เพื่อชีวิต..ใคร???

วันจันทร์, เมษายน 18, 2548

cai for kids @ kmutt

เห็นน่าสนใจสำหรับเด็กๆ เรียนรู้ผ่านเนต
http://eu.lib.kmutt.ac.th

ที่ระลึก 50 ปีแห่งการจากไปของ Einstein

ที่ระลึก 50 ปีแห่งการจากไปของ Einstein
โดย สุทัศน์ ยกส้าน 11 เมษายน 2548 17:53 น.


นอกจากปีนี้จะครบรอบปีที่ 100 แห่งความมหัศจรรย์ที่ยอดนักวิทยาศาสตร์แห่งยุค “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” สร้างไว้แล้ว ยังเป็นปีที่ 50 หรือครึ่งศตวรรษที่อัจฉริยะแห่งยุคจากลาโลกนี้ไป แม้ว่าไอน์สไตน์จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พลิกโลกด้วยสมการ E=mc? อันโด่งดัง แต่ทว่าในช่วงบั้นปลายของชีวิตนักฟิสิกส์ผู้ปราดเปรื่องท่านนี้กลับปวดร้าวจ าก “ระเบิดนิวเคลียร์” อันเป็นด้านมืดของการค้นพบอันยิ่งใหญ่

ว ันนี้ (18 เม.ย.) เมื่อ 50 ปีที่แล้ว (2498) “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” สุดยอดนักฟิสิกส์แห่งศตวรรษได้สิ้นใจลง ณ โรงพยาบาลในเมืองพรินซ์ตัน รัฐนิวเจอร์ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 76 ปี หลังจากที่ไอน์สไตน์เข้าโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.2498 ต่อมาเพียง 3 วันเท่านั้นนักฟิสิกส์สุดปราดเปรื่องแห่งยุคนิวเคลียร์ก็จากโลกนี้ไป

หลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตลง ดไวท์ ไอเซนฮาว (Dwight Eisenhower) ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น ได้กล่าวไว้อาลัยถึงสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกว่า ไม่มีผู้ใดทำให้เกิดองค์ความรู้แห่งศตวรรษที่ 20 ยิ่งใหญ่และกว้างขวางไปกว่าเขาได้...ไอน์สไตน์เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ที่อย ู่ในยุคนิวเคลียร์ เขามีพลังในการสร้างสรรค์ในฐานะปัจเจกชนในสังคมเสรี

ทันทีที่ไอน์สไตน์เสียชีวิต สมองของเขาถูกแยกออกมาและเก็บรักษาไว้เพื่อทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดย ดร.โธมัส ฮาร์วีย์ (Thomas Harvey) นักพยาธิวิทยาซึ่งทำหน้าที่ชันสูตรศพเขา ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องทั้งจากกองมรดกและบุตรชายของไอน์สไตน์ โดยไอน์สไตน์ว่าหวังว่าจะมีการศึกษาสมองของเขา เมื่อเขาตาย

ดร.ฮาร์วีย์ได้ตัดสมองออกเป็นชิ้นขนาดต่างๆ กันถึง 240 ชิ้นจนปี 2539 ได้ส่งให้คณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ (McMaster Universtity) เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา โดยพวกเขาได้เสนอรายงานผลการวิจัยสมองของไอน์สไตน์เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับ สมองคนฉลาดปกติทั่วไป เป็นชาย 35 คน หญิง 56 คน พบว่า บ ริเวณส่วนล่างของสมองด้านข้าง (inferior parietal region) ของไอน์สไตน์ ใหญ่กว่าของคนปกติธรรมดาถึง 15 % สมองบริเวณดังกล่าว อยู่ในระดับเดียวกับหู มีหน้าที่เกี่ยวกับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์

นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่า ร่องสมองของไอน์สไตน์ หายไปบางส่วนโดยที่สมองของคนทั่วไปจะมีร่องสมองจากส่วนหน้า ต่อเนื่องไปยังสมองส่วนหลังซึ่งร่องที่หายไปบางส่วนนี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่แสดงความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์ เนื่องจากทำให้เส้นประสาทและเซลล์สมองบริเวณนั้น สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น

ไอน์สไตน์นั้นมีความฉลาดและชื่นชอบในวิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ขณะที่ไอน์สไตน์น้อยเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ในเมืองมิวนิกเขาสนใจและสอบได้คะแนนดีในวิชาคณิตศาสตร์เพียงอย่างเดียวโดยไม ่สนใจวิชาอื่นๆ จึงทำให้ครูเห็นว่าเขาเป็นเด็กสมองทึบ และถูกขอให้ออกจากโรงเรียน เพราะมีพฤติกรรมที่แปลกแยก
แต่ทว่าวิชาคณิตศาสตร์นี่ล่ะ ที่ทำให้ไอน์สไตน์ได้กลายเป็นสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกในเวลาต่อมา

