เพื่อชีวิต..ใคร???

วันจันทร์, พฤษภาคม 30, 2548

ซอฟต์แวร์เสรี กับ ดร.ริชาร์ด สตอลล์แมน

เขียนโดย มะระ ผมคิดว่าผู้อ่านที่ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กันในแบบเกาะติดจริง จังเท่านั้น ที่อาจจะพอนึกออกหรือรู้จักว่า ริชาร์ด สตอลล์แมน เป็นใคร แม้กระทั่งตัวผู้ร่วมพูดคุยกับตัวสตอลล์แมนเองในครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าเพิ ่งเคยจะได้ยินชื่อของเขา พร้อมกับแนวคิดที่เรียกได้ว่างดงาม แลดูกบฏอยู่ในที มาได้เป็นเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้นเอง


Richard Stallman

หนังสือ "ล่าแฮกเกอร์ป่วนโลก” ที่ผมได้รับมาจากเพื่อนคนหนึ่งนั้น ดูจากชื่อก็คงจะพอบอกได้ว่าเป็นเรื่องราวการติดตามสอบสวนการเจาะระบบเครือข่ ายอินเทอร์เน็ตที่ตื่นเต้นน่าติดตามทีเดียว เหตุการณ์ตามหนังสือเป็นเหตุการณ์จริง แม้ว่าจะต้องปิดบังชื่อผู้กระทำผิดบางคนไว้ด้วยการเรียกชื่ออื่น แต่ก็ยังคงมีชื่อสถานที่เละบุคคลอีกส่วนหนึ่งที่เป็นชื่อจริง นับว่าเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือและความสมจริง เพียงแค่บทที่สาม ชื่อของ Free Software Foundation หรือที่ผมตั้งชื่อให้เองว่า สำนักซอฟต์แวร์เสรี ซึ่งตั้งอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซ็ตต์ กับชื่อของริชาร์ด สตอลล์แมน ก็โดดเด่นออกมาในชื่อฐานะผู้ก่อตั้งสำนักที่คัดค้านหัวชนฝาที่จะให้มีการใช้ ระบบจัดการความปลอดภัย ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสำนัก ด้วยการให้มีการขอใช้รหัสผ่าน เนื่องจากการรบกวนของ "แครกเกอร์” (Cracker) ที่เข้ามาลบโปรแกรมและใช้เป็นทางผ่านเพื่อเจาะเข้าไปยังระบบเครือข่ายอื่นๆ ไม่ใช่สตอลล์แมนจะสนับสนุนพฤติกรรมการเจาะเข้าไปทำลายเครือข่ายของพวกแครกเก อร์แต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะว่า เขาไม่อยากจะใช้กฏเกณฑ์ "ตัดสิน” ใคร ทำให้เมื่อเสียงข้างมากของสำนัก ตัดสินใจให้ผู้ที่จะเข้าใช้เครือข่ายจากภายนอกต้องขอ "รหัสผ่าน” เพื่อเข้าใช้ เขาถึงกับตัดสิทธิ์ตนเองโดยการไม่ขอรหัสผ่านเข้าใช้ นั่นเท่ากับทำให้ริชาร์ด สตอลล์แมน เข้าใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้งและมีตำแหน่งเป็นถึงประธ านกรรมการไปโดยปริยาย
ความมั่นคงต่อความคิดของตนเองของริชาร์ด สตอลล์แมน ที่ถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ ทำให้เขาเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ผมจำได้จากหนังสือเล่มนั้น และเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง ข่าวคราวการเดินทางมาบรรยายทางวิชาการของริชาร์ด สตอลล์แมน ก็ถูกจัดให้มีขึ้นในเมืองไทย อีกทั้งยังได้มีการจัดให้มีการพบปะพูดคุยเป็นรอบพิเศษสำหรับสื่อมวลชนอีกด้ว ย เรื่องน่าสนใจเช่นนี้ทำให้ผมไม่รีรอที่จะตอบตกลง การพูดคุยเกิดขึ้นหลังจากวันที่สตอลล์แมนได้ไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาส ตร์ และเป็นการพูดคุยในรูปแบบที่ "ไม่เป็นทางการ” อย่างที่สุด โดยเน้นการพูดคุยไปที่ความหมายของ ซอฟต์แวร์เสรีหรือ Free Software ที่ตัวของเขาเองเป็นต้นแบบความคิด และผมก็พบว่านอกจากความมั่นคงทางด้านแนวคิดที่จะไม่ "ตัดสิน” ผู้อื่นด้วยมาตรฐานของตนเองแล้ว ความคิดเสรีเรื่องซอฟต์แวร์เสรี ของ ริชาร์ด สตอลล์แมน ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันทีเดียว

ริชาร์ด สตอลล์แมน คือ ...? (ภาคต้น)
ก่อนที่จะได้พูดคุยกับริชาร์ด สตอลล์แมน ตัวจริง เราได้มีโอกาสเข้าไปสำรวจตรวจดูประวัติของเขา ที่ www.stallman.org ทำให้ได้ทราบว่า ริชาร์ด สตอลล์แมน ถือกำเนิดที่ แมนฮัตตัน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2496 ก่อนที่จะมาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีทางด้านฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อปี พ.ศ. 2517 ในระหว่างที่เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่นั้น เขาได้เข้าไปเป็นอาสาสมัครใน ห้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Inteligence Lab.) ของ สถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซ็ตต์ (MIT) ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน ทำให้เมื่อเขาจบการศึกษาออกมาแล้ว เขาจึงได้เข้ามาทำงานใน MIT ใน ฐานะโปรแกรมเมอร์ (แทนที่จะไปเป็นนักฟิสิกส์)
ชีวิตการทำงานของริชาร์ด สตอลล์แมน เริ่มด้วยการเป็นโปรแกรมเมอร์และแฮกเกอร์ (ผู้ที่ท่องไปในระบบเครือข่ายแต่มิได้ทำลายระบบนั้นๆ ที่พวกเขาหาหนทางเจาะเข้าไปได้ มิหนำซ้ำยังส่งรายละเอียดข้อบกพร่องไปยังเจ้าของระบบนั้นๆ อีกด้วย) ช่วยให้เขาได้พัฒนาการเขียนระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์ อีกทั้งซอฟต์แวร์ใช้งานขึ้นมากมายซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นระบบปฏิบัติการและซอฟต ์แวร์ที่มีลักษณะซอฟต์แวร์เสรีทั้งสิ้น นับตั้งแต่เมื่อเขาจบการศึกษามาได้เพียงหนึ่งปี ระบบปฏิบัติการ GNU (อ่านว่า กะ-นู) อันเป็น "ระบบปฏิบัติการเสรี” ก็ได้เริ่มเกิดขึ้นซึ่งทำให้เขาต้องถอนตัวออกจาก MIT และตั้งสำนักซอฟต์แวร์เสรีขึ้นในปี พ.ศ. 2527 ต่อมาระบบปฏิบัติการนี้ก็สำเร็จออกมาใช้ เมื่อสิบปีที่ผ่านมา ในชื่อของระบบปฏิบัติการ GNU/Linux (เป็นที่น่าเสียดายว่าทุกๆคนมักจะรู้จักกันแต่ในชื่อ Linux)
บางคนอาจจะสงสัยว่า เหตุใดผมจึงตั้งชื่อเรื่องว่า ”คุยเรื่องซอฟต์แวร์เสรี กับ ดร.ริชาร์ด สตอลล์แมน” ทั้งๆที่เขาจบการศึกษาเพียงปริญญาตรี นั่นเป็นเพราะว่าเราเรียกเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่การได้รับปริญญาดุษฎีบัณ ฑิตกิติมศักดิ์ จากราชวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งสวีเดน ซึ่งสตอลล์แมนได้รับมาเมื่อ พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายรางวัลเกียรติยศอื่นๆ ที่เขาได้รับ เช่น ปี 2533 เขาได้รับรางวัล ”บุคคลอัจฉริยะ” จากมูลนิธิ แมคอาเธอร์ ปี 2534 รับรางวัล เกรซฮอบเปอร์ จากสมาคมคอมพิวเตอร์ในอเมริกา รางวัลทางด้านการค้นคว้าสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ จากมูลนิธิความก้าวหน้าทางอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับ ลินัส ทอร์วาลด์ ในปี 2541 เป็นต้น
ปัจจุบัน ริชาร์ดสตอลล์แมน อายุ 48 ปี เป็นชายผิวขาว ร่างใหญ่ ผมยาว หนวดเครายาว พูดภาษาอังกฤษด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน มีดวงตาที่สดใสและจะแจ่มใสมากขึ้นเมื่อกล่าวถึงเสรีภาพของซอฟต์แวร์ และยังเป็นคนที่ไม่นิยมการใส่สูทและผูกเน็คไทอยู่เช่นเดิม
บ่ายวันที่ริชาร์ด สตอลล์แมน นั่งลงคุยกับเราเขามาในชุดเสื้อยืดสีแดง กางเกงขาสั้นพร้อมขลุ่ยเรคคอร์เดอร์ในมือ อีกหนึ่งเลาเท่านั้น

