เพื่อชีวิต..ใคร???

วันอาทิตย์, สิงหาคม 03, 2551

“ปิโตรธิปไตย” (Petrocracy)

โดย ประสาท มีแต้ม 3 สิงหาคม 2551 18:57 น.
นายทหารยศพันตรีท่านหนึ่ง (พ.ต.รัฐเขต แจ้งจำรัส) ได้ออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนผ่านเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า “ปิโตรเลียมซึ่งได้แก่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติใต้แผ่นดินไทยทั้งบนบกและในทะเลทั้งหมดมีมูลค่าถึง 100 ล้านล้านบาท”

เงินจำนวน 100 ล้านล้านบาท(ล้านสองครั้ง)นี้ ถ้าเอามาจัดสรรเป็นงบประมาณแผ่นดินในปีปัจจุบันก็จะได้ประมาณ 62 ปี เพราะงบประมาณปีหน้า (2552) มีประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท

ข้อมูลที่นายทหารผู้นี้นำเสนอล้วนเป็นข้อมูลของทางราชการที่เข้าใจ ยาก กระจัดกระจาย แต่ท่านได้นำมารวบรวม วิเคราะห์ แล้วสรุปให้ประชาชนธรรมดาสามารถเข้าใจได้ง่าย แผ่นภาพข้างล่างนี้ผมได้รับมาจากท่านด้วยความขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง โปรดสังเกตว่า ซ้ายมือด้านล่างของแผ่นภาพ มีตราสัญลักษณ์ของกระทรวงพลังงานอยู่ด้วยเรียบร้อย สำหรับข้อความทางขวามือเป็นของท่านครับ
from : MGR online

เหตุผล 2 ประการคือ (1) เชื่อในเจตนาดีและความสามารถของผู้ให้ข้อมูล และ (2) ข้อมูลอื่นๆ ที่ผมได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นไปในทำนองเดียวกัน

ผมเองยังไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขนี้ แต่ก็เชื่อว่ามีความถูกต้องแล้วด้วย

เหตุผล 2 ประการคือ (1) เชื่อในเจตนาดีและความสามารถของผู้ให้ข้อมูล และ (2) ข้อมูลอื่นๆ ที่ผมได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นไปในทำนองเดียวกัน

ประเด็นที่ผมให้ความสนใจในที่นี้ก็คือว่า การจัดการผลประโยชน์จำนวนมหาศาลนี้เป็นอย่างไร ใครเป็นผู้มีอำนาจเหนือทรัพยากรนี้ ประชาชนไทยจะได้รับผลประโยชน์จำนวนเท่าใด

เราท่านทั้งหลายต่างก็คุ้นเคยกับคำว่า “ประชาธิปไตย (democracy)” เพราะคำว่า “demo” หมายถึง “people” หรือ ประชาชน ส่วนคำว่า “cracy” เป็นคำต่อท้ายซึ่งหมายถึง “รูปแบบของการปกครอง” ดังนั้น ประชาธิปไตย หมายถึง “รูปแบบการปกครองเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน”

ในบทความนี้ผมจึงขอใช้คำว่า “ปิโตรธิปไตย” (Petrocracy) ซึ่งหมายถึง “รูปแบบการถือครองหรืออำนาจในการจัดการผลประโยชน์เหนือแหล่งปิโตรเลียม”

คุณบรรจง นะแส นักพัฒนาเอกชนในภาคใต้เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้นำความจริงเรื่องแหล่งน้ำมันใน อ่าวไทยมาเปิดเผยต่อสาธารณะบนเวทีพันธมิตรฯ ท่านเป็นคนแรกเสียด้วยซ้ำ สรุปความได้ว่า รัฐมนตรีพลังงานในสมัยรัฐบาลทักษิณ (นายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ลงนามให้สัมปทานแหล่งพลังงานดังกล่าวกับบางบริษัทไปเรียบร้อยแล้ว บางแหล่งเป็นการต่อสัญญาล่วงหน้าหลายปี บางบริษัทที่ได้รับสัมปทานได้จดทะเบียนที่เกาะเคย์แมนซึ่งเป็นแหล่งฟอกเงิน ที่คนไทยบางส่วนคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี

โดยสรุป นักการเมืองทั้งที่มาจากการเลือกตั้ง และมาจากการรัฐประหาร ได้ใช้อำนาจแทนประชาชนมาจัดการกับแหล่งทรัพยากรจำนวนมหาศาลนี้เรียบร้อยไป แล้ว

ผมไม่ทราบว่าจะมีแหล่งใดบ้างที่ยังไม่ได้จัดสัมปทาน หรือว่าทุกแหล่งได้สัมปทานไปหมดแล้วทั้ง 100 ล้านล้านบาท แต่ที่ผมสนใจก็คือว่า การ มีแหล่งทรัพยากรจำนวนมหาศาลไม่ได้หมายความว่าประชาชนชาวไทยจะมีความมั่งคั่ง อยู่ดีกินดีกันอย่างทั่วหน้า ตราบใดที่การเมืองไทยยังเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือ คอร์รัปชันแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าประชาชนจะอยู่ดีกินดี

บทความนี้จะนำเสนอโดยย่อๆ คือ (1) ผลประโยชน์ที่คนไทยเคยได้ รับจากแหล่งทรัพยากรดังกล่าว (2) ตัวอย่างจากบางประเทศที่มีแหล่งน้ำมันมากมายแต่ประชาชนยากจน และ (3) แนวคิดในการจัดทำ “นโยบายพลังงาน” ใหม่

(1) ผลประโยชน์ที่คนไทยเคยได้รับจากแหล่งทรัพยากร

โดยปกติ ประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์จาก 3 ส่วน คือ

1. ค่าภาคหลวงประมาณ 12.5% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้

2. ผูรับสัมปทานปโตรเลียม ที่มีผลกําไรจากการประกอบกิจการปโตรเลียมในแตละรอบปปฏิทิน จะตองชําระภาษีเงินไดปโตรเลียมรอยละ 50

2. ผลประโยชนตอบแทนพิเศษภายใตเงื่อนไข Thailand III ภายในเดือนพฤษภาคมของปถัดไป

จากรายงานประจำปี 2549 ของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ พบว่าตั้งแต่มีการผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2524 จนถึง 2549 ประเทศไทยผลิตได้คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นเป็นเงิน 1.637 ล้านล้านบาท (ยังห่างไกลจาก 100 ล้านล้านบาท) โดยที่

- เราได้รับค่าภาคหลวง 0.206 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 12.6%

- เราได้ภาษีตามข้อ (2) จำนวน 0.216 ล้านล้านบาท

- เราได้ภาษีพิเศษตามข้อ (3) จำนวน 0.011 ล้านล้านบาท

รวมเบ็ดเสร็จเราได้รับผลประโยชน์ร้อยละ 26.4 ของมูลค่าทั้งหมด หรือคิดเป็นเงิน 4.33 แสนล้านบาท ถ้าหาค่าเฉลี่ยตลอด 25 ปีแล้ว เราได้รับปีละ 17,320 ล้านบาท(เพราะปีแรกๆ ปริมาณการใช้น้อยและราคาถูกกว่าทุกวันนี้)

แต่ถ้าคิดเฉพาะปี 2549 ปีเดียวเราได้รับค่าภาคหลวง 35,227 ล้านบาท

ข้อมูลจากบริษัทเชฟรอน (ประเทศไทย)

บริษัทเชฟรอน (ประเทศไทย) เป็นบริษัทที่เข้ามารับช่วงต่อจากบริษัทยูโนแคล ที่คนไทยรู้จักมาก่อน จากการศึกษาจากข้อมูลของทางราชการ พบว่า ในปี 2550 บริษัทเชฟรอนถือส่วนแบ่งการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยถึง 66% และ 68% ของที่มีการผลิตทั้งหมดในประเทศไทยตามลำดับ นี่ยังไม่นับรวมการผลิตก๊าซธรรมชาติจากประเทศพม่า (ที่มีประมาณ 27% ของที่ประเทศไทยใช้ทั้งหมด)

ดังนั้น บริษัทนี้จึงเป็นบริษัทที่น่าจับตาเป็นพิเศษ

จากเอกสารของบริษัทรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2505 ถึง 2550 (45 ปี) บริษัทนี้ได้จ่ายค่าภาคหลวงไปแล้วจำนวน 157,153 ล้านบาท โดยได้ลงทุนไปทั้งสิ้น 515,235 ล้านบาท

เอกสารนี้เล่นเล่ห์เหลี่ยมมาก คือไม่ยอมบอกว่า ตนเองมีรายได้เท่าใด และมีกำไรเท่าใด

แต่ถ้าเราถือว่า บริษัทต้องเสียค่าภาคหลวงร้อยละ 12.6 ของรายได้ เราสามารถคำนวณได้ว่าบริษัทนี้มีรายได้ทั้งหมดประมาณ 1.247 ล้านล้านบาท หลังจากเสียค่าภาคหลวงและค่าภาษีทั้งสองชนิดแล้ว บริษัทเชฟรอนจะมีกำไรประมาณ 3.9 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 77 ของเงินลงทุนทั้งหมด

กำไรงามขนาดนี้ สามารถเป็นคำตอบได้ส่วนหนึ่งแล้วว่า ทำไมคนไทยต้องซื้อพลังงานในราคาที่แพงมาก ทั้งๆ ที่เรามีแหล่งพลังงานในบ้านของเราเอง

กำไรงามขนาดนี้ ก็สามารถเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมนักการเมืองจึงให้สัมปทานล่วงหน้ากันนานๆ