ในปี 2439 ไอน์สไตน์ได้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนโปลีเทคนิกแห่งสวิสเซอร์แลนด์ ในซูริกเพื่อฝึกฝนเป็นครูสอนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ และในปี 2445 ไอน์สไตน์เข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายเทคนิกประจำสำนักงานสิทธิบัตรของสวิ ตซ์เป็นเวลา 7 ปี

ระหว่างที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่สำนักงานสิทธิบัตรนั้น เขาได้ใช้เวลาว่างศึกษาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ โดยในช่วงปี 2444 และปี 2447 เขาได้ตีพิมพ์งานวิจัยออกมาถึง 4 เรื่อง แต่ทว่าในปี 2448 กลับกลายเป็นปีมหัศจรรย์ของโลก เพราะไอน์สไตน์ได้เสนอว่า แสงมีคุณสมบัติของการเป็นอนุภาคเวลา โดยอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ซึ่งผลงานชิ้นนี้ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2465

ในปีเดียวกันนี้ไอน์สไตน์ได้เสนอวิธีวัดขนาดของโมเลกุล เพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกที่สถาบัน ETH (Federal Institute of Technology) ในสวิตเซอร์แลนด์ และถัดมาอีก 1 เดือนเขาก็ได้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ นอกจากนี้ไอน์สไตน์ก็ยังได้ศึกษา และอธิบายการเคลื่อนที่แบบบราวเนียน (Brownian motion) ว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นว่าโมเลกุลมีจริงด้วย ซึ่งผลงานเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต่างเห็นว่าสมควรได้รับรางวัลโนเบล

ดังนั้นการผลิตผลงานถึงระดับรางวัลโนเบลหลายชิ้นภาย ในปีเดียวของไอน์สไตน์ทำให้โลกยอมรับว่า เขาเป็นสุดยอดแห่งอัจฉริยะ และปี 2448 นับเป็นปีมหัศจรรย์ของไอน์สไตน์และของโลกด้วย อีก 10 ปีต่อมา ขณะที่เขาทำงานอยู่ที่เบอร์ลิน เขาได้ทำงานชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิตเสร็จคือได้สร้าง “ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป” ขึ้นมา ซึ่งทฤษฎีของไอน์สไตน์เหนือกว่าทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของนิวตัน โดยทฤษฎีนี้สามารถอธิบายลักษณะการโคจรที่อปกติของดาวพุธได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่ทฤษฎีของนิวตันให้ผลผิดพลาด

ไอน์สไตน์รับเป็นอาจารย์พิเศษให้กับมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ในอเมริกาช่วงปี 2482 โดยหวังว่าจะไปๆ มาๆ ระหว่างเบอร์ลินกับพรินซ์ตัน แต่ว่าในปีนั้นนาซีเรืองอำนาจ ไอน์สไตน์ซึ่งตั้งใจที่จะไปอเมริกาเป็นการชั่วคราวเปลี่ยนเป็นการถาวร เขายื่นขอสัญชาติอเมริกันเมื่อปี 2478 และเข้าทำงานที่พรินซ์ตัน โดย พยายามรวมกฎของฟิสิกส์ นับเป็นงานลึกซึ้งมาก จนถึงกับรำพันออกมาว่า

” ฉันได้พาตัวเองไปติดอยู่ในปัญหาวิทยาศาสตร์ ที่ดูเหมือนจะหมดหวัง และที่แย่กว่านั้น เพราะคนแก่อย่างฉัน ยังคงเป็นคนนอกสำหรับสังคมที่นี่อยู่นั่นเอง”

ตลอดชีวิตไอน์สไตน์ต่อสู้เพื่อสันติภาพเสมอมา ตั้งแต่ก่อนลี้ภัยนาซีออกจากเยอรมนี เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง มีข่าวคราวว่าเยอรมนีกำลังพัฒนาระเบิดปรมาณู ไอน์สไตน์กลัวว่าเยอรมนีจะพัฒนาระเปิดปรมาณูได้ก่อนจึงทำจดหมายถึงประธานาธิ บดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin Delano Roosevelt) เสนอให้ศึกษาการพัฒนาระเบิดปรมาณู และบอกถึงคุณประโยชน์ของแร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาสร้างระเบิดปรมาณูที่มีอา นุภาพในการทำลายล้างสูงได้ด้วยปฏิกิริยาแบบลูกโซ่