จุดเริ่มต้นของซอฟต์แวร์เสรี-Free Software
" ไอเดียของซอฟต์แวร์เสรีคือ เรื่องของอิสระภาพและความร่วมมือกันของกลุ่มคน นั่นคืออิสระที่ผู้ใช้จะได้อิสระในการใช้งานซอฟต์แวร์ ศึกษาดูว่ามันทำงานอย่างไร ปรับเปลี่ยนมันได้ แล้วก็จำหน่ายจ่ายแจกรูปแบบของซอฟต์แวร์ที่เขาเปลี่ยนแปลงแล้วนั้นได้ด้วย โดยแบ่งปันกันได้ในกลุ่มผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วยกัน อันนี้ไม่ใช่แค่เพื่อความสะดวกสะบาย แต่สามารถใช้เป็นหลักการทั่วไปที่ทุกผู้ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ต้องได้รับอน ุญาตให้ทำสิ่งนี้ได้ การที่คุณจะให้สิทธิกับใครอีกหลายคนคุณต้องทำได้ ในฐานะที่คุณเป็นมนุษย์คนหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิด ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ใช่มนุษย์ แต่คุณอยู่ในสังคมของ "ผู้ใช้" คอมพิวเตอร์ คุณก็ควรจะได้รับอิสระตรงนี้ด้วย”
"ให้คุณคิดถึงกระบวนการซอฟต์แวร์เสรีนี้เหมือนกับสูตรอาหาร พวกคุณทำครัวกันบ้างไหม? คุณเคยได้รับสูตรอาหารจากเพื่อนบ้างรึเปล่า? คุณเคยลอกสูตรอาหารแจกให้กับเพื่อนรึเปล่า? คุณเคยเปลี่ยนสูตรอาหารที่ได้มาเพราะทำแล้วไม่ถูกปากคุณหรือไม่? เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นว่า คุณได้สูตรอาหารมา คุณทดลองเปลี่ยนแปลงสูตรให้เป็นแบบของคุณ คุณลงมือทำอาหารตามสูตรใหม่ของคุณให้เพื่อนๆของคุณทาน แล้วก็มีคนนึงบอกว่า อาหารนี้อร่อยดีขอสูตรให้ฉันได้ไหม คุณก็เลยเขียนสูตรใหม่ของคุณนั้นให้เพื่อนคนนั้นไป ก็เปรียบได้กับเรื่องการแบ่งปันซอฟต์แวร์แบบที่ผมพูดถึง เพราะโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นมีความคล้ายคลึงกับสูตรอาหารอยู่เหมือนกัน เพราะมันเป็นการรวบรวมเอากระบวนการขั้นตอนหลายๆอย่าง เพื่อมาทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้บรรลุผล ผู้คนจะแบ่งปันโปรแกรมเหมือนกับที่เขาแบ่งปันสูตรอาหาร เพราะไม่ใช่ว่าทุกโปรแกรมที่เขียนขึ้นมานั้นจะใช้งานได้เหมาะสมลงตัวกับผู้ใ ช้ทุกคน เพราะฉะนั้นผู้ใช้จึงต้องการที่จะปรับเปลี่ยนโปรแกรมให้ใช้งานได้ลงตัวกับงา นของเขา เหมือนกับที่พวกเขาเปลี่ยนสูตรอาหาร เพื่อให้ปรุงออกมาแล้วถูกปากพวกเขามากขึ้น”
"ในช่วงปี 1970 ผมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคม (Community) ของเหล่าโปรแกรมเมอร์ที่มีการแบ่งปันซอฟต์แวร์ให้กันและกัน ผมจึงมัประสบการณ์ดีๆ เกี่ยวกับการกระทำเช่นนี้ แต่ในที่สุด กลุ่มสังคมนี้ก็พบจุดจบ ผมถูกบีบให้ออกมาอยู่ในในสังคมที่ใช้ซอฟต์แวร์ทั่วไป (ที่ถูกจำกัดการเปลี่ยนแปลงและการแจกจ่ายแบ่งปัน) ผมมองดูแล้วรู้สึกแย่ รู้สึกว่านี่มันเลวร้าย นี่มันเป็นวิถีชีวิตที่ห่วย ลองนึกดูว่า คุณย้ายไปอยู่ประเทศใหม่แล้วคุณพบว่าที่นั่นการเปลี่ยนแปลงและการแบ่งปันสูต รอาหารกลายเป็นสิ่งผิดกฏหมายคุณจะต้องช็อกแน่ๆ คุณจะต้องบอกตัวเองว่า นี่มันแย่มากๆ ใครอยากจะมีชีวิตอยู่แบบนี้บ้าง ก็เหมือนกับที่ผมรู้สึกเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เราทำอะไรกับซอฟต์แว ร์ไม่ได้เลย (ยกเว้นซื้อมันมาใช้) ผมคิดว่ามันผิดศีลธรรมเลยด้วยซ้ำ น่าขยะแขยง ผมไม่อยากจะดำเนินชีวิตแบบนี้ และผมจะไม่ใช้ชีวิตแบบนั้นแน่ๆ”
กลุ่มสังคมที่สตอลล์แมนพูดถึงก็คือกลุ่มของโปรแกรมเมอร์ที่ทำงานในห ้องปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ของเอ็มไอที ที่กล่าวกันว่าในยุคที่เขาทำงานอยู่นั้นแต่ละคนไม่มีคอมพิวเตอร์เฉพาะเป็นขอ งตนเอง สามารถนั่งลงทำงานที่คอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้ที่ว่างงานอยู่ ดังนั้น จึงไม่มีรหัสผ่านหรือการป้องกันภายใน อีกทั้งยังมีการเอื้อเฟื้อแบ่งปันซอฟต์แวร์ระหว่างผู้ทำงานด้วยกันอย่างเต็ม ที่อีกด้วย
เมื่อเขามีความตั้งใจจะใช้ระบบซอฟต์แวร์เสรีแล้ว เขาจึงต้องเริ่มเขียนระบบปฏิบัติการเสรีขึ้นมารองรับการใช้งานกับซอฟต์แวร์เ หล่านี้บนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกด้วย
"เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ผมจะใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องยุ่งกับชีวิตท ี่ย่ำแย่แบบนั้นก็คือ ต้องเขียนซอฟต์แวร์ขึ้นมาใหม่ (ด้วยตัวเอง) ทั้งระบบ ไม่ใช่ 2-3 โปรแกรม นั่นจึงเป็นการเริ่มต้นของผม...เขียนโปรแกรมขึ้นมาใหม่ เพื่อทดแทนตัวเก่าทุกตัวทุกแบบ ซึ่งขั้นแรกเลยต้องเขียนระบบปฏิบัติการตัวใหม่ขึ้นมา เพราะว่าจะใช้คอมพิวเตอร์มันก็ต้องมีระบบปฏิบัติการ ถ้าไม่มีระบบปฏิบัติการก็ไม่สามารถเล่นโปรแกรมอะไรได้ ถ้าจะใช้คอมพิวเตอร์ที่มีซอฟต์แวร์เสรี เราต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่เป็นเสรีด้วย ดังนั้นเราจึงเขียนระบบปฏิบัติการที่ชื่อ GNU ขึ้นมา”
"เราเริ่มเขียนระบบปฏิบัติการขึ้นใน พ.ศ. 2527 มาใกล้เสร็จเอาช่วง 2534-2535 ซึ่งยังมีอีกส่วนสำคัญที่ขาดหายไป ซึ่งก็มีโปรแกรมเมอร์จากฟินแลนด์เขียนส่วนสุดท้ายนี้ให้ระบบสมบูรณ์กลายเป็น ระบบ GNU/Linux หรือ GNU+Linux ขึ้นมา ซึ่งระบบปฏิบัติการนี้ในปัจจุบัน มีผู้ใช้อยู่ 20 ล้านคนทั่วโลก แต่คนมักจะเข้าใจผิดว่า ระบบปฏิบัติการนี้ชื่อ Linux แล้ว GNU เป็นเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการสร้างซึ่งการเรียกระบบปฏิบัติการว่า Linux อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจไม่ชัดเจนนักจึงอยากให้เรียกว่า GNU/Linux นั่นจะทำให้คนไม่สับสนเมื่อได้นึกถึงประวัติและจุดมุ่งหมายจริงๆของระบบ”

ซอฟต์แวร์เสรีที่ไม่ใช่ของฟรี
ด้วยภาษาอังกฤษที่มีหลากความหมาย คำว่า Free Software อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าต้องเป็นซอฟต์แวร์ที่สำหรับแจกฟรีเท่านั้น หรือดาวน์โหลดได้ได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ตเท่านั้นหรือ แต่จริงๆแล้วคำว่า Free ในชื่อภาษาอังกฤษนั้น เป็นคำย่อมาจาก Freedom ที่หมายถึงเสรีภาพมากกว่า
"คำว่า Free ในภาษาอังกฤษนั้น ตีความได้หลายความหมาย ความหมายนึงคือไม่มีราคา แจกฟรี ส่วนอีกความหมายหนึ่งก็คือ อิสรภาพ”
"สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องของซอฟต์แวร์เสรีก็คือ การเคารพในเสรีภาพของผู้อื่น การยอมให้ผู้อื่นได้มีอิสระเสรี มีอิสระที่จะร่วมไม้ร่วมมือกับผู้อื่น มันก็มีเหมือนกับที่บางคนได้ซอฟต์แวร์เสรีไปโดยไม่ต้องรับเงินอย่างเช่นเพื่ อน Copy มาให้ มันอาจจะถูกกฏหมายด้วยซ้ำ ผมก็คิดว่ามันยังไม่เป็นเรื่องผิดถ้าคุณจะ Copy ข้อมูลสำคัญบางอย่างให้เพื่อนนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของมิตรภาพ แต่ถ้าเป็นซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่ไม่ได้เข้าข่ายซอฟต์แวร์เสรีคุณทำแบบนั้น คุณถือว่าทำอาชญากรรม ถือว่าทำผิดต่อกฏหมายทั้งๆ ที่เป็นการแบ่งปันกันระหว่างมิตร ซึ่งนั่นเป็นเรื่องแย่มาก กฏหมายพวกนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องถูกต้องนัก”
"ซอฟต์แวร์เสรีนั้นคุณจะต้องเข้าถึง Source Code ได้ เพื่อดูว่ามันทำงานได้อย่างไรบ้าง นั่นเป็นข้อบังคับหนึ่งที่ซอฟต์แวร์เสรีทุกตัวจะต้องมีคือ เข้าถึง Source Code ได้”
"ซอฟต์แวร์ที่ขายๆกันอยู่นั้น ผู้เขียนโปรแกรมอาจจะบอกคุณว่า มันทำงานเพื่อวัตถุประสงค์หนึ่งอย่าง แต่ว่ามันยังทำอย่างอื่นได้แบบลับๆ ซึ่งคุณคงไม่ชอบถ้าคุณรู้ว่ามันทำอะไรบ้าง อย่างเช่น มันอาจจะบันทึกไว้ว่าคุณใช้มันทำอะไรบ้างแล้วหลังจากนั้นส่งรายงานไปยัง Central Internet Site ซึ่งมันกำลังสอดแนมอยู่ว่า ลูกค้าของมันเองทำอะไรบ้าง ซึ่งคุณจะไม่รู้เลย (รู้ได้ยากมาก) เพราะคุณไม่สามารถเข้าถึงระบบการทำงานของซอฟต์แวร์ที่ไม่เสรี แต่ถ้าเป็นซอฟต์แวร์เสรี คุณเช็คดูได้เลยว่า มันทำอะไรได้บ้าง อันนี้เป็นกลเม็ดเด็ดพรายที่นักพัฒนาโปรแกรมพยายามจะหลอกลวงและปิดบังจากผู้ ใช้ (USER)”
"และถึงแม้ว่าจะมีผู้พัฒนา Source Code โปรแกรมที่ไม่ได้เล่นเล่ห์อะไรกับผู้ใช้ก็ตาม โปรแกรมนั้นก็อาจจะมี Bug อยู่ภายใน ซึ่งถ้าผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ก็จะค้นหา Bug ได้พบและทำการแก้ไขได้”
"ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายในทุกวันนี้ ยังแนะนำว่า คุณควรจะใช้ซอฟต์แวร์เสรี สำหรับโปรแกรมอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับระบบความปลอดภัย เพราะว่าซอฟต์แวร์เสรีที่คุณใช้จะอนุญาตให้คุณเข้าไปดูรายละเอียดการทำงานได ้เพื่อดูว่ามันมีจุดอ่อนหรือไม่ ถ้าหากไม่พบ คุณก็จะยิ่งเชื่อถือโปรแกรมนี้มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเป็นซอฟต์แวร์ทั่วไป จะเป็นความลับไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบได้ คุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าพักพัฒนาโปรแกรมจะไม่ทิ้งช่องโหว่เอาไว้ในนั้น เพราะไม่มีใครมีโอกาสไปตรวจดูได้เลย”
จากกฏทั้ง 4 ข้อ(ดูรายละเอียดด้านล่าง)ของการจะทำให้ซอฟต์แวร์ที่ใครก็ตามจะเขียนขึ้นมาม ีสภาพเป็นซอฟต์แวร์เสรี อาจจะทำให้นักพัฒนาโปรแกรมหลายคน มองไม่ออกว่า ตนเองจะสร้างรายได้จากการเขียนซอฟต์แวร์แบบนี้ตรงไหน แต่สตอลล์แมนก็บอกว่า มีหลายช่องทางที่ใช้หาเงินเลี้ยงชีพจากการเขียนซอฟต์แวร์ได้ อาจจะไม่ได้เงินจากการขายโดยตรงมากนัก แต่น่าจะได้รายได้หลักมาจากการทำหน้าที่บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับซอฟต์แวร ์นั้นๆมากกว่า
"คำถามแรกที่ต้องถามตัวเองก็คือ อะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง คำถามที่สองคือ จะทำอย่างไรให้โลกทั้งใบเดินไปในวิถีที่ถูกต้องนั้น เรื่องต่อไปที่ต้องรู้ก็คือ มีบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อขายซอฟต์แวร์เสรีแล้ว ที่ Run บน GNU/Linux นี่แหล่ะ ซึ่งก็หาเงินได้เสริมจากการบริการปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมนั้นๆ ซึ่งผมเห็นว่ามันจะเป็นทางออกทางด้านการเงินของบริษัทพัฒนาโปรแกรมที่ทำธุรก ิจซอฟต์แวร์เสรี”
"การที่คนจะ Copy โปรแกรมของผมจากเครือข่าย ดัดแปลงมันแล้วเอาออกขายในชื่ออื่น เป็นสิ่งที่ทำได้ในสังคมซอฟต์แวร์เสรี ตราบใดที่ไม่ผิดข้อกำหนดของซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด 4 ข้อ”
"แต่ผู้ที่ทำผิดจริงๆ ก็คือในกรณีที่บางคนพยายามที่จะบีบบังคับคนอื่นคือ ขายก๊อปปี้แล้วแต่ห้ามผู้ใชเข้าถึง Source Code เหล่านั้นต่างหาก”
"บางคนไปซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนจากแหล่งต่างๆ มาใช้แล้วบอกว่าฉันใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้อนุญาตดังนั้นที่ฉันใช้คือซอฟต์แวร ์เสรี อันนี้ไม่ใช่ เพราะมันไม่มี Source Code มาด้วย เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ พวกทำซอฟต์แวร์เถื่อนแบบนี้ต้องแอบๆ ซ่อนๆขายกัน แต่สำหรับซอฟต์แวร์เสรี เราอยู่บนโลกได้อย่างถูกกฏหมายเต็มที่ เราอนุญาตให้ทุกคนแบ่งปันกันได้อย่างถูกต้อง เราอยู่กันได้ด้วยความร่วมมือกัน โดยไม่ต้องแอบซ่อน”

