เพื่อชีวิต..ใคร???

วันจันทร์, กรกฎาคม 30, 2550

สัญญาณล้างบางเครือข่ายโกง

โดย หมายเหตุผู้จัดการ 25 กรกฎาคม 2550 18:23 น.
.
ท่า ทีของข้าราชการประจำจะเป็นสัญญาณประการหนึ่งว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็น ประการใด เหมือนกับอาการที่ฝนจะตกหรือไม่ก็ย่อมสังเกตได้จากหมู่เมฆและลมบนฉะนั้น

นับแต่มีการยึดอำนาจโค่นระบอบเผด็จการทรราชเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้ว ปรากฏว่าความหวาดกลัวและความจำนนอยู่ในอำนาจของระบอบเผด็จการทรราชยังคงแผ่ ซึมซ่านไปทั่วทุกอณูของระบบราชการไทย

ใน ช่วงต้น ๆ และต่อมาร่วม 8 เดือน ส่วนราชการและข้าราชการเกือบทั้งหมดยังคงเข้าเกียร์ว่าง เพราะยังเกรงกลัวว่าอำนาจเผด็จการทรราชจะหวนกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่กล้าทำหน้าที่อันพึงทำ ทั้งยังทำการบางอย่างในลักษณะที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อบรรดาซากเดนทรราชอยู่

กระทรวงการคลังนั่นแหละที่แสดงอาการและท่าทีดังกล่าวชัดเจนที่สุด และทำให้ปัญหามากหลายยังค้างคาราคาซัง ยังทำให้การกำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินทอดเวลาล่าช้ามาถึงวันนี้

แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็ผันแปรไป มาถึงวันนี้ก็มีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นในวงราชการ นั่นคือข้าราชการได้เริ่มเข้าเกียร์เดินหน้าบ้างแล้ว เริ่มให้ความร่วมมือในการกำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินและอริราชศัตรูบ้างแล้ว โดยที่รัฐบาลหาได้มีความรู้สึกในประการนี้ จึงมิได้มีมติคณะรัฐมนตรีตามที่ คตส. ร้องขอแต่ประการใด

ท่าทีล่าสุดคือท่าทีที่เกิดขึ้นในธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นท่าทีที่เกิดขึ้นหลังจากการส่งคดีโกงที่รัชดาขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของนักการเมืองและหัวโจกอำนาจเก่าถูกดำเนินคดีอาญาถูกอายัดทรัพย์ไป แล้วหลายเรื่อง

นั่น คือการประเมินฐานะลูกหนี้และการจัดชั้นหนี้ของลูกหนี้บางรายที่เป็นลูกหนี้ ขนาดใหญ่และมีพฤติกรรมที่ส่อให้เห็นว่าเป็นกลไกในการโกงชาติ

นั่นคือท่าทีจากการแถลงของนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจที่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งดำเนินการจัด ชั้นหนี้บริษัทขนาดใหญ่ 4 ราย ว่าเป็นลูกหนี้ในชั้นหนี้ด้อยคุณภาพ

บริษัท ขนาดใหญ่ 4 รายนี้คือ บริษัท เพรซิเดนท์อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด, บริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด และบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด

จากข่าวคราวที่สื่อมวลชนได้นำเสนอมาเป็นลำดับ ทำให้เราได้รู้จัก 4 บริษัทดังกล่าวนี้ว่า

บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด คือบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินสินบนจำนวนมาก จากโครงการสำคัญของรัฐบาลที่แล้ว เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการสินค้าเกษตรบางรายการ ซึ่ง คตส. ได้อายัดทรัพย์รัฐมนตรีบางคน และเพิ่งเข้าตรวจค้นหลักฐานทางการเงินเพิ่มเติมเมื่อ 2-3 วันมานี้

บริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งชื่อแอบอ้างเพื่อสื่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักไทย เพราะเมื่อฝรั่งมังค่าเห็นชื่อบริษัทนี้แล้วก็จะเข้าใจว่าเป็นเครือข่ายของ ราชสำนัก เนื่องจากคำแปลตรง ๆ ของชื่อบริษัทนี้คือพลังของพระราชา หรือพลังของพระเจ้าแผ่นดิน