ขณะที่อเมริกากำลังพัฒนาระเปิดปรมาณู โดยใช้ชื่อโครงการว่าแมนฮัตตัน ในปี 2483 ไอน์สไตน์ได้ปฏิเสธที่จะร่วมในองค์กรพัฒนาระเบิดปรมาณู แต่การพัฒนาระเบิดก็ทำได้สำเร็จ และนำมาทิ้งที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ

เมื่อไอน์สไตน์รู้ข่าวการระเบิด และผู้คนที่ต้องตายไปจำนวนมหาศาล เขาถึงกับเอามือกุมศีรษะ และอุทานอย่างปวดร้าวว่า "โธ่? ไม่น่าเลย"

เมื่อสงครามเลิกไอน์สไตน์ ก็ลงนามในสัญญาที่ขอให้ยุติการใช้ระเบิดปรมาณู และให้หันมาใช้ปรมาณูเพื่อสันติแทน เขาเขียนในสัญญาว่า " แน่นอนเราทุกคนมีความคิดความรู้สึกไม่เหมือนกัน แต่เราก็มีฐานะเป็นมนุษย์เช่นกัน เราควรจดจำไว้เสมอว่าถ้าการเกี่ยวข้องระหว่างตะวันออกกับตะวันตกถูกตัดสินออ กมาในรูปการณ์ใดก็ตาม อันจะนำมาซึ่งความพึงพอใจมาสู่ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ หรือต่อต้านคอมมิวนิสต์(โลกเสรี)ก็ตาม ผลแห่งการตัดสินใจไม่ควรออกมาในรูปของสงคราม"

ในปี 2487 เขาช่วยหาทุนต่อต้านสงครามโดยนั่งลงเขียนบทความเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษด ้วยลายมือตนเอง และนำออกประมูลได้ราคาถึง 6 ล้านดอลลาร์ หนึ่งอาทิตย์ก่อนเสียชีวิต ไอน์สไตน์เซ็นชื่อในจดหมายฉบับสุดท้ายของเขา จดหมายนี้ส่งถึงเบอร์ทรานด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell) เพื่อยืนยันว่า เขายินยอมให้ใส่ชื่อของเขาในจดหมายเปิดผนึก เพื่อวิงวอนชนชาติทั้งหลายให้ยุติการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อทำลายล้างเผ่าพ ันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

น่าเสียดายที่ไม่มีใครทราบ ประโยคสุดท้ายที่ไอน์สไตน์กล่าวออกมาเป็นภาษาเยอรมัน ขณะนั้นในห้องมีเพียงพยาบาลแค่คนเดียว ซึ่งเธอไม่เข้าใจภาษาเยอรมันที่ไอน์สไตน์เอ่ยขึ้นมา ดังนั้นคำพูดสุดท้ายของไอน์สไตน์จึงยังเป็นปริศนาต่อไป

อ ย่างไรก็ดี แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เขายังคงชิงชังวิธีการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของระเบิดนิวเคลียร์ที่นักฟ ิสิกส์มีส่วนสร้างให้กับโลก เขาเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า

"หากข้าพเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าทฤษฎีของข้าพเจ้า จะนำไปสู่การทำลายล้างอย่างมหันต์เช่นนี้ ข้าพเจ้าขอเป็นช่างทำนาฬิกาเสียดีกว่า"

ขณะนั้น Einstein มีอายุประมาณ 40 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นวัยกลางคน เขาเริ่มเขียนบทความทั่วไปให้สาธารณชนอ่าน เมื่อประชากรเชื้อสายยิวกำลังถูกคุกคามโดยกองทัพนาซียิวหลายคนได้บากหน้ามาข อความช่วยเหลือจาก Einstein การถูกกระตุ้นเร้าเช่นนี้ทำให้ Einstein ตระหนักในความยากลำบากของคนยิว จึงได้เสนอแนะให้มีการจัดตั้งประเทศอิสราเอลสำหรับคนยิวในดินแดน Palestine

ในช่วงปี พ.ศ. 2464-2474 Einstein เดินทางมาก เช่น ในปี พ.ศ. 2464 เขาได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกเพื่อหาเงินสร้างมหาวิทยาลัย Hebrew และได้พบประธานาธิบดี Harding แห่งสหรัฐฯ ในปีต่อมา เขาได้ไปเยือน Paris การปรากฏตัวของ Einstein ทำให้ฝรั่งเศสและเยอรมนีมีสัมพันธไมตรีดีต่อกันอีกเหมือนเมื่อก่อนเกิดสงครา มโลกครั้งที่หนึ่ง ในมิถุนายนปีเดียวกันนั้นเอง Einstein ได้รับคำเตือนว่า เขาในฐานะที่มีเชื้อสายยิวอาจถูกลอบสังหาร Einstein จึงออกเดินทางไปต่างประเทศกับภรรยาเป็นเวลานาน 5 เดือน โดยได้ไปเยือน Columbo, Singapore Hong Kong, เซี่ยงไฮ้ และญี่ปุ่น และขณะพำนักที่ญี่ปุ่นนาน 5 วันนั่นเอง จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้จัดงานรับรอง Einstein และบรรดาสื่อมวลชนก็ได้รายงานว่า จุดสนใจของงานอยู่ที่ Einstein มิใช่องค์จักรพรรดิ