แบ่งแยกแล้วปกครอง
คำถามที่เกิดขึ้นในบ่ายวันนั้นมีอยู่มากมาย คำถามหนึ่งที่ดูจะเป็นที่น่าสนใจก็คือ มีผู้ถามว่า ถ้าให้สตอลล์แมนได้คุยกับบิลล์เกตต์ เจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ (ไม่เสรี) ยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟต์ (เจ้าของระบบปฏิบัติการ Windows) สตอลล์แมนจะพูดอะไรกับบิล เกตต์บ้าง เขาให้คำตอบที่น่าสนใจว่า
"ผมไม่มีอะไรจะพูดกับ บิลล์ เกตต์ แต่ผู้คนที่ผมอยากพูดด้วยคือ คนที่อยู่ในบังคับของเขา ผมอยากบอกพวกเขาว่า เอาโซ่ที่ล่ามคอออกเสีย แล้วสู้เพื่ออิสรภาพ”
"พวกนี้ชอบเขียนโปรแกรมที่บีบบังคับผู้ใช้ให้ได้แต่ใช้ คุณบอกไม่ได้เลยว่ามันทำอะไรบ้างจริงๆ คุณเปลี่ยนแปลงมันก็ไม่ได้ พอคุณแบ่งปันให้เพื่อน พวกเขาก็เรียกคุณว่า ”โจรสลัด” (Pirate) ดูสิพวกเขาเรียกการช่วยเหลือกันฉันท์มิตรว่าเป็นพวกเดียวกับโจรที่โจมตีเรือ ชาวบ้านหรือนี่ บรรทัดฐานทางศีลธรรมมันกลับตาลปัตรไปแล้ว เราคิดว่าการมีศีลธรรมคือ การมีเมตตา การบริจาค ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือผู้ได้ชื่อว่ามิตร ถ้าคุณมีความรู้ที่ช่วยเหลือเพื่อนของคุณได้ คุณต้องสามารถสอนเพื่อนคุณได้ คุณต้องร่วมแบ่งปันความรู้นั้นได้”
"แต่ใครก็ตามที่พยายามที่จะไม่ให้ผู้คนสอนซึ่งกันและกัน ห้ามไม่ให้ผู้คนแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ผู้นั้นทำตัวเป็นปรสิตของสังคมที่ไม่ควรให้อภัย คนพวกนี้ทำให้ผู้ใช้โปรแกรมนั้นถูกตัดขาดออกจากข้อมูลว่า เกิดอะไรขึ้นกับซอฟต์แวร์บ้าง ถูกบีบให้มีทัศนคติที่เพี้ยนไปในเรื่อง "ถูก” และ "ผิด” ซึ่งก็คือ "ถูก” คือผู้ที่เชื่อฟังนักพัฒนาโปรแกรมมีอำนาจ แต่คุณไม่มีอะไรเลยนอกจากใช้งานโปรแกรมเหล่านั้นไปเฉยๆ อย่างนี้ มันผิดทางจริยธรรมไหม มันบ่งบอกถึง ระบบชนชั้นที่นักพัฒนาโปรแกรมเป็น "เจ้านาย” และคนอื่นๆ มีตัวตนอยู่เพียง "รับใช้”พวกเขาเท่านั้น เหมือนกับระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ”
"มันเป็นเรื่องผิดที่จะไปแบ่งแยกผู้คนเพื่อปกครองแบ บบีบบังคับ ซึ่งตัวผมเองไม่มีสิทธิทำพฤติกรรมแบบนั้นเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงชีพ มันเป็นสิ่งเลวร้าย ซึ่งไม่สามารถจะหาข้ออ้างใดๆ เพื่อหาเลี้ยงชีพด้วยการทำเช่นนี้ได้เลย ดังนั้น ผมจึงได้บทสรุปว่า ผมไม่สามารถหาเงินเลี้ยงชีพได้ด้วยการเขียนซอฟต์แวร์ที่เอาเปรียบผู้ใช้แบบน ั้นได้ซึ่งการขายโปรแกรมให้ได้เงินดีๆ ก็ยังต้องเขียนโปรแกรมที่มีข้อจำกัดมาก บีบบังคับผู้ใช้มากๆ ก็จะยังได้เงินมาง่ายและได้มาก แต่ถ้าคุณปฏิเสธวิถีชีวิตแบบนั้น คุณต้องการจะอยู่ในเส้นทางชีวิตที่ดีกว่านั้น มันก็มีทางที่จะหาเงินเลี้ยงชีพได้ อย่างแรกที่ผมทำก็คือ ขายก๊อปปี้ของโปรแกรมของผมเอง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะจ่ายเงิน เพราะมีบางคนได้จากเครือข่ายหรือบางคนได้ต่อไปจากคนอื่นด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำกันได้ พูดง่ายๆว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่ได้โปรแกรมนี้ไปใช้ไม่ได้จ่ายเงินผม แต่มีบางส่วนที่จ่ายซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”
และเขายังบอกอีกว่าหากประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราหรือประเทศอื่นๆ หันมาพัฒนาหรือใช้ซอฟต์แวร์เสรีเป็นหลักในประเทศ ก็จะช่วยประหยัดงบประมาณไปได้มากทีเดียว
"การใช้ซอฟต์แวร์เสรีจะทำให้เป็นอิสระจากเรื่องการเสียเงินค่าลิขสิ ทธิ์ซอฟต์แวร์ไปได้มาก ถ้ารัฐบาลไทยบอกว่า เรามาใช้ซอฟต์แวร์เสรีกันเถอะ มันจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ฉลาดมาก ในตอนนี้อาจจะมีงานบางอย่างที่ยังใช้ซอฟต์แวร์เสรีไม่ได้ สิ่งที่ควรทำสำหรับรัฐบาลก็คือ ลงทุน ลงเงินพัฒนาการเขียนซอฟต์แวร์เสรีที่จะนำมาใช้กับงานนั้นๆได้”

ริชาร์ด สตอลล์แมนคือ...? (ภาคจบ)
ริชาร์ด สตอลล์แมนพูดถึง ชีวิตของเขาในทุกวันนี้ว่า ตอนนี้เขายังอยู่ที่เคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซ็ตต์ มีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายสมถะเพราะว่า
"ถ้าผมตัดสินใจจะอยู่ในธุรกิจซอฟต์แวร์ทั่วไป ผมอาจจะไม่ได้มีเงินมากมายเท่า บิลล์ เกตต์ แต่ผมคงจะเป็นอยู่สบายมากกว่าทุกวันนี้ หรุหรากว่านี้ เหตุผลเดียวที่ผมไม่ทำแบบนั้น เพราะผมตัดสินใจแล้วว่านั่นมันเป็นทางที่ผิด”
เขาใช้ชีวิตวัย 48 ปี ที่ยังไม่ได้แต่งงาน (แต่มีเพื่อนหญิงแล้ว) ด้วยการใช้เวลา 2 ใน 3 ของปี ออกไปบรรยายสร้างความเข้าใจเรื่องของซอฟต์แวร์เสรีให้กับผู้คนตามที่ต่างๆทั ่วโลก
ริชาร์ด สตอลล์แมน หรือที่ผู้คนในวงการเรียกเขาว่า "RMS” บอกกับพวกเราในบ่ายวันนั้นว่า เขาเพิ่งตกหลุมรักนกแก้วที่สวนนกจูล่ง ประเทศสิงคโปร์เมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาเสียดายที่ไม่สามารถเลี้ยงนกแก้วได้ เนื่องจากชีวิตที่ต้องเดินทางมากของเขานั่นเอง
ริชาร์ด สตอลล์แมน ยังคงเป็นแฟนนิยายวิทยาศาสตร์อย่างเหนียวแน่น แต่แนวที่เขาอ่านคงไม่เหมือนกับบ้านเรานัก เพราะเมื่อถามถึง อาเทอร์ ซี. คลาร์ก เขาบอกว่าชอบนิยายเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ "Against the Fall of Night” และเมื่อถามถึงนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่พอจะแนะนำได้เขาพูดถึง ริชาร์ด อีแกน (Richard Egan) ขึ้นมาเป็นชื่อแรก
และสุดท้าย ริชาร์ด สตอลล์แมน พิสูจน์ให้เราเห็นว่า อย่า "ตัดสิน” คนอื่นด้วยความเห็นของตนเอง ด้วยการเป่าขลุ่ยเรคคอร์เดอร์เลาเล็กของเขาเป็นเพลง Bulgarian Folk dance อย่างไพเราะน่าฟัง ซึ่งดูขัดกับบุคคลิกนักคอมพิวเตอร์ที่เก็บตัว และไม่ค่อยสนใจกฏเกณฑ์สังคมมากนักอย่างเขา
เราประทับใจอีกครั้งเมื่อเขาบอกว่า เขากำลังจะเดินทางไปโรงละครแห่งชาต์เพื่อชมการแสดงโขนและการฟ้อนรำแบบไทย
"ผมชื่นชอบการได้ชมและฟังงานทางด้านศิลปะวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ที่ผมมีโอกาสไปเยือน”
ริชาร์ด สตอลล์แมนกล่าวกับเราในที่สุด



เสรีภาพ 4 ประการของซอฟต์แวร์เสรี
เสรีภาพข้อที่ศูนย์ เสรีภาพที่จะใช้งานโปรแกรมนั้นๆ ได้ในหลากหลายวัตถุประสงค์
เสรีภาพข้อที่หนึ่ง เสรีภาพที่จะตรวจดูว่าซอฟต์แวร์นั้นๆ ทำงานอย่างไร และต้องดัดแปลงให้ซอฟต์แวร์นั้นใช้งานตามที่ผู้ใช้ต้องการได้
เสรีภาพข้อที่สอง เสรีภาพที่จะแจกจ่ายสำเนาของซอฟต์แวร์เหล่านั้นต่อไปได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกัน
เสรีภาพข้อที่สาม เสรีภาพที่จะปรับปรุงซอฟต์แวร์นั้น ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น แล้วจำหน้ายแจกจ่ายออกไปในสังคม เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมนั้นๆเอง


อ้างอิง
ทอล์คไทม์ นิตยสาร UPDATE เมษายน 2544 : อัควีร์ มัธยมจันทร์
Stallman.org

ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก 9 ป.ป.ช.คนละ 2 ปีแต่ให้รอลงอาญา 2 ปี

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤษภาคม 2548 15:59 น.
ศ าลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษา 9 ป.ป.ช. มีความผิด ลงโทษจำคุก 2 ปี แต่จากตำแหน่งหน้าที่ โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

พล.ต.อ.วุฒิชัย ศรีรัตนวุฒิ - นายชิดชัย พานิชพัฒน์ - นายเชาว์ อรรถมานะ
วันนี้ (26 พ.ค.) เวลา 14.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่นายคัมภีร์ แก้วเจริญ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ ประธาน ป.ป.ช. นายชิดชัย พานิชพัฒน์ พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ นายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น นายยงยุทธ กปิลกาญจน์ นายประดิษฐ์ ทรงฤกษ์ นายเชาว์ อรรถมานะ และนายพินิต อารยะศิริ กรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะรวม 9 คน เป็นจำเลยที่ 1-9 ฐานกระทำผิดทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีขึ้นค่าตอบแทนให้ตนเอง

โดยคดีนี้หลังศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย เห็นว่า จำเลยทั้ง 9 คนได้กระทำความผิดตามฟ้อง และแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองโดยอำเภอใจ ถึงแม้ภายหลังจำเลยจะนำเงินที่ได้มาส่งกลับคืนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความผิดที่สำ เร็จแล้วสูญหายไป ดังนั้นศาลจึงมีมติ 6 ต่อ 3 พิพากษาให้จำคุกจำเลยคนละ 2 ปี แต่เนื่องจากเมื่อพิจารณาจากตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยทั้ง 9 แล้ว โทษจำคุกศาลให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี

นายประดิษฐ์ ทรงฤกษ์ - นายพินิต อารยะศิริ - นายยงยุทธ กปิลกาญจน์
สำหรับคดีนี้ ฝ่ายโจทก์มีพยานบุคคลขึ้นเบิกความรวม 3 ปาก ประกอบด้วย พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานกรรมาธิการตรวจสอบและศึกษาการทุจริตของวุฒิสภา นายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการ ป.ป.ช. ซึ่งถือเป็นพยานร่วมของฝ่ายจำเลยด้วย และนายโอภาส อรุณินทร์ อดีตประธาน ป.ป.ช.

