เพื่อชีวิต..ใคร???

วันศุกร์, ธันวาคม 21, 2550

โกงยุค “แม้ว” ทำชาติสูญ 1.9 แสนล้าน

คตส.เปิดสมุดเหลืองสุดอึ้ง แฉ “ยุคแม้ว” โกงมโหฬาร ทั้งเลี่ยงภาษี-ที่ดินรัชดาฯ ฉาว-สนามบินสุวรรณภูมิ-บ้านเอื้อาทร-หวยบนดิน ชี้ทำประเทศชาติเสียหายกว่า 2 แสนล้าน

สรุปการดำเนินงานของ
คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ คตส.


-------------------------

คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 30 กันยายน 2549 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)

คตส.มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบเกี่ยวกับสัญญา สัญญาสัมปทาน การจัดซื้อจัดจ้าง การเอื้อประโยชน์ ของฝ่ายต่างๆ ตลอดจนการกระทำของบุคคลใดๆ ที่เป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือหลีกเลี่ยงภาษีอากร ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ

ผลการดำเนินงานของ คตส.จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2550 มีดังต่อไปนี้

1. กรณีภาษีเงินได้เกี่ยวกับการซื้อขายและโอนหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ได้ส่งให้กรมสรรพากรดำเนินการ 3 กรณี

(1) กรณี นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ รับหุ้นจากคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ให้แต่มิได้ชำระภาษี

ได้สรุปผลการตรวจสอบ ส่งให้กรมสรรพากรดำเนินการประเมิน เรียกเก็บภาษีเงินได้จำนวน 546 ล้านบาทเศษ

นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยวางหลักประกันค่าภาษี ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของกรมสรรพากร

(2) กรณีนายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ จากบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนท์ จำกัด คนละ 164.6 ล้านหุ้น รวม 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท และบุคคลทั้งสองได้ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเส็กในราคา 49.25 บาท มีภาษีเงินได้ที่ต้องเรียกเก็บโดยไม่รวมเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มเป็นเงิน 5,691 ล้านบาทเศษ

ได้สรุปผลการตรวจสอบส่งให้กรมสรรพากรดำเนินการประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้ดังกล่าวแล้ว

กรมสรรพากรได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของบุคคลทั้ง สองไปแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2550 เป็นจำนวนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวมเป็นเงิน 11,809,294,773.42 บาท

(3) บริษัท Ample Rich Investments Limited (ARI) กรณีประกอบกิจการในประเทศไทย ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร

กรณี ARI ประกอบกิจการในประเทศไทยต้องเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิ ซึ่งคำนวณได้จากกิจการสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี 2546-2549 รวม 4 ปี เป็นเงิน 15,381,391,722.47 บาท แต่ ARI มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล จึงต้องรับผิดตามมาตรา 67 ตรีแห่งประมวลรัษฎากรอีก 476,437,782.70 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 15,857,829,505.17 บาท

นอกจากนี้ ARI ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งกรมสรรพากร กรณีขายหุ้น SHIN ให้แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร คิดเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 4,036,787,885.83 บาท และเงินเพิ่ม 1,029,380,910.90 บาท รวมเป็นเงิน 5,066,168,796.73 บาท และได้ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษี เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2550 กรมสรรพากรอยู่ในระหว่างดำเนินการ

สรุปเงินภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายและโอนหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด เป็นเงิน 33,279,413,075.32 บาท

2. กรณีการหลีกเลี่ยงภาษี

กรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน ร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) (2)

คตส. ได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินคดี

อสส. ได้ฟ้องศาลอาญา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2550 คดีหมายเลขดำที่ อ.1149/2550 ได้สืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ปัจจุบันอยู่ในระหว่างสืบพยานจำเลย

3. กรณีไต่สวนทางวินัยและอาญา

ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการไต่สวนข้าราชการกระทรวงการคลังและกรม สรรพากร (นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล และพวก) ที่ได้แถลงข่าวและตอบข้อหารือกรณีไม่เรียกเก็บภาษีเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนายพานทองแท้ ชินวัตร และ นางสาวพินทองทา ชินวัตร จากบริษัท Ample Rich Investment Limited

คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาไปยังผู้ถูกกล่าวหา ขณะนี้อยู่ในระหว่างรอคำชี้แจงจากผู้ถูกกล่าวหา และดำเนินตามขั้นตอนการไต่สวน คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ เดือนธันวาคม 2550

4. กรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและภริยาเข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดินของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (ที่ดินถนนรัชดาภิเษก)

การตรวจสอบพบว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ร่วมกับพวกกระทำความ ผิดทางอาญาที่ก่อให้เกิด ความเสียหายแก่รัฐเท่ากับมูลค่าของที่ดินจำนวน 4 โฉนด เนื้อที่ 33-0-78.9 ไร่ บริเวณถนนรัชดาภิเษก ซึ่งยังประมาณราคาตลาดมิได้ ราคาที่ปรากฏตามสัญญาที่เป็นส่วนของการกระทำผิดเป็นเงิน 772 ล้านบาท คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง โดยอัยการสูงสุดได้เป็นโจทก์ฟ้องคดี จำเลยไม่มาศาล โดยให้ทนายจำเลยยื่น ขอเลื่อนคดีต่อศาล

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยไม่อาจรับฟังได้ จึงไม่มีเหตุที่จะเลื่อน การพิจารณาคดีออกไป จำเลยทราบเรื่องที่ถูกฟ้องและได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบแล้ว แต่ไม่มาศาล พฤติการณ์มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยหลบหนี จึงให้ออกหมายจับ

ในการพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2550 โจทก์ยังไม่สามารถนำตัวจำเลยมาศาลได้ ศาลจึงได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราว

การจำหน่ายคดีชั่วคราวหมายความว่าระหว่างที่ยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล จะหยุดการพิจารณาคดีไว้ก่อน ได้ตัวมา เมื่อใดก็หยิบยกคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ภายในอายุความ 15-20 ปี เพราะฉะนั้น มิใช่ว่าจำเลยหลุดพ้น ไปจากคดี

5. โครงการจัดซื้อจัดจ้างปรับเปลี่ยนสายพานลำเลียงกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบ วัตถุระเบิด ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดโดย นักการเมือง ข้าราชการ บุคคลอื่น ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ทำให้บริษัทท่าอากาศยานสากล กรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และประชาชนได้รับ ความเสียหายจากการจัดหาและติดตั้งสายพานลำเลียง กระเป๋าและสัมภาระผู้โดยสารและเครื่องตรวจสอบ วัตถุระเบิด CTX 9000 DSi ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในราคาแพงกว่าปกติไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อช่วยเหลือผู้รับจ้างมิให้เป็นฝ่าย ประพฤติ ผิดสัญญาและไม่ต้องเสียค่าปรับ ทำให้บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) ได้รับความเสียหายไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท

คณะอนุกรรมการไต่สวน สอบคำพยานบุคคลไปแล้วทั้งสิ้น 45 ปาก ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด รวมทั้งสิ้น 38 รายเข้าชี้แจงเสร็จสิ้นทุกรายแล้ว คณะอนุกรรมการฯ อยู่ระหว่างการรวบรวมและแปลเอกสาร เพื่อสรุปสำนวน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2550

6. โครงการจัดซื้อจัดจ้างท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน สนามบินสุวรรณภูมิ

ผลการตรวจสอบการดำเนินการออกแบบและ กำหนดเงื่อนไขในเอกสารประกวดราคาของโครงการ ดังกล่าว มีการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ แบบแผน และมติ ค.ร.ม. หลายประการ ก่อให้เกิด ความเสียหายต่อรัฐ สมรู้ร่วมกันกระทำ โดยกลุ่มบุคคล และนิติบุคคลหลายฝ่าย ได้แก่ บริษัทผู้ขายท่อร้อย สายไฟฟ้า บริษัทผู้รับจ้างออกแบบ และเจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้องของ บทม.

คณะอนุกรรมการไต่สวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ ผู้ถูกกล่าวหารับทราบทุกรายแล้วและผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่ได้ชี้แจงแก้ข้อ กล่าวหาแล้ว ขาดผู้ถูกกล่าวหา ที่ยังไม่ได้มาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอีก 10 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหา และรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น กรอบระยะเวลาในการสรุปสำนวนฯ คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน เดือนพฤศจิกายน 2550 เนื่องจากต้องรอคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาและรอเอกสารการตรวจ สอบ และรับรองความถูกต้องคำแปลเอกสารภาษาอังกฤษจากกระทรวงการต่างประเทศ

7. โครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีรับส่ง

การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ กับกลุ่มกิจการร่วมค้า บี.กริมฯ วงเงินค่าก่อสร้าง 25,907,000,000 บาท ค่าธรรมเนียมทางการเงิน 1,666,214,700 บาท ดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ MLR-2.00 ภายใต้เงื่อนไขให้ผู้รับจ้างเป็นผู้หาแหล่งเงินที่ใช้ในการก่อสร้างเอง แล้วการรถไฟฯ กำหนดจะชำระค่าก่อสร้าง ค่าธรรมเนียมทางการเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนให้กับกลุ่มธนาคาร ผู้สนับสนุนทางการเงิน เมื่อครบกำหนด 990 วัน (วันที่ 5 พฤศจิกายน 2550)

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีการกระทำร่วมกันของเจ้าหน้าที่ของ รัฐและเอกชนดำเนินการ โดยทุจริตซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐประมาณ 1,200 ล้านบาท

ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบถ้อยคำพยานและตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพิ่มเติม เพื่อความชัดเจน ในข้อเท็จจริงและการขยายผลไปสู่ผู้ร่วมกระทำผิดอื่นที่ประกอบด้วย พนักงานขององค์การ ข้าราชการ และกลุ่มเอกชน

8. กรณีธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้เงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักร และพัฒนาการประเทศแก่รัฐบาลสหภาพพม่า

กรณี ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ให้เงินกู้แก่ประเทศสห ภาพพม่าเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท โดยคิด ดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 3 ต่อปี เป็นการดำเนินนโยบายแอบแฝง เกี่ยวกับการหาประโยชน์สำหรับธุรกิจของครอบครัวอดีตนายก รัฐมนตรีกับพวก (บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) เป็นเหตุให้ กระทรวงการคลังเสียหายโดยต้องจ่ายเงินชดเชยอัตราดอกเบี้ย ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จ่ายให้ธนาคารออมสินและ ตั๋วสัญญาใช้เงิน กับอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับจากรัฐบาลพม่า ให้กับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เฉพาะจำนวนเงินให้กู้เพื่อซื้ออุปกรณ์ดาวเทียมฯ จาก บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 596,330,270.30 บาท ตามสัญญาเงินกู้ 12 ปี คิดเป็นความเสียหายจากการให้กู้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าทุนเป็นเงิน 99,962,037.61 บาท

คาดว่าจะเสนอผลการไต่สวนต่อคณะกรรมการ คตส. ได้ประมาณเดือนธันวาคม 2550

9.โครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

การตรวจสอบพบว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับพวก รวม 49 คน กระทำการที่เป็นความผิดทางอาญา และก่อให้เกิดความ เสียหายแก่รัฐ โดยมีความเสียหายเบื้องต้นดังนี้

ความเสียหายของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นเงิน 16,027,505,235.94 บาท

ความเสียหายของกระทรวงการคลังในส่วนที่ไม่ได้ภาษีอากรที่จะต้องได้ตามประมวลรัษฎากร เป็นเงิน 8,970,740,822.62 บาท

กระทรวงมหาดไทยต้องขาดประโยชน์ในการที่ไม่ได้รับภาษีการพนันตามพระราชบัญญัติการพนันฯ เป็นเงิน 12,792,152,581.50 บาท

รวมเป็นความเสียหายของรัฐทั้งสิ้นในการกระทำผิดทางอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับพวก เป็นเงินทั้งสิ้น 37,970,398,640.06 บาท

คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหา ทราบ และผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อกล่าวหาครบทั้ง 49 คนแล้ว และคณะอนุกรรมการไต่สวนได้สอบพยาน ที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างเป็นพยานหมดแล้ว ได้กำหนดประเด็นที่จะพิจารณาตามข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหา โดยจะกำหนดวันที่จะพิจารณาในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม 2550 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเสนอต่อ ที่ประชุมได้ภายในเดือนตุลาคม 2550 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบพยานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหา และสรุปคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2550

10. โครงการจัดซื้อต้นกล้ายาง และการดำเนินการโครงการปลูกยาง 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

การตรวจสอบพบว่า การอนุมัติโครงการและอนุมัติการใช้เงินกองทุน รวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไม่ชอบด้วยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุน รวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. 2534 และการขอรับการสนับสนุนจาก สกย. ใช้เงิน CESS ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 โดยมูลค่าของการอนุมัติให้ใช้เงินในโครงการเฉพาะที่เกี่ยวกับ การผลิตพันธุ์ยาง 1,440 ล้านบาท มีผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ทางอาญาและก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ รวม 90 ราย

คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบ และผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาครบถ้วนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบพยานบุคคลตามคำร้องขอของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งอ้างพยานเพิ่มเติม จำนวน 8 คน คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายน 2550 จะสามารถเสนอเรื่อง ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดได้

11. โครงการจัดก่อสร้างและจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ของ บริษัท ห้องปฎิบัติการกลางตรวจสอบผลิตภัณฑ์เกษตร และอาหาร จำกัด (Central Lab)

เป็นโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้ง บริษัทเอกชนโดยใช้เงินของทางราชการ มีข้อมูลเบื้องต้นว่า การจัดซื้อจัดจ้าง มีผู้ยื่นซอง 2 บริษัท เป็นรายเดียวกัน กก.กำหนดคุณสมบัติ ทีโออาร์ และ กก. ตรวจรับ เป็นชุดเดียวกัน ตลอดจนมีเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง กับนักการเมืองได้รับประโยชน์

การตรวจสอบพบพยานหลักฐาน เอกสารต่าง ๆ และพยานบุคคลจำนวน 100 ปาก เชื่อได้ว่ามีการกระทำ ความผิดตามกฎหมายเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิด เกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และพบว่า นักการเมือง ข้าราชการ และเอกชน กลุ่มเดียวกันได้ร่วมกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันในโครงการอื่นด้วย คณะอนุกรรมการตรวจสอบ จึงได้ตรวจสอบโครงการของกรมวิชาการเกษตรเพิ่มขึ้นอีก 3 โครงการ

คาดว่าจะสามารถเสนอผลการตรวจสอบต่อ คตส.ได้ภายในเดือนธันวาคม 2550

12. กรณีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

ธนาคารแห่งประเทศไทยร้องทุกข์ กล่าวโทษว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติเงินกู้ให้แก่บริษัท ในเครือกฤษดามหานคร เกินวงเงินที่ต้องใช้จริงเป็นจำนวน 3,500 ล้านบาท ซึ่งคณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ตรวจสอบพยาน เอกสารต่าง ๆ และได้สอบพยานบุคคลจำนวน 129 ปาก

คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาจำนวน 37 ราย ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาพร้อมเอกสารประกอบคำชี้แจงจำนวน 28 ราย ผู้ถูกกล่าวหาไม่ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา 9 ราย

ขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมและสรุปความผิดของกลุ่มต่าง ๆ โดยคาดว่า จะแล้วเสร็จประมาณเดือน ธันวาคม 2550

13.โครงการบ้านเอื้ออาทร

คณะอนุกรรมการตรวจสอบ เรื่อง การจัดซื้อจัดจ้างเอกชนโดยการเคหะแห่งชาติ ในโครงการบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 4 เริ่มตรวจสอบโครงการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 จนถึงปัจจุบัน