ในขณะเดินทางกลับยุโรป Einstein ได้แวะเยี่ยมดินแดน Palestine เป็นครั้งแรก และได้เดินทางต่อไปประเทศสเปน เมื่อถึงปี 2468 Einstein ได้เดินทางไปเยือนกรุง Bueno Aires และ Rio de Janeiro ในอเมริกาใต้ และถ้าไม่พิจารณาการแวะเยือนอเมริกา 3 ครั้ง การเดินทางในปี 2468 จึงอาจถือได้ว่าเป็นการเดินทางไกลครั้งสุดท้ายในชีวิตของ Einstein

ถึงแม้ว่า Einstein จะเล่นหลายบทบาท และสวมหมวกหลายใบ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดวิจัยฟิสิกส์ โดยในปี พ.ศ. 2465 Einstein ได้ตีพิมพ์งานทฤษฎีสนามรวมชิ้นแรก ซึ่งงานชิ้นนี้ได้แสดงความพยายามของ Einstein ที่จะรวมทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขาเองกับทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า และนี่คืองานที่ Einstein ได้ทุ่มเทชีวิตที่เหลือให้คือ Einstein ได้พยายามสังเคราะห์ทฤษฎีทั้งสองโดยใช้วิธีการต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย และในปี พ.ศ. 2467 Einstein ได้ตีพิมพ์ผลงาน 3 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ Bose-Einstein Condensation และผลงานนี้ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องในอีก 70 ปีต่อมา และนี่ก็คืองานวิจัยฟิสิกส์ที่สำคัญชิ้นสุดท้ายของ Einstein

ในปี พ.ศ. 2468 วิชากลศาสตร์ควอนตัมได้ถือกำเนิด แต่ Einstein ไม่ยอมรับเนื้อหาและการแปลความหมายของวิชานี้ จนกระทั่งลมหายใจห้วงสุดท้าย เพราะ Einstein คิดว่าทฤษฎีควอนตัมที่ Bohr Heisenberg และ Schroedinger สร้างขึ้นมานั้นไม่สมบูรณ์ ถึงแม้การทำนายจะประเสริฐสักปานใดก็ตาม

ในปี พ.ศ. 2471 เส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจของ Einstein พองโต ทำให้ Einstein เป็นลมล้มพับ จนต้องนอนพักผ่อนในเตียงนอน 4 เดือน และไม่บริโภคอาหารที่มีเกลือปน และเมื่อหายป่วย Einstein ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียเป็นเวลานานประมาณ 1 ปี

Einstein เป็นคนที่รักสันติภาพมากตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม และเมื่อมีอายุมากขึ้นความรู้สึกด้านนี้ก็รุนแรงมากขึ้น เช่น ในปี 2468 Einstein และ Gandhi แห่งอินเดียได้ลงนามในสัตยาบันไม่เห็นด้วยกับการเกณฑ์ทหาร พออีก 5 ปีต่อมา เขาก็ลงนามสนับสนุนการมีรัฐบาลโลก

เมื่อถึงปี พ.ศ. 2475 Einstein ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์แห่ง Institute for Advance Study ที่ Princeton ในสหรัฐอเมริกา และมีความตั้งใจแต่เบื้องต้นว่า จะแบ่งเวลาระหว่าง Princeton กับ Berlin 50-50 แต่เมื่อนาซีในเยอรมนีเรืองอำนาจขึ้นทุกวัน ดังนั้น เมื่อถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 Einstein กับภรรยาก็ได้อพยพครอบครัวออกจากเยอรมนีอย่างถาวร และถึงแม้จะรักสันติภาพสักปานใด แต่ Einstein ก็มีความเชื่อมั่นว่า วิธีเดียวที่จะพิชิตนาซีได้คือ การใช้กำลัง

Einstein เดินทางถึง Princeton ในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2476 และได้เดินทางออกนอกประเทศอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ในปี พ.ศ. 2478 ไป Bermuda เพื่อขอใบสมัครเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน และอีก 5 ปีต่อมา Einstein ก็ได้แปลงสัญชาติเป็นคนอเมริกันอย่างสมบูรณ์