โดยฝ่ายจำเลยมีกรรมการ ป.ป.ช.เบิกความรวม 3 ปาก คือ นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น จำเลยที่ 5 และนายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ จำเลยที่ 4 นายเชาวน์ อรรถมานะ จำเลยที่ 8 และพล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ ประธาน ป.ป.ช. โดยฝ่ายจำเลยยังยื่นคำให้การพยานบุคคลเป็นหนังสืออีก 4 ปาก ประกอบด้วย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ ก.พ.ร. และอดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า นายเกื้อ ไกรบุญเลิศ สำนักงานประมาณ และนายสุทธินันท์ สาริมาน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. 7

นายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ - พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ - นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น
ทั้งนี้ศาลได้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ประกอบด้วย บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และ พ.ร.บ.เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้กับองค์กรตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2541 แล้ว เห็นว่า ป.ป.ช.ทั้ง 9 ไม่มีอำนาจในการออกระเบียบ ซึ่งที่ ป.ป.ช.อ้างอาศัยอำนาจมาตรา 5 และ 107 ของพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. ศาลเห็นว่า มาตราดังกล่าว เป็นการกำหนดอำนาจให้ออกระเบียบ เพื่อบริหารสำนักงานบุคลากรและงบประมาณ ไม่ใช่อำนาจเพื่อการออกระเบียบจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.ดังกล่าว เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช.ตามรัฐธรรมนูญ และ พระราชบัญญัติ ป.ป.ช. ได้มี พ.ร.บ.เงินเดือนฯ ได้กำหนดอัตราไว้ให้ชัดเจนอยู่แล้ว

ศาลเห็นว่า หาก ป.ป.ช.เห็นว่าเงินเดือนประจำตำแหน่งไม่เหมาะสมตามภาระหน้าที่ ของ ป.ป.ช.ที่จะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในการไต่สวนคดี ก็สามารถที่จะใช้อำนาจเพื่อเสนอเรื่องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดใน พ.ร.บ.เงินเดือน โดยผ่านการพิจารณาของ ครม. และสภา เพื่อออกมาเป็นกฎหมายได้ แต่มิใช่การใช้อ้างอำนาจออกระเบียบบริหารสำนักงานมาใช้ได้
นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ว่า ในการพิจารณากลั่นกรองเพื่อออกร่างระเบียบ ป.ป.ช.ทั้ง 9 เป็นผู้เริ่มต้น และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อศึกษาข้อกฎหมายและรายละเอียดเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ซึ่งในชั้นพิจารณา 2 อนุกรรมการได้ความว่า มีการบันทึกข้อสังเกตไว้แล้วว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจออกระเบียบในคดีนี้ ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า ป.ป.ช.ทั้ง 9 ได้ล่วงรู้ตั้งแต่แรกว่าไม่มีอำนาจ แต่ยังร่วมประชุมกันเพื่อลงนามออกระเบียบในวันที่ 29 ก.ค.2547 โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีคนใดคัดค้าน จึงเห็นว่า ป.ป.ช.ทั้ง 9 มีความผิดจริงตามฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น ป.ป.ช.ทั้งคณะได้เดินทางกลับทันที โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด และพยายามหลบสื่อมวลชนโดยนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดี ก่อนที่จะทยอยแยกย้ายกลับ โดยนายวิเชียร วิริยะประสิทธิ์ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวเพียงสั้นๆว่า ตนยอมรับในคำพิพากษาของศาล แต่เชื่อว่ากรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่พ้นจากตำแหน่งเพราะไม่ถือว่าขาดคุณสมบัติ ส่วนจะลาออกหรือไม่ ต้องหารือร่วมกับกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะอีกครั้ง

ด้านนายสุภัทร์ สุทธิมนัส เลขานุการศาลฎีกา ฯ กล่าว ภายหลังศาลมีคำพิพากษา ว่าการที่ศาลรอการลงโทษจำเลยจะถือว่าต้องพ้นออกจากตำแหน่งทันทีหรือไม่นั้น ศาลไม่อาจจะก้าวล่วงได้ จะต้องไปตีความกฎหมาย ป.ป.ช. กันเอง ทั้งนี้รัฐธรรมนูญ ม.300 บัญญัติให้ คณะกรรมการป.ป.ช. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีเมื่อศาลสั่งรับฟ้อง และจะกลับมาทำหน้าที่ได้เมื่อศาลจะมีคำพิพากษายกคำร้อง แต่ในคดีนี้ศาลไม่ได้มีคำสั่งยกคำร้องแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการพิจารณาคดี ได้มีบรรดาสื่อมวลชนทุกแขนง และประชาชน ข้าราชการสำนักงานป.ป.ช. เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาเป็นจำนวนมากจนแน่นห้องพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่ศาลต้องเชิญบุคคลที่ต้องการฟังคำพิพากษาออกนอกห้อง และทำการถ่ายทอดเสียงไปยังห้องโถงหน้าห้องพิจารณาคดี

ด้านนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตเลขา ป.ป.ช. กล่าวว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้ถือว่ากรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คนต้องพ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ ตามมาตรา 300 วรรค 3 ที่ระบุว่า ป.ป.ช. จะกลับมาทำหน้าที่ได้ ก็ต่อเมื่อศาลฎีกาฯยกคำร้อง แต่กรณีนี้ศาลฎีกาฯ พิพากษาว่าผิด จึงกลับมาปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้

เส้นทางคดี ป.ป.ช.ก่อนเข้าสู่วินาทีตัดสินชะตากรรม...
ลุ้นระทึกพิพากษาคดี ป.ป.ช.วันนี้
นัดพิพากษาคดี ป.ป.ช.26 พ.ค.นี้
ป.ป.ช.อ้างสุจริต ขึ้นเงินพิเศษไม่ผิด กม.
"ประสิทธิ์"เบิกความคดี ป.ป.ช.ชี้ขึ้นเงินพิเศษไม่ผิด รธน.
"ประทิน" เบิกความยัน ป.ป.ช.ขึ้นค่าตอบแทนขัด รธน.
ศาลฎีกาฯนัดพร้อม คดี ป.ป.ช.ทุจริตพรุ่งนี้
9 ป.ป.ช.ปฎิเสธคดีขึ้นค่าตอบแทน
ศาลฎีกาฯเปิดคดี ป.ป.ช.ทุจริต เช้าวันนี้
ป.ป.ช.ปฏิเสธข้อหาขอสู้คดีศาลฎีกาฯ นัดแถลงวาจา 4 เม.ย.นี้
ศาลฎีกาฯเปิดแถลงคดี ป.ป.ช.ทุจริตนัดแรกพรุ่งนี้
ศาลฎีกาฯรับฟ้องป.ป.ช. นัดจำเลยพิจารณาคดี 14 มี.ค.นี้
ฟ้องป.ป.ช.เป็นจำเลยศาลวันนี้
อสส.สั่งฟ้อง ป.ป.ช.ต่อศาลฎีกาฯพรุ่งนี้
อสส.ฟ้องคดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง 24 ก.พ.นี้
อัยการพร้อมยื่นฟ้อง ป.ป.ช.ต่อศาลฎีกา 25 ก.พ.นี้
อัยการมั่นใจยื่นฟ้องป.ป.ช.ต่อศาลฎีกาฯ ทันภายใน 30 วัน
ศาลฎีกาฯ คาดชี้ขาดคดีป.ป.ช. ภายใน 3 เดือน
สำนวนคดี ป.ป.ช.ถึงมืออัยการแล้ว
อัยการเตรียมพร้อมฟ้องคดี ป.ป.ช.
ศาลฎีกาฯชี้ ป.ป.ช.ลาออก ไม่มีผลทางคดีเพราะความผิดสำเร็จแล้ว
พงศ์เทพหวั่น"คดีขาดอายุความ"หลัง ป.ป.ช.ถูกชี้มูล
ศาลฎีกาฯ นัดชี้ขาด คดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือน
ศาลฎีกาใช้เสียงข้างมากชี้ขาดคดี ป.ป.ช.24 ม.ค.นี้
องค์คณะผู้พิพากษานัดชี้ คดี ป.ป.ช. 17 ม.ค.นี้
คกก.ไต่สวนศาลฎีกาฯชี้คดี ป.ป.ช.ไม่มีมูล
กก.ไต่สวนฯกรณีป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนนัดชี้ชะตาวันนี้
นัดชี้มูล คดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง 6 ม.ค.ปีหน้า
นัดสรุปคดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง 28 ธ.ค.นี้
นัดไต่สวน คดีเงินเดือน ป.ป.ช.ปากสุดท้ายวันนี้
กรรมการ ป.ป.ช. เข้าให้ถ้อยคำคดีถูกกล่าวหาขึ้นเงินเดือนตัวเองบ่ายนี้
ประธาน ป.ป.ช.ให้ถ้อยคำคดีขึ้นเงินเดือน
ป.ป.ช.อ้างปธ.ศาลรธน.พยานขึ้นค่าตอบแทน
ก.ไต่สวน ศาลฏีกายังไม่ชี้ คดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง
ประชุมชี้มูลเบื้องต้น คดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนพรุ่งนี้
"โอภาส"ให้ถ้อยคำคดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือน
กก.ไต่สวนเรียกสอบเลขาฯป.ป.ช.เพิ่มกรณีขึ้นเงินเดือนตัวเอง
ก.ไต่สวน คดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินพิเศษ เรียก อ.บัญชีกลาง ตัวแทนสำนักงบให้ถ้อยคำ
เลขาฯป.ป.ช.แจง คกก.ไต่สวนกรณีขึ้นเงินเดือนตัวเอง
เลขาฯป.ป.ช. ให้ถ้อยคำกรณีถูกกล่าวหาขึ้นเงินเดือน
ประทินแจงคกก.ไต่สวน คดีป.ป.ช.ขึ้นเงินตัวเอง
คณะกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ประชุมนัดแรก เตรียมเรียก"ประทิน"ให้การ 18 พ.ย.นี้
กก.ไต่สวนกรณี"ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือน"ประชุมนัดแรกพรุ่งนี้
ศาลฎีกาฯเดินหน้าคดี ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือน
ศาลฎีกาตั้ง 7 คกก.ไต่สวนป.ป.ช.
เลขาศาลฎีกา ชี้ ตั้งกรรมการ ไต่สวน ป.ป.ช.พรุ่งนี้ อาจได้มากกว่า 5 คน
6 หน่วยงานหารือด่วน"แก้ปัญหากรณี ป.ป.ช.หยุดปฏิบัติหน้าที่"
ศาลฎีกาฯคดีอาญานักเมือง เรียกประชุมศุกร์นี้ เลือกคณะกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.ขึ้นเงินเดือนตัวเอง
โฆษกอัยการ ชี้ขั้นตอนคกก.ไต่สวนมูลผิดป.ป.ช.

วันพุธ, พฤษภาคม 25, 2548

เด็กไทยเจ๋งคว้า 2 รางวัลสุดยอดนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ดีเด่นระดับโลก

เ ด็กไทยไม่เป็นรองใคร คว้ารางวัลสุดยอดนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ดีเด่นระดับโลก เหนือกว่าเยาวชนอีก 15 ประเทศที่เข้าร่วม จากผลงาน “เครื่องทำไข่เค็มความดัน...อร่อยภายใน 3 วัน ” แถมได้รับรางวัลจัดนิทรรศการยอดเยี่ยมพ่วงมาด้วย เผยประเทศไทยไม่เป็นรองใคร เสียเปรียบเพียงแค่เรื่องภาษาที่ต้องเสนอผลงานเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น

เครื่องทำไข่เค็มความดัน...อร่อยภายใน 3 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประกวดและแสดงสิ่งประดิษฐ์ด้านวิทยาศาสตร์ของเด็กและเยาวชนนานาชาติ (International Exhibition For Young Inventors/IEYI2005) ที่จัดขึ้นเพื่อเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์ให้นักประดิษฐ์ ต่อการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากปัจจุบันสู่อนาคต และเป็นการส่งเสริมนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ให้เข้าร่วมเวทีทางวิชาการ และแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้นักประดิษฐ์รุ่นเยาว์เกิดความคิดสร้างสรรค์ ให้เยาวชนมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบและสิทธิความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในผลงา นสิ่งประดิษฐ์ของตนเองและผู้อื่น ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–23 พ.ค. ณ ประเทศมาเลเซีย โดยมีประเทศที่เข้าร่วมประกวดจำนวน 16 ประเทศ ประกอบด้วย มาเลเซีย อิตาลี ซีเรีย จีน ลิบยา เมอริเธียส ศรีลังกา สิงคโปร์ เม็กซิโก อียิปต์ ญี่ปุ่น อินเดีย ไต้หวัน ฝรั่งเศส ไนจีเรีย และประเทศไทยนั้น

ผลปรากฎว่า คณะนักเรียนระดับชั้น ม.6 จากโรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา ได้แก่ น.ส.พัชรพร สิทธิภู่ประเสริฐ น.ส.ชนิภา วสันต์ศิริกุล และน.ส.ชญานี ชาติปฏิมาพงษ์ สามารถนำผลงาน “เครื่องทำไข่เค็มความดัน...อร่อยภายใน 3 วัน ” คว้ารางวัลสุดยอดนักประดิษฐ์รุ่นเยาว์ระดับโลก( WIPO Award Best Young Inventor IEYI 2005) และคณะนักเรียนจากโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่เข้าร่วมแข่งขันยังได้รับรางวัลพิเศษ “การจัดนิทรรศการยอดเยี่ยม” (Best Display Stand) มาอีกด้วย

สำหรับ หลักการทำงานของเครื่องทำไข่เค็มความดันนั้น ความดันจะเป็นตัวช่วยให้การแพร่ของสารละลายเกิดมากขึ้น สารละลายจึงแพร่เข้าไปในไข่มากขึ้น ดังนั้นจึงได้ไข่เค็มเร็วยิ่งขึ้น และได้ไข่เค็มที่ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 3 วัน จากเดิมที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการดองไข่ประมาณ 13–15 วัน และเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นหากใช้หลักการทำงานดังกล่าวจะเป็นการลดต้นทุนวัตถุดิบ และแรงงานคนในการผลิตอีกด้วย

