "รศ.ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์" รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจที่ได้แนะนำถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขต่อปัญหา เศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องเร่งดินเนินการ ว่าปัญหาที่รัฐบาลควรต้องหันกลับมามองหลังจากที่ให้ความสนใจไปยังปัญหาทาง การเมืองคือ ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในภาวะ ชะลอตัวอย่างมาก เนื่องจากตลาดอเมริกาเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงมากในตลาดโลก ซ้ำยังเป็นตลาดส่งออกหลักที่สำคัญของไทย สำหรับในส่วนของวิกฤตซับไพรม์นั้นจะส่งผลกระทบถึงสถาบันการเงินและอา จะทำให้ทยอยปิดตัวจนทำให้ตลาดเงินประสบปัญหาได้ซึ่งผลพวงที่จะตามมาจากภาวะ เศรษฐกิจที่ถดถอยของสหรัฐอเมริกานั้น จะทำให้ภาคการผลิตและส่งออกของประเทศชะลอ และนำไปสู่ภาวะชะงักงันของตลาดจ้างงาน เนื่องจากกำลังซื้อที่ลดลงทั้งใน-นอกประเทศ รวมถึงตลาดส่งออกที่คาดว่าจะประสบปัญหาอย่างทั้งนี้ระดับความรุนแรงจำเป็น ต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆอาทิ ราคาน้ำมัน ค่าเงิน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม รองประธานฯ ยังเสนอถึงแนวทางเร่งด่วนที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเป็นอันดับแรก ก็คือ 1.การฟื้นความเชื่อมั่นภาคเศรษฐกิจ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องมีแนวโนยบายที่รวดเร็วที่สำคัญจะต้อง ขจัดความสับสนให้ได้ อาทิ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว มาตรการกันสำรอง 30% ฯลฯ เป็นต้น "นโยบายทางการเงินต่างๆของภาครัฐจำเป็นจะต้องมีความรวดเร็ว แน่นอน ไม่ก่อให้เกิดความสับสนเป็นสำคัญ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจึงจะกลับมาได้" แนะจับตาอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนมาตรการที่2.คือการเตรียมการรับมือเศรษฐกิจที่ผันผวน ด้วยการผลักดันขับเคลื่อนภาคธุรกิจภายในประเทศให้สามารถขับเคลื่อนไปได้ พร้อมกับต้องระมัดระวัง ในเรื่องของกำลังซื้อที่อาจจะลดลง ค่าเงินบาทที่ผันผวน ตลอดจนการเคลื่อนไหวของเงินทุน การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ฯลฯเป็นต้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการวางนโยบายต่อไป ซึ่งการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ควรให้ความสำคัญต่อการบริหาร มากกว่าการที่จะวางเป้าหมายหรือกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสมกับตลาดโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังต้องเร่งสร้างความสมดุลในภาคเศรษฐกิจระหว่างใน-นอกประเทศ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเพิ่มกำลังของภาคการลงทุนและกำลังซื้อ ซึ่งควรจะต้องสร้างสมดุลให้ได้หลังจากที่เน้นในภาคการส่งออกที่มากเกินไป รวมถึงนโยบายด้านพลังงานที่ควรพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น เดินหน้าก่อสร้างรถไฟฟ้าทันที.! ส่วนมาตรการที่3.เร่งฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจมีความชะลอตัวอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาจากปัญหาทางการเมือง ด้วยการเร่งประมูลโครงการรถไฟฟ้าให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด การประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่(IPP) รวมถึงการอนุมัติโครงการลงทุนภาคเอกชนของบีโอไอ กว่า 15 โครงการ ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเม็กเงินในการลงทุนได้กว่า 3-4 แสนล้านบาท ตลอดจนโครงการรถไฟรางคู่ ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และ ระบบโลจิสติกส์ ตอนนี้รัฐบาลไม่ควรที่จะรีรออะไรแล้วเนื่องจากโครงการต่างมีความพร้อมหมด แล้ว ทั้งเส้นทางรถไฟฟ้า รัฐบาลควรตัดสินใจทันที อย่างช้าที่สุดไม่ควรเกิน 6 เดือนจึงจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และสุดท้ายมาตรการ4.การเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจพื้นฐานโดยเฉพาะปัญหา ความยากจน หนี้สินเกษตรกรการศึกษาฯลฯและปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ mgr online |
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]
<< หน้าแรก