จากการตรวจสอบสามารถแบ่งพฤติการณ์ทุจริตออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การทุจริตในการอนุมัติโควตา และเงินล่วงหน้า 1 คดี ซึ่งอยู่ในระหว่างการไต่สวน และการทุจริตเป็นรายโครงการ 4 คดีซึ่งอยู่ในระหว่าง การไต่สวน 1 คดี และการตรวจสอบ 3 คดี

การทุจริตในโครงการอนุมัติโควตาและเงินล่วงหน้า

จากการตรวจสอบและไต่สวนการทุจริตในการอนุมัติโควตาและเงินล่วงหน้า กรณีบริษัท พาสทิญ่า ไทย จำกัด พบว่า มีบริษัทผู้ประกอบการในโครงการบ้านเอื้ออาทรอีกหลายราย ที่มีพฤติการณ์ฟอกเงินต้องสงสัยว่าผ่านบริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ในลักษณะเดียวกันกับ บริษัท พาสทิญ่า ไทย จำกัด (บริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายข้าว ซึ่งมีหลักฐานแสดงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในขณะนั้น) คณะ อนุกรรมการไต่สวนฯ จึงขยายผลการตรวจสอบให้ครอบคลุมการ อนุมัติโควตาและเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ประกอบการทุกราย ขณะนี้อยู่ใน ระหว่างการตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของ บริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด และเส้นทางเงิน ที่สั่งจ่ายโดยการเคหะแห่งชาติให้แก่บริษัทผู้ประกอบการที่ต้องสงสัยใน โครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งในเบื้องต้นพบว่ามี บริษัทผู้ประกอบการในโครงการบ้านเอื้ออาทร จำนวน 3 ราย จ่ายเงินให้กับบริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด รวมเป็นเงิน 149 ล้านบาท ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่า บริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด จะเป็นแหล่งฟอกเงิน คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนเพื่อส่งสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2550

กรณีโครงการเมืองใหม่บางพลีและโครงการร่มเกล้า 2

คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ กรณีโครงการเมืองใหม่บางพลีและโครงการร่มเกล้า 2 ซึ่งการเคหะฯ ว่าจ้าง บริษัท เดวา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ดำเนินการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรทั้งสองโครงการ รวม 11,664 หน่วย เป็นเงิน 4,898.88 ล้านบาท โดยมีพฤติการณ์เป็นการทำนิติกรรมอำพรางการซื้อขายที่ดินของการเคหะฯ ทำให้การเคหะฯ ต้องจ่ายเงินเพิ่มและ บริษัท เดวาฯ ได้ประโยชน์เป็นเงินประมาณ 781.872 ล้านบาท ทั้งนี้ มีผู้ถูกกล่าวหารวม 13 ราย

คณะกรรมการไต่สวนฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้แก่ผู้ถูกกล่าวหารับทราบแล้ว 9 ราย และอยู่ในระหว่าง การติดต่อเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาอีก 4 ราย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2550 และจะสามารถ สรุปสำนวนเพื่อส่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้ภายในเดือน ธันวาคม 2550

กรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรรังสิต คลอง 9

จากการร้องเรียนว่ามีการจัดซื้อที่ดินเพื่อจัดทำ โครงการบ้านเอื้ออาทร รังสิต คลอง 9 ในราคาสูงเกินจริง คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ตรวจสอบและพบข้อเท็จจริง ว่า การเคหะฯ จัดซื้อที่ดินขนาด 99 ไร่ จากบริษัท ผู้ประกอบการ โดยจัดซื้อที่ดินในราคาสูงเกินจริงเป็นเงิน ประมาณ 39 ล้านบาท นอกจากนี้ยังปรากฏพฤติการณ์ว่า เป็นการร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ของการเคหะฯ และบริษัท ผู้ประกอบการ โดยพบการปลอมแปลงเอกสารการประเมินราคาที่ดิน ทำให้การเคหะฯ รับซื้อที่ดินในราคาที่ผิดปกติ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบเส้นทางเงินค่าที่ดิน เพื่อขยายผลผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป คาดว่าจะสามารถสรุป สำนวนเพื่อเสนอ คตส. ได้ภายในเดือนตุลาคม 2550 เพื่อนำสำนวนไปสู่ขั้นตอนการไต่สวนต่อไป

กรณีโครงการบ้านเอื้ออาทรลาดกระบัง 2

จากการร้องเรียนว่ามีการจัดซื้อที่ดินเพื่อจัดทำโครงการบ้านเอื้อ อาทรลาดกระบัง 2 ในราคาสูงเกินจริง คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ตรวจสอบและพบข้อเท็จจริงว่า การเคหะฯ จัดซื้อที่ดินขนาด 100 ไร่ จากบริษัทผู้ประกอบการ โดยจัดซื้อที่ดินในราคาสูงเกินจริงเป็นเงินประมาณ 130 ล้านบาท ซึ่งปรากฏพฤติการณ์ว่าเป็นการร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ของการเคหะฯ และบริษัทผู้ประกอบการเพื่อให้การเคหะฯ รับซื้อที่ดินในราคาที่ผิดปกติ โดยมีการไม่ปฏิบัติตามระเบียบหลักเกณฑ์โครงการ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบเส้นทางเงินค่าที่ดิน เพื่อขยายผลผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนเพื่อเสนอ คตส.ได้ภายในเดือนตุลาคม 2550 เพื่อนำสำนวนไปสู่ขั้นตอนการไต่สวนต่อไป

กรณีโครงการกบินทร์บุรีและโครงการอรัญประเทศ

จากการตรวจสอบเอกสารรายงานการประเมินราคาที่ดินของบริษัทผู้ประกอบ การในโครงการบ้านเอื้ออาทร คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ข้อเท็จจริงว่า บริษัทผู้ประกอบการได้ปลอมแปลงเอกสารการประเมินราคาที่ดิน โครงการบ้านเอื้ออาทร กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี และโครงการบ้านเอื้ออาทร อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ประกอบกับปรากฏพฤติการณ์ว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของการเคหะฯ และบริษัทผู้ประกอบการ ทำให้การเคหะฯ จัดซื้อในราคาสูงเกินจริง เป็นเงินประมาณ 18 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการาตรวจสอบ เส้นทางเงินค่าที่ดิน เพื่อขยายผลผู้ร่วมกระทำผิดต่อไป คาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนเพื่อเสนอ คตส. ได้ภายในเดือนตุลาคม 2550 เพื่อนำสำนวนไปสู่ขั้นตอนการไต่สวนต่อไป

14. การจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร

การดำเนินการจัดซื้อยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ซึ่งดำเนินการโดยบุคคลหลายฝ่าย มีมูลน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำร่วมกัน มีเป้าหมายอันเดียวกัน ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี ระเบียบ และกฎหมาย โดยมีการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของสินค้า วิธีการ และราคาไว้ล่วงหน้า ส่อไปในทางมีเจตนาทุจริต เป็นเหตุให้มีการจัดซื้อในราคาที่สูงเกินความเป็นจริง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเป็นเงิน 1,900 ล้านบาทเศษ

คณะอนุกรรมการไต่สวนได้ดำเนินการไต่สวนเพื่อพิสูจน์การกระทำ ความผิดของบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวน 5 คน คือ นายโภคิน พลกุล นายประชา มาลีนนท์ นายสมศักดิ์ คุณเงิน นายสมัคร สุนทรเวช และ พล ต.ต. อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ และได้ดำเนินการแสวงหา ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิด เพิ่มเติมหรือไม่ โดยในชั้นไต่สวน ได้ดำเนินการสอบถ้อยคำบุคคลไปแล้วจำนวน 24 คน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการสรุปข้อเท็จจริงเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา แก่ผู้ที่ถูกชี้มูลความผิด

15. การกระทำผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่ก่อให้เกิดความ เสียหายแก่รัฐ เพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจตนเองและพวกพ้อง โดยพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร

15.1) ในส่วนมาตรการเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจโทรคมนาคม ของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบพบว่า

(1) มีการแก้ไขสัญญาข้อตกลงลดสัดส่วนแบ่งรายได้ค่า บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid) เพื่อประโยชน์ แก่บริษัทเอกชนซึ่งเป็นการแก้ไขสัญญาโดยมิได้ดำเนินให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการ ของรัฐ พ.ศ. 2535 ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ตลอดอายุสัมปทานเป็นเงิน ประมาณ 71,677 ล้านบาท

(2) มีการแก้ไขสัญญาข้อตกลงปรับเกณฑ์การตัดส่วนแบ่ง รายได้ให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอกชน ทำให้รัฐเสียหายประมาณ 700 ล้านบาท

(3) มีการตราพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในกิจการ โทรคมนาคม และได้มีมติคณะรัฐมนตรีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เสียหายประมาณ 30,667 ล้านบาท

(4) เรื่องบริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)ท เกี่ยวกับดาวเทียม IPstar และการได้ยกเว้น ภาษีจากคณะกรรการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ อยู่ในระหว่างการรวบรวมเอกสารหลักฐาน และสอบปากคำ ผู้ที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเสนอผลการไต่สวนได้ภายในเดือนธันวาคม 2550

15.2) ในส่วนที่เกี่ยวกับการคงถือไว้ซึ่งหุ้นบริษัทชินคอร์ป ได้ตรวจสอบพบหลักฐานน่าเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหายังคงถือไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทชินคอร์ป ทั้งในชื่อบุคคลและในชื่อบริษัทจดทะเบียนต่างประเทศ ซึ่งเป็นการ ผิดกฎหมาย และขณะเดียวกันก็เป็นเหตุเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และพฤติการณ์ร่ำรวยผิด ปกติอีกส่วนหนึ่งด้วย

ขณะนี้อยู่ในระหว่างการร่างข้อกล่าวหาต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสามารถเสนอผลการไต่สวนได้ภายใน เดือนธันวาคม 2550

16. การอายัดทรัพย์สินที่ครอบครัว บุตร บริวาร ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรได้รับจากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่กลุ่มกองทุนเทมาเส็ก

ทำไมต้องมีการอายัดทรัพย์

คตส. ตรวจสอบเส้นทางเดินของเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ปฯ พบว่าเงิน 73,000 ล้านบาท ถูกจำหน่ายจ่ายโอน โยกย้าย เหลือประมาณ ห้าหมื่นกว่าล้านบาท ถ้าไม่อายัด รอให้คดีเสร็จ อาจจะติดตามทรัพย์สินไม่ได้ เหมือนอดีตรัฐมนตรีที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้ใช้เงินหลายสิบล้านบาท แต่พอถึงขั้นบังคับคดี ปรากฏว่าไม่มีทรัพย์สินที่จะให้บังคับคดีได้ เพราะฉะนั้น เมื่อปรากฏหลักฐานเชื่อได้ว่ามีการทุจริตประพฤติมิชอบมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ผิดปกติเพราะมูลค่าหุ้นกลุ่มชินฯ ก่อนที่อดีตนายกฯ เข้าดำรงตำแหน่งมีมูลค่า ห้าหมื่นกว่าล้านบาท ถึงปี 2549 ขายไปเจ็ดหมื่นสามพันล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะอะไรเพราะที่ผมรายงานไป ทั้งหมดน่ะครับ ขายสัมปทาน แก้ไขสัญญา ออกกฎหมายภาษีสรรพสามิต สุดท้ายออกกฎหมายการถือหุ้นของ ต่างชาติในธุรกิจโทรคมนาคม จาก 25 เป็น 49 เปอร์เซ็นต์ กฎหมายมีผลบังคับใช้ วันต่อมาก็ทำสัญญา ซื้อขายให้กับเทมาเส็กทันที ถ้าไม่แก้ไขกฎหมาย เทมาเส็กซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้น เงินที่ร่อยหรอไปอย่างมาก ต้องอายัดครับ เพื่อประโยชน์ของรัฐ เพื่อประโยชน์ของการดำเนินคดีต่อไป เราไม่ได้อายัดทรัพย์สินของเขาทั้งหมด อายัดเฉพาะเงินในบัญชี ทรัพย์สินอื่นไม่ได้แตะต้อง บ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ได้ยุ่ง ทรัพย์สินในส่วนอื่น หรืออยู่ในต่างประเทศ ไม่ได้แตะต้อง อยู่ในกองทุนต่าง ๆ อีกเยอะรวมทั้งเงินที่เอาไปซื้อแมนซิติก็ยังไม่ได้อายัด

ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบ ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2550 และ 12 มิถุนายน 2550 ให้อายัดทรัพย์สินที่ครอบครัว บุตร บริวาร ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตรได้รับจากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่กลุ่มกองทุนเทมาเส็ก นั้น การตรวจสอบทรัพย์สินที่ถูกอายัด ดังกล่าวปรากฏดังนี้

วันที่ 26 มกราคม 2549 ครอบครัว บุตร บริวารของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ได้รับเงินจากการ ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่กลุ่มกองทุนเทมาเส็ก จำนวน 73,075,200,847.56 บาท

วันที่ 11 มิถุนายน 2549 คณะกรรมการตรวจสอบได้มีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร และหน่วยลงทุนในบัญชีกองทุนเปิด รวม 21 รายการ และได้แก้ไขเพิ่มเติมตามคำสั่งลงวันที่ 12 มิถุนายน 2550 จำนวนเงินที่อายัดไว้ 45,798,359,045.71 บาท

คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้ติดตามเส้นทางการเงินที่ครอบครัว บุตร บริวารของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ได้รับเงินจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่กลุ่มกองทุนเทมาเส็ก พบว่าได้มีการเคลื่อนย้ายเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นดังกล่าวในรูปแบบต่าง ๆ

คณะกรรมการตรวจสอบจึงมีคำสั่งให้อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารและ ทรัพย์สินอื่นของ ครอบครัว บุตร บริวารของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เพิ่มเติม รวม 11 ครั้ง

วงเงินที่คณะกรรมการตรวจสอบมีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารและทรัพย์สินอื่นทั้งหมด รวม 72,310,292,181.55 บาท แต่คณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้รับหนังสือยืนยันจากธนาคารและสถาบันการเงินอื่นแจ้งยืนยันการอายัดจำนวน 65,508,466,422.54 บาท เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายเงินจากบัญชีที่มีคำสั่งอายัดก่อนที่คำสั่งอายัดมีผลบังคับ

คณะอนุกรรมการพิจารณาคำร้องพิสูจน์ทรัพย์สินเพื่อขอให้เพิกถอนการ อายัด ได้รับคำร้องพิสูจน์ทรัพย์สินไว้ ตั้งแต่วันมีคำสั่งจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนทั้งสิ้น 20 คำร้อง

คณะอนุกรรมการฯ ได้ไต่สวนไปแล้ว 3 คำร้อง ดังนี้

1. มูลนิธิไทยคม นำสืบสอบพยานได้ 4 ปาก อยู่ระหว่างสอบทานเอกสารประกอบการพิจารณา

2. บริษัท เอสซี ออฟฟิซ พลาซ่า จำกัด นำสืบสอบพยานได้ 1 ปาก นัดนำสืบพยานเพิ่มเติมอีก 2 นัด วันที่ 14 และ 21 กันยายน 2550

3. บริษัทที่ปรึกษากฎหมายธีรคุปต์ จำกัด นำสืบพยานได้ 2 ปาก กระบวนการพิสูจน์ทรัพย์สินเสร็จสิ้นแล้ว คณะอนุกรรมการพิจารณาคำร้องพิสูจน์ทรัพย์สินฯ มีมติเพิกถอนการอายัด บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดา-ลาดพร้าว บัญชีเลขที่ 177-0-42112-9 ซึ่ง คตส. มีมติเห็นชอบการ เพิกถอนการอายัด

จาก : MGR Online

วันเสาร์, ธันวาคม 15, 2550

เปิดคำพิพากษาศาลปกครองสั่ง ปตท.คืนทรัพย์สินให้รัฐ

ข่าวศาลปกครอง
ครั้งที่ 49/2550

ศาลปกครองสูงสุดอ่านคำพิพากษาคดีแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย

วันนี้เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 2 นายจรัญ หัตถกรรม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด นายธงชัย ลำดับวงศ์ นายเกษม คมสัตย์ธรรม นายชาญชัย แสวงศักดิ์ และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลปกครองสูงสุดในองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 ซึ่งเป็นคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกับพวก ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวกต่อศาลปกครองสูงสุดว่า กระบวนการและขั้นตอนการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นไปโดยมิชอบ ขอให้ศาลปกครองสูงสุดเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ ประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2544 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ.2544

ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายพิเศษที่ฝ่ายนิติบัญญัติมอบให้ฝ่ายบริหารดำเนินการเปลี่ยนสภาพ หรือเปลี่ยนสถานะของรัฐวิสาหกิจจากประเภทองค์การของรัฐตามที่กฎหมายจัดตั้ง ขึ้นให้เป็นรูปแบบบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน จำกัดได้ โดยไม่ต้องเสนอกฎหมายต่อฝ่ายนิติบัญญัติ หากรัฐบาลมีนโยบายที่จะนำทุนบางส่วนหรือทั้งหมด ของรัฐวิสาหกิจใดมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบของบริษัท ให้กระทำได้ตามพระราชบัญญัตินี้ การดำเนินการเริ่มต้นแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามมาตรา 13 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เสนอความเห็น ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติในหลักการ เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการให้เปลี่ยนทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นหุ้นใน รูปแบบของบริษัทแล้ว จึงไปสู่ขั้นตอนการแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ซึ่งรวมถึงการแต่งตั้งและดำเนินการของคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชน ดังนั้น การดำเนินการในทุกขั้นตอนจึงมีความสำคัญ เมื่อได้ดำเนินการเสร็จสิ้นในแต่ละขั้นตอนโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงจะดำเนินการในขั้นตอนสุดท้าย คือ การตราพระราชกฤษฎีกาที่มีผลเป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่อไปได้

ใน ขั้นตอนก่อนการตราพระราชกฤษฎีกาแปรรูป ปตท. ทั้งสองฉบับดังกล่าวมีปัญหาที่ศาลต้องวินิจฉัยว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการดำเนินการของคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นไป โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัททั้งสามคนที่ได้ รับการแต่งตั้ง ซึ่งประกอบด้วย นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี และนายธีระ วิภูชนิน รองกรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติ ความรู้ ประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของ ปตท. และทางการเงินและบัญชี อันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งตามมาตรา 16 วรรคสอง แล้ว การที่นายปิยสวัสดิ์ และนายเชิดพงษ์ มีสถานะเป็นข้าราชการระดับสูงในองค์กรของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง โดยตรงกับกิจการของ ปตท. บุคคลทั้งสองได้รับมอบหมายจากทางราชการให้เข้าเป็นกรรมการหรือประธาน กรรมการในนิติบุคคลที่เป็นผู้ร่วมทุนกับภาครัฐเพื่อประโยชน์ขององค์กรของรัฐ มิใช่เพื่อประโยชน์เฉพาะตัวของนายปิยสวัสดิ์ และนายเชิดพงษ์ จึงไม่อาจถือว่านายปิยสวัสดิ์ และนายเชิดพงษ์ เป็นผู้มีส่วนได้เสียอันมีคุณสมบัติต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท จึงชอบด้วยมาตรา 16 ส่วนกรณีที่นายวิเศษ จูภิบาล ผู้บริหารสูงสุดของ ปตท. และนายมนู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าถือหุ้นของบริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) เข้าข้อยกเว้นมาตรา 18 ประกอบกับมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่กำหนดมิให้นำข้อห้ามการถือครองหุ้นหรือการเป็นกรรมการหรือผู้มีอำนาจใน การจัดการในบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นจากการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้น มาใช้บังคับกับกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของ รัฐวิสาหกิจและข้าราชการประจำที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ที่เกี่ยวข้อง และการเข้าถือหุ้นของนายวิเศษ และนายมนูเกิดขึ้นภายหลังจากการเปลี่ยนสภาพมาเป็น บมจ. ปตท จึงไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการเปลี่ยนสภาพของ ปตท. ส่วนในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน นั้น คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทจัดให้มีการประกาศรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนสภาพ ปตท.ในหนังสือพิมพ์รายวันติดต่อกัน 6 ฉบับ ฉบับละ 1 วัน ได้แก่ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 สิงหาคม2544 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 22 สิงหาคม 2544 หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2544 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2544 หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 2544 และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2544 และจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในวันที่ 8 กันยายน 2544 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยได้แจกเอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็น รวมถึงร่างพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมรับฟังความคิด เห็นด้วย มีผู้ลงทะเบียน 1,877 คน ผู้ลงทะเบียนหน้างาน 263 คน มีผู้เข้าร่วมประชุม 733 คน และจัดให้มีการถ่ายทอดเสียงทั้งทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยและ สถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 11 แม้ว่าการดำเนินการประกาศทางหนังสือพิมพ์จะมิได้ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ราย วันภาษาไทยฉบับเดียวกันติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามข้อ 9 (1) ของระเบียบว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน แต่การประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันที่มีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายถึง 6 ฉบับ ฉบับละหนึ่งวันเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 วัน โดยเป็นหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาไทย ถึง 4 ฉบับ และฉบับภาษาอังกฤษอีก 2 ฉบับ แต่ละฉบับมีกลุ่มผู้อ่านแตกต่างกันออกไปและหนังสือพิมพ์ดังกล่าวมียอดตี พิมพ์ของแต่ละฉบับในแต่ละวัน คือ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 876,544 ฉบับ เดลินิวส์ 600,000 ฉบับ มติชน 540,000 ฉบับ กรุงเทพธุรกิจ 105,000 ฉบับ บางกอกโพสต์ 70,000 ฉบับ และเดอะ เนชั่น 58,000 ฉบับ เมื่อพิจารณาถึงจำนวนการตีพิมพ์เฉพาะหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาไทยที่มี การประชาสัมพันธ์และกลุ่มเป้าหมายของการประชาสัมพันธ์แล้ว ศาลเห็นว่า การประชาสัมพันธ์มีความหลากหลายและเป็นระยะเวลาเพียงพอเพื่อให้ประชาชนรับ ทราบข้อมูลได้อย่างทั่วถึงแล้ว การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนจึงชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่า กระบวนการและขั้นตอนที่ได้กระทำก่อนการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ในส่วนของ บทบัญญัติในพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ.2544 นั้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในขณะที่ ปตท. มีสถานะเป็นองค์การของรัฐ นั้น ปตท.ได้ใช้เงินทุนจากรัฐและใช้อำนาจมหาชนของรัฐเวนคืนที่ดิน ตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของรัฐ ที่ดินที่เวนคืนดังกล่าวจึงกลับมาเป็นของรัฐหรือของแผ่นดิน ตามมาตรา 16 ประกอบมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เมื่อ ปตท. ได้เวนคืนที่ดินตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติจากจังหวัดระยองมายังจังหวัดสมุทร ปราการ เนื้อที่ประมาณ 32 ไร่ เพื่อใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อของ ปตท. ซึ่งเป็นกิจการของรัฐ ที่ดินที่เวนคืนจึงเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือของแผ่นดินที่ใช้เพื่อกิจการของ รัฐ และเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่น ดินโดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นที่ราชพัสดุ ตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.2518 โดยมี ปตท. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนรัฐและเป็นผู้ใช้ประโยชน์โดยไม่เสียค่าตอบ แทนให้รัฐ ส่วนการที่ ปตท. ใช้อำนาจรัฐเหนือที่ดินของเอกชนเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ ซึ่งเป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปเพื่อกิจการของรัฐนั้น ปตท.กระทำการในฐานะที่เป็นองค์การของรัฐ บังคับแก่อสังหาริมทรัพย์ของเอกชน และจ่ายเงินค่าทดแทนโดยอาศัยทรัพย์สินของรัฐ ดังนั้น สิทธิเหนือทรัพย์สินของเอกชนที่เกิดจากการใช้อำนาจของ ปตท. จึงเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับที่ดินที่ก่อตั้งขึ้นด้วยอาศัยอำนาจตามพระ ราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 อันเป็นทรัพยสิทธิของรัฐและเป็นอสังหาริมทรัพย์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่น ดินเพื่อใช้ประโยชน์ของแผ่นดิน โดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และจัดเป็นที่ราชพัสดุ

ต่อมา เมื่อ ปตท. เปลี่ยนสภาพไปเป็นบริษัทมหาชนจำกัด คือ บมจ. ปตท. ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลเอกชนแล้ว บมจ.ปตท. จึงไม่อาจมีอำนาจมหาชนของรัฐ รวมทั้งไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของ ปตท. ที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแทนรัฐได้ จึงต้องโอนสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวกลับไปเป็นของรัฐ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีหน้าที่แยกสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวออก และโอนให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐให้เสร็จสิ้นก่อนจด ทะเบียนจัดตั้งบริษัท ตามบทบัญญัติในมาตรา 24 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 และปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการมีข้อสังเกต เสนอต่อคณะรัฐมนตรีว่า หากจะมีการแยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติจัดตั้งเป็นบริษัทแยกออกจากบริษัท จัดซื้อและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติในลักษณะการแบ่งแยกตามกฎหมาย ตั้งแต่แรกจะทำให้การกำกับดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงควรศึกษาแนวทางที่จะแยกบริษัทท่อส่งก๊าซธรรมชาติก่อนจะทำการกระจายหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มิฉะนั้นอาจจะแยกบริษัทท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้ยาก หากไม่สามารถแยกบริษัทท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้ก่อนการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน เป็นการทั่วไป ก็ให้แยกบริษัทท่อส่งก๊าซธรรมชาติภายใน 1 ปี หลังการขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีให้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทรับข้อสังเกตนี้ไป ประกอบการพิจารณา แต่ปรากฏว่า คณะรัฐมนตรีกลับมีมติอนุมัติให้โอนกิจการ อำนาจ สิทธิ รวมทั้งสินทรัพย์และทุนทั้งหมดของ ปตท. ไปให้ บมจ. ปตท. ทั้งหมด และพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ก็มิได้มีบทบัญญัติที่เป็นการจำกัดสิทธิ อำนาจ และทรัพย์สินที่ บมจ. ปตท.ได้มาโดยอำนาจมหาชนของรัฐแต่อย่างใด ต่อมา บมจ.ปตท. มีหนังสือที่ 530/20/63 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2550 ถึงปลัดกระทรวงการคลัง เรื่อง ขอยกกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้มาโดยพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เมื่อ พ.ศ.2529 ให้กระทรวงการคลัง เนื้อที่รวมประมาณ 32 ไร่ ซึ่งเป็นการยอมรับว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวควรโอนให้เป็นของกระทรวง การคลัง ดังนั้น โดยอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 24 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 คณะรัฐมนตรีจึงต้องโอนสินทรัพย์ของ ปตท. ที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่น ดิน ให้กระทรวงการคลัง โดย บมจ.ปตท. ยังคงมีสิทธิในการใช้ที่ราชพัสดุหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ ปตท. เคยมีอยู่ต่อไป โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายได้แผ่นดินตามที่กระทรวงการคลังกำหนด

สำหรับในส่วนของพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 นั้น ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ได้มีการเปลี่ยนสภาพ ปตท.ไปเป็น บมจ. ปตท. และได้นำหุ้นของ บมจ. ปตท. เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2544 หากมีการเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เพื่อให้สาธารณสมบัติของแผ่นดินทรัพย์สินและสิทธิทั้งหลายที่ได้มาจากการ ใช้อำนาจมหาชนของรัฐ กลับไปเป็นของ ปตท. ดังเดิม ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่า อาจก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศโดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน ทั้งยังอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อตลาดทุนรวมถึงตลาดเงิน และบุคคลภายนอกที่มีนิติสัมพันธ์กับ บมจ. ปตท. ทั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายตามมาอีกนานัปการด้วยเมื่อ พิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว ประกอบกับการที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่พยายามแก้ไขปัญหา รวมทั้งฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินการตราพระราช บัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม2550 ในพระราชบัญญัติฉบับนี้ บัญญัติให้มีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานรวมทั้งกิจการก๊าซธรรมชาติ ด้วย และการออกใบอนุญาตประกอบกิจการพลังงาน ทั้งเป็นผู้มีอำนาจให้ความเห็นชอบการวางระบบโครงข่ายพลังงาน โดยในบทบัญญัติมาตรา 104 มาตรา 105 และมาตรา106ได้บัญญัติสาระสำคัญเกี่ยวกับการใช้อสังหาริมทรัพย์เพื่อ ประโยชน์ในกิจการพลังงาน และการใช้อำนาจมหาชนของรัฐของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานไว้ และในบทเฉพาะกาล ได้บัญญัติให้คณะกรรมการกำกับการใช้อำนาจของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตามพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวเป็นผู้ใช้อำนาจมหาชนของรัฐแทนคณะกรรมการ กำกับกิจการพลังงานเป็นการชั่วคราวแล้ว อีกทั้งคำฟ้องในประเด็นการโอนที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เนื้อที่ประมาณ 32 ไร่ ทรัพย์สินและสิทธิการใช้ที่ดินในระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐที่โอนให้แก่ บมจ. ปตท. ซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลโดยตรงต่อความไม่ชอบด้วยกฎหมายของบทบัญญัติในมาตรา 4 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 จึงเป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ที่จะต้องกระทำ การแก้ไขการกระทำ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นว่านั้น ให้ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์เหตุแห่งการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาและบทบัญญัติแห่งพระราช บัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 รวมทั้งวิธีการแก้ไขความไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่จำต้องเพิกถอนบทบัญญัติใน มาตรา 4 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว อีกทั้งเหตุแห่งความไม่ชอบ ด้วยกฎหมายเช่นว่านั้น มิได้มีความร้ายแรงถึงขนาดที่จะเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิก กฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2544 ตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งห้า

พิพากษาให้ผู้ ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ร่วมกันกระทำการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณ สมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิ ในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ บมจ.ปตท. ทั้งนี้ ให้เสร็จสิ้นก่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานตามพระราชบัญญัติ การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ส่วนคำขอตามคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ที่ขอให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2544 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ. 2544 นั้นให้ยก

สำนักงานศาลปกครอง

วันที่14 ธันวาคม 2550

Download คำสั่งศาลปกครองฉบับเต็ม

ที่มา : MGR Online

วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 13, 2550

แฉซ้ำรมต.พลังงานไฟเขียวลอยตัวก๊าซเอื้อปตท.ฟันกำไร

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 ธันวาคม 2550 12:43 น.
“ ปิยสวัสดิ์” แจงถือหุ้นพลังงานไม่เคลียร์ โบ้ยรอศาลพิพากษาคดีปตท.ก่อน จวกปชป.คิดสั้นลดราคาก๊าซสร้างปัญหาระยะยาว ด้านสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคท้าเปิดเผยการซื้อ-ขายหุ้นพลังงานที่ถือไว้ให้ เคลียร์รวมถึงภรรยาโดยไม่ต้องรอศาล แฉซ้ำไฟเขียวปล่อยก๊าซลอยตัวเอื้อปตท. แถมใช้อำนาจล้วงเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานจ้างบริษัทขาประจำทำพี อาร์โดยวิธีพิเศษ แกนนำเครือข่ายอนุรักษ์พลังงานฯ ร้องยกเลิกมติครม.อนุญาตให้รมต.พลังงานแต่ผู้เดียวสั่งอนุญาตและเซ็นสัญญา สัมปทานพลังงานให้เอกชน

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่สหพันธ์คุ้มครองผู้บริโภคระบุว่า ตนและภรรยา มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการถือหุ้นในกิจการพลังงานว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ในคำชี้แจงต่อศาลปกครองสูงสุดกรณีการพิจารณาคดีการเพิก ถอนการแปรรูปปตท.จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในฐานะที่สหพันธ์ฯเป็น โจทย์จึงทราบดีทุกอย่างว่าได้มีการขายหุ้นไปหมดแล้ว