น.ส.พัชรพร สิทธิภู่ประเสริฐ , น.ส.ชนิภา วสันต์ศิริกุล และน.ส.ชญานี ชาติปฏิมาพงษ์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน สุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
ด้าน น.ส.ชนิภา วสันต์ศิริกุล นักเรียนระดับชั้น ม.6 โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา หนึ่งในคณะนักเรียนที่คว้ารางวัล กล่าวว่า จากการที่ได้ร่วมงานดังกล่าวตอนแรกรู้สึกกังวล แต่คณะอาจารย์ได้ให้คำปรึกษาและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด จึงเริ่มปรับตัวได้ และสนิทกับเพื่อนๆ น้องๆ และอาจารย์ทำให้การเดินทางในครั้งนี้สนุกแม้จะเหนื่อยก็ตาม อ ย่างไรก็ตามนอกจากจะได้นำสิ่งประดิษฐ์จากประเทศไทยไปนำเสนอในต่างประเทศแล้ว พวกเราทุกคนยังได้รับความรู้ใหม่ๆ จากต่างประเทศ ซึ่งในงานนี้ก็มีประเทศต่างๆ เข้าร่วมจำนวนมาก ทั้งระดับประถมและมัธยมศึกษา และได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้รับมิตรภาพที่ดี โดยไม่ได้คิดว่าเป็นการคู่แข่งกัน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาติ แต่รวมทั้งเพื่อนนักเรียนไทยที่เข้าร่วมแข่งขันที่มาจากหลายจังหวัดด้วย ทั้งนี้ตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญมากกว่ารางวัลใดๆ

น.ส.ชญานี ชาติปฏิมาพงษ์ นักเรียนระดับชั้น ม.6 โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา หนึ่งในคณะนักเรียนที่คว้ารางวัล กล่าวว่า ต นคิดว่าผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่นำเข้าประกวดนั้นไม่มีจุดที่เสียเปรียบประเทศอื ่นๆ หากจะมีเพียงเรื่องเดียวที่ประเทศไทย คือ เรื่องของภาษาที่ใช้ในการนำเสนอผลงาน ซึ่งจะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ดังนั้นอาจจะทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันได้ สำหรับการแ ข่งขันครั้งนี้คิดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ และพัฒนาการประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ของแต่ละประเทศมากกว่าเป็นการแข่งขัน เพราะตัวแทนจากประเทศต่างๆ นั้นต่างสนุกสนานกับการได้แลกเปลี่ยนความรู้ และทัศนคติทางวิทยาศาสตร์ร่วมกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนได้รับจากการประกวดครั้งนี้ คือการได้เห็นพัฒนาการของแต่ละประเทศ ที่ส่งเสริมและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ให้กับเยาวชนอย่างจริงจัง ตลอดจนการได้แลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ ซึ่งถือเป็นการเปิดโลกทัศน์และได้รู้จักเพื่อนมากยิ่งขึ้น

น.ส.พัชรพร สิทธิภู่ประเสริฐ นักเรียนระดับชั้น ม.6 โรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา หนึ่งในคณะนักเรียนที่คว้ารางวัล กล่าวว่า ในอนาคตสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับรางวัลนั้นจะต้องมีการพัฒนาต่อในเรื่องของการท ำตัวท่ออัดความดันให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อให้ได้ปริมาณผลผลิตมากขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งอยากจะวิจัยต่อว่าในหลักของการใช้ความดันในการช่วยให้การแพร่ของสารล ะลายเกิดมากขึ้นนั้น จะสามารถนำความรู้นี้ไปใช้กับการทำผลผลิตทางการเกษตรอย่างอื่นหรือไม่ และที่สำคัญ คือตนอยากจะลดต้นทุนในการผลิตไข่เค็มให้น้อยลงกว่าเดิม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการผลิต

ทั้งนี้ คณะนักเรียนและครูที่ปรึกษาได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยเที่ยวบินที่ ทีจี 418 เวลา 21.00 น.ของคืนวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา สำหรับการจัดงานในปีหน้านั้น ประเทศอินเดียได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานต่อไป
........โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2548 01:03 น.

คาราวาน และรวยรินร็องแง็ง..

โอ้ยอดรักฉันกลับมา
จากขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล...
จากโคนรุ้งที่เนินไศล..
จากใบไม้ หลากสีสัน..
ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันหวัง.....

..........................................

จำได้แม่นยำว่า ในคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ เมื่อปี 2525.. สุรชัย จันทิมาธร หรือ “น้าหงา” แห่งวงคาราวาน เปิดเพลงแรกด้วย “คืนรัง” ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องยาวนานกระหึ่มหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์..

เป็นการเปิดตัวในรูปแบบคอนเสิร์ ตครั้งแรกของพวกเขา..“คาราวาน” หลังเดินทางกลับจากป่าเขา...

นาทีนั้นสารภาพว่า.. “คืนรัง” ทำเอาผมน้ำตาซึมไหล หันไปข้างๆ เงี่ยหูฟังคนใกล้ๆ ก็มีแต่เสียงซู้ดซี้ดร้องห่มร้องไห้แบบไม่มีใครอายใคร..

ความไพเราะ เนื้อหาแห่งบทกวีในเสียงเพลงจับใจ ความคิดถึงวงดนตรีเพื่อชีวิตอย่างคาราวานที่จากเมืองไปตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มันบรรจบพบกันตรงที่น้ำตาแห่งความปีติ...ของคนกลุ่มหนึ่ง..

*********

วงคาราวานเพิ่งจะมีอายุครบ 30 ปี เมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา แต่หลังจากคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ 2525 แล้ว ผมได้ชมการแสดงของคาราวานประเภทเต็มวงจริงๆ อีกไม่เกิน 3 ครั้ง..

วันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่มสธ.เป็นครั้งล่าสุด เป็นมินิคอนเสิร์ตภายใต้ชื่อ “คาราวานคิดถึงลันตา” ซึ่งคาราวานทั้ง 4 คน ..สุรชัย จันทิมาธร, มงคล อุทก, ทองกราน ทานา และ วีระศักดิ์ สุนทรศรี มากันครบ..

“น้าหงา” เปิดวงด้วยเพลง “คืนรัง” แม้จะไม่กระชากอารมณ์ความรู้สึกจนตื้นตันจนน้ำตาซึมไหล เหมือนตอนคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ แต่ก็อยู่ในระดับประทับใจ

ผมเชื่อว่าแฟนเพลงของคาราวานที่อยู่ในวัย 40 -60 ปี น่าจะอิ่มเอมพอประมาณกับการได้ฟังคาราวานขับขานหลายบทเพลงในวันนั้น ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เป็นบทเพลงเก่าๆ ประเภท ใกล้ตา ไกลตีน, คนตีเหล็ก, ค่ำลง, คิดถึงบ้าน (เดือนเพ็ญ), ถั่งโถมโหมแรงไฟ, จิตร ภูมิศักดิ์ ..ฯลฯ..

รวมทั้ง “ฉันคือประชาชน”..

ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนที่มีเกียรติ
ไปไหนต้องละเลียด ค่อยค่อยเหยียดค่อยค่อยเงย
ฉันคือประชาชน ไม่เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่
ไปไหนคนก็ไหว้ เอามือไหว้หว่างขา
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนที่มีอำนาจ
ไม่เคยคิดไม่เคยคาด จะผูกขาดประเทศไทย...
..................................

ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า ขนาดอายุเลยเลข 50 ไปแล้ว แต่ “น้าหงา” ยังขับขานทุกบทเพลงด้วยความไพเราะ แหบโหยแบบ “หงา” แต่พลังเสียงยังเปี่ยมกังวาน สร้างสรรค์แบบคาราวาน

ระหว่างตั้งสายกีตาร์ ตอนหนึ่ง “น้าหงา”บอกว่าตอนนี้เวทีของคาราวานไม่ได้อยู่ตามมหาวิทยาลัย ตาม ผับในกรุงเทพฯ อีกแล้ว หากอยู่ที่ อบจ.,อบต....อยู่ที่ชนบท..

แต่แน่นอน ไม่ใช่ชนบทที่หมายถึงเขตป่าเขา ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เหมือนในช่วง 2519 -2524

********

ในมินิคอนเสิร์ต “คาราวานคิดถึงลันตา” นอกเหนือจากมีคาราวานเจ้าเก่าแล้ว ยังมี “คาราวานน้อย” อันเป็นการรวมตัวของลูกๆ หลานๆ ชาวคาราวานแสดงให้ชมกันอย่างสุดฝีมืออีกด้วย..

ผมเคยสัมภาษณ์สัมผัสเด็กๆ กลุ่มนี้มาบ้าง ได้เห็นพัฒนาการอย่างรวดเร็วของพวกเขา อดจะชื่นชมและดีใจแทนคุณพ่อคุณแม่พวกเขาไม่ได้... พวกเขาคือ ต้นหญ้าต้นใหม่ ใบไม้ใบใหม่ ดอกไม้ดอกใหม่ ที่รอเติบกล้า ผลิบาน..สืบสาน...ในยุคที่สังคมกำลังเป็นสังคมบริโภคสุดลิ่ม..

ทราบว่าเบื้องลึกของคอนเสิร์ตหนนี้ก็เพื่อหารายได้เล็กๆ น้อยๆ ให้ศูนย์สืบสานวัฒนธรรมแห่งเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีคุณวินัย อุกฤษณ์ กวีเจ้าของบทเพลง “นกสีเหลือง” เป็นโต้โผได้มีทุนทำงานฟื้นฟู - ขับเคลื่อน “รองแง็ง” ที่กำลังจะล้มหายตายจากให้หยัดยืนอยู่ได้ในวิถีชีวิตจริงของคนพื้นถิ่น...

ค่ำนั้น..กลับจากมินิคอนเสิร์ต “คาราวานคิดถึงลันตา” ที่มีผู้เข้าชมประมาณ700 คน ถึงบ้านก็ 3 ทุ่มกว่า ได้ทันชมการถ่ายทอดสด การเดินทางไปเปิดงาน “บางกอก มิวสิก เฟสติวัล” ของ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี..ทัวริสต์ชั่นแนล พอดี..

คนไทยแสนกว่าคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นไทยแออัดกันในสนามกีฬาราชมังค ลาสถาน หัวหมาก...ร้องกรี๊ดเมื่อนายกฯของเราเล่นบทเบิร์ด ธงไชย ตะโกนว่า...นายกฯรักทุกๆ คน...นายกฯรักทุกๆ คน..พร้อมทั้งประกาศก้องจะให้ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา จัดงานแบบนี้อีกเรื่อยๆ..

ทำเอาทั้งรมว.การท่องเที่ยวฯ และคณะผู้จัดเดินยิ้มหน้าบานไปตามๆ กัน...

ผมไม่ทราบว่างาน “บางกอก มิวสิก เฟสติวัล” เบ็ดเสร็จรัฐบาล โดยททท., กกท.และโมเดิร์นไนน์ทีวีใช้งบฯ ของพวกเราไปกี่ร้อยล้านบาท เพื่อสนองเจตนารมณ์รัฐบาลที่ต้องการสื่อข่าวส่งสารให้ชาวโลกทราบว่า ประเทศไทยเป็นปกติ ปลอดภัยดี...

ผมทราบจากคาราวาน จากคุณวินัย อุกฤษณ์ แต่เพียงว่า..ลมหายใจแห่ง “ร็องแง็ง” ที่เกาะลันตา และอีกหลายพื้นที่ กำลังรวยรินใกล้สิ้นใจเต็มที.

ถ้าพี่เบิร์ดจะส่งมอบความรักให้บ้าง ก็น่าจะดี !!

ทุจริตกล้ายางพารา -- โกงยกกำลัง 3

กรณีทุจริตกล้ายางพารามีอะไรกันนักหนาหรือ “ผู้จัดการรายวัน” ถึงให้ความสำคัญเป็นทั้งข่าวนำหน้า 1 และรายงานพิเศษต ่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ ๆ มี Hidden Agenda อย่างไรหรือ วันนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ขออนุญาตใช้เนื้อที่ตรงนี้จับเข่าคุยกับผู้อ่านเล่าให้ฟังด้วยภาษาชาวบ้าน

กรณีนี้ อย่าว่าแต่จะต้องเร่งรวมพลังเฉดหัวนักการเมืองที่รับผิดชอบให้พ้นออกจากการร่วมบริหารประเทศและดำเนินคดีเลย

มันน่านำโทษานุโทษในอดีต “กุดหัวเจ็ดชั่วโคตร” กลับมาใช้เสียด้วยซ้ำ !


เพราะมันเป็นการโกงกันอย่างบูรณ าการ หรือบูรณาโกง ที่แสดงให้เห็นภาพของคำ “คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” อย่างเป็นรูปธรรม

เพราะมันเป็นการโกงอย่างแฮ็ตทริ ก หรือโกงยกกำลัง 3 ที่จะให้ผล 3 ชั้นทั้งในปัจจุบันและอนาคตอีก 5 – 7 ปีข้างหน้า

...โกงเกษตรกรคนยากคนจน

...ที่เสมือนเป็นการฆ่าให้ตายในวันนี้ ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจะไปตายในอีก 5 – 7 ปีข้างหน้า

...และยังจะเป็นการทำลายรายได้ของชาติจากการส่งออก


มาไล่กันพิจารณาทีละขั้นตอน

...................