(2) ตัวอย่างจากบางประเทศที่มีแหล่งน้ำมันมากมายแต่ประชาชนยากจน

ประเทศไนจีเรีย เป็นประเทศในทวีปแอฟริกาที่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้มากเป็นอันดับหกของโลก และมีแหล่งการทำการเกษตรที่สมบูรณ์ แต่จากการสำรวจของทางราชการเองพบว่า นับตั้งแต่ปี 1980 ถึง 1996 ประชาชนที่ยากจนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 28 เป็น 66 ของประเทศ นอกจากนี้รายได้ต่อหัวก็ลดลงกว่าเท่าตัวในช่วงเวลาเดียวกัน จำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า หรือเป็น 67 ล้านคนในปี 1996 (ประชากรทั้งประเทศประมาณ 130 ล้านคน)

ปัญหาใหญ่ของประเทศนี้คือการคอร์รัปชัน บางคนกล่าวว่า ในช่วง 40 ปีของการผลิตน้ำมัน ประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ “ได้ถูกถูกขโมยไป”

บริษัทขุดเจาะน้ำมันไปเป็นมูลค่าประมาณ 1 แสน 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ประเทศได้รับเพียง 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6.7% เท่านั้น

(3) ตัวอย่างจากประเทศนอรเวย์

นอรเวย์ เป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 3 ของโลก รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ว่าตลอด 30 ปีจะผลิตไม่เกิน 30% ของที่ประเทศมี ทั้งนี้เพื่อสำรองไว้ให้คนรุ่นหลัง

นอกจากนี้ ทางรัฐบาลได้ตั้งกองทุนน้ำมัน (Norway’s state Petroleum Fund) ซึ่งปัจจุบันกองทุนนี้มีทุนถึง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทางรัฐบาลนำผลประโยชน์ที่ได้จากกองทุนไปช่วยเหลือสังคม

(4) ตัวอย่างจากประเทศไทย

ที่ผ่านมา ประเทศไทยผลิตก๊าซธรรมชาติที่เรียกว่าก๊าซหุงต้ม ได้มากเกินกว่าที่คนไทยจะใช้หมด จึงต้องส่งไปขายในต่างประเทศ โดยไม่สนใจว่า คนไทยในรุ่นต่อไปไปจะเอาพลังงานที่ไหนใช้

นอกจากนี้กองทุนน้ำมัน ก็ถูกนำมาใช้เพื่อตอบสนองนโยบายประชานิยมของนักการเมือง บางช่วงบางตอนกองทุนนี้ติดลบหนึ่งเกือบหนึ่งแสนล้านบาท

(5) แนวคิดในการจัดทำ “นโยบายพลังงาน” ใหม่

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่นโยบายพลังงานของประเทศไทยถูกร่างโดยกลุ่มพ่อค้าพลังงานและข้าราชการบาง ส่วน แนวคิดของคนกลุ่มนี้อยู่ในกรอบที่ทำให้คนใช้พลังงานที่เขาสามารถผูกขาดได้ เท่านั้น เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เป็นต้น

ในระยะหลัง เมื่อเกิดปัญหาพลังงานที่เขาผูกขาดได้เกิดขาดแคลนและแพงขึ้น ผู้กำหนด นโยบายเหล่านี้จึงนำเสนอพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งพวกเขาก็สามารถผูกขาดได้อีก

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้รู้ด้านพลังงานได้สรุปไว้ว่า ทางออกของปัญหาพลังงานมีเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ (1) ใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่รั่วไหล ไม่ฟุ่มเฟือย และ (2) หันไปใช้พลังงานหมุนเวียนซึ่งใช้แล้วไม่มีวันหมด ได้แก่ พลังงานลม แสงแดด ชีวมวล ของเสียจากเทศบาล เป็นต้น

(6) สรุป

การเมืองใหม่จะไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้เลย ถ้าไม่ให้ความสนใจกับ “นโยบายพลังงานใหม่” เพราะรายจ่ายด้านพลังงานของประเทศไทยที่มีมูลค่าถึง 18% ของรายได้ประชาชาติ การเมืองใหม่จะไม่สามารถแก้ปัญหาคนตกงานได้ เพราะ ธุรกิจพลังงานในปัจจุบันมีการจ้างงานน้อยมาก แต่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนมีการจ้างงานเยอะมากเลย เหล่านี้เป็นต้น

เปิดคำพิพากษา “เมียแม้ว” รวยแต่โกงภาษี ผิดร้ายแรง

ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์
นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่ 1 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ 2 นางกาญจนาภา หงษ์เหิน ที่ 3 ข้อหา ร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย และร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ โดยจงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร

ข้อหาที่ 1 เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร โดยใช้อุบายว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สั่งขายหุ้นบริษัทดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อของ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี หรือนางดวงตา ประมูลเรือง เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียนถือการครอบครองแทน รวมมูลค่าหุ้น 738,00,000 บาท ให้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นญาติของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันแสดงเจตนาลวงว่าได้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ใน ตลาดหลักทรัพย์มา รวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมิน เพื่อประเมินเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ความจริงแล้วจำเลยที่ 2 ไม่ได้ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นญาติของจำเลยที่ 2 เป็นการอำพรางการให้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับการให้จะต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ประมาณ 738,000,000 บาท มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้พึงประเมิน ประจำปี 2540 เป็นเงินจำนวน 273,060,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2540 โดยมิได้นำค่าหุ้นดังกล่าว มารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย หรือวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน เป็นเหตุให้รัฐเสียหายขาดรายได้

ข้อหาที่ 2 ต่อมาวันที่ 18 พ.ค.2544 ถึงวันที่ 30 ส.ค.2544 จำเลยที่ 1 และ 2 โดยรู้อยู่แล้ว จงใจได้บังอาจร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน โดยจำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำและตอบคำถามว่า การซื้อหุ้นเมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 เป็นกรณีจำเลยที่ 2 ยกหุ้นให้ โดยโอนหุ้นให้บุคคลอื่นถือแทนในตลาดหลักทรัพย์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินซื้อ และให้ถ้อยคำเพิ่มเติมว่า เป็นพี่บุญธรรมของจำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลือกิจการของจำเลยที่ 2 จนมีความเจริญก้าวหน้า จำเลยที่ 2 ได้มอบของขวัญให้แก่ครอบครัวและบุตรชายของจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นดังกล่าว โดยไม่มีค่าตอบแทนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นการให้โดยเสน่หา ตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำมีสาระสำคัญว่าตนตั้งใจที่จะมอบหุ้นให้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่งในวันแต่งงาน แต่มอบให้ไม่ทันเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานในทางการเมือง เมื่อจัดการเรื่องบริหารงานเสร็จสิ้นจึงได้ยกหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้น เป็นของขวัญให้แก่ครอบครัว และบุตรชายของจำเลยที่ 1 โดยหุ้นที่โอนให้เป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่ง น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ถือหุ้นแทน และอยู่ในพอร์ตที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่า ข้อความที่ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำน้ำเป็นเท็จ เป็นเพียงข้ออ้างให้พนักงานสรรพากรเชื่อว่าการโอนหุ้นดังกล่าวเป็นเงินที่ ได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมารวม คำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ความจริงแล้วเป็นการให้เพื่อตอบแทนจำเลยที่ 1 ทำงานให้กับครอบครัวจำเลยที่ 2 แต่ทำอุบายอำพรางว่าเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเพื่อจะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงหรือ พยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยความเท็จ โดยให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ และโดยการฉ้อโกง โดยอุบายของจำเลยทั้งสอง เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายได้อันควรได้เป็นเงินภาษีอากรจำนวน 273,060,000 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 273,060,000 บาท รวม 545,120,000 บาทคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ได้ตรวจสอบมูลคดีแล้ว จึงมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงแทน และได้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทั้งสามททราบโดยชอบแล้ว จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบมาโดยตลอดแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นเลขานุการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มีหุ้นในบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจำเลยที่ 2 ให้ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้มีชื่อถือครองแทนจำนวนหนึ่ง จำเลยที่ 2 มีเจตนาจะยกหุ้นของจำเลยที่ 2 ในบริษัทดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 จำนวน 4,500,000 หุ้น แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีคำสั่งให้บริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ดำเนินการซื้อขายหุ้นดังกล่าวให้แก่กัน เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 จำนวน 4,500,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 164 บาท รวมเป็นเงิน 738,000,000 บาท ตามสำเนาบัญชีรายละเอียดรายการซื้อขายและสำเนาใบสรุปซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) เอกสารหมายจ.14 ถึง จ.17 แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระราคาแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน ชำระราคาค่าหุ้นจำนวนดังกล่าวผ่านบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) และเมื่อบริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) หักค่านายหน้าและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ได้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมเฉพาะชำระราคาค่าหุ้นให้แก่ น.ส.ดวงตา ผู้มีชื่อทางทะเบียนนั้น และเช็คดังกล่าวก็ถูกนำเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารเดิม ทั้งนี้ โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการซื้อขายทุกขั้นตอนแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และน.ส.ดวงตา