ขณะอยู่ในอเมริกา ใครๆ ก็รู้จักและยกย่อง เช่น ประธานาธิบดี Roosevelt ได้เชิญ Einstein และภรรยาให้ไปนอนพัก 1 คืนที่ White House และ Einstein ก็ยังทำงานวิจัยฟิสิกส์ต่อ แต่คุณภาพของผลงานช่วงนี้ไม่สามารถเทียบเท่ากับงานที่ทำในช่วงที่พำนักในยุโ รป

ในปี พ.ศ. 2482 Einstein ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงประธานาธิบดี Roosevelt โดยได้ชี้ให้เห็นว่่า นักฟิสิกส์สามารถสร้างระเบิดปรมาณูได้ ซึ่งระเบิดนี้จะมีประสิทธิภาพมากในสงคราม การได้รับคำยืนยันจาก Einstein ทำให้ Roosevelt เห็นด้วย จึงอนุมัติให้มีโครงการ Manhattan เพื่อผลิตระเบิดปรมาณู แต่ถ้าจะกล่าวถึงบทบาทในการสร้างระเบิดปรมาณูแล้ว Einstein แทบไม่มีส่วนช่วยในการสร้างเลย

ในปี พ.ศ. 2487 ต้นฉบับงานวิจัยเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ Einstein เขียนด้วยมือได้รับการประมูลซื้อด้วยราคา 6 ล้านเหรียญ ณ วันนี้ต้นฉบับดังกล่าวอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Library of Congress ของสหรัฐอเมริกา

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด Einstein ยังคงปราศรัย และให้ความเห็นด้านการเมืองต่อไป เมื่อประธานาธิบดี Chaim Weirmann แห่งอิสราเอลถึงแก่กรรม Einstein ได้รับเชิญให้ไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอิสราเอลคนต่อไป แต่เขาปฏิเสธ

ในปี พ.ศ. 2491 แพทย์ได้ตรวจพบว่าเส้นเลือด aorta ที่หล่อเลี้ยงหัวใจ Einstein มีอาการบวมเป่งเป็นถุงบังโลหิต Einstein จึงเริ่มเขียนพินัยกรรม โดยได้กำหนดให้มหาวิทยาลัย Hebrew เป็นสถานที่เก็บต้นฉบับงานเขียนทุกชิ้นของ Einstein (หากคุณต้องการดูลายมือ Einstein ตัวจริงของจริง ก็ไปที่พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย Hebrew ในอิสราเอล)

ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2498 Einstein ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายถึง Bertrand Russell แห่งอังกฤษ และบอกว่ายินดีร่วมลงนามสนับสนุนให้ทุกชาติไม่ใช้ระเบิดปรมาณูในการยุติข้อข ัดแย้งใดๆ และอีก 2 วันต่อมา คือในวันที่ 13 เมษายน ขณะเวลาบ่ายเส้นเลือดหัวใจของ Einstein แตก ญาติจึงพา Einstein เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในวันที่ 15 และ Einstein ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 เมษายน เมื่อเวลา 01.15 น. โดยศพของ Einstein ได้ถูกเผาในวันเดียวกันนั้นเอง ส่วนเถ้าอังคารได้ถูกญาตินำไปโปรยในที่ที่ไม่เปิดเผย และเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน เหลนคนแรกของ Einstein ก็ถือกำเนิด

สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน

ทฤษฎีสัมพันธภาพ

100 ปี แห่งสัมพัทธภาพพิเศษไอน์สไตน์ปฏิวัติโลก
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 กุมภาพันธ์ 2548 07:31 น.
ไอน์สไตน์ในวัยชราที่หน้าประตูบ้าน
100 ปี“ทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษ” ผลงานของไอน์สไตน์อันลือเลื่องที่เปลี่ยนแนวคิดเรื่องเวลาและอวกาศของนักฟิส ิกส์ ในยุคของกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันรุ่งโรจน์ ทำให้เข้าใจว่าเวลาไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์และ “อีเธอร์” ไม่มีจริง พร้อมนำเสนอรายงาน 3 หน้าที่รวมสมการ E=mc2 ทฤษฏีสัมพัทธภาพมีนัยยะว่าเมื่อเพิ่มพลังงานให้มีความเร็ว มวลก็จะเพิ่มขึ้นด้วย จึงไม่มีอะไรจะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง

หลายคนคงรู้จักสมการกระฉ่อนโลก E=mc2 ข อง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) แต่จะมีใครทราบว่าสมการนี้ถือกำเนิดจากมันสมองของไอน์สไตน์ได้ 100 ปีแล้ว สมการอันโด่งดังนี้เป็นผลงานลำดับ 5 ที่ไอน์สไตน์นำเสนอในปีมหัศจรรย์ (Miraculous Year) ของเขา คือปี พ.ศ. 2448 โดยเขาส่งเอกสารเพียง 3 หน้าให้แก่วารสารเยอรมัน “อันนาเลน แดร์ ฟิสิก” (Annalen der Physik) ถือเป็นผลงานที่เรียกว่าเสริมให้ทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษ (Special relativity theory) ซึ่งมีความสวยงามให้กลายเป็นผลงานที่รู้จักกันทั่วโลก

...ดังนั้น วันนี้ไปทำความเข้าใจทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษกันคร่าวๆ ในฐานะที่สมการ E=mc2 เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎี...

30 มิ.ย.ผลงานของไอน์สไตน์ในหัวข้อ “พลศาสตร์ไฟฟ้าของวัตถุที่เคลื่อนที่” (On the Electrodynamics of Moving Bodies) หรือชื่อในภาษาเยอรมันคือ “ซัวร์ เอเล็กทรอไดนามิก เบเวกเตอร์ คอร์เปอร์” (Zur Elektrodynamik bewegter Korper) วางอยู่บนโต๊ะของสำนักพิมพ์ “อันนาเลน แดร์ ฟิสิค” เอกสารความยาว 30 หน้าของเขาช่วยชำระความเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับอวกาศ (space) และเวลา (time) ของนักฟิสิกส์ใหม่

ช็อกโลก เมื่อไอน์สไตน์แถลงแสงเดินทางด้วยความเร็วคงที่
ประมาณ 200 ปีก่อนที่ไอน์สไตน์จะให้กำเนิดทฤษฎีสัมพัทธภาพ โลกของนักฟิสิกส์ตั้งอยู่บนกฎการเคลื่อนของนิวตัน (Newton’s law of motion) และทฤษฎีปรากฏการณ์ทางไฟฟ้าและแม่เหล็กของเจมส์ คลาร์ก แมกซ์เวล (James Clerk Maxwell)
ฎ การเคลื่อนที่ของนิวตันใช้ได้ดีกับเหตุการณ์ที่มีความเร็วในระดับที่เราพบเห ็นในชีวิตประจำวัน แต่ไม่สามารถใช้ได้เมื่อสิ่งที่สังเกตมีความเร็วเข้าใกล้แสง

จ ากความพยายามในการศึกษาเรื่องแสงซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์กายภาพที่สำคัญอย่างห นึ่งของศาสตร์ทางฟิสิกส์เพราะแสงเป็นคลื่น ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงว่าน่าจะมีตัวกลางที่เรียกว่า “อีเธอร์” (ether) พวกเขาเชื่อว่าแสงเคลื่อนที่ในตัวกลางดังกล่าว และเมื่อผู้สังเกตเคลื่อนที่สัมพัทธ์กับแสง กล่าวคือถ้าเคลื่อนที่ไปในทิศเดียวกับแสง ความเร็วของแสงที่วัดได้ก็จะลดลง หากเคลื่อนที่ในทิศตรงข้ามจะวัดความเร็วแสงก็จะเพิ่มขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามทำการทดลองเพื ่อสอบความเชื่อดังกล่าวต่างๆ แต่ก็วัดความเร็วแสงได้เท่ากันทุกครั้ง ไ อน์สไตน์จึงนำเสนอสมมติฐานใหม่ว่าความเร็วแสงมีค่าคงที่ และกฎต่างๆควรจะมีรูปแบบเหมือนกันสำหรับผู้สังเกตทุกคนที่เคลื่อนที่ด้วยควา มเร็วสม่ำเสมอซึ่งถือว่าขัดแย้งความเชื่อของนักวิทยาศาสตร์ทุกคนในยุคนั้น
ไ อน์สไตน์ทำให้เราเข้าใจว่าเวลาไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์ที่ทุกคนจะวัดได้เท่ากัน และเมื่อแสงสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากันในทุกกรอบอ้างอิง “อีเธอร์” ก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

และในวันที่ 27 ก.ย. ไอน์สไตน์นำเสนอรายงานในหัวข้อ “จริงหรือไม่ที่ความเฉื่อยขึ้นอยู่กับพลังงานภายในของวัตถุ” (Does the inertia of a body depend on its energy content?) ซึ่งมีสมการ E=mc2 อันโด่งอยู่ในหัวข้อดังกล่าว
สมการนี้แสดงความสัมพัทธ์ระหว่างมวลและพลังงาน อธิบายได้ว่าเมื่อให้พลังงานกับมวลเพื่อให้มีความเร็วเพิ่มขึ้น มวลนั้นก็จะมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย จากทฤษฎีนี้ทำให้นำสู่ผลที่ว่าไม่มีอะไรเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง

ทฤษฎีสัมพัทธภาพทำให้เราเข้าใจว่า เวลาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
แม้ว่าไอน์สไตน์จะใช้เวลาเพียงแค่ 4 เดือน ในการสร้างผลงานปฏิวัติโลกด้วยผลงานเด่นๆ 3 ผลงาน คือ “ปรากฏการณ์โฟโตอิเลคตริก” (Photoelectric Effect) “การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน” (Brownian Motion) และทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ แต่โลกต้องใช้เวลาเพาะบ่มเพื่อเข้าใจผลงานของเขายาวนานมาก

ใช่ว่าไอน์สไตน์จะมีผลงานแค่ในปีมหัศจรรย์เท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาก็ได้สร้างผลงานออกมา เพียงแต่ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง กระนั้นก็ตามผลงานเหล่านั้นมีบทบาทอย่างมากกับผลงานต่อๆ มาของเขา และในปี พ.ศ.2458 เขาได้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General relativity theory)
(อ่านข่าว: 2 ธ.ค.ครบรอบ 89 ปี “สัมพัทธภาพทั่วไป” พิมพ์ลงหนังสือสู่สายตาชาวโลก)

สำหรับการฉลองครบรอบ 100 ปีมหัศจรรย์นั้น หลังจากสหภาพสากลแห่งฟิสิกส์บริสุทธิ์และประยุกต์ (The International Union of Pure and Applied Physics: IUPAP) ได้ประกาศให้ปีนี้เป็น “ปีแห่งฟิสิกส์โลก” (World Year of Physics) แล้ว และองค์กรวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโก จึงได้ประกาศให้ปี พ.ศ.2548 เป็น “ปีฟิสิกส์สากล” (International Year of Physics) ทั่วโลกต่างก็ให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมเพื่อฉลองวาระสำคัญดังกล่าว โดยเน้นกิจกรรมที่มีสาระทางฟิสิกส์ของไอน์สไตน์เป็นสำคัญ

เพิ่มเติม --
http://www.rit.ac.th/homepage-sc/charud/scibook/relativity/relativity.htm

วันพฤหัสบดี, เมษายน 14, 2548

๑๓ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์

๑๓ เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2548 08:46 น.

“ สงกรานต์” เป็นประเพณีที่คนไทยยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมา ตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน ถือเป็นการเฉลิมฉลองการขึ้นปีใหม่ของไทย โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๓-๑๕ เมษายนของทุกปี ทั่วไป

กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำในเทศกาลนี้ก็มี การทำความสะอาดบ้านเรือน ทำบุญทำทาน สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน เป็นต้น อย่างไรก็ดี นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ประเพณีสงกรานต์ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง สำหรับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์มีดังนี้

๑.ก่อนที่เราจะถือวันสงกรานต์เป็นปีใหม่แบบไทยนั้น สมัยโบราณ เราถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพราะถือว่าฤดูหนาว เป็นการเริ่มต้นปี ซึ่งจะตกราวเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการสังเกตธรรมชาติและฤดูการผลิต เป็น วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ หรือประมาณเดือนเมษายน ครั้นในปีพ.ศ. ๒๔๓๒ สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ ๑ เมษายน และต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ จอมพลป.พิบูลสงครามก็ได้ประกาศให้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่จนปัจจุบัน อันเป็นการนับแบบสากล อย่างไรก็ดี คนไทยในหลายภูมิภาคก็ยังยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ซึ่งแต่เดิมแม้จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ก็ไม่ได้ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ดังเช่นปัจจุบัน จนเมื่อพ.ศ.๒๔๔๔ เป็นต้นมา จึงได้กำหนดเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ตามปฏิทินเกรกอรี่

๒.นอกจากประเทศไ ทยแล้ว ยังมีมอญ พม่า ลาว และชนชาติไทยเชื้อสายต่างๆอันเป็นชนส่วนน้อยในจีน อินเดีย ก็ถือว่าสงกรานต์เป็นเทศกาลฉลองวันขึ้นปีใหม่ของเขาด้วยเช่นกัน

๓.ภาคกลางเรียกวันที่ ๑๓ เมษายน ว่า “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งวันนี้ทางการได้ประกาศให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก “วันเนา” และรัฐบาลสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณได้ประกาศให้เป็น “วันครอบครัว” ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียก “วันเถลิงศก” คือวันเริ่มจุลศักราชใหม่