เวิลด์แบงก์ให้คะแนนการจัดการกับการทุจริตของประเทศไทย 49 จาก 100

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่พอใจนสพ.มติชนที่พาดหัวแบบไม่ช่วยรัฐบาล แสดงธาตุแท้อารมณ์ดั้งเดิมที่เป็นเจ้าเรือน ถึงกับเอ่ยชื่อประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ทวงบุญคุณหนังสือพิมพ์ อาจจะเป็นเพราะประจวบเหมาะกับในระยะนี้นับตั้งแต่ได้ชัยชนะ 377 เสียงกลับมีแต่ข่าวการทุจริตคอร์รัปชั่นในเรื่องต่าง ๆ มาเป็นระยะ ๆ

น ่าสังเกตไหมว่า ปี 2548 นี้ผ่านไปแค่ 5 เดือน ถ้าไม่นับกรณีสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว มีเรื่องของการทุจริตในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสียเป็นส่วนใหญ่

กระทรวงเกษตรฯจัดเป็นกระทรวงเกรด A ของบรรดานักการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร

วิธีการที่นักการเมืองเขาจำแนกแบ่งเกรดของกระทรวงทบวงกรมเขาดูกันที่ งบประมาณ, อำนาจอิทธิพล และช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ ผสมผสานกันไป

อย่างกรณีกระทรวงศึกษาธิการ ถึงแม้ว่าจะได้รับจัดสรรงบประมาณมากกว่ากระทรวงอื่น ๆ แต่เพราะเป็นกระทรวงใหญ่ รายจ่ายส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำ ไม่มีรายจ่ายประเภท “จัดซื้อ, จัดจ้าง” มาก ก็เลยเป็นกระทรวงเกรด B

งบประมาณที่กระทรวงเกษตรฯได้ไปในปีงบประมาณ 2548 คือ 52,409.9 ล้านบาท

มากเป็นลำดับ 6


รองจากกระทรวงศึกษาธิการ (1) กระทรวงการคลัง (2) กระทรวงมหาดไทย (3) กระทรวงกลาโหม (4) และกระทรวงคมนาคม (5)

ช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ในกระทรวงเกษตรฯเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง, การก่อสร้าง และทรัพยากรธรรมชาติ

ในยุคก่อน คนส่วนใหญ่มักจะมองผลประโยชน์ของกระทรวงเกษตรฯ เฉพาะ 2 กรมหลัก ๆ คือกรมป่าไม้และกรมชลประทาน แต่ข้อเท็จจริง ณ วันนี้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเชื้อร้ายของการทุจริต การแสวงหาประโยชน์ การละเมิดหลักธรรมาภิบาล ลามลึกแผ่ขยายครอบคลุมกรมอื่น ๆ ของกระทรวงนี้ไปแทบทั้งหมด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมที่เกี่ยวกับวิชาการ !

ลำพังการคอร์รัปชั่น เกิดขึ้นที่ไหนหรือที่กระทรวงใด มันก็เลวร้ายอยู่แล้ว แต่หากเกิดขึ้นในกระทรวงเกษตรฯ ความเลวร้ายดังกล่าวจะยิ่งทวีขึ้นเป็น 2 เท่า

เ พราะว่ามันเป็นการทำมาหากินบนน้ำตาและความทุกข์ยากของประชาชนคนชั้นล่าง ซึ่งพวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสในทางสังคมเทียบเท่าคนในกลุ่มอื่น ๆ อยู่แล้ว

ช่องทางการทุจริตในกระทรวงเกษตรฯส่วนใ หญ่ ตั้งเรื่องขึ้นมาจากเหตุความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน




ข่าวความอื้อฉาวในโครงการส่งเสริมปลูกยางพาราล้านไร่ ของกระทรวงเกษตรฯที่ถูกเปิดเผยขึ้นมา เพราะหลักฐานประจักษ์ชัดจากผลเสียหายของกล้ายางที่เกษตรกรนำไปปลูกตายไปกว่า ครึ่ง บางรายถึงกับตายยกแปลง ได้รับคำอธิบายง่าย ๆ จากกรมวิชาการเกษตร และนักการเมืองจอมโปรเจกต์ที่ดูแลกรมนี้ในทางปฏิบัติต่อเนื่องมา 8 ปี ว่าเป็นเพราะภัยแล้ง และเกษตรกรดูแลไม่ดี ขณะที่เครือซีพีที่ชนะประมูลส่งมอบกล้ายางก็ออกมากล่าวโทษระบบชลประทานของปร ะเทศที่ไม่ได้เรื่อง จึงทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น

แก้ตัวกันไปน้ำขุ่น ๆ

ใจบาปหยาบช้าถึงขั้นโทษเทวดาฟ้าดินไปโน่น

พอเริ่มจำนนต่อหลักฐาน ก็คิดอ่านจะแก้ผ้าเอาหน้ารอดกันง่าย ๆ ด้วยการแก้ระเบียบโน่นนิดนี่หน่อย และจะตั้งนักวิชาการท้องถิ่นเข้ามาเป็นกรรมการตรวจรับกล้ายางในแต่ละงวดด้วย

อ ยากให้นักวิชาการท้องถิ่นอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ให้ดี ๆ แล้วเร่งถอยออกไปห่าง ๆ อย่ามารับบท “พายเรือให้โจรนั่ง” หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง...

อย่ามาบำเพ็ญตนเป็น “ชุมพล ศิลปอาชา” ให้กับ “สุชน ชาลีเครือ” เลย


(ประเด็นหลังนี้ – โปรดติดตามอ่านในต้นสัปดาห์หน้า)

........................

โครงการส่งเสริมปลูกยางพารา 1 ล้านไร่เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรมีดำริริเริ่มตามข้อเสนอของนักการเมืองจอมโปรเจกต์นั้น เป็นโครงการที่มีหลักการดี ที่จะช่วยให้เกษตรกรผู้ยากไร้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น โดยนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการขยายพื้นที่ปลูกยางในภาคเหนือและภาคอีสา น เมื่อเดือนมีนาคม 2546 ในโอกาสที่เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการบริหารและคณะผู้บริ หารรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบงานด้านยาง 2 หน่วยงาน

ส.ก.ย. -- สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง

อ.ส.ย. -- องค์การสวนยาง


หากดูต้นเรื่อง ดูการมอบนโยบายแล้ว หน่วยงานหลักที่ควรจะเข้ามาทำโครงการนี้ เพราะมีความเชี่ยวชาญและรับผิดชอบงานด้านยางโดยตรง ก็ควรจะเป็นส.ก.ย. หรืออ.ส.ย. เพราะมีเจ้าหน้าที่ที่รู้เรื่องยางดีกระจายครอบคลุมอยู่ทุกพื้นที่ทั่วประเท ศ

แต่กรมวิชาการเกษตรที่มีเจ้าหน้าที่ที่รู้เรื่องยางพาราอยู่เพียงหยิบมือเดียวกลับเป็นผู้เข้ามารับผิดชอบ

โครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่ง ปลูกยางใหม่ ระยะที่ 1 พื้นที่ปลูกยาง 1 ล้านไร่ แบ่งเป็นเขตภาคอีสาน 700,000 ไร่ และภาคเหนือ 300,000 ไร่

กรมวิชาการเกษตรรับผิดชอบทั้ง

- การกำหนดเขตพื้นที่ปลูกยางที่เหมาะสม

- การตรวจสอบ ควบคุม และจัดหาพันธุ์ยาง


ส.ก.ย.รับผิดชอบการฝึกอบรม การควบคุม กำกับ ตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลการปลูกยางของโครงการ

และให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบจัดหาสินเชื่อ

คำถามก็คือ ทำไมถึงต้องเป็นกรมวิชาการเกษตร ?

เป็นเพราะข้าราชการกรมวิชาการเกษตร สั่งขวาหันซ้ายหันได้ – ใช่ไหม ?

เพราะถ้าเป็น ส.ก.ย. ก็จะมีคนนอกเข้ามาร่วมเป็นบอร์ดอยู่ด้วย จะสั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้ – ใช่ไหม ?


ตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการตั้งเรื่องตั้งโครงการของนักการเมืองมาก เพราะเป็นตัวชี้ว่าโครงการนั้น ๆ จะเก็บเกี่ยวได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ ข้อมูลความลับต่าง ๆ จะหลุดรั่วไปถึงฝ่ายค้านหรือสื่อหรือไม่ ทำให้เสียจังหวะหรือไม่

เหตุที่ต้องตั้งคำถามว่าทำไมกรมวิชาการเกษตรต้องเข้ามาทำโครงการ ก็เพราะถ้าไปดูพันธกิจหรือหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร จะเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า

“บริการวิเคราะห์ ทดสอบ ตรวจสอบ รับรองและให้คำแนะนำเกี่ยวกับดิน น้ำ ปุ๋ย พืช วัสดุการเกษตร ผลผลิตและผลิตภัณฑ์พืช เพื่อให้บริการการส่งออกสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ โดยมียุทธศาสตร์ด้านการวิจัยและพัฒนาพืช การบริการวิชาการด้านพืช”

อันนี้ชัดเจน ไปทบทวนตรวจสอบบทบาทหน้าที่ของกรมนี้ได้

กรมวิชาการเกษตรไม่ได้มีหน้าที่จัดหาจัดซื้อพันธุ์พืชหรือส่งเสริมด้านพืช

เพราะกรมที่มีหน้าที่นี้โดยตรงก็คือ กรมส่งเสริมการเกษตร


โครงการจัดซื้อจัดหานี่แหละที่เป็นช่องทางสำคัญในการคอร์รัปชั่น รับสินบาทคาดสินบน ชักเปอร์เซ็นต์ เอกชนที่ผูกขาดทำมาหากินกันอยู่ก็จะได้ขายของที่ซื้อมาถูก ๆ แล้วมาขายต่อให้รัฐแพง ๆ และที่ผ่านมากรมที่มีหน้าที่นี้โดยตรง ก็เคยอื้อฉาวสุด ๆ

ที่สังคมไทยจำกันได้แม่น รู้จักกันดี ก็กรณี “ผักสวนครัวรั้วกินได้” เมื่อปี 2541

กระทั่งมีอยู่พักหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯมีนโยบายห้ามไม่ให้หน่วยงานขอ งรัฐเป็นผู้จัดหาปัจจัยการผลิต แต่ตอนนี้ก็คงเลิกกันไปแล้ว และมีโครงการจัดซื้อจัดหาแจกปัจจัยการผลิต เพื่อทำมาหากินกันเหมือนเคย

โครงการยางล้านไร่ ก็ไม่ต่างไปจากโครงการส่งเสริมอื่นๆ

เข้าสูตรสำเร็จ

นักการเมืองตั้งโครงการ -- ข้าราชการเป็นคนชง – ล็อกสเปกเอาเอกชนขาประจำเข้ามาเป็นผู้ได้รับงานไป


เมื่อได้รับการเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ขยายพื้นที่ปลูกยางได้ในเขต อีสานและเหนือ นักการเมืองคนโปรดก็กลับมาทำการบ้านเสนอเรื่องผ่านตามขั้นตอนเข้าสู่การพิจา รณาของคณะรัฐมนตรี โดยยกแม่น้ำทั้งห้าให้เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น

โดยเฉพาะผลดีที่จะเกษตรกรจะสามารถลืมตาอ้าปากได้เพราะโครงการนี้ถึง 142,850 รายที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าว ครอบครัวละ 20,000 – 30,000 กว่าบาทต่อปี

จะมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการและแรงงานภาคเกษตรไม่น้อยกว่า 150,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานกรีดยางจะมีรายได้ดี สม่ำเสมอตลอดทั้งปี

นอกจากนั้น รัฐบาลยังจะได้ผลประโยชน์จากผลผลิตยางของประเทศที่เพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่ายาง 7,700 ล้านบาท/ปี และหากนำยางไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์และส่งออก จะมีรายได้จากการส่งออก 38,500 ล้านบาท

สภาพแวดล้อมก็จะดีขึ้นด้วย

ฟังดูดี และมีความเป็นไปได้ เพราะเวลานี้ราคายางก็มีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์ยางเทียมที่เป็นบายโปรดักส์จากน้ำมันสูงขึ้นตามภาวะราคาน้ำมั นที่มีแต่จะพุ่งทะยานตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นแต่ซัปพลายน้อยลง

ฟังกันเคลิ้มจนกระทั่งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีไม่มีใครตั้งคำถามเลยว่า เหตุใดกระทรวงเกษตรฯจึงมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตร ซึ่งไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ทั้งที่กระทรวงเกษตรฯเองมีหน่วยงานดูแลเรื่องยางโดยเฉพาะอยู่ถึง 2 หน่วย คือ ส.ก.ย. กับ อ.ส.ย.

ถามว่าการตั้งเรื่องอย่างนี้ – คอร์รัปชั่นในเชิงนโยบายหรือไม่ ?

