เพื่อชีวิต..ใคร???

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 29, 2551

Jakrapob’s Code : ถอดรหัสลับทรรศนะอันเป็นอันตรายของ จักรภพ เพ็ญแข

โดย อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



27 พฤษภาคม 2551 08:46 น.

นานนับสัปดาห์ที่ คุณจักรภพ เพ็ญแข ตกเป็นข่าวให้ผู้คนกล่าวถึง ภายหลังจากที่บทแปลปาฐกถาที่คุณจักรภพเคยแสดงไว้ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่าง ประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) เมื่อเดือนกันยายน 2550 เผยแพร่สู่สาธารณะ ก็ก่อให้เกิดประเด็นให้ผู้คนกล่าวถึงอย่างกว้างขวางว่า ถ้อยคำและเนื้อหาที่คุณจักรภพแสดงปาฐกถาไว้นั้นเข้าข่าย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังแสดงความเห็นด้วยว่า ทรรศนะของคุณจักรภพ เพ็ญแขที่แสดงไว้ที่ FCCT เป็น “ทรรศนะอันเป็นอันตราย” ผู้ เขียนสนใจใคร่รู้ว่าทรรศนะของคุณจักรภพที่กล่าวกันว่าเป็นอันตรายนั้นมี ลักษณะอย่างไร จึงได้ลองวิเคราะห์ปาฐกถาของคุณจักรภพอย่างเป็นวิชาการตามแนวทางอักษรศาสตร์ ดู

1)ข้อตกลงเบื้องต้น

เนื่องจากปาฐกถาที่ FCCT บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ ตามที่จะยกมานี้ เมื่อต้องยกตัวอย่าง ผู้เขียนจะยกโดยใช้คำแปลภาษาไทยซึ่งผู้เขียนแปลเอง คำแปลที่ใช้ เลือกใช้วิธีแปลแบบเอาความซึ่งมุ่งความเข้าใจในบทพากย์ภาษาไทยมากกว่าจะสนใจ เก็บรักษาทุกถ้อยคำตามภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาต้นฉบับ การวิเคราะห์ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า คุณจักรภพเป็นผู้รู้ภาษาอังกฤษระดับดีมากจนสามารถสื่อความคิดที่ซับซ้อน เรียบเรียงออกมาให้เข้าใจง่ายด้วยภาษาง่ายๆ และสามารถโต้ตอบกับผู้ฟังได้คล่องแคล่ว ผู้เขียนไม่สนใจประเมินภาษาอังกฤษของคุณจักรภพว่า เป็นภาษาที่สวยงามหรือไม่ ถูกไวยากรณ์มากน้อยเพียงใด คำที่ใช้ใช้ตามแบบเจ้าของภาษาอย่างรู้จริงหรือไม่ เนื่องจากผู้เขียนต้องการวิเคราะห์ทรรศนะหรือความคิดของคุณจักรภพมากกว่าจะ วิเคราะห์ตัวภาษาในฐานะที่เป็น form หรือพาหะของความคิด

2)โครงสร้างเนื้อหาปาฐกถาที่ FCCT

หัวข้อปาฐกถาของคุณจักรภพที่ FCCT คือ Democracy and Patronage System of Thailand—ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ของไทย คุณจักรภพแสดงโดยเหลือบดูบทร่างเป็นระยะๆ ปาฐกถานี้มีเนื้อหาเป็นเอกภาพอย่างยิ่ง เนื้อหาแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ

ส่วนที่ 1 ว่าด้วยประวัติและพัฒนาการระบบอุปถัมภ์ของไทยในสมัยสุโขทัยมาจนถึงปัจจุบัน อย่างย่อๆ ส่วนนี้คุณจักรภพพยายามวิเคราะห์ให้เห็นรากเหง้าของระบบอุปถัมภ์ของไทยและผล กระทบที่มีต่อวิกฤติการเมืองของไทยในปัจจุบัน

ส่วนที่ 2 เป็นบทสรรเสริญความกล้าหาญ พ.ต.ต. ทักษิณ ชินวัตร ที่กล้าเผชิญหน้ากับระบบอุปถัมภ์อย่างซึ่งๆ หน้า และผลงานบริหารราชการแผ่นดินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีส่วนอย่างสำคัญในการทำลายระบบอุปถัมภ์ของไทย

และส่วนที่ 3 เป็นคำประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้งและแรงกล้าของคุณจักรภพว่า คุณจักรภพและพวกจะทำลายระบบอุปถัมภ์ของไทยให้ภินท์พังลงแบบชนิดขุดรากถอนโคน และตั้งใจจะทำให้เกิดขึ้นในช้าไม่นานหลังจากนี้

3)Patronage System : คำที่มีสถิติใช้สูงสุด

คำที่เป็น key word ในปาฐกถาที่ FCCT ของคุณจักรภพคือ patronage system ผู้เขียนมีข้อสังเกตเกี่ยวกับ key word ของคุณจักรภพดังนี้