บริษัท นี้ได้รับสิทธิ์มากมายในโครงการโคตรโกงมหาโกงในสนามบินสุวรรณภูมิ เช่น ได้สิทธิ์ในการใช้พื้นที่มากที่สุดในสนามบินของชาติที่ลงทุนด้วยเงินภาษี ของประชาชนร่วม 140,000 ล้านบาท จนต้องชำระสะสางกันอย่างยุ่งยากยุ่งเหยิงอยู่ในขณะนี้

ใครที่ไปสนามบินสุวรรณภูมิมาแล้วก็คงจะรู้สึกเหมือนกันว่าบรรดาร้าน ค้าในสนามบินเหล่านี้เต็มไปหมด ราวกับว่าสนามบินแห่งชาติเป็นของบริษัทฉะนั้น

บริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจให้กู้ยืมเงินรายย่อย จัดตั้งขึ้นและดำเนินธุรกิจโดยสอดคล้องรองรับกับนโยบายประชานิยม ที่ส่งเสริมให้ประชาชนไทยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในการเป็นหนี้เป็นสิน ในการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย โดยคิดดอกเบี้ยราคาแพงสุดๆ

เป็นบริษัทที่ทำให้คนไทยเป็นหนี้กว่า 700,000 รายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าบริษัทนี้คือฐานทางการเงินและฐานรายได้สำคัญบริษัทหนึ่งของตระกูล ชินวัตร

ส่วนบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด นั้นไม่ต้องพูดถึง เป็นบริษัทแม่ที่มีบทบาทสำคัญในการยึดครองกิจการสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศ

เป็นบริษัทหลักของกลุ่มชินที่ได้ขายให้กับกลุ่มเทมาเส็กแห่งสิงคโปร์ ซึ่งหากดูเพียงผิวเผินก็จะเข้าใจว่าเป็นบริษัทที่ทุนแห่งชาติสิงคโปร์เป็น เจ้าของไปแล้ว น่าจะมีฐานะอันมั่นคง แล้วไฉนเล่าจึงถูกจัดชั้นหนี้ให้เป็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพ

ก็ อยากจะบอกกล่าวสักหน่อยหนึ่งว่าจากการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์ไต้หวันที่ เปิดเผยคำให้การของนายธนาคารใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทยต่อ คตส. ว่าเงินที่เทมาเส็กนำมาใช้ซื้อหุ้นกลุ่มชิน 73,000 ล้านบาทนั้น ไม่ใช่เงินของเทมาเส็กแต่เป็นเงินของกลุ่มชินวัตร

ประเด็นนี้เพิ่งเปิดออกมาใหม่ ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่โตของบ้านเมืองต่อไป เพราะถ้าเป็นจริงดังที่เป็นข่าวแล้วไซร้ ก็จะต้องเกิดกรณียึดทรัพย์ครั้งมโหฬารที่สุดในโลก

เพราะมีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่าเมื่อเป็นเงินของกลุ่มชินโดยตรง แล้ว กิจการกลุ่มชินที่ทำทีว่าเทมาเส็กได้ซื้อไปนั้น แท้จริงแล้วยังคงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เหมือนเดิม

และย่อมหมายความต่อไปว่าเงิน 73,000 ล้านบาทที่ผ่านเทมาเส็กเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มชินก็คือเงินที่นำเข้ามาฟอกเงิน นั่นเอง แล้วเงินนี้มาจากไหน? ซึ่งทำให้คิดไปได้ว่าเป็นเงินที่โกงชาติแล้วถูกลักลอบนำเอาออกนอกประเทศไป พักไว้ที่สิงคโปร์

จากนั้นก็ทำทีเป็นให้เทมาเส็กเข้ามาซื้อกลุ่มชินเพื่อถ่ายโอนเงิน 73,000 ล้านบาทนี้มาสู่มือของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เหมือนเดิม