“ผมได้ชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับ เรื่องการจัดการหุ้นต่อศาลปกครองสูงสุด และขณะนี้คดีดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ จึงยังไม่อยากระบุรายละเอียดมากนัก ซึ่งหากศาลปกครองสูงสุดพิจารณาคดีทั้งหมดเสร็จสิ้น รายละเอียดทั้งหมดก็จะปรากฏในคำตัดสิน และเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบซึ่งการที่ออกมาระบุเช่นนี้ก็ไม่ทราบ ถึงเหตุผลที่แท้จริง”นายปิยสวัสดิ์กล่าว

ทั้งนี้หลังจากที่ตนได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2549 ได้สองวัน ได้โอนหุ้นทั้งหมด ทั้งที่เกี่ยวข้องกับกิจการพลังงาน และไม่เกี่ยวข้องกับพลังงาน ให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบริหารจัดการในรูปของกองทุนส่วนบุคคล ตามสัญญาจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2549 โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมว่ากองทุนส่วนบุคคลดังกล่าวจะต้องไม่ถือหุ้น ในธุรกิจที่มีสัญญา สัมปทานหรือข้อผูกพันกับรัฐ

ต่อมาผู้จัดการกองทุนฯ ได้ดำเนินการขายหุ้นทั้งหมดที่อาจมีสัญญากับรัฐ โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ได้ดำเนินการขายหุ้นทางด้านพลังงาน และบริษัทอื่นที่มีสัญญากับรัฐ และครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2549 ได้ดำเนินการขายหุ้นในส่วนที่เหลือ ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่หุ้นของบริษัทที่ไม่มั่นใจว่าจะมีสัญญากับรัฐหรือไม่ แต่เพื่อความสบายใจ จึงขายหุ้นทิ้งทั้งหมด เพราะต้องการให้เกิดความโปร่งใสที่สุด โดยรายละเอียดทั้งการถือครองหุ้น และการขายหุ้นทั้งหมดที่เกิดขึ้น ได้รายงานให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามหนังสือลงวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549

** แจงปรับก๊าซหุงต้มแก้ไขระยะยาว

สำหรับกรณีที่มองว่าการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มและราคาพลังงานเพื่อ ปั่นราคาหุ้นนั้น ต้องเข้าใจว่าราคาน้ำมันนั้นอิงกับตลาดโลก ไทยต้องนำเข้า ส่วนของกรณีการปรับราคาก๊าซหุงต้มเป็นการปรับโครงสร้างราคาให้สะท้อนความ เป็นจริงที่จะสามารถแก้ไขปัญหาระยะยาวได้ เนื่องจากราคาก๊าซหุงต้มกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน มาอุดหนุนราคา ทำให้โครงสร้างบิดเบือนจากข้อเท็จจริง

ขณะที่ราคาก๊าซหุงต้มในตลาดโลกปรับขึ้นไปถึง 740 เหรียญต่อตัน แต่ไทยกำหนดราคาไม่เกิน 320 เหรียญต่อตัน โดยมีกองทุนฯอุ้มอีก 1.20 บาทต่อกก. ทำให้มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ด้วยการนำไปใช้ในรถยนต์จนสูงขึ้นผิดปกติ และหากปล่อยไว้เช่นนี้ในอีก 2 ปีข้างหน้าไทยจะต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนกว่านี้

*** จวกปชป.ถ้าเป็นรัฐบาล99วันลดราคาได้

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าจะมีการลดราคาก๊าซหุงต้มลงหาก เป็นรัฐบาลภายใน 99 วัน ซึ่งต้องการฝากไว้ว่าจะทำอะไรควรมองประเทศในระยะยาว การปรับราคานั้นหากไม่ได้มองระยะยาวจริงรัฐบาลนี้ก็คงไม่ทำหรอก เพราะดำเนินการไปก็ถูกด่า แต่การลดราคาใครๆ ก็ทำได้เพราะเท่ากับเป็นการดำเนินการระยะสั้นๆ แล้วก็ทิ้งปัญหาระยะยาวไว้เช่นกรณีที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาสร้างหนี้น้ำมัน ไว้เกือบ 5 หมื่นล้านบาทรัฐบาลชุดนี้ก็ต้องมาแก้ไขเช่นกัน

“การลดราคาก๊าซหุงต้มถ้าจะเป็นรัฐบาลแค่ 99 วันแล้วที่เหลืออีก 3 ปีกับ 266 วันเป็นฝ่ายค้านก็ทำได้ถ้าคิดแบบสั้นๆ” นายปิยสวัสดิ์กล่าว

***องค์กรผู้บริโภคท้าแจงให้เคลียร์

ทาง ด้านนางรสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวถึงการออกมาชี้แจงของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานที่ว่าเวลานี้ได้ขายหุ้น ออกไปหมดแล้วนั้น ตนเองก็อยากถามว่า หุ้นที่ขายไปนั้นเฉพาะในส่วนของนายปิยสวัสดิ์ แต่ภรรยายังถืออยู่ใช่หรือไม่ และเป็นการขายเฉพาะในส่วนที่ถือหุ้นโดยตรงในบริษัทหรือในส่วนที่ลงทุนผ่าน กองทุนต่างๆ ด้วย นอกจากนั้น ยังมีกองทุนส่วนตัวที่ไม่เปิดเผยซึ่งส่วนนี้ได้ลงทุนในหุ้นพลังงานหรือไม่ แล้วขายไปหมดแล้วหรือยัง

นางรสนา กล่าวต่อว่า ข้อมูลที่รัฐมนตรีปิยสวัสดิ์ บอกว่าขายหุ้นไปหมดแล้ว ส่งให้ป.ป.ช.ไปแล้ว แต่ป.ป.ช.ยังไม่ได้เปิดเผย เรื่องนี้หากรัฐมนตรีมีความจริงใจ แสดงถึงความโปร่งใสไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ไม่ต้องรอป.ป.ช.เปิดเผย แต่ควรชี้แจงออกมาให้สังคมได้รับรู้ เพราะมีข้อมูลที่ชวนให้สังคมสงสัย ก่อนนี้สมัยรัฐบาลทักษิณ เราบอกว่าเป็นรัฐบาลที่มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ดังนั้นรัฐมนตรีชุดใหม่ที่เข้ามาก็ควรแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส มีบรรทัดฐานแตกต่างจากรัฐบาลทักษิณด้วย

“การ ชี้แจงเรื่องการขายหุ้นของรัฐมนตรีปิยสวัสดิ์และภรรยาไม่ต้องรอการตัดสิน คดีปตท.ของศาลปกครองสูงสุดในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน เรื่องการถือหุ้นของรัฐมนตรีและภรรยาไม่เกี่ยวกับคดี ที่สำคัญผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ เป็นบุคคลสาธารณะต้องตรวจสอบได้ ไม่ใช่เป็นการกล่าวหาใส่ร้าย” นางรสนา กล่าว

***ลอยตัวก๊าซสูบเลือดประชาชน

กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค ยังตั้งคำถามถึงการปล่อยลอยตัวราคาก๊าซว่า ปกติแล้วในต่างประเทศที่มีก๊าซของตนเองจะบริหารจัดการสองแนวทาง ทางหนึ่งคือขายก๊าซราคาต่ำให้กับคนในประเทศ เปรียบเหมือนผลไม้ในสวนของตนเองที่ต้องได้ราคาถูก ทางหนึ่งคือขายในประเทศราคาแพง แต่เอาส่วนต่างมาตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาชาติ เป็นสวัสดิการสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนายปิยสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีพลังงานไม่เอาทั้งสองแนวทาง การอนุญาตให้ขึ้นราคาโดยปล่อยลอยตัวค่าก๊าซ จึงมีข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำที่ส่งผลให้ปตท.ได้ประโยชน์ แต่ซ้ำเติมผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรมใช่หรือไม่

นางรสนา ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในต่างประเทศแนะนำให้มีการใช้ก๊าซแอลพีจีกับรถยนต์ แต่ในไทยกลับไม่แนะนำ รัฐบาลได้หันไปสนับสนุนการใช้ก๊าซเอ็นจีวี ซึ่งผูกขาดโดยปตท. และเมื่อการใช้ก๊าซแอลพีจีในประเทศลดลง ปตท.ก็นำไปส่งออกซึ่งได้ราคาดีกว่าเกือบเท่าตัว ทั้งที่ก๊าซเป็นทรัพยากรของประเทศที่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะได้ใช้ในราคาถูก

***ล้วงเงินกองทุนฯจ้างขาประจำ

กรรมการ สหพันธ์ผู้บริโภค ได้ตั้งคำถามถึงการใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานว่ามีช่องโหว่หรือไม่ เพราะกองทุนนี้มาจากเงินภาษีของประชาชน การนำเงินกองทุนไปใช้แต่เดิมมีคณะกรรมการเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ตอนนี้การตัดสินใจใช้เงินกองทุนขึ้นอยู่กับรัฐมนตรีคนเดียวหรือไม่ การว่าจ้างบริษัทที่มาทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ มีการเปิดประมูล แข่งขันกันเสนองานหรือไม่ หรือใช้วิธีพิเศษจ้างบริษัทขาประจำที่ผูกกันมานมนาน เป็นเรื่องที่ประชาชนไม่เคยรับรู้ข้อมูล ซึ่งเป็นปมผลประโยชน์ทับซ้อนที่รัฐมนตรีต้องชี้แจงต่อสังคมด้วย

“ส่วนกองทุนน้ำมันที่เก็บจากประชาชนนั้น ไม่มีความชัดเจนว่าหนี้กองทุนน้ำมันที่นำไปชดเชยเบนซิน ดีเซล หมดแล้วหรือยัง เพราะตอนนี้ยังเก็บอยู่ถึง 4 บาท การใช้เงินกองทุนน้ำมันจะนำไปชดเชยอะไรก็ควรจะบอกต่อสังคมด้วยไม่ใช่คิด อยากจะทำอะไรก็ทำ” นางรสนา กล่าว

***จวกปตท.ฟาดกำไรก๊าซ-น้ำมันเกินจริง

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายชอบ อ่อนอำไพ และพท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธุศรี แกนนำเครือข่ายอนุรักษ์พลังงานเพื่อประชาชน เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้นโยบายพลังงงานที่ไม่เป็น ธรรมในการขึ้นราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มให้กับ นต.ประสงค์ สุ่นสิริ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักการเมืองข้า ราชการและประชาชน โดยระบุว่า ปัจจุบันประชาชนเดือดร้อนกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงจากราคาพลังงานที่ขยับ แพงขึ้นทันทีหลายเท่าตัว

แกน นำเครือข่ายอนุรักษ์พลังงานฯ ได้แสดงเจตนารมณ์ข้อเรียกร้อง 3 ข้อใหญ่ ดังนี้ เรื่องแรก ให้ยกเลิกการประกาศราคาน้ำมันลอยตัว เรื่องที่ 2 ให้ยกเลิกการลอยตัวราคาก๊าซ เพื่อยกเลิกการขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม ในเดือน ธ.ค.นี้ และเรื่องที่ 3 ขอให้เปิดเผยข้อเท็จจริง สู่สาธารณะในประเด็น ต้นทุนและแหล่งที่ซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศ โดยให้บอกเป็นบาทต่อลิตร

นอกจากนี้ ยังต้องบอกวิธีกำหนดราคาที่ละเอียดว่า ทำไมต้องขึ้นราคาน้ำมัน ทั้งๆ ที่บางครั้งต่างประเทศ ลดราคาน้ำมันดิบ ให้รัฐบาลบอกปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดในประเทศว่ามีสัดส่วนเท่าใด และคิดราคาต้นทุนอย่างไร และการชี้แจงว่ากองทุนน้ำมันเหลือเท่าไร นำไปใช้ด้านใดบ้าง ถือเป็นส่วนต่างที่ทำให้ ปตท.มีผลกำไรปีละหลายหมื่นล้าน กอบโกยผลประโยชน์บนหลังคนไทย

นายชอบ กล่าวว่า เครื่อข่ายฯ ยังขอเรียกร้องให้มีการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อนุญาตให้นายปิยสวัสดิ์ อัมรนันท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นบุคคลเดียวที่สามารถสั่งอนุญาต และเซ็นสัญญามอบสัมปทานพลังงานให้เอกชนรายใดก็ได้ รวมถึงให้รัฐบาลเปิดเสรีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป โดยไม่ต้องผ่านศูนย์กลางพลังงานภูมิภาค (ฮับศรีราชา) ที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ถือหุ้นร่วมด้วย เพื่อตัดค่าใช้จ่ายคนกลางออกจากระบบ

รวมถึงให้มีตัวแทนภาคประชาชน เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในสัดส่วน 1 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามที่คณะกรรมกลางบว่าด้วยสินค้าและบริการ(กกร.) ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประกาศให้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสินค้าควบคุม ให้ทำหน้าที่ควบคุม ราคาการกลั่น โดยกำหนดราคาค่าการกลั่นไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร

“ทาง เครือข่ายฯ จะร่วมมือกันส่งสำนวนฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองวินิจฉัย และให้ความเป็นธรรมเรื่องราคาพลังงานกับประชาชนต่อไป เพราะตั้งแต่ปี 2544 ที่มีการแปรรูป ปตท. ไปเป็น บมจ.ปตท.รวมระยะเวลา 7 ปี ราคาน้ำมันสำเร็จรูป (เบนซิน -ดีเซล) ตลาดโลกขายกัน ประมาณ 17-20 บาทต่อลิตร เท่านั้น แต่รัฐบาลไทยและรัฐบาลไทยและ ปตท.ขายน้ำมันให้คนไทยใช้กันในราคา ลิตรละ 29-33บาท ประเทศ สิงคโปร์ค่าแรงงานวันละ 2,000 บาท บริโภคน้ำมันลิตรละ 20 บาท แต่ประเทศไทยค่าแรงวันละ 130 บาท ต้องใช้น้ำมันแพงลิตรละ 33 บาท ” นายชอบ กล่าวสรุปทิ้งท้าย


ที่มา

บทสรุป “ปตท.” ส่อซ้ำรอย “กฟผ.”!!

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 ธันวาคม 2550 19:45 น.

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและองค์กรเครือข่าย ยื่นศาล ปค.สูงสุดให้เพิกถอนการแปรรูป ปตท.เมื่อ 31 ส.ค.49

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
พ.ต. ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกฟ้องต่อศาลปกครองกรณีแปรรูป ปตท. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณปัดความรับผิดชอบตั้งแต่กรณี กฟผ.ถูกศาลฯ สั่งเพิกถอนการแปรรูปแล้วว่า เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค

วิเศษ จูภิบาล อดีต รมว.พลังงานก็ถูกฟ้องต่อศาลปกครองฯ กรณีแปรรูป ปตท.และถูกระบุด้วยว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการแปรรูป ปตท.

มนู เลียวไพโรจน์ อดีต ปธ.กก.เตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ถูกระบุว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนในการแปรรูป ปตท.เช่นกัน เพราะถือหุ้นอยู่ใน ปตท.

ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กก.ผจก.ใหญ่ ปตท.อ้าง หาก ปตท.ถูกเพิกถอนออกจากตลาดฯ จะทำให้มูลค่าตลาดรวมหายไป 6 แสนล้าน

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ คกก.กำกับหลักทรัพย์ฯ อ้าง เมื่อ ปตท.แปรสภาพแล้ว ไม่น่าจะถอยหลัง

ราย ชื่อผู้ถือหุ้น ปตท.ณ ปัจจุบันลดจำนวนลงจากเมื่อเดือน ก.ย.49 แถมจำนวนหุ้นที่รัฐถืออยู่ก็ลดลง ขณะที่บริษัทนอมินีจากต่างประเทศกลับถือหุ้นมากขึ้น

อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน

นาที ตัดสินอนาคต ปตท.ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว งานนี้ต้องวัดใจศาลปกครองสูงสุดว่าจะใช้บรรทัดฐานการตัดสินคดีเพิกถอนการ แปรรูป กฟผ.มาเป็นหลักในคดีนี้หรือไม่? เพราะหากดูกระบวนการในการแปรรูป ปตท.แล้ว จะพบว่า หลายจุดมีปัญหาส่อว่าขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกับที่ศาลปกครอง ได้เคยชี้ในกรณี กฟผ.มาแล้ว จะต่างกันก็เพียงว่า กฟผ.ยังแปรรูปไม่เสร็จ ก็ถูกเพิกถอนเสียก่อน แต่ ปตท.แปรรูปไปเรียบร้อยแล้ว จุดนี้เองที่ทำให้บางฝ่ายสบช่องยกมาขู่ว่า หาก ปตท.ถูกเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น จะส่งผลกระทบต่อตลาดฯ อย่างใหญ่หลวง ...ต้องจับตาว่า คำตัดสินครั้งประวัติศาสตร์ของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ จะยึด กม.เป็นหลัก หรือยึดหลัก “เลยตามเลย”


ปฏิบัติการทวงคืนทรัพย์สินของชาติ ให้กลับคืนเป็นของแผ่นดินโดยองค์กรภาคประชาชนอย่างมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หลัง ปตท.ส่อว่าถูกรัฐบาลทักษิณแปรรูปโดยมิชอบ เช่นเดียวกับ กฟผ.ที่ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาเมื่อวันที่ 23 มี.ค.2549 ว่า ครม.ทักษิณ ออก พ.ร.ฎ.เพื่อแปรรูป กฟผ.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2 ฉบับ (พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต พ.ศ.2548 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2548) ศาลฯ จึงได้มีคำสั่งเพิกถอน พ.ร.ฎ.ดังกล่าว ซึ่งผู้ที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับความผิดพลาดในการออก พ.ร.ฎ.แปรรูป กฟผ. ก็คือ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร), สำนักนายกฯ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล), กระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรี แต่กรณีดังกล่าวหาได้มีความรับผิดชอบจากผู้ใดไม่? โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รีบปัดความรับผิดชอบด้วยการอ้างว่า นั่นเป็น “ความผิดพลาดทางเทคนิค”!?!

ทั้งที่ไม่น่าจะมีส่วนไหนเข้าข่ายผิดพลาดทางเทคนิคได้ แต่น่าจะเข้าข่ายเจตนาให้เป็นเช่นนั้นมากกว่า สังเกตได้จากการที่ศาลปกครองได้ชี้ว่า การตั้งนายโอฬาร ไชยประวัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทั้งที่ นายโอฬาร เป็นกรรมการใน บ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) ที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักในเอไอเอส เท่ากับมีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะกิจการของ กฟผ.ประกอบด้วยเส้นใยแก้วนำแสง เอไอเอสจึงเป็นนิติบุคคลที่มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ กฟผ.ดังนั้น คำสั่งแต่งตั้ง นายโอฬาร จึงขัดต่อกฎหมายและมีสภาพอันร้ายแรง ส่งผลให้การกระทำใดๆ ก็ตามของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต มีอันต้องโมฆะหรือไม่มีผลทางกฎหมายนั่นเอง!

ซึ่งกรณีของการแปรรูป ปตท.ก็มีลักษณะการแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นเดียวกับ กฟผ.โดยคำฟ้องของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า มีกรรมการบางคนในคณะกรรมการดังกล่าวถือหุ้นอยู่ใน ปตท.ด้วย คือ นายวิเศษ จูภิบาล อดีตกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.และนายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตประธานกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ซึ่งถือว่าเข้าข่ายขัดต่อ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542

นอกจากการตั้งคณะกรรมการที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว กระบวนการจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนก่อนการแปรรูปของ ปตท.ก็ยังส่อขัดต่อระเบียบและกฎหมายเช่นเดียวกับ กฟผ.ด้วย โดยกรณีแปรรูป กฟผ.นั้น ศาลปกครอง ชี้ว่า การตั้งนายปริญญา นุตาลัย ให้เป็นประธานกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการแปร รูป กฟผ.เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม เพราะ นายปริญญา ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทางกฎหมายถือว่า เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ขณะที่การจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อการแปรรูป กฟผ.ก็ไม่ถูกต้องตามระเบียบ เพราะแทนที่จะใช้วิธีประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยฉบับเดียวกันติดต่อ กัน 3 วัน กลับประกาศในหนังสือพิมพ์แยกเป็น 3 ฉบับ ฉบับละ 1 วัน

ส่วนการรับฟังความเห็นประชาชนกรณีแปรรูป ปตท.นั้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า คณะกรรมการก็มิได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยนอกจากจะมีการจำกัดจำนวนไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างกว้างขวางตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจว่าด้วยการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.2543 แล้ว ยังไม่ประกาศให้ทราบทางหนังสือพิมพ์รายวันฉบับเดียวกันติดต่อกัน 3 วัน แต่กลับใช้วิธีประกาศในหนังสือพิมพ์รายวัน 2 ฉบับๆ ละ 1 วัน!?!

นี่ยังไม่รวมถึงว่า กระบวนการแปรรูป ปตท.ก็ขัดกับ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะตามขั้นตอนแล้ว การจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจใดให้เปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบบริษัท ให้คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจเสนอความคิดเห็นต่อ ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติ หาก ครม.อนุมัติ จึงค่อยมีการตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทและคณะกรรมการรับความ เห็นประชาชนต่อไป แต่กรณีแปรรูป ปตท.นี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคชี้ว่า คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ได้ตั้งขึ้นและดำเนินการเรื่องต่างๆ ก่อนที่ ครม.จะอนุมัติให้แปรรูป ปตท. โดย ครม.มีมติเห็นชอบให้มีการแปรรูป ปตท.เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2544 แต่คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.ได้ถูกตั้งขึ้นก่อนแล้วและประชุมดำเนินการเรื่องต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.2544

นั่นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของความคล้ายกันในการแปรรูป ปตท.และ กฟผ.ที่มีหลายจุดส่อว่าน่าจะขัดต่อกฎหมายเหมือนกัน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นำโดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง,น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค,น.ส.สายรุ้ง ทองปลอน ผู้จัดการสหพันธ์องค์กรเพื่อผู้บริโภค ฯลฯ จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 31 ส.ค.2549 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกฯ, นายวิเศษ จูภิบาล รักษาการรัฐมนตรีพลังงาน และคณะรัฐมนตรี ออก พ.ร.ฎ.แปรรูป ปตท.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท.(มหาชน) พ.ศ.2544 และ พ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544 เพื่อแปรรูป ปตท.ตามมติ ครม.วันที่ 21 ส.ค.2544 ซึ่งขัดต่อ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 จึงขอให้ศาลฯ เพิกถอน พ.ร.ฎ.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว

หลังศาลปกครองมีคำสั่งรับฟ้องในวันที่ 4 ก.ย.รัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องในขณะนั้นต่างออกมาชี้ถึงสารพัดผลเสียหากศาล ปกครองเพิกถอนการแปรรูป ปตท.โดย นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ได้ทำหนังสือชี้นำศาลปกครอง ว่า หากถอน ปตท.ออกจากเป็นบริษัทจดทะเบียน หรือถอนออกจากตลาดฯ จะส่งผลกระทบในวงกว้างและร้ายแรงต่อตลาดหุ้น เพราะ ปตท.เป็นหลักทรัพย์ที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ ขณะที่ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.อ้างว่า ปตท.ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 68% และว่า หาก ปตท.ถูกเพิกถอนออกจากตลาดฯ จะทำให้มูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) หายไปประมาณ 6 แสนล้าน จากมาร์เก็ตแคปตลาดรวมที่ 5 ล้านล้าน

ด้าน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อ้างในขณะนั้นว่า ปตท.แปรสภาพเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว ไม่น่าจะถอยหลัง และว่า ถ้าให้ ปตท.เข้ามาเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง จะมีมาตรการอะไรรองรับ เพราะมีการกระจายหุ้น ปตท.ให้นักลงทุนต่างประเทศด้วย และหากถอนหุ้น ปตท.ออกจากตลาดฯ คาดว่า ปตท.ต้องใช้เงินถึง 3.6 แสนล้าน เพื่อทำคำเสนอซื้อหุ้นจากรายย่อย(เทนเดอร์ออฟเฟอร์) ในราคาหุ้นละ 272 บาท ผิดกับช่วงที่นำหุ้น ปตท.เข้าตลาดฯ ที่ได้เงินมาเพียง 2.8 หมื่นล้านเท่านั้น (ขณะนั้นราคาหุ้นละ 34-35 บาท)

ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ในฐานะกรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค ชี้ถึงสาเหตุที่ ปตท.ควรถูกเพิกถอนการแปรรูป ว่า เพราะกระบวนการแปรรูป ปตท.ไม่ถูกต้อง เนื่องจากแปรรูปโดยไม่แยกท่อก๊าซ ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติออกมา แถมยังกำหนดให้บริษัท ปตท.ที่แปรรูปแล้วผูกขาดการใช้ประโยชน์อยู่รายเดียว รวมทั้งไม่มีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาควบคุมราคาน้ำมันให้เป็นธรรมกับ ผู้บริโภคด้วย

“ประเด็นของ ปตท.ก่อนที่เขาจะเปิดขาย IPO (การเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก) เขามีหนังสือชี้ชวนให้คนมาซื้อหุ้น ก็มีระบุว่า ภายใน 1 ปี ปตท.จะแยกท่อส่งก๊าซให้เป็นอิสระ และจะตั้งกรรมการที่เป็นอิสระ ที่จะมาควบคุมเรื่องราคาให้เป็นธรรมกับผู้บริโภค ทีนี้หลังจากที่ ปตท.แปรรูปมา 4-5 ปี 2 ข้อนี้ก็ไม่ได้ทำเลย เมื่อไม่ได้ทำ ทาง ปตท.เขาก็อ้างว่า มติของ ครม.เปลี่ยนไปจากที่ตอนแรกเคยคิดจะใช้วิธีการ Power Pool คือหมายถึงว่า แยกท่อก๊าซเป็นอิสระ แล้วก็เปิดให้ใครสามารถที่จะมาใช้ท่อก๊าซ คือจะไม่มีการผูกขาดตรงนี้ แต่ปรากฏว่า ในภายหลังรัฐมนตรีพลังงาน สมัยคุณหมอพรหมินทร์ (เลิศสุริย์เดช) ก็บอกว่า มีมติ ครม.บอกว่า เปลี่ยนจากระบบอันนี้มาเป็น Enhance Single Buyer คือ ผูกขาดรายเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อผูกขาดรายเดียวปุ๊บ ปตท.ก็ไม่ได้แยกท่อส่งก๊าซให้เป็นอิสระ หรือถึงแม้เวลานี้บอกว่า จะแยกเป็นอิสระ แต่แยกออกมาแล้ว ท่อส่งก๊าซก็ยังเป็นทรัพย์สินของบริษัท ปตท.เหมือนเดิม มันก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรในสิ่งที่เราคิดไว้ว่า จริงๆ ท่อส่งก๊าซมันเป็นสมบัติสาธารณะ เป็นสมบัติของชาติ และมันมีลักษณะของการผูกขาดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณจะแปรรูป การแปรรูปก็ควรจะเป็นในหลักการที่ว่า เพื่อที่จะทำให้เกิดการแข่งขัน แข่งขันแล้วก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ราคาสำหรับผู้บริโภคก็จะอยู่ในระดับที่เหมาะสม”

“ทีนี้ปรากฏว่า เมื่อการแปรรูปอันนี้ มันเป็นการแปรรูปแบบขายทั้งกระบิ พอขายทั้งกระบิ ก็คือ เท่ากับเป็นการโอนอำนาจผูกขาดของรัฐไปอยู่ในมือของบริษัทด้วย ซึ่งตรงจุดนี้จะบอกว่าทำให้ ปตท.มีประสิทธิภาพมากขึ้น มันก็ไม่จริง คือ มันอาจจะเป็นผลดีเฉพาะกับส่วนของผู้ถือหุ้น หรือผู้ลงทุน คือ ราคาก็จะได้กำไรเยอะ แต่ในขณะที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคล่ะ เราต้องรับภาระทุกอย่าง ก็คือ ไม่ว่าธุรกิจของเขา จะบริหารมีปัญหาอะไรก็ตาม ลงทุนยังไงแล้วเกิดปัญหา มันก็จะโยนทุกอย่างมาให้กับประชาชน ทีกำไรเนี่ยเขาประกันไว้ให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งเขาอาจจะอ้างว่า โอเค.การถือหุ้น รัฐถือหุ้นใหญ่ ถึงยังไงโดยสัดส่วนตรงนี้ รัฐก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้ามองจุดนี้ เราก็เห็นว่า ปัญหาคือ ที่รัฐควรจะได้ มันต้องเป็นเรื่องการที่ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยทั่วไปด้วย ราคาต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม มันต้องมีองค์กรอื่นที่เป็นตัวกลาง ที่จะมาควบคุมตรงนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่มี”


น.ส.รสนา ยังชี้ด้วยว่า การที่ราคาหุ้น ปตท.พุ่งทะลุทะลวงจากราคาแรกซื้อ 35 บาท เป็น 300-400 บาท ก็เพราะรัฐบาลทักษิณมั่วนิ่มเปลี่ยนนโยบาย ยกท่อก๊าซที่เป็นสมบัติของชาติให้กับ ปตท.ดังนั้น ประเด็นที่เครือข่ายผู้บริโภคพยายามต่อสู้เพื่อให้มีการเพิกถอนการแปรรูป ปตท.ก็คือ มีการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาลทักษิณในการแปรรูป ปตท.

“ประเด็น ที่เราพยายามต่อสู้ คือ คดีนี้มีการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาลที่แล้ว เพราะตอนที่มีการแปรรูป ปตท.ก็มีการระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ว่า ใน 1 ปีจะมีการแยกท่อก๊าซซึ่งเป็นอำนาจสิทธิขาดที่ยกให้เอกชน คือ ปตท.ให้เป็นอิสระ ช่วงนั้นมีการกำหนดราคาหุ้น(ปตท.) ทั้งหลายก็ไม่สุจริต ราคาหุ้นแรกซื้อ 35 บาท ซึ่งผู้ซื้อรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้รวมท่อก๊าซด้วย (หุ้นจึงราคาถูก) แต่ปรากฏว่า ผ่านไป 1 ปี รัฐบาล (ทักษิณ) มั่วนิ่มเปลี่ยนนโยบาย ยกท่อก๊าซนั้นให้ ปตท.ไปเลย ทำให้หุ้นพุ่งทะลุทะลวงขึ้นไป จาก 35 บาท สูงสุดที่ 410 บาท ซึ่งจุดนี้ทำให้ ปตท.ได้กำไรที่ไม่ควรจะได้ เพราะกำไรของ ปตท.ส่วนใหญ่แล้วมาจากก๊าซ ดูงบการเงินรวมของ ปตท.9 เดือนของปีนี้ ปรากฏว่า มีกำไรสุทธิ 7 หมื่นล้าน ในจำนวนนั้นเป็นกำไรที่มาจากก๊าซสูงมาก”

น.ส.รสนา ยังยืนยันด้วยว่า ตนไม่เคยพูดว่า ถ้าเพิกถอนการแปรรูป ปตท.แล้ว ราคาน้ำมันจะถูกลงเหมือนในอดีต แต่ตนมั่นใจว่า ถ้าราคาน้ำมันของไทยไม่อิงตลาดสิงคโปร์ และ ปตท.คิดราคาที่เหมาะสม โดยลดกำไรที่โรงกลั่นลง ราคาน้ำมันจะถูกลงได้

“คือ น้ำมันเนี่ย กำไรส่วนใหญ่อยู่ที่โรงกลั่นนะ ไม่ได้อยู่ตรงการขายปลีก จุดของการขายปลีกอาจจะไม่ได้กำไรมาก อย่างที่เขาพูดกันน่ะว่า เขายังขาดทุนค่าการตลาด แต่ส่วนของโรงกลั่น ไปดูตัวเลขของโรงกลั่น คือ ตัวเลขมันขึ้นอยู่กับว่า เราจะเอาฐานกันจุดไหน ตอนนี้เวลานี้เราใช้ฐานของสิงคโปร์ ทำไมเราไม่ใช้ฐานดูไบ พวกเราไม่ได้คิดนะว่า เรื่องแบบนี้ พอไปเพิกถอนแล้ว น้ำมันมันจะถูกลงไปเหมือนในอดีต มันไม่ใช่ ก็ไม่ได้คิดแบบนั้น เราคิดว่า น้ำมันควรจะมีราคาที่ยุติธรรม ไอ้ยุติธรรม หรือเหมาะสม มันต้องดูตรงนี้ด้วยว่า กำไรของคุณเนี่ยเท่าไหร่ มันต้องไปดูตรงจุดนั้น และราคาจริงๆ ควรจะเป็นเท่าไหร่ และถ้าหากมันเป็นของรัฐ กำไรเหล่านี้มันก็จะเข้าสู่รัฐนะ เราจะซื้อแพงไปบ้าง แต่มันก็กลับเข้ามาเป็นภาษีเป็นเงินได้ของแผ่นดิน ซึ่งก็จะกลับมา สำหรับการที่จะมาลงทุนในเรื่องอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์สาธารณะเหมือนกัน ประเด็นของเรามันอยู่ที่ว่า “สมบัติสาธารณะมันควรจะเป็นประโยชน์กับประเทศ ไม่ใช่เอาสมบัติสาธารณะไปเป็นประโยชน์กับเอกชน” หลักการของเรามีแค่นี้”

ส่วนกรณีที่ นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.อ้างว่า ถ้าถอน ปตท.ออกจากตลาดฯ แล้ว จะทำให้มาร์เก็ตแคปหายไป 6 แสนล้านนั้น น.ส.รสนา บอก อย่าเพิ่ง “ตีตนไปก่อนไข้” เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า ต้องใช้ทฤษฎี “เลยตามเลย” ทั้งที่สิ่งสำคัญ คือ เราควรทำให้ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนที่ นายประเสริฐ อ้างว่า ขณะนี้ ปตท.ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะรัฐถือหุ้นอยู่ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม 68% นั้น น.ส.รสนา ตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วกระทรวงการคลังถือหุ้นใน ปตท.แค่ 52% เท่านั้น อีกส่วนหนึ่งจำนองไว้กับกองทุนรวมวายุภักษ์ จึงอยากถามว่า เงินส่วนนั้นเอาไปไหน? และว่า หาก ปตท.ไม่ถูกแปรรูป กำไรที่ได้ก็จะตกแก่รัฐอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 100% แต่ตอนนี้บริษัท ปตท.ที่แปรรูปแล้ว กำลังทำให้ตัวเองอยู่ใน 2 สถานะ คือ เป็นทั้งเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองทั้งขึ้นทั้งล่อง

“รัฐ ที่ถือจริงๆ คือ กระทรวงการคลัง 52% แต่อีกส่วนหนึ่งเอาไปจำนองไว้ คือ กองทุนวายุภักษ์ เข้ามาซื้อ (15% กว่า) ซึ่งตรงจุดนี้ คุณ (ประเสริฐ บุญสัมพันธ์) จะบอกว่า รัฐถือหุ้นโดยทางตรงและทางอ้อม 68% คุณพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ปัญหาที่เราต้องตั้งคำถามว่า หุ้นที่ไปจำนองเอาไว้กับกองทุนวายุภักษ์ เงินเอาไปทำอะไร? เงินเอาไปไหน? และอีกอันหนึ่งคือ การที่รัฐถือหุ้นเป็นรัฐวิสาหกิจ มันก็ไม่ได้มีความหมายนะในการที่จะทำให้มาคุ้มครองผู้บริโภค แต่การเป็นรัฐวิสาหกิจทำให้เขาสามารถที่จะใช้สิทธิในฐานะความเป็น รัฐวิสาหกิจ เช่น ปตท.ผูกขาดขายก๊าซให้กับ กฟผ.100% กฟผ.ไม่มีสิทธิที่จะไปซื้อเชื้อเพลิงอย่างก๊าซจากที่อื่นที่ถูกกว่า ปตท.นะ โดยอ้างว่า คุณเป็นรัฐวิสาหกิจนี่แหละ เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ ก็คือ การเป็นรัฐวิสาหกิจนี้เราได้ประโยชน์หรือเปล่า หรือว่า การเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้รัฐวิสาหกิจนั้นสามารถเลือกใช้ประโยชน์จากแต่ละเรื่อง เช่น เวลาคุณเป็นบริษัทเอกชน คุณก็จะบอกว่า เฮ้ย! จะไปปรับราคานี่ไม่ได้ เพราะเราต้องคำนึงถึงผู้ลงทุน ต้องได้กำไรตามที่รับประกันเอาไว้ แต่พอจะบอกว่า งั้นคุณไม่ควรที่จะมาผูกขาดขายก๊าซให้กับ กฟผ.นะ เขาก็บอก ก็เราเป็นรัฐวิสาหกิจน่ะ เพราะเราเป็นรัฐวิสาหกิจด้วยกัน เพราะฉะนั้นคุณต้องซื้อจากรัฐวิสาหกิจด้วยกัน ราคาแพงหน่อย ก็ต้องซื้อ เพราะเราเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ความแพงเหล่านั้นมันก็ลงมาในกระเป๋าเราน่ะ คือประชาชนเนี่ย ผู้บริโภคคือ “ปลายน้ำ” จุดสุดท้ายเลยของกระบวนการทั้งหมด คุณจะบริหารขาดทุนยังไง เช่นคุณไปต่อท่อจากพม่ามา แล้วคุณไม่ได้ใช้เนี่ย ก็เราอีกนั่นแหละเป็นคนจ่าย คุณไปลงทุนอันโน้นอันนี้ มันไม่ได้ผล ก็เราอีกนั่นแหละรับจ่ายไป”

“ ธุรกิจทุกอย่างในโลกนี้นะ มันต้องมีความเสี่ยงบ้าง ถ้าคุณบริหารไม่ดี คุณก็ต้องขาดทุน แต่ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจไฟฟ้า มันเล่นรับประกันความเสี่ยงให้คนลงทุนเลยนะ คือ ไม่มีโอกาสจะขาดทุนเลย เพราะการที่คุณไม่มีโอกาสขาดทุน ก็คือ คุณก็ต้องมาเอาจากประชาชน เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ไง ถึงถามว่า คุณมีองค์กรที่มีความเป็นอิสระ เป็นกลางที่จะมาดูแลผู้บริโภคหรือไม่ ไม่มีนะ และที่จริงรูปแบบการแปรรูปเนี่ย เขามีกันตั้งหลายแบบ แต่รัฐบาลชุดนี้(รัฐบาลทักษิณ) เขาเลือกแบบนี้ เขาเลือกแบบขายโละเลย พร้อมอำนาจผูกขาดไปด้วยเลย อันนี้ต่างหากที่เราตั้งคำถาม ถ้าคุณไปแปรรูปโรงไฟฟ้าที่มันแข่งขันกันได้ คุณก็แปรไปสิ ประชาชนไม่ได้ว่านะ ถ้ามันแข่งขันกันได้ และมันมีประสิทธิภาพ ราคาเป็นธรรม ก็ทำไปเถอะ แต่เมื่อคุณแปรรูปแล้ว คุณไปผูกขาด กำไรเกิดขึ้นจากการผูกขาด อย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะ กำไรคุณต้องเกิดขึ้นจากการที่คุณมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่กำไรของคุณมาจากกระเป๋าของเรา(ประชาชน)โดยไม่เป็นธรรม”

น.ส.รสนา ยังทิ้งท้ายด้วยว่า สิ่งที่องค์กรผู้บริโภคทำ ไม่ว่าจะเป็นการทวงคืน ปตท.หรือ กฟผ.ก็ตาม ล้วนอยู่บนพื้นฐานของหลักการและข้อเท็จจริงที่ว่า สิ่งที่เป็นสาธารณสมบัติเป็นสิ่งที่โอนให้เอกชนไม่ได้ นอกจากนี้ การโอนสมบัติส่วนรวมให้เอกชน และกำไรเฉพาะผู้ถือหุ้น แล้วยังอ้างว่า รัฐถือหุ้นอยู่เกินกว่า 50% ก็เป็นสิ่งที่ฟังไม่ได้ เพราะสิ่งที่เป็นสาธารณสมบัติ กำไรทุกอย่างต้องคืนรัฐ 100% และสำหรับกรณี ปตท.ยังไม่ใช่แค่การโอนสมบัติชาติให้เป็นของเอกชนเท่านั้น แต่ยังให้สิทธิเอกชนนั้นใช้อำนาจรัฐไปลิดรอนสิทธิชาวบ้านได้ มีสิทธิพิเศษเหนือกว่าเอกชนรายอื่นที่เป็นคู่แข่งได้ เท่ากับเป็น “ความไม่เสมอภาคกันภายใต้กฎหมาย” ดังนั้น สิ่งที่องค์กรผู้บริโภคยื่นศาลปกครองให้เพิกถอน พ.ร.ฎ.แปรรูป ปตท.จึงเป็นความพยายามทำให้สังคมมีกติกาที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เป็นธรรมเฉพาะกับประชาชนหรือผู้บริโภคเท่านั้น แต่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการทั่วไปด้วย!!

*หมาย เหตุ* - เป็นที่น่าสังเกตว่า รายชื่อผู้ถือหุ้นในบริษัท ปตท.ขณะนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากรายชื่อเมื่อเดือน ก.ย.2549 โดยนอกจากจำนวนผู้ถือหุ้นได้ลดลงจาก 19 ราย เหลือเพียง 10 รายแล้ว (ลำดับที่ 11-19 หายไป) ยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาผู้ที่ไม่ได้ถือหุ้น ปตท.แล้ว มีหน่วยงานของรัฐอย่าง “สำนักงานประกันสังคม และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ” รวมอยู่ด้วย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า จะมีหน่วยงานใดยอมทิ้งหุ้นที่สามารถฟันกำไรปีละนับแสนล้านอย่าง ปตท.ได้ ไม่แค่นั้น ยังน่าสังเกตด้วยว่า สัดส่วนหุ้นที่รัฐยังถืออยู่ใน ปตท.ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง หรือกองทุนรวมวายุภักษ์ กลับลดจำนวนลงจากเมื่อปี ’49 ขณะที่สัดส่วนหุ้นที่บริษัทต่างประเทศเข้ามาถือใน ปตท.กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกบริษัท โดยสาธารณชนไม่สามารถทราบได้ว่าบริษัทต่างประเทศดังกล่าวเป็นนอมินีของใคร หรือมีใครเป็นเจ้าของ?

รายชื่อผู้ถือหุ้น จำนวนหุ้นที่ถือปี’49 /จำนวนหุ้นที่ถือขณะนี้

1. กระทรวงการคลัง 52.47% /52.32%
2.กองทุนรวมวายุภักษ์ โดย บลจ.เอ็มเอฟซี 7.79% /7.77%
3.กองทุนรวมวายุภักษ์ โดย บลจ.กรุงไทย 7.79% /7.77%
4.HSBC(SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD 1.72% /1.97%
5.STATE STREET BAND AND TRUST COMPANY 1.34% /1.60%
6.NORTRUST NOMINEES LTD 1.16% /1.32%
7.HSBC BANK PLC-CLIENTS GENERAL A/C 1.10% /1.13%
8.CHASE NOMINEES LIMITED 42 1.02% /1.52%
9.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 0.92% /1.63%
10.MELLON BANK, N.A. 0.80% /1.07%

(รายชื่อลำดับที่ 11-19 ที่ถือหุ้น ปตท.เมื่อปี 49 แต่ปัจจุบัน รายชื่อหายไปแล้ว)

11.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 0.79% -------
12.สำนักงานประกันสังคม 0.79% -------
13.STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY
FOR AUSTRALIA 0.69% -------
14.CHASE NOMINEES LIMITED 1 0.68% -------
15.STATE STREET AND TRUST COMPANY,
FOR LONDON 0.67% -------
16.INVESTORS BANK AND TRUST COMPANY 0.64% -------
17.THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED 0.64% -------
18.BARCLAYS BANK PLC-RE EQUITIES 0.58% -------
19.GOVERNMENT OF SINGAPORE INVESTMENT
CORPORATION C 0.51% -------

ที่มา

ข้อเท็จจริง! ทำไมต้องเอา ปตท.คืนมา

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 13 ธันวาคม 2550 19:22 น.
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และผู้ฟ้องคดี 4 ราย จัดทำเอกสาร “ข้อเท็จจริงกรณี ปตท. ทำไมต้องเอา ปตท.คืนมา” เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลโดยจะแจกจ่ายเอกสารดังกล่าวใน วันพรุ่งนี้ (14 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันที่ศาลนัดพิพากษาคดี โดยเนื้อหาของเอกสาร ได้ตอบข้อสงสัย 7 ประเด็นอันเป็นเหตุผลว่า “ทำไมต้องเอา ปตท.คืนมา” คือ

1) องค์กรผู้บริโภคบ้าคลั่งหรือ ?

2) ความเสียหายจากการขาย ปตท. ขายแล้วขาดทุน ขายทำไม

3) ผลประโยชน์ส่วนตัวของบุคคลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่รัฐบาลทักษิณถึงคุณปิยสวัสดิ์

4) ปตท. กำไรปีละ 100,000 ล้านบาท ท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชน และผลกระทบของภาคธุรกิจจริงๆ

5) การเพิ่มขึ้นของทรัพย์สิน 500,000 ล้านบาท ของ ปตท.เป็นทรัพย์สินของประเทศที่สูญหายไป

6) การแก้พระราชกฤษฎีกา และออกกฎหมายเพื่อล้มล้างความผิด หยุดใช้เทคนิกกฎหมายเพื่ออ้างต่อศาล และ

7) ปตท.ออกจากตลาดแล้วเศรษฐกิจเสียหาย จริงหรือ ?



001

002



003

004

005

006

007



ที่มา

วันอังคาร, ธันวาคม 11, 2550

อย่ากระพริบตา 14 ธันวาฯนี้ ลุ้นคดีปตท.