1) คุณจักรภพใช้คำว่า patronage หรือ patronage system รวมจำนวน 24 แห่ง (ไม่นับที่เป็นชื่อหัวข้อปาฐกถาและที่ปรากฏในส่วนคำถามคำตอบท้ายปาฐกถา) และใช้คำว่า patronize จำนวน 7 แห่ง

2) โดยทั่วไป patronage มักแปลว่า ความอุปถัมภ์ patronage system แปลว่า ระบบอุปถัมภ์ ส่วน patronize แปลว่า อุปถัมภ์, อุปถัมภ์ค้ำจุน, ช่วยเหลือ, เกื้อกูล

4)Patronage System : คำความหมาย 2 นัยยะ

คุณจักรภพ ใช้คำว่า patronage หรือ patronage system ในความหมายที่แตกต่างกัน 2 นัยยะ ดังนี้

นัยยะที่ 1 :

patronage system คือ “ระบบที่ยอมรับความแตกต่างของฐานะของคนในสังคมระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย ผู้ใหญ่และผู้น้อยมีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลกันและอำนวยประโยชน์แก่กัน”

ตามนัยยะนี้ ระบบอุปถัมภ์เป็นระบบ win-win ทั้งผู้เกื้อกูลและผู้รับประโยชน์เกื้อกูล ส่วนผู้ที่ไม่ win ด้วย คือ ผู้น้อยคนอื่นที่ไม่ได้รับประโยชน์เกื้อกูลด้วย ดังนั้นระบบอุปถัมภ์จึงไม่ใช่ระบบที่ยืนอยู่บนความคิดเสมอภาค แต่ก็ไม่ถึงกับขัดหรือแย้งกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยในลักษณะที่จะอยู่ร่วมกัน ไม่ได้ ประการสำคัญตามนัยยะนี้ ระบบอุปถัมภ์ไม่ใช่อุดมการณ์ทางการเมือง ไม่ใช่ระบอบการปกครอง แต่เป็นระบบความสัมพันธ์ของคนในสังคม และไม่ใช่ระบบที่มีอยู่เฉพาะในประเทศไทย ปัจจุบัน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และหลายชาติของเอเชียก็ยังมีระบบนี้อยู่

คุณจักรภพ ใช้ patronage system ตามนัยยะนี้เพียง 2 แห่ง ทั้ง 2 แห่งใช้เมื่อกล่าวถึงตนและครอบครัวซึ่งเติบโตขึ้นมาในสังคมไทยที่มีระบบช่วย เหลือเกื้อกูลกัน ดังนี้

I myself grew up in patronage system.—ตัวผมเองเติบโตขึ้นมาภายใต้ระบบอุปถัมภ์

He grew up in patronage system too.—เขา (หมายถึงบิดาของคุณจักรภพ) ก็เติบโตขึ้นมาในระบบอุปถัมภ์เช่นกัน


นัยยะที่ 2 :

patronage system ตามนัยยะที่ 2 เป็นความหมายเฉพาะของคุณจักรภพ ซึ่งผู้เขียนจะวิเคราะห์ในลำดับต่อจากนี้ไปว่ามีความหมายเฉพาะว่าอย่างไร คุณจักรภพใช้คำว่า patronage หรือ patronage system ตามนัยยะนี้มากถึง 21 แห่ง มีแห่งเดียวที่กำกวม ไม่แน่ใจว่าคุณจักรภพใช้คำว่า patronage system ตามนัยยะที่ 1 หรือนัยยะที่ 2

ทำไม patronage system ของคุณจักรภพจึงได้มี 2 นัยยะ ?

ตามปกติคำที่เราใช้สื่อสารกัน แม้ว่ามี form เดียวกัน แต่ผู้ใช้ภาษาอาจใช้ในความหมายแตกต่างกันได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่มีความ หมายเชิงนามธรรม ความหมายที่แตกต่างกัน อาจเกิดจากสาเหตุที่ผู้ใช้เข้าใจความต่างกัน ตีความต่างกัน หรือผู้ใช้กำหนดความหมายของคำให้แตกต่างกันก็ได้ เช่นคำว่า แม่ชี คนกลุ่มหนึ่งอาจตีความเคร่งครัดตามหลักพุทธศาสนาเถรวาทว่า ไม่ใช่นักบวช เป็นฆราวาส มีฐานะเพียงอุบาสิกาซึ่งถืออุโบสถศีล หรือ ศีล 8 แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งอาจตีความตามความเข้าใจของคนไทยปัจจุบันว่า แม่ชีเป็นนักบวชหญิงในพุทธศาสนาเถรวาทแบบไทยๆ