ต่อมาในการยื่นรายการเพื่อเสียภาษีอากรปีภาษี 2540 ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้นำมูลค่าหุ้นที่ได้รับยกให้จำนวน 738,000,000 บาทดังกล่าว ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2540 เอกสารหมาย จ.27 ส่วนจำเลยที่ 2 ก็มิได้นำค่าหุ้นจำนวน 738,000,000 บาทที่ได้รับจากบริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) และเป็นเงินได้พึงประเมินไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เนื่องจากเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับการยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(17) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่า การข้อยกเว้นรัษฎากรข้อ 2 (23) หลังจากนั้นในปี 2543 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ในการนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ว่า หุ้นจำนวน 4,500,000 หุ้นดังกล่าว จำเลยที่ 2 แบ่งให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 มิได้ซื้อแต่อย่างใด ตามสำเนาบันมึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.30 และ จ.31 ต่มาคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอัน เป็นเท็จ กรมสรรพากรจึงมีหนังสือเอกสารหมาย จ.28 ขอข้อมูลเรื่องนี้จากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไปประกอบพิจารณาจัดเก็บภาษีจากบุคคลดังกล่าวให้ถูกต้อง ในการนี้จำเลยที่ 1 เข้าให้การต่อ นาย ช.นันท์ เพ็ชญ์ไพศิษฐ์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 9 เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2544 ว่า ความจริงในเรื่องที่จำเลยที่ 2 ยกหุ้นดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.33 และในวันที่ 16 และ 30 ก.ค.2544 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ได้ให้การต่อจากนางเบญจา หลุยเจริญ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 9 มีสาระสำคัญทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 มีครอบครัวและมีฐานะที่มั่นคงทัดเทียมกับพี่น้อง จึงสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 แต่งงาน กับจะให้หุ้นในคดีนี้เป็นของขวัญ แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าทำงานทางการเมือง จำเป็นต้องจัดการเรื่องการบริหารให้เสร็จเสียก่อน จึงมาให้หุ้นดังกล่าวภายหลังเมื่อจำเลยที่ 1 มีบุตร และบุตรมีอายุจะครบ 1 ปี เป็นการให้เป็นของขวัญแก่ครอบครัวและบุตรของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.34 และ จ.37 ในที่สุด กรมสรรพากรพิจารณาแล้วสรุปว่า การรับโอนหุ้นของจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2540 จำนวน 4,500,000 หุ้น มูลค่า 738,000,000 บาท เป็นการให้โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร แล้วให้ยุติเรื่อง ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2549 แล้ว ได้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบ หรือ คตส. มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย หรือการกระทำที่ทุจริต หรือประพฤติมิชอบ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ และคณะกรรมการตรวจสอบได้พิจารณาการโอนหุ้นดังกล่าวแล้วเห็นว่า หุ้นที่จำเลยที่ 2 โอนให้จำเลยที่ 1 ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องนำมูลค่าหุ้นที่ได้รับไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ มิใช่การให้โดยการเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี จึงแจ้งให้กรมสรรพากรเรียกเก็บเงินภาษีได้จากจำเลยที่ 1 และเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 546,120,000 บาท ส่วนคดีอาญา คณะกรรมการตรวจสอบมีมติให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องจำเลยทั้ง สามเป็นคดีนี้ โดยถือเอาผลการตรวจสอบของคณะกรรมการการตรวจสอบเป็นการสอบสวนตามประมวลกฏหมาย วิธีพิจารณาความอาญา ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ข้อ 9 วรรคสอง

คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยทั้งสามยกขึ้นต่อสู้ประการแรกว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข ฉบับที่ 30 เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เป็นอันใช้บังคับมิได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 29 เพราะเป็นบทบัญญัติให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเป็นองค์กรทำหน้าที่ตรวจสอบ เฉพาะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาเพียงชุดเดียว มิได้มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป แต่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่ง หรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง เห็นว่า ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 5/2551 วินิจฉัยว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข ฉบับที่ 30 เป็นกฏหมายที่มีผลบังคับใช้เป็นการทั่วไป และมิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกรณีใดกรณีหนึ่งเป็นการเจาะจง จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ไม่ว่าจะเป็นบทมาตราใด ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวใช้ได้ในคดีทั้งปวง เป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันศาล ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 211 วรรคสาม และมาตรา 216 วรรคห้า คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อนี้อีกต่อไป และฟังว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข ฉบับที่ 30 ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

ปัญหาข้อกฎหมายตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสาม ประการต่อไปมีว่า การที่คณะกรรมการตรวจสอบส่งเรื่องคดีนี้ให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องร้อง นั้น ขัดต่อประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ข้อ 9 วรรคสอง ที่กำหนดให้คณะกรรมการตรวจสอบส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมสรรพากรเสียก่อน เพื่อเจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากรจะได้ดำเนินการมีคำขอให้เจ้าพนักงานตำรวจ ดำเนินคดีอาญาต่อไป ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 8 แต่คณะกรรมการตรวจสอบไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนดังกล่าว การสอบสวนจึงไม่ชอบ พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข ฉบับที่ 30 ข้อ 9 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า

“ในกรณีที่คณะกรรมกาารตรวจสอบมีมติว่า บุคคลใดกระทำผิดกฏหมายและเป็นกรณีที่ไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 ให้คณะกรรมการตรวจสอบส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานนั้นต่อไป โดยถือผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบเป็นการสอบสวนตามกฎหมายนั้น”

ส่วนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 8 ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 7 พ.ย.2520 ข้อ 2 บัญญัติว่า

“นับแต่วันที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ ห้ามมิให้เจ้าพนักงานตำรวจ ดำเนินการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร และเจ้าพนักงานตำรวจต่างมีอำนาจในการตรวจสอบการชำระภาษีอากรตามประมวล รัษฎากร ทำให้พ่อค้าประชาชนมีภาระต้องชี้แจงแสดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย สมควรขจัดภาระดังกล่าวด้วยการให้เจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากรดำเนินการไปแต่ ฝ่ายเดียว...”

เหตุผลข้างต้นแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของประกาศของคณะปฏิวัติฯ ฉบับนี้ว่า ใช้บังคับแก่เจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากร และเจ้าพนักงานตำรวจ เพื่อแก้ปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ซ้ำซ้อนกันระหว่างหน่วยงานทั้งสองในขณะนั้น เท่านั้น โดยกำหนดขอบอำนาจหน้าที่ ระหว่างเจ้าพนักงานดังกล่าวให้ชัดเจน กล่าวคือ ให้เจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากรเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบการชำระภาษี ส่วนการดำเนินคดีอาญาให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการตามคำขอของเจ้าพนักงานตาม ประมวลรัษฎากรนั้น แต่ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ซึ่งประกาศใช้บังคับภายหลัง ได้บัญญัติจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นโดยเฉพาะ และในข้อ 5 (4) ให้คณะกรรมการตรวจสอบมีอำนาจหน้าที่ตรรวจสอบการกระทำของบุคคลใดๆ ที่เห็นว่าเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากรด้วย แต่เฉพาะกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐตามที่ระบุ จึงเป็นกฏหมายเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากรเฉพาะ กรณีทั้งในข้อ 9 วรรคสอง ของประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับดังกล่าว ยังบัญญัติให้อำนาจและรับรองอำนาจของคณะกรรมการตรวจสอบเป็นพิเศษต่างไปจาก อำนาจของเจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากรว่า เมื่อคณะกรรมการตรวจสอบมีมติว่า บุคคลใดกระทำผิดกฎหมาย ให้ส่งเรื่องไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายที่อยู่ในความรับ ผิดชอบของหน่วยงานนั้นต่อไป โดยถือผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบเป็นการสอบสวนตามกฎหมายนั้น ซึ่งมีผลเท่ากับว่า หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน ไม่จำต้องสอบสวนในเรื่องที่คณะกรรมการตรวจสอบได้ตรวจสอบนั้นแล้วอีก

ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่คณะกรรมการตรวจสอบต้องส่งเรื่องไปให้ดำเนินการตาม กฎหมายตามที่ระบุในข้อ 9 วรรคสอง จึงหมายถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่จะต้องดำเนินการตามมติและผลการตรวจสอบของคณะ กรรมการตรวจสอบในขั้นตอนต่อไป ถือว่ากฎหมายได้บัญญัติอำนาจหน้าที่ และขั้นตอนการดำเนินการของคณะกรรมกาารตรวจสอบไว้โดยเฉพาะแล้ว เมื่อคดีนี้ คณะกรรมการตรวจสสอบได้ตรวจสอบแล้วมีมติว่า จำเลยที่ 1 หลีกเลี่ยงภาษีแล้วส่งเรื่องให้กรมสรรพากรดำเนินการเรียกเก็บภาษีจากจำเลย ที่ 1 ให้ครบถ้วนตามกฎหมาย ส่วนคดีอาญา เมื่อเห็นว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 แล้วส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องร้องต่อไป จึงชอบแล้ว หาต้องดำเนินการตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 8 ด้วยไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ปัญหาว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร หรือไม่เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติข้างต้น จำเลยที่ 2 เจตนาจะยกหุ้นจำเลยที่ 2 ในบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ที่มีชื่อ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ถือครองแทน จำนวน 4,500,000 หุ้น มูลค่า 738,000,000 บาท ตามฟ้องให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ได้ทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระราคาค่าหุ้นทั้งหมดแทนจำเลยที่ 1 และในที่สุด เงินค่าหุ้นจำนวนนั้นก็กลับไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และน.ส.ดวงตาโดยตลอดนั้น ในเบื้องต้นแม้การให้ผู้อื่นเป็นผู้ถือครองหุ้นแทนในตลาดหลักทรัพย์จะกระทำ ได้ และเจ้าของหุ้นที่แท้จริงสามารถขายหุ้นนั้นได้เองด้วยก็ตาม แต่คดีนี้เห็นได้ชัดแจ้งว่าพฤติการณ์การซื้อขายหุ้นตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าว มิได้ซื้อขายกันจริง แต่เป็นการกระทำโดยลวงเพื่ออำพรางการให้ตามเจตนาที่แท้จริง จึงเป็นการกระทำโดยความเท็จ ปัญหาว่า การกระทำโดยความเท็จนั้น เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือไม่ เห็นว่าการซื้อขายหุ้นตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่เป็นการกระทำโดยความเท็จดังวินิจฉัยได้กระทำในตลาดหลักทรัพย์ จึงมีผลทำให้จำเลยที่ 2 ผู้ขายได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมูลหุ้นที่ได้รับไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงิน ได้ประจำปีภาษี 2540 ตามข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติ ส่วนมูลค่าหุ้นจำนวน 738,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ได้รับยกให้จากจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบรับว่า เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร เพียงแต่โต้แย้งกันว่า เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ หรือไม่เท่านั้น โดยโจทก์นำสืบว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากการให้ เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) และมิได้เป็นเงินได้ประเภทหนึ่งประเภทใด ตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร ที่จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องนำมูลค่าหุ้นจำนวนที่ได้รับไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี ภาษี 2540