๔.ทางล้านนาเรียกวันที่ ๑๓ เมษายนว่า “วันสังขารล่อง” ซึ่งบางท่านให้ความหมายว่า หมายถึงอายุสิ้นไปอีกปี วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก“วันเน่า” เป็นวันห้ามพูดจาหยาบคาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่าและไม่เจริญ ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายนเรียก “วันพญาวัน” คือวันเปลี่ยนศกใหม่

๕.ภาคใต้ เรียกวันที่๑๓ เมษายนว่า “วันเจ้าเมืองเก่า”หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า” เพราะเชื่อว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่า “วันว่าง” คือวันที่ปราศจากเทวดาที่รักษาเมือง ดังนั้น ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่างๆ แล้วไปทำบุญที่วัด ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือวันรับเทวดาองค์ใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลเมืองแทนองค์เดิมที่ย้ายไปประจำเมืองอื่นแล้ว

๖. ตำนานสงกรานต์ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงกรานต์และนางสงกรานต์ที่เรารู้จักกันดีเป็นตำ นานที่ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้จารึกไว้ในแผ่นศิลา ๗ แผ่น ติดไว้ที่ศาลารอบพระมณฑปทิศเหนือ ในวัดพระเชตุพนฯหรือวัดโพธิ์

๗.นางสงกรานต์เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด มีด้วยกัน ๗ องค์เป็นพี่น้องกัน และต่างก็เป็นบาทบริจาริกา แปลว่า นางบำเรอแทบเท้า หรือเรียกง่ายๆว่า เป็น “เมียน้อย”ของพระอินทร์ จอมเทวราช และเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมในตำนาน

๘.นางสงกรานต์ มีชื่อตามแต่ละวันในสัปดาห์ค ือ วันอาทิตย์ ชื่อ นางทุงษะ วันจันทร์ ชื่อ นางโคราคะ วันอังคาร ชื่อ นางรากษส วันพุธ ชื่อ นางมณฑา วันพฤหัสบดี ชื่อ นางกิริณี วันศุกร์ ชื่อ นางกิมิทา วันเสาร์ชื่อ นางมโหทร

๙.นางสงกรานต์แต่ละองค์จะมีพาหนะทรงต่างกัน ตามลำดับแต่ละวัน คือ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคะขี่เสือ นางรากษสขี่หมู นางมณฑาขี่ลา นางกิริณีขี่ช้าง นางกิมิทาขี่ควาย และนางมโหทรขี่นกยูง ซึ่งสัตว์ที่เป็นพาหนะทรงจะมิใช่ปีนักษัตรของปีนั้นๆ ตามที่หลายคนเข้าใจผิด

๑๐.นางสงกรานต์ในปี ๒๕๔๘ อันเป็นปีระกานี้ มีชื่อนางมณฑาเทวี นอนหลับตามาบนลาที่เป็นพาหนะทรง กินนมเนยเป็นภักษาหาร ทัดดอกจำปา ประดับไพทูรย์ คือแก้วสีเหลืองแกมเขียว หรือน้ำตาลเทา มีน้ำเป็นสายรุ้งกลอกไปมา อาวุธเป็นไม้เท้าและเหล็กแหลม

๑๑.คำว่า “ดำหัว”ปกติแปลว่า “สระผม” แต่ในประเพณีสงกรานต์ล้านนา จะหมายถึง การไปแสดงความเคารพ ขออโหสิกรรมที่อาจได้ล่วงเกินในเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งการไปขอพรจากผู้ใหญ่ ซึ่งหมายถึงญาติผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ในเมืองหรือครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา โดยส่วนมากจะใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยไปไหว้ท่าน และท่านก็จะจุ่มแล้วเอาน้ำแปะบนศีรษะเป็นเสร็จพิธี

๑๒.ในสมัยก่อนเมื่อใกล้สงกรานต์หรือวันสงกรานต์ จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่คนแต่ก่อนเรียกว่า “ตัวสงกรานต์” เป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายไส้เดือน แต่เล็กขนาดเส้นด้าย ยาวประมาณ ๒ นิ้ว มีสีเลื่อมพราย เป็นสีเขียว เหลือง แดง ม่วง เปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ จะอยู่กันเป็นฝูงในแม่น้ำลำคลอง เมื่อกระดิกตัวว่ายน้ำจะทำให้เกิดประกายสีต่างๆสวยงามแปลกตา ถ้าจับพ้นน้ำ สีจะจางหายไป ตัวจะขาดเป็นท่อนเล็กๆและเหลวละลาย ปัจจุบันเข้าใจว่าน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว

๑๓.มูลเหตุของการก่อเจดีย์ทราย มีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล ่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวั นนี้