เรื่อง นี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องใส่ใจติดตามกันให้ดี เพราะคิดว่าขณะนี้หากเป็นความจริงแล้ว คตส. ก็คงจะลงมือสืบสาวราวเรื่องกันเป็นการใหญ่

และเรื่องนี้อาจทำให้การป่วนบ้านป่วนเมืองของม็อบไข่แม้วทั้งหลาย และในการเคลื่อนไหวในการทำลายชาติบ้านเมืองอาจสิ้นสุดยุติลง จับตาดูกันให้ดีๆ เถิดพี่น้องไทย

บริษัททั้ง 4 รายนี้ได้กู้เงินเอาไปจากธนาคารพาณิชย์หลายแห่งโดยไม่มีหลักประกัน หรือมีหลักประกันไม่คุ้มหนี้ และในบรรดาธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องก็มีธนาคารเด่น ๆ อยู่สองแห่ง คือธนาคารทหารไทย กับธนาคารไทยพาณิชย์

สำหรับ ธนาคารไทยพาณิชย์นั้นไว้ว่ากันเป็นครั้งใหญ่สักครั้งหนึ่ง เนื่องจากความสงสัยในหัวใจคนไทยกำลังหนักหน่วงขึ้นทุกทีว่าธนาคารที่สำนัก งานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เหตุไฉนจึงเข้าไปร่วมสังฆกรรมในธุรกรรมมากหลายที่น่าสงสัย

เช่น การเข้าไปมีบทบาทในการเตรียมการยึดหนังสือพิมพ์มติชนของกลุ่มแกรมมี่ ที่มีพฤติกรรมว่าเป็นนายหน้าให้กับระบอบทักษิณในการยึดครองสื่อของประเทศ

หรือในการปล่อยเงินกู้จำนวนมากในธุรกรรมซื้อหุ้นกลุ่มชินที่ไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว

ใครเป็นไอ้โม่งที่ประพฤติตนเป็นกาฝากของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระ มหากษัตริย์ และประพฤติตนเป็นสุนัขรับใช้ของระบอบทักษิณในกิจกรรมโกงชาติต่าง ๆ

วันหนึ่งคงจะถูกฉีกหน้าออกมาอย่างแน่นอน

ธนาคารทหารไทยซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าห้วงเวลาหนึ่งอยู่ในอำนาจบงการของนายทนง ลำไย มือไม้ทางการเงินคนสำคัญของระบอบทักษิณ ได้ปล่อยสินเชื่อจำนวนมากให้กับทั้ง 4 บริษัทดังกล่าวนี้ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการปล่อยสินเชื่อที่มีปัญหาอีกมากหลาย จนเป็นเหตุให้ธนาคารทหารไทยใกล้จะล่มจม จนต้องเร่งเพิ่มทุนถึง 35,000 ล้านบาทโดยเร็วที่สุด

การสั่งจัดชั้นหนี้ใหม่ของทั้ง 4 บริษัทดังกล่าว มีผลกระทบต่อธนาคารทหารไทยและเป็นการเปิดเผยฐานะของกิจการของธนาคารทหารไทย ที่ย่ำแย่กว่าเก่า เพราะเมื่อหนี้ถูกจัดชั้นเช่นนี้แล้ว เงินกองทุนก็ยิ่งติดลบมากขึ้น ต้องเพิ่มทุนมากขึ้น และเงินทุนที่ลงไปก็ฉิบหายจนติดลบ

ดังเช่นรายบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัดนั้น ได้สินเชื่อไปจากธนาคาร 2,009 ล้านบาท แต่มีเงินฝากเป็นประกันแค่ 2 ล้านบาท นี่หากมิใช่มีอะไรเป็นเบื้องลึกเบื้องลับแล้วจะปล่อยสินเชื่อแบบนี้ได้ อย่างไร

ที่คนสงสัยกันก็คือทำไมผู้เกี่ยวข้องจึงไม่ถูกดำเนินคดีเอาผิดในฐานปล้นชาติปล้นธนาคารหรือทำให้ธนาคารแห่งนี้เสียหาย