แปรรูปปตท.ขายสมบัติชาติ มรดกบาปยุคทักษิณ
มรดกบาปยุคทักษิณที่ยังตามหลอนสังคม ไทยให้หวาดผวากับการปรับขึ้นค่าน้ำมัน ค่าก๊าซ อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะการนำรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานชั้นนำของชาติอย่าง ปตท. มาแปรรูปกลายเป็นบริษัทเอกชนที่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุดเป็นที่ตั้ง โดยมีข้อพิสูจน์จากการทำกำไรของกลุ่มปตท.ในจำนวน 8 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 146,964 ล้านบาท

การแปรรูป ปตท. ส่งผลให้มูลนิธิผู้บริโภคและเครือข่ายฯ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่าเป็นการยกสมบัติชาติให้เป็นของเอกชนเครือข่ายพวกพ้องไทยรักไทย และขั้นตอนการแปรรูปขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุนรัฐวิสาหกิจ นำไปสู่การผูกขาดธุรกิจน้ำมันและก๊าซโดยเอกชน

คดีนี้ มูลนิธิผู้บริโภคและเครือข่าย นำโดย นายแพทย์ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา เลขาธิการมูลนิธิ ฯ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิฯ และองค์กรเครือข่ายประกอบด้วย น.ส.รสนา โตสิตระกูล กรรมการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค ฯลฯ ยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และนายวิเศษ จูภิบาล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2549 และศาลฯ มีคำสั่งรับคำฟ้องไว้ในสารบบ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2549 จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ยื่นข้อมูลเอกสารและแถลงต่อศาล โดยศาลปกครองสูงสุด กำหนดวันพิพากษาคดีในวันที่ 14 ธ.ค. 2550

***ขัดพ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจฯ

ในคำบรรยายฟ้องของผู้ฟ้อง ระบุว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งหมดเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรืออาจจะเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จากการที่คณะรัฐมนตรีและพวกผู้ถูกฟ้องคดีรวม ๓ ราย ที่ได้ดำเนินการยกเลิกและแปรสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการพลังงานในปัจจุบันไป เป็นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยใช้อำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในฐานะคณะรัฐมนตรี ตราพระราชกฤษฎีกาจำนวน ๒ ฉบับ คือ

ฉบับที่ ๑ พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔

ฉบับที่ ๒ พระราชกฤษฎีกา กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๔

ผู้ฟ้องคดีทั้งหมด เห็นว่าการตราพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๒ ฉบับขัดกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ และ พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเป็นการตราพระราชกฤษฎีกาที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและเนื้อหาอัน เป็นสาระสำคัญตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อีกทั้งยังเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง ในการเลือกรัฐวิสาหกิจดังกล่าวมาแปรรูปซึ่งทำให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย ต่อผู้ฟ้องคดีรวมทั้งประชาชนและประเทศชาติในฐานะผู้บริโภคตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายโดยมีรายละเอียดดังจะกล่าวต่อไปนี้

***ข้อ ๑. กระบวนการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ขัดกับพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ ตั้งแต่เริ่มต้น :

เนื่องจากพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้กำหนดกระบวนการเปลี่ยนสถานะของรัฐวิสาหกิจประเภทองค์กรของรัฐตามที่ กฎหมายจัดตั้งขึ้นให้เป็นรูปแบบของบริษัท โดยมีบทบัญญัติที่กำหนดขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญไว้ตาม มาตรา ๔ ที่กำหนดว่าในกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะนำทุนบางส่วนหรือทั้งหมดของ รัฐวิสาหกิจใดมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบของบริษัท ให้กระทำได้ตามพระราชบัญญัตินี้

เมื่อรัฐบาลมีนโยบายแล้ว การดำเนินการเริ่มต้นแปรรูปรัฐวิสาหกิจขั้นตอนแรกตามมาตรา ๑๓ กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ในการเสนอความคิดเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติในหลักการและแนวทาง ให้ดำเนินการนำทุนของรัฐวิสาหกิจมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบของบริษัท

หลังจากนั้น คณะรัฐมนตรี จึงจะอนุมัติในหลักการให้เปลี่ยนทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นรูปแบบของบริษัทตาม มาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ และเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติในหลักการแล้วจึงไปสู่ขั้นตอนต่อไปคือ การแต่งตั้ง และการดำเนินการของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ซึ่งรวมถึงการแต่งตั้งและดำเนินการของคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชน

***แต่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจได้จัดประชุมครั้ง ที่ ๑/๒๕๔๔ เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแปรรูปโดยการนำการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยหรือ ปตท. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจทั้งองค์กรมาแปลงสภาพเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)

ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๔ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแปรสภาพ ปตท.เป็นบริษัทมหาชน (จำกัด) ตามมติคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจดังกล่าวข้างต้น จึงถือได้ว่าการเริ่มต้นกระบวนการแปรสภาพ ปตท.นั้นต้องเริ่มขึ้นจากวันที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๔ โดยให้มีการแต่งตั้งและการดำเนินการของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท .จำกัด(มหาชน)

***แต่ ปรากฏว่า ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท. ดำเนินการประชุมพิจารณาเรื่องต่างๆ และดำเนินการอื่นๆ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นการดำเนินการก่อนที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการแปรสภาพ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย

***ประการสำคัญการแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ดังกล่าวก็เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งบัญญัติให้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทประกอบด้วยกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิจำนวนไม่เกิน ๓ คน

โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะต้องแต่งตั้งจากผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญใน ด้านการเงินและการบัญชี และในกิจการหรือการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจที่จะเปลี่ยนทุนเป็นหุ้นอย่าง น้อยด้านละ ๑ คน

โดยนัยนี้หมายความว่าจะต้องมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย ๒ คน ในข้อเท็จจริงปรากฏว่าคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท. มีผู้ทรงคุณวุฒิเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ นายธีระ วิภูชนิน รองกรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

***นอก จากนี้ กรรมการบางคนในคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) คือ นายวิเศษ จูภิบาล อดีตกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และนายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตประธานกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๑๒ และมาตรา๑๘ ซึ่งบัญญัติห้ามกรรมการในคณะกรรมการทั้งสองชุดนี้เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทที่ จัดตั้งขึ้นโดยการเปลี่ยนทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นหุ้นของบริษัทนั้นมิได้

แต่บุคคลทั้ง ๒ รายได้กระทำผิดตามกฎหมายดังกล่าวและถูกกลุ่มพิทักษ์เสรีภาพของประชาชนได้ ดำเนินการกล่าวโทษต่อผู้บังคับการกองปราบปรามให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับ นายวิเศษ จูภิบาล และนายมนู เลียวไพโรจน์ ฐานกระทำความผิดตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ ๖.

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าทั้งคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจและคณะกรรมการเตรียมการ จัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรที่มีความสำคัญในการแปรรูปและยุบเลิกการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ไปเป็น บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เพราะได้รับอำนาจพิเศษตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งมีผลเท่ากับการที่ฝ่ายนิติบัญญัติมอบหมายให้คณะกรรมการทั้งสองชุดเป็น ผู้ดำเนินการยกเลิกการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่จัด ตั้งขึ้นตามกฎหมายโดยไม่ต้องเสนอฝ่ายนิติบัญญัติยกเลิกอีก

***ดัง นั้น การแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งสองชุด จึงต้องมีการดำเนินการแต่งตั้งและตรวจสอบประวัติคุณสมบัติต่าง ๆ โดยเคร่งครัดตามขั้นตอนและสาระสำคัญของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ ที่ได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

***แต่ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ได้กระทำไปโดยไม่ถูกต้องตามคุณสมบัติและขั้นตอนที่กฎหมายไว้ จึงมีผลทำให้การดำเนินการใด ๆ ของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลให้ พระราชกฤษฎีกากำหนด อำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.๒๕๔๔ และ พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ เสียไปด้วยเช่นกัน


***ขั้นตอนรับฟังความเห็นไม่ถูกต้องไม่เปิดเผย

***ข้อ ๒. การตราพระราชพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับไม่เป็นไปตามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญ ตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ และรัฐธรรมนูญกำหนดไว้:

เนื่องพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่งได้กำหนดขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจว่าต้องมี การจัดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการที่รัฐบาลจะเลือกแปรรูป รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ

ประกอบกับบทบัญญัติตามมาตรา ๕๙ ของรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองสิทธิในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไว้ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูลคำชี้แจงและเหตุผลจากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ก่อนการดำเนินโครงการหรือกิจการใดที่อาจมีผลกระทบหรือมีส่วนได้เสียอื่นใด ที่เกี่ยวกับตน และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องดังกล่าว

***แต่ ข้อเท็จจริง ปรากฎว่า คณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการ เตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยไม่ถูกต้องไม่เปิดเผย และไม่เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างกว้าง ขวางตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็น ของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๓ กำหนดไว้แต่อย่างใด ดังนี้

(๑) คณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนได้จัดให้มีการ ประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพียงครั้งเดียวเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๔ และจัดเพียงแห่งเดียวที่กรุงเทพมหานคร

(๒) จำนวนผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นมีจำนวนน้อยมาก โดยปรากฏในหนังสือพิมพ์มติชน วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๔ ก่อนวันรับฟังเพียงวันเดียว ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมจำนวน ๑,๑๗๓ คน ทั้งนี้ยังปรากฏว่าการจัดการรับฟังครั้งนี้มีการตั้งข้อจำกัดเรื่องจำนวนคน เข้าร่วมรับฟังตั้งแต่แรก โดยลงประกาศในหนังสือพิมพ์เชิญประชาชนเข้าร่วมมีข้อความว่า “สถานที่ประชุมมีที่นั่งเพียง ๒,๕๐๐ ที่นั่ง”

*** (๓) การจัดทำประกาศมิได้ดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจว่า ด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ.๒๕๔๓ ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการจัดทำประกาศโดยสรุปเรื่องที่จะรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ และประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาไทยที่มีการจำหน่ายเผยแพร่ติดต่อกัน ไม่น้อยกว่า ๓ วัน ในฉบับเดียวกัน

***ข้อ เท็จจริงปรากฏว่าได้มีการประกาศในหนังสือพิมพ์รายวันเพียงฉบับละ ๑ วันเท่านั้น โดยประกาศในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๔ เพียงวันเดียว และในหนังสือพิมพ์มติชนวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ เพียงวันเดียว

(๔) การจัดทำประกาศในหนังสือพิมพ์มิได้สรุปเรื่องที่จะจัดให้มีการรับฟังความ คิดเห็นของประชาชน แต่ประกาศเพียงเฉพาะหัวข้อที่จะรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น ขัดกับหลักกฎหมายว่าด้วย การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๓

(๕) บุคคลผู้ชี้แจงข้อมูล คณะกรรมการได้จัดให้มาเฉพาะจากหน่วยงานที่ต้องการผลักดันให้มีการแปลงสภาพ รัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทเท่านั้น ไม่มีบุคคลซึ่งมีความอิสระและเป็นกลางร่วมอยู่ด้วยเลย

***นอก จากนี้ กระบวนการดำเนินการของคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)ไม่โปร่งใส ไม่ปรากฏว่าได้มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดๆ ที่คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทจัดทำขึ้นต่อสาธารณชน ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๙ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่อย่างใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่มีความจำเป็นที่สาธารณชนควรรับรู้ ด้วยคือ

- รายงานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท
- รายงานผลการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
- การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ และรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการ
- รายละเอียดของทรัพย์สิน อำนาจ สิทธิ และผลประโยชน์ของ ปตท.ที่โอนไปให้บริษัทปตท. จำกัด(มหาชน)
- รายละเอียดหนี้สินและคดีต่างๆ ที่ยังผูกพันกับบุคคลภายนอก

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการแปลงสภาพการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยไปเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) นั้น เป็นขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ทั้งพระราชบัญญัติ ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยกำหนดไว้ จึงต้องดำเนินการโดยเคร่งครัดทุกขั้นตอน

***เมื่อ ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ปรากฎว่าคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)และคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนไม่ได้ ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายไว้อย่างครบถ้วน จึงทำให้การจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ตามพระราชกฤษฎีกากำหนด อำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.๒๕๔๔ และ พระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๔ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

***ประกอบ กับการที่คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ได้มีคำสั่งที่ ๓/๒๕๔๔ ลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๔ แต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ก็เป็นการแต่งตั้งก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบให้มีการแปรรูปการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๔ ดังนั้น คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวนี้จึงไม่มีผลทางกฎหมายจึงมีผลให้คณะ กรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วย กฎหมายเช่นกัน


วิเศษ จูภิบาล อดีตรมว.กระทรวงพลังงาน
***โอนสาธารณสมบัติแผ่นดินเป็นของเอกชน

***ข้อ ๓. การตราพระราชพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับขัดกับหลักประกันสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ :

***เนื่องจากการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.๒๕๔๔ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๔ ของผู้ถูกฟ้องคดี นั้นมีผลให้มีการโอนทรัพย์สิน และสิทธิ ซึ่งเดิมเป็นของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้สอยร่วมกัน ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน

ซึ่งทรัพย์สินเดิมของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยหลายรายการเป็น ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นส่วนควบของที่ดินนั้น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้มาโดยการเวนคืนซึ่งเป็นการใช้อำนาจมหาชนของรัฐเพื่อใช้ในกิจการสาธารณ ประโยชน์

***แต่ เมื่อมีการโอนทรัพย์สินและสิทธิดังกล่าวมาให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)ซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายเอกชน จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาค หลักความเท่าเทียมกันอย่างเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ ตามมาตรา ๓๐ และมาตรา ๕๐ แห่งรัฐธรรมนูญ ประกอบกับมาตรา ๒๖ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ และไม่สอดคล้องกันมาตรา ๘๗ แห่งรัฐธรรมนูญด้วย

ดังเช่น ที่ดินที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้เวนคืนมาก่อนการแปลงสภาพเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้แก่ ที่ดินคลังน้ำมัน ซึ่งเดิมเป็นองค์การเชื้อเพลิง ที่ได้มาจากการเวนคืนโดยกระทรวงกลาโหมและได้โอนให้การปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทยตามมาตรา ๖๑ แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๑ และที่ดินตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติสายประธาน จากจังหวัดระยองมายังจังหวัดสมุทรปราการ

***รวม ทั้งอสังหาริมทรัพย์ (ทั้งที่มีอยู่เดิมและสร้างขึ้นใหม่) อันเป็นส่วนควบของที่ดินดังกล่าว ได้แก่ โรงงานแยกก๊าซ สถานีควบคุมระบบส่งก๊าซ และท่อก๊าซฝังใต้ดิน ทั้งที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อันเป็นส่วนควบเหล่านี้ล้วนเป็นสาธารณะสมบัติ ของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๔ (๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ.๒๕๑๘

***นอก จากนี้ได้มีการโอนสิทธิการใช้ที่ดินรวมทั้งระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติอันเป็น ทรัพย์สิทธิติดอยู่กับที่ดินใน ๓ โครงการ ได้แก่ โครงการท่อบางปะกง-วังน้อย, โครงการท่อจากชายแดนไทยและพม่า-ราชบุรี และโครงการท่อราชบุรี-วังน้อย

***จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นได้ว่าการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.๒๕๔๔ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๔ ที่มีผลทำให้มีการโอนทรัพย์สินซึ่งได้แก่ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน)ที่มีฐานะเป็นบริษัทเอกชนประเภทหนึ่ง จึงทำให้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ได้รับเอกสิทธิ์เหนือสาธารณชนทั่วไปโดยไม่ได้กำหนดระยะ เวลาสิ้นสุด

ซึ่งการได้รับเอกสิทธิ์ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนเกินกว่าความจำเป็นที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

***ข้อ ๔. การตราพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พ.ศ.๒๕๔๔ ขัดต่อสาระสำคัญพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจและรัฐธรรมนูญ :

ตามพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๒๖ วรรคสอง กำหนดว่า ในการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาให้บริษัทคงมีอำนาจ สิทธิ หรือประโยชน์เพียงเท่าที่จำเป็นแก่การดำเนินงานที่จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ การควบคุมให้การใช้อำนาจกฎหมายเป็นไปโดยถูกต้อง และการรักษาผลประโยชน์ของรัฐซึ่งสอดคล้องกับหลัดการของรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๘๗ ซึ่งมีสาระสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเสมอภาคเท่า เทียมกันในการประกอบอาชีพตามกฎหมาย

แต่ในการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ของผู้ถูกฟ้องคดี ตามมาตรา ๔ ได้กำหนดให้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มีอำนาจได้รับยกเว้น มีสิทธิพิเศษหรือได้รับความคุ้มครอง “ทั้งหมด” ตามกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ทั้งๆ ที่บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มีสถานะเป็นนิติบุคคลเอกชน แต่กลับมีอำนาจมหาชนของรัฐได้แก่ อำนาจเวนคืนที่ดิน อำนาจในการประกาศเขต และรอนสิทธิเหนือพื้นดินของเอกชน ตามมาตรา ๒๙ มาตรา ๓๐ มาตรา ๓๒-๓๖ และมาตรา ๓๘ ของพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๑

นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ยังได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่นเดียวกับที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้รับอยู่เดิม โดยมิได้มีการจำกัดสิทธิใดๆ ตามหลักการในมาตรา ๒๖ วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งสิทธิประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)ที่ได้รับจากผลของการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) พ.ศ ๒๕๔๔ ของผู้ถูกฟ้องคดี ทำให้บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มีสทธิเหนือบริษัทเอกชนอื่นๆ คือ

(๑) สิทธิประโยชน์เสมือนเป็นผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมตาม มาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๒๑
(๒) สิทธิรับซื้อปิโตรเลียมที่ผลิตได้เป็นอันดับแรก (Right of First Refusal) จากผู้รับสัมปทาน
(๓) สิทธิผูกขาดก๊าซธรรมชาติ
(๔) สิทธิผูกขาดขายน้ำมันราชการ
(๕) สิทธิในการยกเว้นการเสียภาษีป้าย
(๖) หนี้สิน/พันธะผูกพันใด ๆ ที่โอนไปยัง บริษัทปตท.จำกัด (มหาชน) ที่ กระทรวงการคลังค้ำประกัน ให้กระทรวงการคลังค้ำประกันต่อไป โดยไม่มี ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน
(๗) สิทธิในการยกเว้นการวางหนังสือค้ำประกันธนาคารต่อกรมศุลกากรในการ ดำเนินการคลังสินค้าทัณฑ์บน
(๘) สิทธิได้รับการผ่อนผันตามระเบียบศุลกากรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานพิธีการ ศุลกากรสำหรับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ
(๙) สิทธิในการเช่า หรือ ใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุได้ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ โดยคง เงื่อนไขสัญญา ค่าเช่า ค่าตอบแทนการใช้ที่ดินตามเงื่อนไขเดิม
(๑๐) สิทธิในการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม/ค่าตอบแทนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินการออก/โอนใบอนุญาตหรือหนังสือต่าง ๆ หรือรับจดทะเบียนที่ เกี่ยวข้องต่อการดำเนินกิจการ

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการตราพระราชกฤษฎีกำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ ของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการประกอบ อาชีพของประชาชนตามระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและไม่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของ สาธารณชนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ และเป็นกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒

**คลังประกันหนี้ ขัดหลักความเป็นธรรม

*** ข้อ ๕. การตราพระราชพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ถูกต้องทำ ให้ประชาชนได้รับความเสียหายไม่เป็นไปตามเจตนารมย์ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ:

จากผลของการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ ซึ่งทำให้เกิดการแปลงสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยที่เป็นรัฐวิสาหกิจ เต็มรูปแบบ ไปเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งมีเอกชนในตลาดหลักทรัพย์เป็นเจ้าของนั้น ได้ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมและความเสียหายแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก

***โดย เฉพาะอย่างยิ่ง การบังคับให้กระทรวงการคลัง มีหน้าที่ต้องค้ำประกัน “หนี้” ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเดิม ซึ่งโอนไปเป็นของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ทั้งๆ ที่บรรดากิจการ สิทธิประโยชน์ สินทรัพย์ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากสาธารณสมบัติของแผ่นดินทั้งหลายทั้งหมด ได้ถูกถ่ายโอนไปให้แก่บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จนหมดสิ้น เรียกได้ว่ามีการบังคับให้ถ่ายโอนทรัพย์สินกิจการลักษณะผูกขาดทางธุรกิจ สิทธิ ประโยชน์ และทุกอย่างที่เคยเป็น “สมบัติชาติ” ภายใต้การดูแลใช้ประโยชน์ และถือว่าทุกอย่างเป็นของ “รัฐ” ซึ่งผู้ได้รับประโยชน์ คือ ประชาชนตลอดมาให้ตกไปเป็นของเอกชนในตลาดหลักทรัพย์

แต่ขณะเดียวกัน กลับบังคับให้กระทรวงคลังต้องค้ำประกัน “หนี้” ที่มีอยู่แต่เดิมและเปลี่ยนไปเป็นของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จึงไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งที่รัฐจะเอาเงินจากภาษีอากรของประชาชนไปค้ำประกัน หนี้ของบริษัท ซึ่งไม่ใช่ของ “รัฐ” อีกต่อไป จึงถือว่าการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นไปโดยไม่คำนึงถึง ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน ในขณะที่เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนและนายทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งรวมถึงนายทุนต่างชาติด้วยอย่างเห็นได้ชัดอีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิด ประโยชน์อย่างแท้จริงที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานเชื้อเพลิงต่างๆราคา ถูกลงแต่อย่างใด

การกำหนดราคาหุ้นและการจัดสรรหุ้น การกระจายหุ้น มิได้ดำเนินการอย่างเป็นธรรมไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนคนไทยมิสิทธิในการเข้า ถึงการเป็นเจ้าของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยการซื้อหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้อย่างเท่าเทียมกัน ขัดกับการประชาสัมพันธ์ ของปตท. ก่อนการแปรรูป ในทำนองว่าเพื่อให้คนไทยทุกคนได้มีโอกาสเป็นเจ้าของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ร่วมกันได้อย่างทั่วถึง

***แต่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าประชาชนที่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) อย่างแน่นอนคือ ประชาชนที่เป็นพนักงานของ ปตท. เดิม กล่าวคือ พนักงาน ปตท. ทุกคนสามารถซื้อหุ้น บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ได้ในราคาพาร์ (๑๐ บาท/หุ้น) โดยสามารถซื้อได้ถึงจำนวน ๘ เท่า ของอัตราเงินเดือน ซึ่งการได้มาดังกล่าวเป็นการจัดสรรหุ้นให้พนักงาน ปตท.

นอกจากได้อภิสิทธิในการซื้อหุ้นดังกล่าวแล้ว ยังมีโอกาสใช้สิทธิในการซื้อหุ้นรอบสองที่ต้องการขายหุ้นให้กับประชาชนโดย ทั่วไปอีกด้วย วิธีการกระจายหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) มิได้มีโอกาสสร้างให้กับประชาชนโดยทั่วไปเพื่อเข้าถึงการซื้อหุ้นได้อย่าง เท่าเทียมกัน

***ดัง ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อเปิดให้มีการจองหุ้นในวันแรก หุ้นทั้งหมดถูกจองหมดเกลี้ยงภายในเวลา ๑ นาที ๗ วินาที เท่านั้น และปรากฏว่าหุ้นดังกล่าวกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏดังกล่าวย่อมสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด วิธีการ ที่เสมือนหนึ่งไม่ต้องการให้เกิดการกระจายหุ้นไปสู่ประชาชนโดยทั่วไปอย่าง ทั่วถึงเป็นธรรม

นอกจากนี้ การประเมินราคาทรัพย์สินของ ปตท. อันมีส่วนสัมพันธ์กับการกำหนดราคาหุ้นของ ปตท. จำกัด(มหาชน) รวมตลอดถึงการจัดสรรหุ้นให้กับพนักงาน ปตท. การกระจายหุ้นให้กับประชาชนไทย และชาวต่างชาติซึ่งมีข้อเท็จจริงที่น่าเคลือแคลงสงสัยอีกหลายประการที่แสดง ให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบความเสียหายต่อประชาชน ประเทศชาติ ซึ่งผู้ฟ้องคดีจะได้เสนอข้อมูลต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป

ปตท. พลังไทย เพื่อใคร ??
***ฟันกำไรค่ากลั่น ผูกขาดก๊าซค่าไฟแพง

***จาก การแปรรูป ปตท. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมีผลให้ประชาชนต้องใช้น้ำมันราคาแพงเกินควรอย่างมาก เนื่องจากการแปรรูป ปตท. ส่งผลให้เปลี่ยนแปลงผู้ผูกขาดธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศจากเดิมโดยรัฐ เป็นผูกขาดโดยบริษัทเอกชน โดยประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันทั้งหมดรวม ๗ แห่ง โดยบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้ถึง ๕ แห่ง จึงทำให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีอำนาจในการควบคุมตลาดเสมือนการผูกขาดในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน

ดังนั้น การแปรรูป ปตท. เป็น บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับการกำหนดราคาหุ้น การจัดสรรหุ้น การกระจายหุ้น ไม่เป็นธรรมจึงทำให้บุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อยของประเทศได้ไปซึ่ง สิทธิประโยชน์อันมิควรได้ จากการกำกับดูแล การกำหนดราคาน้ำมันที่ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้น้ำมันต้องรับภาระเกินควรจาก ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยผู้ฟ้องคดีขอนำเสนอข้อเท็จจริงโดยสรุปดังนี้

***(๑) กำไรของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ๙ เท่า ใน ๓ ปี โดยในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ก่อนการแปรรูป ปตท. และบริษัทโรงกลั่นน้ำมัน ๗ แห่งมีกำไรรวมกัน ๒๐,๓๓๐ ล้านบาท (สองหมื่นสามร้อยสามสิบล้านบาท) และในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ มีกำไร ๒๒,๐๙๓ ล้านบาท (สองหมื่นสองพันเก้าสิบสามล้านบาท)

ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้นมากำไรของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ มีกำไรรวมกัน ๑๙๕,๘๕๓ ล้านบาท (หนึ่งแสนเก้าหมื่นห้าพันแปดร้อยห้าสิบล้านบาท) กำไรสูงขึ้นเป็น ๙ เท่า เป็นเงินจำนวน ๑๗๓,๗๕๔ ล้านบาท (หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นสามพันเจ็ดร้อยห้าสิบสี่ล้านบาท)

***(๒) บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และโรงกลั่นน้ำมัน กำหนดวิธีการคิดราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ที่ทำให้ราคาสูงเกินควรไปอย่างน้อยลิตรละ ๓.๐๐ บาท ทำให้น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลที่คนไทยใช้อยู่ปีละ ๒๘,๐๐๐ ล้านลิตร มีราคาแพงเกินควรไปประมาณปีละ ๘๔,๐๐๐ ล้านบาท (แปดหมื่นสี่พันล้านบาท) ทำให้ผู้บริโภคน้ำมันต้องรับภาระหนักเกินควร ก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายโดยมิอาจคัดค้านหรือต่อรองใด ๆ ได้

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องการให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นโดยมิได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนและ ประเทศชาติ นอกจากการกำหนดราคาขายน้ำมันที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ส่งผลให้บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และโรงกลั่นน้ำมันในเครือมีกำไรอย่างมากแล้ว กำไรอีกส่วนหนึ่งของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) มาจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ซึ่งผูกขาดโดยบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เช่นเดียวกัน

โดยส่วนก๊าซธรรมชาติยังขาดการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ขาดการถ่วงดุล ไม่มีการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายอื่น ไม่คำนึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงจากผลกำไรของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)

ตามเอกสารแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ๕๖-๑) ที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยื่นต่อสำนักงาน กลต. ปรากฏว่ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาของธุรกิจก๊าซธรรมชาติในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เท่ากับ ๙๒,๑๖๑ ล้านบาท (เก้าหมื่นสองพันหนึ่งร้อยหกสิบเอ็ดล้านบาท) เทียบกับผลกำไรในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ จำนวน ๔๕,๗๓๑ ล้านบาท (สี่หมื่นหกพันสี่ร้อยสามสิบล้านบาท)

กำไร ที่เพิ่มขึ้นนี้ก็คือภาระของผู้บริโภคที่ต้องจ่ายแพงขึ้น โดยเห็นได้จากภาระค่าไฟฟ้า ที่ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นรวมกันถึงปีละกว่า ๔๐,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการค้ากำไรเกินควร

รายละเอียดข้อมูลประเด็นในประเด็นที่กล่าวมา ผู้ฟ้องคดีจะนำเสนอข้อมูลต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป นอกจากนี้การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าวข้างต้น มีผลทำให้ “รัฐ” ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ต้องสูญเสียอำนาจการควบคุมและต่อรองในกิจการของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ไปอย่างเป็นการถาวร

***โดย เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทยตามพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยปี ๒๕๒๑ ได้แก่ การรักษาความมั่นคงของรัฐ การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมราคาน้ำมันและราคา ก๊าซธรรมชาติอันเป็นต้นทุนหลักของค่าไฟฟ้าและการจัดให้มีการสาธารณูปโภค เพราะการดำเนินกิจการของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) คงจะต้องยึดกลไกและกติกา รวมทั้งกระแสการตลาดในตลาดหลักทรัพย์และผู้ถือหุ้นเป็นหลัก

นอกจากนั้น ยังจะทำให้ “รัฐ” และกลไกการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบความโปร่งใส และการทุจริตภายในองค์กรได้อย่างเต็มที่ เพราะบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มิใช่หน่วยงานของรัฐ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “รัฐ” และการตรวจสอบโดยกลไกตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป

*** แปรรูปไม่ชอบด้วยกฎหมาย

จากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นได้ว่าการตราพระ ราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔และพระราชกฤษฎีกา กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๔๔ ของผู้ถูกฟ้องคดีจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้

๑. พระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับขัดต่อหลักการตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐ และมาตรา ๘๗ เพราะทำให้เกิดการผูกขาดโดยองค์กรเอกชนในรูปแบบบริษัทมหาชนรวมทั้งเป็นการก ระทำที่มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่เกินกว่าความจำ เป็นซึ่งขัดกับมาตรา ๒๙ และมาตรา ๕๐ แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย

๒. การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับมีผลทำให้มีการนำทรัพย์สินบางอย่างที่มี ลักษณะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ไม่สามารถซื้อขายได้ไปขายหรือไปอยู่ ในการถือครองขององค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรเป็นการกระทำ ที่กับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญโดยมีเจตนาที่ไม่สุจริตในการตราพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๒ ฉบับทำให้บุคคลบางกลุ่มและพวกพ้องของผู้ถูกฟ้องคดีได้รับประโยชน์จากการใช้ สาธารณสมบัติของแผ่นดินมากกว่าประชาชนทั่วไป

๓. ผู้ถูกฟ้องคดีไม่ได้ปฎิบัติตามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญของกฎหมายในการตรา พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวโดยผู้ถูกฟ้องคดีได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจาก ประชาชนไม่ถูกต้องตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ประกอบกับการแต่งตั้งคณะ กรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) และคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ต้องทำหน้าที่ในการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับนั้น ก็เป็นการแต่งตั้งที่ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้แต่อย่างใด

***๔. ผู้ถูกฟ้องคดีใช้ดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยหลักการและเจตนารมย์ของพระราช บัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.๒๕๔๒ ในการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และพระราชกฤษฎีกา กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ ทำให้ประชาชนผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงจากการตราพระ ราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ

ผู้ฟ้องคดีทุกคนขอยืนยันว่า ผู้ฟ้องคดีทุกคนเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายได้รับผลกระทบอย่างมิอาจ หลีกเลี่ยงได้ จากการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีทุก คน ประกอบกับการฟ้องคดีนี้เป็นไปเพื่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะมีผลกระทบต่อ ส่วนได้เสียของประชาชน ประเทศชาติ

ดังนั้น เพื่อให้การแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นบริการสาธารณะไม่ เปลี่ยนสภาพไปเป็นบริษัทเอกชนที่มีลักษณะผูกขาดและเปิดโอกาสให้เอกชนบาง กลุ่มที่เป็นนายทุนในประเทศและต่างประเทศเข้ามาครอบครองกิจการอันเป็น สาธารณะสมบัติของชาติ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความสงบสุขของประชาชนตลอดจนขัด กับรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒

***ผู้ ฟ้องคดีจึงขออาศัยอำนาจของศาลปกครองสูงสุดในการปกป้องสาธารณสมบัติของ ประเทศชาติและประชาชนได้โปรดมีคำพิพากษาให้ยกเลิกและเพิกถอนพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิประโยชน์ของ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่ง ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ ต่อไป

ที่มา : www.manager.co.th