และด้วยเหตุนี้ จำเลยทั้งสามจึงได้อำพรางการให้ที่เป็นเจตนาที่แท้จริงของจำเลยที่ 2 ด้วยการทำเป็นซื้อขายอันเป็นความเท็จแทน เป็นอุบายเพื่อจะไม่มีภาระภาษีจากการซื้อและขาย ทั้งไม่ต้องนำมูลค่าหุ้น ที่ได้รับจากการให้ไปรวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้ดังกล่าวอีกด้วย จึงเป็นการร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากร ส่วนจำเลยทั้งสามต่อสู้ว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 รับให้มานั้น เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) และเป็นเงินได้ประเภทที่เข้าข้อยกเว้น ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาเงินได้ ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือเป็นเงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียบประเพณี จำเลยที่ 1 ไม่ต้องนำมูลค่าหุ้นที่ได้รับจากจำเลยที่ 2 ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี 2540 จึงไม่เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร กรณีจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่จำเลยที่ 1 ผู้รับการให้ได้รับยกเว้นไม่ ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี 2540 หรือไม่ เพราะหากได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่จำต้อง วินิจฉัยปัญหาว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือไม่อีกต่อไป

ปัญหานี้ แม้ในเบื้องต้น โจทก์และจำเลยทั้งสามจะโต้แย้งกันว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาตามฟ้องถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (2) หรือมาตรา 40 (8) ก็ตาม แต่เห็นว่า ตามคำฟ้อง โจทก์บรรยายในตอนท้ายของฟ้องข้อ 2 ก.ว่า “...จำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) ประจำปีภาษี 2540 พร้อมนางบุษบา ดามาพงศ์ ภรรยา ต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรว่า ในปีภาษี 2540 จำเลยที่ 1 มีเงินได้จากการจ้างแรงงานและจากหน้าที่ หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงาน และมีเงินได้ที่เป็นเงินปันผล เครดิตเงินปันผล รวมเป็นเงินได้สุทธิ ที่ต้องคำนวณภาษีเพียง 23,318,411.53 บาท อัตราภาษีร้อยละ 37 รวมเงินภาษีเงินได้ที่ต้องชำระเป็นเงิน 8,129,812.27 บาท โดยมิได้นำค่าหุ้นดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินหรือเงินได้จำนวน 738,000,000 บาท มารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดา...” อันเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ไม่นำมูลค่าหุ้นที่ได้รับให้ไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นๆ ของจำเลยที่ 1 ที่กฎหมายถือว่า เป็นเงินได้ของจำเลยที่ 1 และที่เป็นเงินได้ของภรรยา เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2540 การกระทำของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นการร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรเท่านั้น ฟ้องมิได้ระบุว่าเป็นภาษีอาการจากเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 ประเภทหรือวงเล็บใด

ดังนั้น แม้จะปรากฏตามทางพิจารณาว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบว่า การรับให้ เป็นเงินได้พึงประเมินต่างประเภทกัน ก็เป็นการแตกต่างของความเห็นในประเภทของเงินได้พึงประเมินที่จำต้องพิจารณา ในชั้นจัดเก็บภาษี ทั้งผลของการแตกต่างที่มีตามกฎหมาย ก็ไม่ได้มีผลต่อการวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเงินพึงประเมินประเภทใดก็ยังคงเป็นเงินได้อันพึงต้องเสีย ภาษีตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรเช่นเดียวกัน ในชั้นนี้จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งนี้ คงมีปัญหาว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากการให้มิได้เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้อง นำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้หรือไม่ โจทก์มีนายกล้านรงค์ จันทิก มาเบิกความยืนยันว่า ขณะพยานเป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. พยานได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้เป็นอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ยื่นไว้ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. พยานกับคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้ร่วมกันสอบปากคำจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับหุ้นตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 2 แบ่งหุ้นให้แก่จำเลยที่ 1 โดยมิได้มีการซื้อมาแต่อย่างใด และจำเลยที่ 1 ได้ช่วยเหลือและร่วมธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณกับจำเลยที่ 2 มาตลอดตั้งแต่ต้น รวมทั้งเป็นผู้กู้และผู้ค้ำประกันให้ด้วย โดยมีบันทึกคำให้การของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เอกสารหมาย จ.30 ซึ่งมีลายชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ให้การ มาเป็นหลักฐานสนับสนุน เอกสารดังกล่าวมีสาะระสำคัญสอดคลัองกับคำเบิกความของพยาน เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 295 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งอาจมีผลทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องพ้นจากตำแหน่งและต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็น เวลาห้าปี จึงเป็นเรื่องสำคัญ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างมาก ย่อมต้องเตรียมการและระมัดระวังในเรื่องที่จะให้การ ทั้งเป็นการให้การในครั้งแรกๆ ขณะที่ยังมิได้มีปัญหาการตรวจสอบเรื่องภาระภาษีและดำเนินคดีนี้ น่าที่จำเลยที่ 1 จะให้การไปตามความจริง ประกอบกับคำให้การดังกล่าวมีข้อเท็จจริงโดยละเอียด ตั้งแต่ประวัติความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของจำเลยที่ 1 กับครอบครัวของจำเลยที่ 2 การช่วยเหลืออุปการะกันมาโดยตลอด ตั้งแต่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยังเป็นเด็กๆ เมื่อจำเลยที่ 2 กับพันตำรวจโททักษิณไปศึกษาที่ต่าง
ประเทศ จำเลยที่ 1 ก็ลางานตามไปดูแลช่วยเหลือพร้อมกับศึกษาต่อ และเมื่อกลับมาก็ช่วยเหลือและสนับสนุนในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนินการ ค้าขายต่างๆ ของจำเลยที่ 2 กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จนต่างมีฐานะมั่นคง และในส่วนที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งหุ้นต่างๆ นั้น จำเลยที่ 1 ได้ให้การไว้โดยละเอียด โดยเฉพาะหุ้นจำนวนมากๆ เช่น หุ้นตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า จำเลยที่ 2 แบ่งให้โดยมิได้มีการซื้อมา แม้การสอบถามในครั้งนั้นจะไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการให้หุ้นคดีนี้ก็ตาม แต่หากเป็นการรับให้เนื่องในโอกาสสำคัญของจำเลยที่ 1 ดังที่อ้าง เป็นหุ้นที่มีมูลค่าจำนวนมาก ทั้งเป็นการรับให้จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาของพันตำรวจโททักษิณที่กำลังถูกตั้งข้อระแวง สงสัยและถูกตรวจสอบเกี่ยวกับการถือครองหุ้น จำเลยที่ 1 น่าจะให้การถึงเหคุผลที่จำเลยที่ 2 ให้ไว้เป็นหลักฐานด้วย แต่จำเลยที่ 1 นอกจากจะมิได้ให้การถึงเหตุผลการให้ว่าเป็นการให้เนื่องในโอกาสใดแล้วยังให้ การชัดเจนว่าเป็นการแบ่งให้โดยมิได้มีการซื้อมา ดังที่ปรากฎ ทั้งๆ ที่ได้ให้การในเรื่องอื่นๆ ไว้โดยละเอียด จึงเชื่อว่าที่จำเลยที่ 2 ให้หุ้นคดีนี้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการแบ่งให้ดังที่จำเลยที่ 1 ให้การ ซึ่งคำว่า “แบ่งให้” ดังกล่าวมีความหมายอยู่ในตัวว่า เป็นการให้ที่มิใช่การให้เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสอย่างใด ส่วนที่ได้ความจากคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทียื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญและให้การต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร ตามเอกสารหมาย จ.35 จ.38 จ.34 และจ.37 ตามลำดับ แตกต่างไปจากคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังวินิจฉัย ทำนองว่า จำเลยที่ 2 ยกหุ้นตามฟ้องให้จำเลยที่ 1 ตามธรรมจรรยาในฐานะที่ได้ร่วมก่อการและดำเนนิธุรกิจร่วมกัน รวมทั้งเป็นของขวัญที่จำเลยที่ 1 มีภริยาและบุตรนั้น ก็เป็นคำให้การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การภายหลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและเอกสารประกอบถ้อยคำอันเป็นเท็จ และกรมสรรพากรได้เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปตรวจสอบเพื่อจัดเก็บภาษีจากากรซื้อขายอันเป็นเท็จแล้ว คำให้การที่ให้เหตุผลของการให้หุ้นของจำเลยที่ 2 แตกต่างไปจากที่จำเลยที่ 1 เคยให้การไว้ในชั้นแรก จึงน่าจะเป็นการยกข้ออ้างขึ้นใหม่ให้เข้าข้อยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10) ที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามที่กรมสรรพากรจะเรียกเก็บ คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์ดังวินิจฉัยไม่น่าเชื่อถือ ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่า เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน จำเลยที่ 2 มีเจตนาจะยกให้หุ้นตามฟ้องแก่จำเลยที่ 1 เมื่อต้นปี พ.ศ.2535 ในโอกาสที่จำเลยที่ 1 แต่งงาน แต่ในช่วงนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังยุ่ง เนื่องจากจะเข้าสู่การเมืองและตั้งพรรคการเมืองใหม่ จำเป็นต้องจัดการเรื่องบริหารงานให้เสร็จสิ้นก่อน จึงมาให้ในภายหลังของบุตรจำเลยที่ 1 จะมีอายุครบ 1 ปีนั้นประการแรกเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สอดคร้องกับข้อเท็จจริงตามคำให้การของ จำเลยที่ 1 ที่รับฟังได้ดังวินิจฉัยว่า เป็นการแบ่งให้ ประการต่อมาที่อ้างว่าไม่สามารถโอนหุ้นให้แก่จำเลยที่ 1 ในโอกาสที่จำเลยที่ 1 แต่งงานได้เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณจจำเป็นต้องจัดการเรื่องการบริหารให้เสร็จสิ้นก่อนนั้น เห็นว่า ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าหุ้นตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 2 อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ่ของ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี และจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ให้คำแนะนำและดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวมทั้งหุ้นแทนโดยตลอด ดังนี้การโอนหุ้นของจำเลยที่ 2 ที่มีชื่อ น.ส.ดวงตาถือครองแทนจึงสามารถทำได้โดยจำเลยที่ 3 คนเดียว