เหล่านี้คือการส่งสัญญาณการล้างบางเครือข่ายโกงชาติที่กำลังเกิด ขึ้นกับเครือข่ายอำนาจเก่าของระบอบทักษิณ ซึ่งความจริงควรจะทำตั้งนานแล้ว แต่ทำตอนนี้ก็ยังดีกว่าไม่ทำ

ดังนั้นจึงต้องจับตาดูเรื่องนี้กันให้ดี

และ ต้องเตือนพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ดัง ๆ ว่าผีปีศาจใดไปดลใจท่าน จึงทำให้ท่านกล้าหาญชาญชัยไปสั่งกระทรวงการคลังให้เร่งเพิ่มทุนให้กับ ธนาคารทหารไทยถึง 35,000 ล้านบาท โดยไม่มีการแตะต้องตัวผู้บริหาร ทั้ง ๆ ที่กระทรวงการคลังต้องการให้เปลี่ยนผู้บริหารรายนี้

ใครชี้แนะชักนำพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เรื่องนี้ คนนั้นแหละที่ต้องถูกเพ่งเล็งว่ากำลังเอาเวรกรรมและความหายนะมาให้กับพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน

จึงหวังว่าพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน จะได้รีบทบทวนการเคลื่อนไหวดังกล่าวในทันทีก่อนที่จะเสียหายไปมากกว่านี้.

www.manager.co.th

วันอาทิตย์, กรกฎาคม 29, 2550

จะชุมนุมอีกกี่ร้อยครั้งศักดิ์ศรีของชาวไร่ชาวนาถึงจะเป็นจริง

โดย อมร อมรรัตนานนท์ 26 กรกฎาคม 2550 16:59 น.
เช้าตรู่ ของวันที่ 26 กรกฎาคม 2550 เป็นวันพฤหัสบดี ที่ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะมีเวรประจำสัปดาห์ที่ต้องรับผิดชอบ จัดรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ขณะขับรถไปทำงานที่สำนักงานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ไม่รู้ว่ามีแรงบันดาลใจจากสิ่งใด ทำให้ ผมเปลี่ยนเส้นทางจากที่เคยใช้เป็นปกติ หันไปใช้เส้นทางถนนราชดำเนินโดยวิ่งผ่านกระทรวงเกษตรฯ

ภาพที่เคยเห็นคุ้นตา ปรากฏขึ้นเป็นเค้าลาง ท่ามกลางแสงสลัวยามเช้ามืด

ภาพผู้คนที่มองปราดเดียวก็ย่อมรู้ว่า คนเหล่านั้นเป็นคนต่างจังหวัด

การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่บ่งบอกถึงอาชีพที่เป็นคนเลี้ยงโลก สร้างแผ่นดิน

ผิวกายที่หยาบกร้าน ด้วยการที่ทั้งชีวิต ต้องตรากตรำทำงานหนัก

การเดินเหินบนถนนคอนกรีต ดูหยิบโย่งเพราะไม่คุ้นเคย พี่น้องเหล่านั้นมักเดินตามกันเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง โดยมิพักต้องนัดหมายหรือให้ใครมาจัดแถว เพราะเขาคุ้นชินกับการเดินและใช้ชีวิตในชนบท ที่ต้องเดินบนหัวไร่ปลายนา น้อยครั้งมากที่เขาจะมาใช้สิทธิเดินบนถนนอันรโหฐาน ซึ่งใจกลางของศูนย์กลางอำนาจรัฐ ที่จะบันดาลความถูกผิด ชั่วดี หรือแม้กระทั่งกำหนดชะตากรรม วิถีชีวิต ของสัตว์มนุษย์ที่จะให้อยู่ หรือจะให้รอด หรือจะให้เป็นทาส เป็นไพร่ เป็นสัตว์สังคมที่เป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่มีลมหายใจ ทำให้วงจรแห่งการเสพเสวยสุขของสัตว์กลุ่มหนึ่งมีห่วงโซ่ในการกดขี่ขูดรีด อย่างสมบูรณ์

เกิดเป็นผู้คนในสังคมไทย เป็นได้แค่นี้หรือ

คุณค่าของความเป็นมนุษย์ มันช่างมีช่องว่าง และไม่มีวันเสมอภาคเลยหรือ

และที่สำคัญ คำจำกัดความที่ถูกหล่อหลอม ยัดเหยียด หลอกให้ผู้คนในสังคมนี้เชื่อว่า

จงภูมิใจ ในการเกิดมาเป็นคนไทย ที่มีความเป็นไท.....