แต่ไม่ว่าคำตอบจะออกมาอย่างไร มติครม.เห็นชอบให้ดำเนินโครงการนี้ตามที่กระทรวงเกษตรฯเสนอ ก็นับเป็นการยืมมือครม.มาการันตีความถูกต้อง โครงการดำเนินไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็นตั้งแต่ต้น

เสมือนการปฏิบัติภารกิจที่ผิดฝาผิดตัว ซึ่งมีแต่จะสร้างปัญหาตามมา


เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว กรมวิชาการเกษตรก็ดำเนินเรื่องต่อด้วยการเปิดประมูลหาเอกชนมาผลิตยางชำถุง

ถึงขั้นนี้แล้วหากต้องการล็อกสเปกเอาเอกชนที่รับงานผูกกันเป็นขาประจำก็ไม่ใช่เรื่องยาก

ออก TOR หรือข้อกำหนดหลักเกณฑ์ในการเข้าประกวดราคาที่สามารถกีดกันผู้ร่วมประมูลรายอ ื่น ๆ อย่างเช่นเรื่องพันธุ์ยาง ส่วนใหญ่ที่ทำกันอยู่ในบ้านเราก็จะเป็นเกษตรกรรายเล็กรายย่อยที่รวมตัวกันเป ็นสหกรณ์ หรือทำเดี่ยว ๆ บริษัทใหญ่ ๆ ไม่ค่อยมี ก็ออกว่าต้องการยางชำถุงจำนวน 90 ล้านต้น โดยให้บริษัทเดียวรับเหมาไปทำ แล้วส่งมอบให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ แทนที่จะกระจายไปยังพื้นที่และเปิดโอกาสให้รายเล็กรายย่อยที่เขามีประสบการณ ์ทำพันธุ์ขายอยู่ก่อน

เหมือนกรณีลำไยอบแห้ง ที่ว่าจ้างให้บริษัทปอเฮง รับอบแห้งรายเดียว ส่วนรายย่อยถ้าอยากทำก็ต้องมาเป็นลูกช่วง ทำตัวเป็นโบรกเกอร์กินส่วนต่าง

นอกจากนั้น ก็กำหนดให้ผู้เข้าประมูลวางหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาสูงถึง 72 ล้านบาท เพราะมูลค่าโครงการสูงถึง 1,400 กว่าล้าน

การกำหนด TOR อย่างนี้รายเล็กรายย่อยไม่มีโอกาสอยู่แล้ว

TOR ที่ออกมาจึงล็อกสเปกเอาไว้บางจุด แต่บางจุดต้องเปิดเอาไว้เพื่อให้เอกชนที่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องยางเข้ามาร่วมได้

ทำกันถึงขนาดว่า ใน TOR ของโครงการที่ต้องส่งมอบพันธุ์ยางถึง 90 ล้านต้นนี้ไม่ได้ระบุแม้แต่น้อยว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมประมูลต้องมีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญด้านยางพารามาก่ อน และต้องมีแปลงกิ่งพันธุ์ยาง แปลงกล้ายางของตนเองด้วย มีกำหนดไว้เพียงกว้าง ๆ ว่า เป็นผู้ที่มีอาชีพจำหน่ายพันธุ์พืชมาอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5 ปี


คุณสมบัติของผู้เสนอราคา ในประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดหาพันธุ์ ระบุเพียงว่าผู้เสนอราคาจะต้องมีแปลงเพาะต้นกล้าไม่ว่าจะเป็นแปลงเดียวหรือห ลายแปลงรวมกันไม่น้อยกว่า 1,000 ไร่ และจะต้องมีแหล่งกิ่งตายางที่ใช้จากแปลงเพาะขยายพันธุ์ที่จดทะเบียนกับกรมวิ ชาการเกษตร แปลงเดียวหรือหลายแปลงรวมกัน ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และมีต้นกิ่งตายางพันธุ์ดีตรงตามพันธุ์ยางที่กรมแนะนำไม่น้อยกว่า 120,000 ต้น

TOR ไม่ได้ระบุว่าผู้เสนอราคาจะต้องมีแปลงของตนเอง ขอเพียงให้มีจะรวบรวมแล้วเช่าแปลงมาจากบุคคลอื่นก็ได้

นั่นคือการล็อกสเปกในจุดที่คู่แ ข่งขันรายอื่นจะเข้ามาสู้ได้ และเปิดกว้างสำหรับข้อที่เป็นจุดอ่อนของบริษัทคู่ขาประจำ

ถัดจากนั้น ก็เตรียมการในขั้นที่ 2 คือ ตั้งคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา ซึ่งจะต้องเป็น “เด็กในคาถา” สั่งซ้ายหันขวาหันได้ เก็บกำความลับได้

นั่นคือกุญแจที่สำคัญและโครงการปลูกยางล้านไร่

ปรากฏผลว่า – เครือซีพีชนะประมูล ทั้ง ๆ ที่ปรากฏหลักฐานชัดว่า การเสนอแปลงกิ่งตายางและแปลงกล้ายางของบริษัท เมื่อเปรียบเทียบกับทำเนียบแปลงขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้าประจำปี 2546 ไม่ถูกต้องตรงกัน ถือเป็นการแจ้งเท็จ ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ TOR กำหนด

แต่เมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการ ประกวดราคา เป็น “เด็กในคาถา” จะหาใครมาตรวจสอบรายละเอียดในจุดนี้

คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาตรวจสอบพบเรื่องนี้ และได้ติดต่อสอบถามไปยังนักการเมืองที่ดูแล

มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแปลงกล้ายางและการส่งมอบกล้ายาง

แต่ก็มีอันต้องเกิดเหตุเกี่ยวกับตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของท่านเสียก่อน


อธิบดีกรมวิชาการเกษตรออกมาการันตีในการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า มีการลงไปตรวจสอบแปลงยางตามที่บริษัทเสนอเข้ามาทุกแปลง แต่ไม่กล้าแสดงเอกสารหลักฐานใด ๆ ต่อสาธารณะว่ามีการเข้าไปตรวจสอบจริงหรือไม่

ก ็ไม่รู้ว่าวันนี้ “หลักฐาน” การตรวจสอบของสตง.ในยุคคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกาจะมีอันสลายหายสูญไปหลังถูกขบวนกังฉินยึดอำนาจอย่างแยบยลหรือไม่

ประเด็นนี้ต้องสะสางให้กระจ่าง เพราะเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้

เพราะเมื่อบริษัทที่ชนะประมูล ไม่มีแปลงกิ่งตาพันธุ์ ไม่มีแปลงกล้ายางดังที่กำหนดไว้ในคุณสมบัติ ก็ทำให้ยางชำถุงที่จะส่งมอบให้แก่เกษตรกรนั้นไม่เพียงพอ ไม่ได้คุณภาพ ตามสัญญาที่ตกลงกัน

และยังเป็นที่มาของการกว้านซื้อยางที่เอา “กิ่งตาสอย” ที่สอยจากยางต้นแก่แล้วมาติดตาส่งมอบปะปนเข้ามาในโครงการ

ซึ่งจะเห็นผลอีก 7 ปีข้างหน้าเมื่อถึงเวลากรีดแล้วจะมีน้ำยางน้อยหรือไม่มีน้ำยางเลย


ยางที่มีน้ำยางน้อยหรือไม่มีน้ำยาง – ก็ไม่ต่างกับ “วัวพลาสติก” ในอดีต

การทำแบบนี้ถือว่าเป็นการผิดเงื่อนไขสัญญา

.........................

ย้อนกลับมาดูเรื่องสัญญาที่กรมว ิชาการเกษตรทำกับเครือซีพี จะเห็นว่ากรมวิชาการเกษตรเอื้ออาทรต่อซีพีอย่างมาก

เอื้ออาทรถึงขั้นที่ว่า -- ทำผิดหลักวิชาการการปลูกยางที่กรมวิชาการเกษตรฯให้คำแนะนำต่อเกษตรกรผู้ปลูก ยางพาราเลยก็ว่าได้

นั่นคือ หลักวิชาการแนะนำว่าควรปลูกยางในต้นฤดูฝน หมายถึงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เพื่อให้ยางสามารถยืนต้นได้ในช่วงฤดูฝน คือถึงเดือนกรกฎาคม ส่วนเดือนสิงหาคมไม่ควรปลูกแล้ว เพราะเสี่ยงกับฝนทิ้งช่วงและหมดฝน เพราะภาคอีสานกับภาคเหนือไม่เหมือนกับภาคใต้ที่เดือนสิงหาคมก็ยังมีฝนอยู่ จะใช้เกณฑ์เดียวกันไม่ได้ เพราะสภาพพื้นที่ สภาพภูมิอากาศต่างกัน

แต่สัญญาที่กรมวิชาการเกษตรทำกับซีพีเป็นอย่างไร – มาดูกัน...

ใ นปีแรก 2547 กำหนดส่งมอบ 4 งวด คือ 31 พ.ค. 47 จำนวน 1.8 ล้านต้น, 30 มิ.ย. 47 จำนวน 7.2 ล้านต้น, 31 ก.ค. 47 จำนวน 7.2 ล้านต้น และ 31 ส.ค. 47 จำนวน 1.8 ล้านต้น

ปีต่อ ๆ ไปก็กำหนดส่งมอบอย่างนี้เหมือนกัน


เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน ก็เพิ่งบอกว่าสั่งการให้เปลี่ยนแปลงแล้ว

สัญญาอย่างนี้คนที่อยู่ในแวดวงยางเขาตั้งคำถามกันทั้งนั้นแหละ

เ ดือนสิงหาคม กรมวิชาการเกษตรกำหนดให้บริษัทส่งมอบได้อย่างไร เพราะถ้ายึดตามหลักวิชาการที่กรมวิชาการเกษตรเองแนะนำว่าต้องปลูกต้นฝนแล้ว สัญญาก็ควรจะกำหนดให้ต้องส่งยางชำถุงถึงมือเกษตรกรให้หมดภายในเดือนมิถุนายน แล้ว

เพราะเกษตรกรรับยางไปปลูกช่วงสิงหาคม เขตอีสานและเหนือ ฝนทิ้งช่วงหรือหมดฝนแล้ว

ไม่เหมือนภาคใต้

ก็จะอ้างภัยแล้งเหมือนกับที่กำลังอ้างกันอยู่เวลานี้

..........................

ไ อ้การใช้คนผิดประเภท ปลูกพืชผิดถิ่น เอาประสบการณ์จากภาคหนึ่งไปใช้อีกภาคหนึ่ง – มีเรื่อง “ตลกขื่น” จะขอเล่าแทรกพักสมองคั่นเวลาตรงนี้สักเล็กน้อย

น ักการเมืองจอมโปรเจกต์บางคนสมัยเมื่อได้รับมอบหมายจากท่านผู้นำให้เป็นประธา นคณะกรรมการติดตามการแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พี่ท่านก็ขยันเสียเหลือเกิน

สร้างงาน สร้างรายได้ ตระเวน “ขุดบ่อน้ำ” กันยกใหญ่


โดยเอาประสบการณ์การขุดบ่อน้ำในภาคอีสานไปใช้ที่ภาคใต้

ปรากฏว่าได้บ่อ แต่ไม่มีน้ำ

ชาวบ้านที่นั่นเขาเรียกบ่อแปลกประหลาดที่เกิดจากวิกฤตความรุนแรงเหล่านี้ว่า...

“บ่อเขมร”

ท่านผู้นำอาจจะเถียงว่าคนหนังสือพิมพ์ กล่าวร้าย ท่านไปตรวจราชการทีไรก็เห็นน้ำเต็มบ่อทุกที

ก ็จะไม่เต็มอย่างไรล่ะ ในเมื่อคืนก่อนที่ท่านผู้นำจะลงไปตรวจราชการ นักการเมืองคนขยันก็ขอแรงข้าราชการทหารตำรวจช่วยกันบรรทุกน้ำไปใส่ให้เต็มทุ กบ่อ


...................