ดังนั้น หากจำเลยที่ 2 จะโอนหุ้นนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ในโอกาสที่จำเลยที่ 1 แต่งงานจริง ก็สามารถกระทำได้ในโอกาสนั้น โดยจำเลยที่ 2 เพียงแจ้งให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการเท่านั้น ซึ่งมิได้เป็นภาระหรือเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และการจัดการเรื่องการบริหารงานตามที่อ้างแต่อย่างใด แม้ในเรื่องนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่จำเลยที่ 2 นางสมทรง เครือไชย อาจำเลยที่ 2 และนางบุษบา ดามาพงศ์ ภริยาจำเลยที่ 1 มาเบิกความเป็นประจักษ์พยานสนับสนุนว่า ร่วมรู้เห็นและได้ยินจำเลยที่ 2 พูดขณะจำเลยที่ 1 กับนางบุษบาเข้าไปอวยพรวันเกิดของจำเลยที่ 2 ว่าจะให้หุ้นแก่จำเลยที่ 1 เป็นของขวัญแต่งงาน ก็ตาม แต่คำเบิกความดังกล่าวนอกจากจะขัดกับข้อเท็จจริงตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้ว พยานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้างต้นเป็นพี่และญาติมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2อย่างมาก คำเบิกความน่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในปัญหานี้ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ดังวินิจฉัยได้ โดยไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องมูลค่าหุ้นที่ให้และให้ตรงกับวันแต่งงานของจำเลย ที่ 1 หรือไม่อีกต่อไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ให้หุ้นตามฟ้องแก่จำเลยที่ 1 โดยการแบ่งให้ มิได้เป็นการให้โดยเสน่หา เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากรตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างปัญหาต่อไปมีว่า การที่จำเลยที่ 1 รับแบ่งให้หุ้นตามฟ้องจำจำเลยที่ 2 ตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ จะถือว่าเป็นเงินได้ที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา ตามมาตรา 42(10) ข้างต้นหรือไม่ เห็นว่า ประมวลรัษฎากรมิได้ให้คำนิยามของคำว่า “อุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา” ไว้ จึงต้องพิจารณาความหมายของถ้อยคำดังกล่าวตามพจนานุกรม ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 นิยามความหมายไว้ดังนี้ อุปการะ หมายความว่า ช่วยเหลือเกื้อกูล, อุดหนุน หน้าที่ หมายความว่า กิจที่จะต้องทำด้วยความรับผิดชอบ ธรรมจรรยา หมายความว่า การประพฤติถูกธรรม

ดังนั้น คำว่า “อุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา” จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า การช่วยเหลือเกื้อกูล อุดหนุน ที่พึงกระทำโดยธรรม อันเป็นบทบัญญัติที่ใช้ถ้อยคำที่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิเคราะห์หาเจตนารมณ์จากที่ใดอีก ทั้งเป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นภาระภาษีอันเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน จึงต้องตีความตามถ้อยคำโดยเคร่งครัด แม้บทบัญญัติดังกล่าวจะมิได้มีความหมายที่จะจำกัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้ กับผู้รับการให้ และจำนวนที่ให้ก็ตาม แต่ตามถ้อยคำแล้ว ผู้รับการให้จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในสภาพหรือสถานะที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เกื้อกูล อุดหนุนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ผู้ให้จึงมีหน้าที่โดยธรรมจรรยาที่จะอุปการะ แต่จำเลยที่ 1 นอกจากจะมิได้นำสืบให้เห็นว่าตนอยู่ในสภาพหรือสถานะเช่นว่าแล้ว ยังปรากฏจากบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.30 ว่าในขณะรับการให้นั้นจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) และเป็นกรรมการในบริษัทกลุ่มชินฯ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่มีกิจการและฐานะมั่นคง นอกจากนี้ ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2540 ของจำเลยที่ 1 เอกสารหมายเลย จ.27 จำเลยที่ 1 แจ้งว่ามีเงินได้พึงประเมินก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ใน พ.ศ.2540 จำนวน 23,554,503.53 บาท ซึ่งถือได้ว่าเป็ฯจำนวนที่สูงอีกทั้งปรากฏจากบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.30 ที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. และคำให้การเอกสารหมาย จ.34 ที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี สำนักตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร ว่า ในปีเดียวกันนั้น ก่อนได้รับให้หุ้นคดีนี้ จำเลยที่ 1 มีหลักทรัพย์เฉพาะที่เป็นหุ้นจำนวนมาก ที่สำคัญๆ คือหุ้นในบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) 2,347,395 หุ้น หุ้นในบริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด 23,000,000 หุ้น และหุ้นในบริษัท ชินวัตร อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง จำกัด 6,000,001 หุ้น แม้ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ที่จำเลย ที่ 1 ได้รับหุ้นตามฟ้องและหลังจากนั้นต่อมา จำเลยที่ 1 ยังมีหุ้นในบริษัทต่างๆ เพิ่มอีกจำนวนมาก สถานภาพดังกล่าววิญญูชนย่อมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ที่อยู่ในสภาพหรือสถานะที่ต้องการความช่วยเหลือเกื้อกูลอุดหนุน ตามความหมายของบทกฎหมายข้างต้นแต่อย่างใด แม้ฐานะจะยังไม่ทัดเทียมกับพี่น้องก็ตาม จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะจำเลยที่ 1

ดังนั้น ไม่ว่าจำเลยที่ 2 จะมีทรัพย์สินมากเพียงใดและให้หุ้นคดีนี้เพียงต้องการให้จำเลยที่ 1 มีฐานะทัดเทียมพี่น้อง หรือจะให้ด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ที่เป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา คำพิพากษาศาลฎีกาและแนววินิจฉัยของกรมสรรพากรที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบนั้นผู้รับการให้ล้วนอยู่ในฐานะหรือสภาพหรือสถานะที่ควรได้รับการช่วย เหลือเกื้อกูล อุดหนุนทั้งสิ้น เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงไม่ตรงกับคดีนี้ โดยสรุปคดีฟังไม่ได้ว่ามูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับการให้จาก จำเลยที่ 2 เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร

เมื่อคดีรับฟังได้ว่ามูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับการให้จากจำเลยที่ 2 เป็นได้พึงประเมินที่จำเลยที่ 1 จะต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2540 คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรนั้นหรือไม่ รวมทั้งค่าภาษีอากรแทนจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น ซึ่งปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่าภาษีจากมูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้จากการรับให้มีจำนวนมากถึง 273,006,000 บาท การที่จำเลยที่ 2 มิได้ดำเนินการโอนให้หุ้นตามฟ้องแก่จำเลยที่ 1 ตามเจตนาที่แท้จริง ทั้งๆ ที่การโอนให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สามารถจะทำได้ โดยทั้งผู้ให้และผู้รับการให้ ไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างใด กล่าวคือไม่ต้องเสียทั้งค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทที่ดำเนิน การ ดังที่นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินการโอนหุ้นตามฟ้อง ได้ให้การยืนยันชัดเจนต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.80 และชั้นพิจารณามิได้เบิกความปฏิเสธเอกสารฉบับนี้แต่จำเลยที่ 2 กลับกระทำโดยความเท็จเป็นการซื้อ ขายลวงในตลาดหลักทรัพย์อำพรางการให้ที่เป็นเจตนาที่แท้จริงนั้นและยอมเสีย ค่านายหน้ากับภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งฝ่ายผู้ซื้อ และผู้ขาย รวม 7,380,000 บาท ดังข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติ

ศาลพิจารณาพฤติการณ์ณ์ดังกล่าวและเปรียบเทียบจำนวนเงินค่านายหน้า และภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยที่ 2 เสียไปกับจำนวนเงินค่าภาษีอากรจากการรับให้ที่ถูกอำพรางไว้ดังกล่าวแล้ว กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยที่ 2 ว่า จงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรเงินได้จากการรับให้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำนวนมากและจำเลยที่ 2 ต้องเป็นผู้ชำระแทน จึงกระทำโดยวิธีมิให้จำเลยที่ 1 มีเงินได้พึงประเมินจากการรับให้หุ้นตามฟ้อง ด้วยการทำเป็นการซื้อขายอำพรางการให้นั้น ดังที่ปรากฏตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษา 2540 ของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.27 สำหรับจำเลยที่ 3 ผู้ดำเนินการโอนหุ้นตามฟ้อง เป็นเลขานุการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ดูแลแนะนำและดำเนินการเกี่ยวกับหุ้นของจำเลยที่ 2 กับบุตรซึ่งมีจำนวนมากมานานประมาณ 10 ปีก่อนเกิดเหตุ ทั้งมีสามีเป็นพนักงานในบริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ที่ทำการโอนหุ้นคดีนี้ด้วย ดังนี้ จำเลยที่ 3 ย่อมต้องมีความรู้ในเรื่องหุ้นและการโอนหุ้นเป็นอย่างดี อีกทั้งโดยหน้าที่ย่อมทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของจำเลยที่ 2 ประกอบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความรับว่าก่อนโอนหุ้นตามฟ้องได้ปรึกษาและให้คำแนะนำกันก่อนแล้ว ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 3 รู้กันกับจำเลยที่ 2 และร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรดังวินิจฉัย ส่วนจำเลยที่ 1 ได้ทราบมาแต่แรกแล้วว่า จำเลยที่ 2 จะให้หุ้นตามฟ้องตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.30 ดังวินิจฉัย แต่เมื่อจำเลยที่ 3 มาขอเลขที่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ แจ้งว่าจะไปทำการซื้อขายหุ้นที่จะให้ดังกล่าว ซึ่งไม่ตรงกับที่จำเลยที่ 2 เคยบอก แต่จำเลยที่ 1 ก็ให้ไปโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ทักท้วงหรือสอบถามถึงเหตุผลในเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องการชำระค่าหุ้นจำนวนมากด้วย ผิดวิสัยผู้กระทำโดยสุจริต และต่อมาเมื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2540 จำเลยที่ 1 ก็มิได้แสดงรายการเงินได้ส่วนนี้แต่อย่างใด พิเคราะห์ พฤติการณ์ดังกล่าวประกอบความสัมพันธ์ ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบโดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 1 ร่วมก่อตั้งและร่วมบริหารกิจการต่างๆ ของจำเลยที่ 2 กับ พ.ต.ท.ทักษิณมาโดยตลอดและขณะที่รับการให้หุ้นคดีนี้ จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) นั้นเองด้วยแล้ว ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นและร่วมกระทำการดังกล่าวข้างต้นกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย จึงเป็นตัวการร่วมกัน แม้จำเลยที่ 3 และที่ 3 จะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยื่นแบบของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ไม่มีเงินได้พึงประเมินจากการรับให้หุ้นนั้นเป็นผลโดยตรงจากการร่วมกันกระทำ โดยความเท็จของจำเลยทั้งสามดังวินิจฉัย ทั้งตามกฎหมายการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็เป็นเรื่องเฉพาะ ตัวของจำเลยที่ 1 ผู้มีเงินได้เท่านั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องได้อยู่แล้ว การที่มิได้เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบฯ จึงมิใช่ข้อแก้ตัวที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่ายื่นแบบฯ โดยมิได้แสดงรายการหุ้นที่ได้รับมา เพราะเข้าใจว่าเป็นของขวัญแต่งงานได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีก็ดี

จำเลยที่ 2 นำสืบว่า ใช้วิธีซื้อขายและดำเนินการซื้อขายตามคำแนะนำของจำเลยที่ 3 ก็ดี และจำเลยที่ 3 นำสืบว่า เข้าใจว่าเมื่อหุ้นอยู่ในชื่อของบุคคลอื่นในตลาดหลักทรัพย์ การโอนให้ต้องทำในรูปการซื้อขายเท่านั้นก็ดี ล้วนเป็นข้ออ้างที่ขัดต่อเหตุผลและพฤติกรรมของจำเลยทั้งสามดังที่วินิจฉัย จึงฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า หากจำเลยทั้งสามวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากรจริง ก็สามารถจะกระทำได้โดยวิธีที่ง่ายกว่า เช่น โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 แล้วให้ จำเลยที่ 1 ออกเช็คชำระค่าหุ้นตามฟ้องโดยตรงนั้น เห็นว่าวิธีการดังกล่าวก็คงจะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการหลีกเลียงภาษีอากร แต่การที่จำเลยทั้งสามมิได้เลือกใช้วิธีดังกล่าวก็มิได้เป็นพิรุธถึงกับทำ ให้ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามฟ้อง ซึ่งตามรูปคดีจำเลยทั้งสามคงจะกระทำไปโดยไม่คาดคิดว่าสามีของจำเลยที่ 2 จะมีปัญหาและถูกตรวจสอบทรัพย์สินในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในเรื่องการถือครองหุ้นแล้วถูกตรวจสอบต่อเนื่องมาถึงการโอนหุ้นตาม ฟ้อง ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 เคยโอนหุ้นจากนางสาวดวงตาไปยัง น.ส.บุญชู เหรียญประดับ ซึ่งเป็นผู้ถือครองหุ้นแทนจำเลยที่ 2 เช่นเดียวกัน และด้วยวิธีซื้อขายเช่นเดียวกันกับคดีนี้ แต่คณะกรรมการตรวจสอบก็มิได้หยิบยกมาดำเนินคดีนั้น เห็นว่า เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการตรวจสอบที่จะตรวจสอบกรณีใด แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสามยกขึ้นอ้างข้างต้นไม่ปรากฏว่า การซื้อขายระหว่างผู้ถือครองหุ้นแทนจำเลยที่ 2 นั้นเป็นการกระทำโดยความเท็จหรืออุบายอำพรางการให้ระหว่างกันเพื่อหลีก เลี่ยงการเสีภาษีอากรดังเช่นคดีนี้หรือไม่ จึงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ และที่นำสืบว่าคณะกรรมการตรวจสอบใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้น คณะกรรมการตรวจสอบจึงต้องเป็นบุคคลที่เป็นกลางเช่นเดียวกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่กรรมการตรวจสอบบางคนไม่มีความเป็นกลาง เคยมีพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณมาก่อนนั้น เห็นว่า จากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบตามประกาศปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 ควรที่คณะกรรรมการตรวจสอบจะต้องเป็นผู้ที่มีความเป็นกลาง และพฤติกรรมของคณะรรรมการตรวจสอบบางคนตามเอกสารและภาพถ่ายพยานจำเลยทั้งสาม ก็มีเหตุผลให้เข้าใจไปได้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบบางคนเหล่านั้นอาจจะไม่เป็นกลาง แต่เนื่องจากไม่มีบทบัญญติของกฎหมายกำหนดคุณสมบัติคณะกรรการตรวจสอบไว้เช่น คุณสมบัติของคณกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งการทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบตามที่ปรากฏในสำนวนก็ไม่ได้ความว่าคณะ กรรมการตรวสอบคนใดกระทำอย่างใดที่ส่อไปในทางที่ไม่เป็นกลาง หรือกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยทั้งสาม คณะกรรมการตรวจสอบมีจำนวนมากถึง 12 คน ทุกคนล้วนมีคุณวุฒิ วัยวุฒิ ประสบการณ์และตำแหน่งหน้าที่การงานสูง ไม่น่าที่คณะกรรมการตรวจสอบบางคนจะสามารถโน้มน้าวครอบงำให้คณะกรรมการตรวจ สอบทั้งหมดมาร่วมกันกระทำการใดที่ไม่เป็นกลางในการตรวจสอบคดีนี้ เพราะจะกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน ความเชื่อถือที่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่ รวมทั้งเสี่ยงต่อการที่จะมีความผิดตามกฎหมายได้ ที่สำคัญพยานหลักฐานการกระทำผิดตามฟ้องที่คณะกรรมการตรวจสอบนำมาตรวจสอบเป็น พยานหลักฐานที่เกิดขึ้น และมีอยู่ก่อนที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ทั้งเป็นพยานหลักฐานที่จัดทำโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ศาลรัฐธรรมนูญและกรรมสรรพากร เกือบทั้งหมด ซึ่งจำเลยทั้งสามก็มิได้ปฎิเสธความมีอยู่ของพยานหลักฐานเหล่านั้น คณะกรรมการตรวจสอบเพียงรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวมาตรวจสอบแล้ว ทำความเห็นส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด พิจารณาอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น คดีฟังไม่ได้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบทำหน้าที่ในคดีนี้โดยไม่เป็นกลาง ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า การที่คณะกรรมการตรวจสอบมีคำสั่งให้กรมสรรพากรประเมินภาษีจำเลยที่ 1 ใหม่ตามมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการมุ่งที่จะเรียกเก็บภาษีจากจำเลยที่ 1 ให้ได้ โดยหาได้คำนึงถึงความถูกต้อง ชอบธรรมตามประมวลรัษฎากรไม่ ซึ่งต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนการประเมินภาษีของ จำเลยที่ 1 ดังกล่าวและคดีถึงที่สุด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีภาระภาษีแล้วตามเอกสารหมายเลข ล.92 นั้น เห็นว่าเอกสารจำเลยดังกล่าวเป็นเพียงภาพถ่ายจากเว็บไซต์ อ้างข่าวจากแหล่งข่าวกรมสรรพากร ทั้งยังเป็นประเด็นเรื่องขาดอายุความประเมินภาษี ที่เจ้าหน้าที่ประเมินกระทำ ในภายหลังเหตุการณ์ตามฟ้อง มิใช่เรื่องการกระทำของคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวกับภาระภาษีของจำเลยที่ 1 ที่ยังมีอยู่ในขณะมีการกระทำผิดตามฟ้อง และที่นำสืบว่า การที่คณะกรรมการตรวจสอบอายัดเงินที่ได้จากการขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งรวมหุ้นตามฟ้องด้วย ว่าเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงถึงความไม่สุจริตของคณะกรรมการตรวจสอบในการดำเนินคดี เนื่องจากหุ้นตามฟ้องจะเป็นของจำเลยที่ 1 และของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในเวลาเดียวกันไม่ได้ ข้อกล่าวหาคดีนี้จึงไม่อาจรับฟังเป็นโทษแก่จำเลยทั้งสามได้นั้น เห็นว่าในชั้นนี้ ข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยุติ แต่จากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบมาในคดีนี้ จำเลยที่ 1 และ 2 ยืนยันรับข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหุ้น ตามฟ้องและมีเจตนาจะให้หุ้นนั้นแก่จำเลยที่ 1 แต่ได้ทำเป็นซื้อขายแทนการชำระค่าหุ้น ให้ด้วยเงินของจำเลยที่ 2 เอง ส่วนจำเลยที่ 1 ก็ยืนยันสอดคล้องต่อเนื่องกันว่า รับให้หุ้นตามฟ้องของจำเลยที่ 2 ด้วยเจตนาที่จะถือครองเป็นของตนเอง ทั้งได้ไปแจ้งการถือครองหุ้นกับขอออกใบหลักทรัพย์มาเก็บรักษาไว้ เป็นหลักฐานด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความเช่นนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีภาระภาษีสำหรับมูลค่าหุ้นที่ได้รับการให้มานั้น แต่จำเลยทั้งสามกลับทำการซื้อขายหุ้นอันเป็นความเท็จแทนเพื่ออำพรางการให้ จึงเป็นการร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากร

การกล่าวหาและดำเนินคดีนี้ คณะกรรมการตรวจสอบเป็นไปตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงชอบแล้ว ไม่ได้ไม่สุจริตตามที่จำเลยทั้งสามอ้าง สำหรับข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามนอกจากนี้ ไม่นำให้ผลคดีเปลี่ยนไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัยโดยสรุป พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีเหตุผลและน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยทั้งสามไม่สามารถหักล้างได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำโดยความ เท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือ โดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามฟ้อง ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 และ 2 ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือไม่ เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นที่ยุติดังกล่าวข้างต้น ภายหลังจากกรรมการ ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสาร ประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จแล้ว กรมสรรพากร ได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.32 เชิญจำเลยที่ 1 แจ้งว่าประสงค์จะขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคดีนี้ ให้จำเลยที่ 1 ไปพบที่สำนักงานตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร และนำหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหุ้น การชำระเงินค่าหุ้นและอื่นๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย จำเลยที่ 1 จึงไปพบและให้การต่อ นาย ช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษีและนางเบญจา หลุยเจริญ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 9 ตามบันทึกคำให้การเอกสาร จ.33 และ จ.34 หลังจากนั้น จำเลยที่ 2 ไปพบและให้การต่อ นางเบญจา หลุยเจริญ ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.37 นั้น เป็นกรณีกรมสรรพากรเห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเหตุอันควรเชื่อว่าการซื้อขายหุ้นตามฟ้องหลีกเลี่ยงภาษีอากร เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีจึงหยิบยกการเสียภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ขึ้นมาพิจารณาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ขณะยังอยู่ภายในกำหนดอายุความเรียกเอาค่าภาษีอากรตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 193/31 จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่และชอบด้วยกฎหมาย จากข้อความในหนังสือเชิญดังกล่าวจำเลยที่ 1 และ 2 ย่อมทราบดีว่าเป็นการเรียกตรวจสอบการเสียภาษีอากร จึงไปพบและให้การต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินตามกฎหมาย ปรากฏถ้อยคำตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.33 จ.34 และ จ.37 ตามลำดับ มีสาระสำคัญทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ต้องการให้จำเลยที่ 1 มีครอบครัวและมีฐานะที่มั่นคงทัดเทียมกับพี่น้องจึงสนันสนุนให้จำเลยที่ 1 แต่งงานกันจะให้หุ้นแก่จำเลยที่ 1 เป็นของขวัญวันแต่งงาน แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าทำงานทางการเมือง จึงมาให้ภายหลังเมื่อบุตรของจำเลยที่ 1 จะมีอายุครบ 1 ปี เป็นการให้ของขวัญแก่ครอบครัวและบุตรของจำเลยที่ 1 ขณะนี้จำเลยที่ 2 กับครอบครัวมีทรัพย์สินมากว่า 20,000,000,000 บาท จึงอยู่ในฐานะและวิสัยที่จะให้แก่บุคคลในครอบครัวได้ ทำนองว่าเป็นการให้ที่เป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งหากคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้างต้นเป็นความจริง มูลค่าหุ้นที่ได้รับจากการให้จะเป็นเงินได้ประเภทที่จำเลยที่ 1 ผู้รับให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวล รัษฎากร มาตรา 42(10) แต่ปรากฏว่าคำให้การนั้น ไม่เป็นความจริงดังที่วินิจฉัยข้างต้น แม้คำให้การดังกล่าวจะสอดคล้องตรงกันกับคำให้การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 2 ก็เป็นการร่วมกันยกข้อที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมาอ้างเพื่อให้เข้าข้อยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีอากรตามที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีกำลังตรวจสอบ เป็นเหตุให้กรมสรรพากรหลงเชื่อไม่เรียกเก็บภาษีอากรจากจำเลยที่ 1 และให้ยุติเรื่องที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบว่า กรณีข้างต้นเป็นการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 อีกกรณีหนึ่ง จึงต้องมีการออกหมายเรียกจำเลยที่ 1 ผู้ยื่นรายการมาไต่สวนก่อน แต่กรณีนี้ไม่ได้ออกหมายเรียก เป็นเพียงออกหนังสือเชิญเท่านั้น ทำนองว่าการประเมินของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากคำให้การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ไว้จะไม่เป็นความจริง ก็ไม่เป็นความผิดนั้น เห็นว่า แม้จะเป็นการประเมินตามมาตรา 19 ดังที่อ้าง แต่บทมาตราดังกล่าวมีเจตนารมณ์ว่า จะต้องมีการไต่สวนผู้ยื่นรายการนั้นมาไต่สวน รวมทั้งหมายเรียกพยานกับสั่งให้ผู้ยื่นรายการ หรือพยานนั้นนำบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ จึงได้ให้อำนาจพนักงานประเมินที่จะออกหมายเรียกในกรณีต่างๆ ไว้ในมาตรา 19 สำหรับคดีนี้ สำนักตรวจสอบภาษีได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.32 เชิญจำเลยที่ 1 ไปพบพร้อมนำหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ไปพบเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีตามหนังสือนั้น โดยมิได้โต้แย้งว่า ไม่ได้ออกหมายเรียก ทั้งยังได้ให้การในประเด็นการซื้อขายหุ้นตามฟ้อง ตามที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีถาม กรณีถือได้ว่ามีการไต่สวนตามมาตรา 19 ข้างต้นแล้ว แม้จะไม่มิเอกสารหมายเรียกจำเลยที่ 1 ก็ตาม การสอบคำให้การจำเลยที่ 1 และที่ 2 ของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์ในปัญหานี้มั่นคง พยานหลักฐานจำเลยทั้งสามไม่สามารถหักล้างได้ เช่นเดียวกัน ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยรู้อยู่แล้ว หรือโดยจงใจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามฟ้อง

จำเลย ทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี อากร จำเลยที่ 2 เป็นกริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจ และสังคมด้วย แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมาย และจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้น เทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองดีทุกคน จึงมิได้มีผลกระทำต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง

พิพากษา ว่า จำเลยทั้งสาม มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี ฐานโดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 3 ปี สำหรับคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษที่จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลมีคำพิพากษาแล้วหรือไม่อย่างไร จึงไม่อาจนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อตามที่ขอได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้


คลิกที่นี่ เพื่อฟัง ศาลอ่านคำพิพากษาคดี “เลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป”

คลิก! ชมวิดีโอคลิปศาลอ่านคำพิพากษาคดี “เลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ป” (56K)
|(256K)

from : MGR online

เหตุใดประชาชนต้องปกป้องรัฐธรรมนูญ

รัฐ ธรรมนูญ (LA CONSTITUTION) เป็นบทบัญญัติในทางกฎหมาย (LES TEXTES JURIDIQUES) ที่กำหนดสถาบันต่าง ๆ (LES DIFFERENTES INSTITUTIONS) ซึ่งประกอบขึ้นเป็นรัฐ (L’ETAT) โดยรัฐธรรมนูญจะกำหนดและจัดความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันต่าง ๆ นี้ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญยังเป็นบทบัญญัติที่ก่อตั้งองค์กรแห่งรัฐ (L’ORGANISATION DE L’ETAT) มีบทบัญญัติที่กำหนดและประกันให้มีการเคารพต่อสิทธิพื้นฐานของบุคคล (LES DROITS FONDAMENTAUX DES PERSONNES) รวมทั้งเสรีภาพ (LA LIBERTE) ของบุคคล ซึ่งเรียกรวมกันว่า สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้นี้เป็นส่วนสำคัญต่อความมั่นคงและการดำรง อยู่แห่งรัฐ การฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ การทำลายรัฐธรรมนูญ การล้มล้างรัฐธรรมนูญ จึงถือเป็นปรปักษ์ต่อสถาบัน องค์กรแห่งรัฐ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตลอดจนประชาชนทุกคน

โดยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และได้รับการยอมรับในทางกฎหมายว่าเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุด (LA NORME SUPREME) ของรัฐ และมีฐานะในทางกฎหมายคือ เป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดของลำดับศักดิ์ในทางกฎหมาย (LA NORME LA PLUS ELEVEE DE L’ORDRE JURIDIQUE) ซึ่งหมายความว่า บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ จะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้

องค์กรแห่งรัฐจะได้ รับการจัดตั้งและกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ความสำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญก็คือ การประกันให้ทุกฝ่ายเคารพต่อสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลตามที่รัฐ ธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ ซึ่งสิทธิและเสรีภาพเหล่านี้เป็นประเด็นทางมหาชน มีค่า การดำรงอยู่ และลำดับศักดิ์สูงตามรัฐธรรมนูญที่เป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดของรัฐ การทำลายอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่รัฐธรรมนูญจัดตั้งขึ้น การทำลายสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายรัฐธรรมนูญแห่งรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการปกครองอันไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน (LES RISQUES DE GOUVERNEMENT ARBITRAIRE) และเกิดการปกครองในลักษณะตามอำเภอใจ ตลอดจนจะมีผลก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศ

โดยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นความจำเป็นสำหรับประชาชน หน่วยงานเอกชน ข้าราชการ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานทางปกครอง และองค์กรของรัฐในทุกองค์กรจะต้องร่วมกันปกป้องและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ โดยวิถีทางที่สำคัญ 2 นัย คือ

ประเด็นที่ 1. ต้องปกป้องรัฐธรรมนูญจากการละเมิดต่อหลักการ (LA VIOLATION DES PRINCIPES) แห่งรัฐธรรมนูญในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ โดยเฉพาะสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ และ