ไม่ได้เป็นทาส ใคร......

มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ......

คำตอบ....เชื่อว่า ทุกคนตอบได้หากมีวิญญาณที่เป็นเสรีชน

ภาพของพี่น้องชาวไร่ ชาวนา ที่หอบข้าวของสัมภาระพะรุงพะรัง นอกจากข้าวสาร อาหารแห้งแล้ว

สิ่งหนึ่งที่ทุกคนถือแน่นอยู่ในมือ

คือสัญญาทาส และคำพิพากษาของศาล ที่ไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายลงไปสัมผัส บางคนเชื่อได้ว่า แม้แต่ต้นข้าวก็อาจยังไม่รู้จัก

พวกเขารู้จักแต่กติกา กฎ ระเบียบ เมื่อผิดนัดชำระ ไม่สามารถคืนเงินต้น และส่งดอกเบี้ยมหาโหดได้ ก็ใช้อำนาจที่แอบอ้างว่าชอบธรรม ยึดๆๆ แล้วก็นำมาขายใช้หนี้นายเงินหน้าเลือด โดยไม่สนใจว่าพี่น้องเหล่านั้นจะประสบชะตากรรมอย่างไร

ใช่สิ....คนเหล่านั้นไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ เป็นชาวไร่ชาวนา

นี่คือโลกของความเป็นจริง

ไม่ว่าจะเป็น

รัฐประชาธิปไตยจอมปลอม

รัฐเผด็จการทหาร

รัฐสามานย์ทุนนิยมผูกขาด

หรือรัฐอมาตยธิปไตยที่กำลังเบ่งบาน

ก็ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ หรือความจริงใจ ในการเข้าไปแก้และปฏิรูปสังคมคืนความเป็นคน

คืนความเป็นมนุษย์ คืนฐานะที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี

คืนฐานะทางชนชั้นที่สร้างโลก สร้างประเทศ

ให้กับพี่น้องชาวไร่ ชาวนาเหล่านั้น

อย่ามีแต่คำเยินยอที่สามานย์

ในยุดเผด็จการ คงจำได้คำพูดที่สวยหรู กรอกหูทุกเช้าค่ำ

“ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ”

สันหลังที่ผุลงทุกวัน ใช่ไหม?

ในยุคสามานย์ทุนนิยมผูกขาด คำโฆษณาที่ยังดังก้อง แต่หาสาระไม่ได้

“เราจะเป็นครัวของโลก”

ถามว่าโลกของใคร? ช่วยกันตอบหน่อย

มาถึงยุคอมาตยธิปไตย อยู่อย่างพอเพียงดีไหม?

ยอมๆ กันไปเถอะ

มีน้อยใช้ค่อยบรรจง มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท

ไปตลาดอย่าลืมแวะเซเว่นและโลตัส

นี้หรือ...

คือทางรอดของสังคม......มันช่างไม่มีอนาคตจริงๆ

ถึงวันนี้ รัฐจะเอาอย่างไร หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

การลุกขึ้นมาทวงถามถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องดูแลและจัดการแก้ปัญหาของพี่น้องชาวไร่ชาวนา เป็นความชอบธรรม

การขอสิทธิในทางกฎหมาย ที่จะรวมตัวกัน สร้างองค์กรของเกษตรกร ให้เกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

วันนี้ พี่น้องชาวไร่ชาวนาต้องการที่ดิน ปัจจัยการผลิต และขอสิทธิในการทำเกษตรกรรมแบบรวมหมู่

สถาบันการศึกษาด้านการเกษตร หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะกรมส่งเสริมวิชาการ ที่ทำหน้าที่เป็นทาส ของบริษัทผูกขาดที่หากินบนหยาดเหงื่อของเกษตรกร

หยุดได้ไหม ที่จะทำตัวเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาท

ดูเหมือนเจตนาจะดี แต่เบื้องลึกแอบแฝงด้วยผลประโยชน์

จริงหรือไม่?