ไม่เพียงแค่เอื้ออาทรให้ส่งมอบยางถึงเดือนสิงหาคมเท่านั้น กรมวิชาการเกษตรยังเปิดช่องให้เครือซีพีส่งมอบยางให้แก่เกษตรกรในเดือนกันยา ยนอีกด้วย โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของเกษตรกร และเครือซีพีก็ไม่ขัดข้องที่จะส่งให้ และพร้อมรับผิดชอบหากยางมีปัญหาเสียหายล้มตาย ส่วนกรมวิชาการเกษตรไม่ขอรับผิดชอบใด ๆ เพราะเป็นความสมัครใจกันของทั้ง 2 ฝ่าย

ค วามจริงแล้ว โดยบทบาทหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร จะอ้างความต้องการของเกษตรกรที่สมัครใจจะรับยางไปเองไม่ได้ กรมวิชาการเกษตรต้องไม่ให้มีการส่งยางแก่เกษตรกรในเดือนกันยายนโดยเด็ดขาด

เพราะรับไปปลูกมีโอกาสรอดยาก ลงทุนสูญเปล่า

เรื่องนี้หน่วยราชการจะลอยตัวไม่รับผิดชอบไม่ได้


การอนุญาตให้เครือซีพีส่งมอบยางแก่เกษตรกรในเดือนกันยายนนี้ ทางผู้นำเกษตรกรชาวสวนยางเขาเชื่อว่าหน่วยราชการต้องการช่วยเหลือซีพีให้ไม่ ต้องรับภาระดูแลรับผิดชอบยางที่ส่งล่าช้า ส่งไม่ทัน

เพราะหากเก็บไว้ข้ามปีต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษา

เป็นการโยนภาระไปให้แก่เกษตรกรตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร

จะเสี่ยงปลูก ซึ่งมีโอกาสตายสูงถ้าไม่ลงทุนรดน้ำ

หรือจะชำไว้ต่อรอปลูกปีหน้า

ทำไมเกษตรกรบางส่วนถึงจำใจรับเอายางถึงแม้จะล่วงเลยมาถึงเดือนกันยายน ซึ่งไม่มีฝนแล้ว

ก็เป็นเพราะพวกเขาขุดหลุมรอไว้แล้วตามเงื่อนไขการเข้าโครงการ เมื่อขุดหลุมแล้ว รื้อถอนพืชที่ปลูกไว้ออกไปแล้ว ถึงยางมาช้าก็ต้องเอา – ไม่มีทางเลือก


ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น การชดเชย ชดใช้ ต้องไม่ใช่เฉพาะพันธุ์ยาง -- ต้องคิดค่าไถ ค่าขุดหลุมใหม่ รวมทั้งค่าเสียโอกาสเสียเวลาที่ผ่านไปโดยไม่มีรายได้จากแปลงที่ดินที่เตรียม สำหรับปลูกยางตั้งแต่ต้นฝนแล้ว แต่เพิ่งมาได้ยางเมื่อหมดฝน

แต่ก็เปล่า

ทำไมไม่เอื้ออาทรกับคนยากคนจนบ้าง

โ ครงการนี้ บรรดาลูกช่วงที่ผลิตยางชำถุงส่งให้เครือซีพีในราคา 11 – 12 บาท ขณะที่ราคาที่เครือซีพีทำสัญญาตกลงกับกรมวิชาการเกษตร คือ 15.70 บาท

กินส่วนต่างประมาณ 400 ล้านบาท


.........................

สัญญาจ้างยังกำหนดการส่งมอบกล้ายางพาราที่มีลักษณะ 1 ฉัตร หรือแตกยอดชั้นเดียว

ซึ่งชาวสวนยางเขารู้ดีว่า “ยางฉัตรเดียว” ยังไม่มีรากแข็งแรงพอที่จะรอด เพราะยางแตกยอดง่าย เพียงแค่ตัดมาจิ้มลงดินไม่นานก็แตกยอด แต่ยังไม่มีราก

ต้องได้ “ยาง 2 ฉัตร” จึงจะมีโอกาสรอดสูงกว่า เนื่องจากรากแข็งแรงกว่า

ยางในโครงการมันไม่มีรากแก้ว ปลูกไปยิ่งนาน 4 - 5 ปี เกษตรกรก็ยิ่งเสียเวลา เสียโอกาส

ต้นกล้าที่ไม่สมบูรณ์พอบางต้น ถึงแม้จะรอดไปได้ แต่มันจะแสดงอาการเอาตอนอายุ 6 - 7 ปี ถึงระยะที่จะกรีดยางได้ มันจะกลายเป็นยางแคระ หรือไม่ให้น้ำยางเอาดื้อ ๆ

เ มื่อถึงเวลานั้น คือในอีก 6 - 7 ปีข้างหน้า คนที่เกี่ยวข้องหลายคนคงจะเกษียณอายุราชการ กินบำนาญ หรือไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชนสบายไปแล้ว

ส่วนเกษตรกรที่คิดจะพลิกชีวิตตัวเอง ไถสวนเก่าเพื่อปลูกยางพารา หวังจะขายแพง ๆ จะอยู่ต่อได้อย่างไร ?

มิพักต้องพูดถึงรายได้ของประเทศ ชาติที่คาดการณ์ฝันเฟื่องเอาไว้ว่าจะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้ – ก็มีแต่จะสูญไป


..........................

มีเรื่อง “ตลกขื่น” จะขอเล่าแทรกพักสมองคั่นเวลาตรงนี้อีกสักเล็กน้อย

ชาวบ้านเขาเล่ากันสนุก ๆ ว่าถัดจากยางพารา กระทรวงเกษตรฯกำลังจะหันบังเหียนไปยังปาล์ม

กำลังคิดโครงการปาล์มพันธุ์ใหม่

เป็นปาล์มพันธุ์ไทย คิดค้นโดยข้าราชการและนักการเมือง จากการศึกษาวิจัยพบว่าให้ผลผลิตดีมาก ๆ สำหรับข้าราชการและนักการเมืองชื่อว่า....

ปาล์มพันธุ์สวา

หรือ...

พันธุ์สวาปา(ล์)ม


..........................

ไม่เพียงแต่โครงการปลูกยาง 1 ล้านไร่เท่านั้นที่อื้อฉาวตั้งแต่ประมูลจนบัดนี้

โครงการสวนยางอื้ออาทรก็มีปัญหาไม่แพ้กัน

และถึงเวลานี้โครงการก็ยังไม่ไปถึงไหน เพราะบริษัทตัวแทนของนักการเมืองและข้าราชการที่กะเข้ามาฮุบงานนี้ ซึ่งมีมูลค่านับหมื่นล้าน ถูกกลุ่มเกษตรกรร้องเรียน กระทั่งต้องส่งสัญญาไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดตีความ ส่วนเกษตรกรที่เตรียมตัวเข้าร่วมโครงการก็ถูกลอยแพรอเก้อจนบัดนี้

............................

“ผมไม่ทราบ เป็นเรื่องของข้าราชการประจำ”

นี่คือวาทะประจำของนักการเมือง

โครงการปลูกยาง 1 ล้านไร่นี้ก็เช่นกัน ถ้าจนตรอกจริง ๆ ก็จะเป็นข้าราชการประจำที่จะต้องถูก “ฆ่าตัดตอน” เพราะกระบวนการเป็นไปอย่างที่เล่ามาโดยลำดับ นักการเมืองสั่ง ข้าราชการประจำตั้งเรื่องและดำเนินการ นักการเมืองได้เงิน ข้าราชการประจำได้เงินและตำแหน่ง

คำถามง่าย ๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะต้องตอบด้วยสามัญสำนึกก็คือ....

ถ้านักการเมืองไม่สั่ง – ข้าราชการประจำจะกล้าหรือ ?

เลิกกันเสียทีเถิดกับบทสรุปประเภท....

คนสั่ง – ไม่โดน

คนเซ็น – โดน


สร้างประเพณีใหม่ขึ้นมาว่า....

เกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นในยุคใด นักการเมืองที่คุมหน่วยงานนั้นในขณะนั้น – ต้องโดน !

.............................

ถ้ายังยึดคติ “คนสั่ง – ไม่โดน, คนเซ็น – โดน” ก็ให้ระวังกันเอาไว้ทั้งนายทั้งบ่าวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกครั้ง

โดนยกครอก – ตายยกพรรค

เพราะบาปกรรมจากการโกงเกษตรกรและโกงคนจนตามทันเร็วมากและแรงมาก

ห นึ่งในปัจจัยที่ทำให้พรรคก๊กมินตั๋งประสบชะตากรรมในระดับถูกกวาดตกแผ่นดินให ญ่ในอดีตมาแล้ว ก็เพราะพฤติกรรมโกงเกษตรกรและโกงคนจนนี่แหละ !

จดหมายจากศ.ระพี สาคริก

เรียน คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เคารพ


ผมติดตามรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ แทบทุกวันศุกร์ ยกเว้นการเดินทางไปทำงานในพื้นที่

เพราะรายการที่คุณทำร่วมกับคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ มีเนื้อหาสาระที่ให้ประโยชน์ ทั้งในด้านเป็นข่าว และเป็นแง่คิดที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของสังคม

เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา คุณหยิบยกเอาประเด็นคณะรัฐมนตรีจะจัดประชุมสัญจร ที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ซึ่งเมื่อ 60 ปีกว่ายังเป็นป่า ผมเคยไปเดินเกวียนอยู่ที่นั่น

ประเด็นสำคัญ คุณได้อธิบายชี้แจงว่า ปราสาทพนมรุ้งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับกษัตริย์ประกอบพิธี ซึ่งเป็นของสูงทางวัฒนธรรม แม้แต่ที่โบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก็เป็นสถานที่ซึ่งพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้นที่จะเข้าไปทำพ ิธีได้

ถ้าคนแต่ก่อนเขาพูดก็คงพูดว่า -- คนธรรมดาเข้าไปทำอะไรระวังเหาจะขึ้นหัว

คุณสนธิบอกว่า ลูกน้องคิดทำให้เจ้านาย เพื่อยกย่อง ถ้าเราไม่ลืมสัจธรรมสิ่งหนึ่งซึ่งมีผู้พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ”ลูกน้องมักทำให้ผู้ใหญ่เสียหาย” ถ้าผู้ใหญ่ลืมตัว ขณะนี้เป็นกันมากจริง ๆ ครับ

เมื่อคุณหยิบยกเอาข้อความที่ว่า เช่น ในโบสถ์วัดพระแก้วมรกต ”เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วครับ” คุณสนธิก็คงจะมีอยู่ในใจแล้วก็ได้

เ มื่อช่วงสงกรานต์ ผมชมข่าวทางโทรทัศน์ กล้องจับองค์พระแก้วมรกต กับจับที่คุณทักษิณ แยกกันเป็นทีละตอน ผมก็สงสัยแล้วว่าอาจเป็นที่เดียวกัน แต่ผมก็ไม่เชื่อสายตาว่าจะมีการอาจเอื้อมขนาดนั้น เพราะคนนี้ได้รับคัดเลือกมาจากประชาชนทั่วประเทศควรจะเป็นคนรู้จักเจียมตน

แต่วันรุ่งขึ้น ผมเห็นภาพสีเต็มหน้าหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และภาพสีในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ว่า นายกรัฐมนตรีเข้าไปเป็นประธานประกอบพิธีศาสนาในโบสถ์วัดพระแก้ว แถมยังแต่งตัวแบบลำลอง นั่งบนพรมสีแดง มีเจ้าหน้าที่เข้าไปก้มศีรษะมอบเครื่องกรวดน้ำให้

ผมไม่เคยเห็นภาพอย่างนี้มาก่อนในชีวิต

เห็นแต่องค์พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์แต่งฉลององค์ด้วยเครื่องราชอิสริยยศเท่านั้น

หลายคนเอาภาพนี้มาให้ดูกัน และคิดกันเอาเอง ทำให้ผมนึกในใจว่า ขณะนี้บ้านเมืองเกิดอาเพศขึ้นมาแล้วหรือ ?

อย่างที่โบราณกล่าวความตอนหนึ่ง ไว้ว่า “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม” ผมดูแล้วใจหดหู่มากครับ


ที่คุณสนธิกล่าวสาปแช่งไว้ตอนใกล้จะปิดรายการ ผมว่ามันยังน้อยไป

คุณสนธิพูดเรื่อง เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ หากจำได้ เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีเรื่อง ผักสวนครัว รั้วกินได้ มีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการมาขอสัมภาษณ์ความคิดเห็นจากผม ผมพูดไว้ตอนหนึ่งว่า

“ถ้าเอาเรื่องจริง ๆ อาจไม่มีคุกจะใส่พอ”

คนในเกษตร โกรธผมมาก ถึงกับกล่าวว่า ”เกิดในเกษตรแท้ ๆ พูดยังงี้ได้ยังไง ?” ผมไม่อยากโต้เถียง เพราะถือว่าพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า ”ถ้าไม่รักกันจริง ก็ไม่พูดตรง ๆ”

แต่การที่มีคนกลุ่มหนึ่งพูดว่า เกิดในเกษตรแท้ ๆ พูดได้ยังไง ? มันสะท้อนให้เห็นความรู้สึกของคนในเกษตรส่วนมาก ถือพวกมาตั้งแต่อยู่ในระบบการจัดการศึกษาแล้ว ยิ่งมาโดนนักการเมืองสมัยนี้ด้วย ยิ่งช้ำหนัก

ผมเคยตอบคำถามโทรทัศน์หน้าอนุสาวรีย์สามบูรพาจารย์ ที่เขาถามว่า อาจารย์รักเกษตรหรือเปล่า ?

ผมตอบ รักสิครับเพราะเป็นของพื้นฐานแผ่นดินไทย แต่ผมไม่ใช่พวกเกษตร ?

ใครจะคิดได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ครับ แต่มันเป็นมานานแล้ว จึงทำให้ปัญญามืดบอด ไม่ยังงั้นชีวิตเกษตรกรจะดีกว่านี้มาก


ด้วยความเคารพอย่างสูง


ระพี สาคริก