ประเด็น ที่ 2. ต้องปกป้องรัฐธรรมนูญจากการแก้ไขตามพฤติการณ์ (LES MODIFICATIONS DE CIRCONSTANCE) อันเป็นการสนองตอบแก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดที่มุ่งหวังต่อผลประโยชน์เฉพาะ ส่วนตนหรือเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตน อันมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม และโดยมิได้มีวัตถุประสงค์ที่เป็นการแก้ไขปรับปรุงหรือพัฒนาเพื่อให้สอด คล้องกับความเปลี่ยนแปลง หรือความเจริญ หรือเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่สำคัญต่อการดำเนินการตามปกติแห่งรัฐ

วิธี การในปกป้องรัฐธรรมนูญและธำรงรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ จึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องตามนัยแห่งประเด็นดังกล่าว ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

1. วิธีการในอันที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญตามประเด็นที่ 1. ซึ่งเกิดการละเมิดต่อหลักการสำคัญของสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐ ธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ตามนัยแห่งประเด็นนี้ สำนักคิดรัฐธรรมนูญนิยมใช้วิธีการคุ้มครองตามหลักกฎหมายมหาชนในทางรัฐ ธรรมนูญคือ หลักการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (LE CONTROLE DE CONSTITUTIONNALITE) เนื่องจากรัฐธรรมนูญถือเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุด ทุกประเทศที่เป็นรัฐเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีรัฐธรรมนูญนั้น องค์กรของรัฐทุกองค์กรจะต้องหลีกเลี่ยงการตีความและใช้บังคับกฎหมายที่มี ลำดับศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ เช่น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป ตลอดจนคำพิพากษาที่เป็นบรรทัดฐานอื่นใดไปขัดขวางหรือลิดรอนต่อสิทธิพื้นฐาน และเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ หากองค์กรของรัฐใดตีความหรือใช้บังคับกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์อันต่ำกว่ารัฐ ธรรมนูญโดยความผิดพลาด และมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่กำหนดวิธีการโดยเฉพาะไว้ เช่น การขยายความหลักกฎหมายทั่วไปหรือการปรับใช้หลักกฎหมายแพ่งซึ่งอยู่ในลำดับ ศักดิ์ที่ต่ำกว่าไปกระทบต่อสิทธิพื้นฐานหรือเสรีภาพของบุคคลซึ่งเป็นสิทธิใน ทางมหาชนที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ หรือการปรับใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญโดยไม่ครบถ้วนถูกต้องตามบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญ หรือทำการตีความหรือสร้างหลักกฎหมายใดขึ้นมาใหม่ซึ่งมิได้สอดคล้องและมิได้ เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การกระทำเช่นว่านี้อาจเป็นการทำลายรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวเป็นการต้องห้าม และมีการบัญญัติห้ามไว้อย่างชัดเจนโดยบทบัญญัติในมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

นอกจากนี้ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ เช่นว่านี้ย่อมกระทบต่อมหาชนโดยส่วนรวม และเป็นผลร้ายอันคุกคามต่อประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งอาจเกิดผลที่บกพร่องปรากฏขึ้น เช่น ปัญหาการบังคับคดี ซึ่งหากองค์กรใดของรัฐไปบังคับคดีโดยกระทำการลิดรอนต่อสิทธิพื้นฐานหรือ เสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ในลักษณะที่ฝ่าฝืนหรือละเมิด ต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุด การกระทำดังกล่าวไม่อาจถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนทุกคนย่อมมีสิทธิอันชอบธรรมและสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายที่จะกระทำการ ต่อต้าน ดำเนินการในทางกฎหมาย และแสดงออกโดยการไม่ยอมรับต่อการกระทำดังกล่าวได้ เนื่องจากการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าวนี้จะเป็นบ่อ เกิดแห่งความวุ่นวายในสังคม รวมทั้งองค์กรของรัฐที่ใช้บังคับกฎหมายหรือตีความกฎหมายที่ฝ่าฝืนหรือละเมิด ต่อรัฐธรรมนูญย่อมไม่อาจอ้างความคุ้มครองทางกฎหมายใดที่จะคุ้มครองการกระทำ ของตน รวมทั้งการบังคับคดีที่ไปละเมิดต่อสิทธิพื้นฐานหรือเสรีภาพซึ่งรัฐธรรมนูญ บัญญัติรับรองไว้ได้ เพราะเหตุว่าองค์กรของรัฐนั้นได้เป็นผู้กระทำการทำลายล้างรัฐธรรมนูญโดยการ ฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อบรรทัดฐานอันสูงสุดด้วยการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายของตน องค์กรของรัฐนั้นจึงหามีความชอบธรรมใดที่จะอ้างเพื่อคุ้มครองต่อการกระทำของ ตนได้ไม่

แนวทางในการแก้ไขข้อบกพร่องขององค์กรรัฐที่ใช้บังคับหรือตี ความกฎหมายใดที่บกพร่องและส่งผลต่อการลิดรอนต่อสิทธิพื้นฐานและเสรีภาพของ บุคคลอันเป็นสิทธิและเสรีภาพทางมหาชนที่รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ ก็คือ การใช้หลักการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งขององค์ผู้เชี่ยวชาญที่รัฐธรรมนูญกำหนด อำนาจหน้าที่ไว้ นั่นคือ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์สิทธิและเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังได้สร้างเกราะเพื่อเสริมความคุ้มครองให้แก่ รัฐธรรมนูญ โดยการเพิ่มเติมให้มีกระบวนการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรของรัฐที่ใช้ อำนาจหน้าที่อันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรของ รัฐได้ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และยังมีบทบัญญัติให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกป้องสิทธิและเสรีภาพของตน รวมทั้งปกป้องรัฐธรรมนูญโดยการใช้สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้มีการถอดถอนผู้ดำรง ตำแหน่งในองค์กรของรัฐโดยอาศัยตามมาตรา 271 ประกอบมาตรา 164 ได้อีกด้วย

2. วิธีการที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญตามนัยแห่งประเด็นที่ 2. นี้ ส่วนใหญ่จะใช้วิถีทางในการคุ้มครองทางการเมือง (LA PROTECTION POLITIQUE) โดยการกำหนดให้ทุกองค์กรของรัฐมีหน้าที่ในการที่จะให้ความคุ้มครอง และปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตลอดจนดูแลให้มีการเคารพต่อรัฐธรรมนูญ โดยห้ามองค์กรของรัฐใดกระทำการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดของรัฐ และมีสถานะแห่งลำดับศักดิ์ในทางกฎหมายที่อยู่เหนือบทบัญญัติแห่งของกฎหมาย อื่นใด

เนื่องจากสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ย่อมได้รับ ความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนการใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง ประชาชนทุกคนจึงต้องใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญมอบไว้ (เช่น การใช้สิทธิทางศาลเพื่อให้เกิดการคุ้มครองต่อรัฐธรรมนูญ การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือการใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ รวมทั้งการดำเนินการตามกระบวนการแห่งรัฐธรรมนูญ) โดยกระทำการคัดค้านและต่อต้านการแก้ไขบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญซึ่งมิได้เป็น ไปเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมและเพื่อเจตจำนงร่วมกันของประชาชน และคัดค้านต่อคำวินิจฉัยขององค์กรใดที่เป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ รวมทั้งขัดขวางการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่มิได้เป็นไป ตามกระบวนการแห่งรัฐธรรมนูญ ตลอดจนต้องร่วมกันคัดค้านต่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในประเด็นใดเพื่อ ประโยชน์ส่วนบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นอกจากนี้ หน้าที่นี้ยังเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งขององค์กรรัฐทั้งหลายที่จะต้อง เข้าร่วมกับประชาชนในการที่จะป้องกันมิให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไป ในทางที่บิดเบือด ซึ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังกล่าว โดยมิใช่เป็นการแก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนารัฐธรรมนูญตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและเจตจำนงร่วมของประชาชน ทั้งนี้องค์กรของรัฐทุกองค์กรนั้นต้องยึดมั่นต่อรัฐธรรมนูญและดูแลให้มีการ เคารพต่อหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ โดยที่องค์กรของรัฐนั้นจักต้องไม่เป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนหรือละเมิดต่อรัฐ ธรรมนูญซึ่งเป็นบรรทัดฐานอันสูงสุดนั้นด้วย

การฝ่าฝืนหรือละเมิดรัฐ ธรรมนูญ การทำลายรัฐธรรมนูญ การล้มล้างรัฐธรรมนูญ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งไม่สอดคล้องต่อเจตจำนงร่วมของประชาชน หรือเป็นการบิดเบือด ซึ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดโดยเฉพาะ ย่อมถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ และผู้กระทำการนั้นย่อมถือเป็นบุคคลที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ สถาบัน องค์กรแห่งรัฐ สิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งเป็นปรปักษ์ต่อประชาชนทุกคนภายในชาติอีกด้วย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

มาตรา 27 สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ โดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง

มาตรา 164 ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อร้อง ขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้
คำร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวกระทำความผิดเป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจน
หลัก เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการที่ประชาชนจะเข้าชื่อร้องขอตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต

มาตรา 270 ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้
บทบัญญัติวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ด้วย คือ
(1) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(2) ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

มาตรา 271 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่า ที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้ คำร้องขอดังกล่าวต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว กระทำความผิดเป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจน
สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งใน สี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา 274 ให้ถอดถอนสมาชิกวุฒิสภาออกจากตำแหน่งได้
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้ตามมาตรา 164

มาตรา 274 สมาชิกวุฒิสภามีอิสระในการออกเสียงลงคะแนนซึ่งต้องกระทำโดยวิธีลงคะแนนลับ มติที่ให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ของวุฒิสภา
ผู้ใดถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน และให้ตัดสิทธิผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมืองหรือในการรับราชการ เป็นเวลาห้าปี
มติของวุฒิสภาตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด และจะมีการร้องขอให้ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันอีกมิได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง
**ไม่มีที่มา**