คำกล่าว ของสาธารณชนที่ว่า

ความยากจนของเกษตร คือลาภอันประเสริฐของข้าราชการชั่ว และพ่อค้าที่เลวทราม

สหกรณ์การเกษตร ภายใต้แอกของกรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็เลิกและยุบเสีย เปลืองงบประมาณ

วิญญาณของท่านปรีดี พนมยงค์ หากยังรับรู้ได้
ท่านคงเสียใจที่มีลูกหลานชั่ว แปรจิตเจตนาและอุดมการณ์ของสหกรณ์
ให้สามานย์ และเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ จนหมดความน่าเชื่อถือ

เชื่อหรือไม่?

สหกรณ์ ที่กล่าวอ้างว่า ประสบผลสำเร็จทุกวันนี้

คือ สหกรณ์ ที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าปล่อยเงินกู้ ให้ธนาคารส่งเสริมการเกษตรกรและสหกรณ์ รวมทั้งเป็นเครื่องมือของนักการเมืองอุบาทว์ และข้าราชการชั่ว ในการคิดและเสนอโครงการเฉพาะกิจ ผ่องถ่ายงบประมาณผลาญเงินภาษีของประชาชน ในโครงการประกันราคาสินค้าการเกษตรและอีกสารพัดโครงการ

ดังนั้นจึงไม่แปลก เกษตรกรที่มาชุมนุมกันในวันนี้ ส่วนใหญ่ คือสมาชิกสหกรณ์ ที่ถูกหลอกให้ตกอยู่ภายใต้ระบบสินเชื่อที่ดอกเบี้ยแพงมหาโหด

ข้อมูลเหล่านี้ถามว่า นายกฯ สุรยุทธ์ รู้ไหม รัฐมนตรีธีระ รู้ไหม

ผมไม่ตอบ

แต่รู้อย่างหนึ่งว่า คนที่ผ่านโลกมากว่า 50 ปี หากไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุของปัญหา เกษตรกรรม บ้านเราก็ช่างน่าสมเพชเวทนายิ่งนัก

โดยเฉพาะ รัฐมนตรีธีระ ที่เป็นถึงอดีตอธิการบดี สถาบันการศึกษาด้านการเกษตร ที่บรรดายักษ์ใหญ่ เจ้าพ่อนักธุรกิจ ผูกขาดด้านการเกษตร ทั้งที่มีสัญชาติไทย และต่างชาติ เฝ้าฟูมฟัก สนับสนุน ดูแลมาอย่างต่อเนื่อง

คง ปฏิเสธ ไม่ได้ดอกว่า หากจะแก้ปัญหาการเกษตร บ้านเราควรเริ่มจากจุดใด ขอเพียงแต่ว่า วันนี้ท่านกล้าพอหรือยังที่ปรับเปลี่ยนจุดยืน และทรยศต่อสิ่งที่คุ้นชิน

หันมายืนอยู่เคียงข้างผลประโยชน์ของพี่น้องชาวไร่ชาวนา

บั้นปลายชีวิต น่าจะมีความสุขยิ่งนัก

หากได้ทำเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ

อย่าให้เป็นความฝันเลย...สงสารพี่น้องชาวไร่ชาวนาบ้างเถอะ..

ที่สำคัญ...ความอดกลั้นของมนุษย์มีขีดจำกัด

ไม่อยากเห็น .....ไม่อยากได้ยิน....

บทเพลง “จดหมายจากชาวนา”

“อย่าให้เฮาต้องลุกฮือถือปืน"...
ที่มา www.manager.co.th