ตามความรู้รัฐศาสตร์ที่คุณจักรภพได้ร่ำเรียนมา คุณจักรภพย่อมรู้จัก patronage system ตามนัยยะที่ 1 อย่างดี แต่คุณจักรภพเลือกที่จะกำหนดความหมายใหม่ ซึ่งเป็นความหมายเฉพาะแก่คำว่า patronage system ทำให้คำนี้มีความหมายเฉพาะแตกต่างกับความหมายตามนัยยะที่ 1 หลายประการ ดังนี้

1) เป็นระบบที่ผู้น้อยเป็นฝ่ายพึ่งพิงหรือคอยเฝ้ารับประโยชน์เกื้อกูลแต่ฝ่าย เดียว ในทำนองเดียวกัน ผู้ใหญ่ก็เป็นฝ่ายเกื้อกูลเพียงลำพัง ส่งผลให้ผู้คน ask about dependency before our own capability to do things—ร่ำร้องหาแต่ที่จะพึ่งพาอาศัยผู้อื่นโดยไม่คิดจะพึ่งพาความรู้ความสามารถของตนเองก่อนเลย


2) เป็นระบบที่ฝ่ายที่คอยเฝ้ารับประโยชน์หรือพึ่งพิงต้องจ่ายค่าตอบแทนความ เกื้อกูลด้วย ความจงรักภักดี และเป็นระบบที่คุณจักรภพคิดว่า มีแต่เฉพาะในประเทศไทย จึง makes Thai people different from many peoples around the world…So people had duty to be loyal.— ทำให้คนไทยแตกต่างกับผู้คนอื่นใดในโลก…ดังนั้นประชาชนจึงมีหน้าที่ต้องจงรักภักดี


3) เป็นระบบที่ฝ่ายเกื้อกูลคือพระมหากษัตริย์ ส่วนฝ่ายเฝ้ารับประโยชน์คือสามัญชน

คุณจักรภพเชื่อมโยงความคิดอย่างมีชั้นเชิงโดยเริ่มต้นกล่าวว่า …we have started off as a country in patronage system—เราตั้งต้นด้วยการเป็นประเทศที่อาศัยระบบอุปถัมภ์ แล้วก็กล่าวข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหง ที่โปรดให้แขวงกระดิ่งร้องทุกข์ไว้หน้าวัง จักรภพมองว่า ประชาชนที่ไปสั่นกระดิ่ง คือผู้เมื่อเดือดร้อนก็ที่ไม่ยอมพึ่งตนเอง แต่กลับไปรับประโยชน์อุปถัมภ์จากพ่อขุนรามคำแหง คุณจักรภพแสดงทรรศนะว่า นี่เป็นเหตุให้ผู้คน …are led into the patronage system—เราก็ได้ถูกชักนำเข้าไปสู่ระบบอุปถัมภ์

นั่นหมายความว่า คุณ จักรภพกำหนดความหมาย ผู้ใหญ่กับผู้น้อยให้แคบลงมากว่าความหมายของ patronage system ตามนัยยะที่ 1 คือ ผู้ใหญ่ที่ให้ความอุปถัมภ์คือพระมหากษัตริย์ ส่วนผู้น้อยที่คอยเฝ้าแต่จะรับการอุปถัมภ์โดยไม่พึ่งพาตนเองคือประชาชนทั่ว ไป


4) เป็นระบบที่ทำให้คนไทยคิดว่า we don’t actually need democracy. We are led into believing that the best form of government is guided democracy, or democracy with His Majesty greatest guidance…which I see as a clash or the clash between democracy and patronage system.— คนไทยเราจึงไม่ได้ปรารถนาประชาธิปไตยอย่างแท้ จริง เราถูกชักนำให้เชื่อว่า รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดคือ ประชาธิปไตยแบบชี้นำ หรือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอย่างมากมายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน


5) เป็นระบบที่ is in direct conflict with democratization—ขัดแย้งโดยตรงกับกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณจักรภพจะใช้คำว่า patronage system เป็นคู่ตรงข้ามกับ democracy หรือ ประชาธิปไตย คุณจักรภพจึงแสดงทรรศนะว่า ระบบอุปถัมภ์กับประชาธิปไตยไม่อาจอยู่ร่วมกันได้


คุณจักรภพวิเคราะห์ว่า Current political crisis in my opinion is the clash between democracy and patronage system directly.— ในทรรศนะของผมวิกฤติทางการเมืองในปัจจุบันเป็นการปะทะกันระหว่างประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์


และแสดงความชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่า เป็นผู้ทำลายระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

…what he did was to release people from patronage system, but when the most crucial decision comes, even him, made the decision out of patronage system. So the deep root of the patronage system is here…—สิ่งที่ท่าน นายกฯ ทักษิณทำเป็นการปลดปล่อยประชาชนออกจากระบบอุปถัมภ์ เมื่อได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ ท่านก็ตัดสินใจออกจากระบบอุปถัมภ์ แต่ระบบอุปถัมภ์ได้หยั่งรากลงลึกเสียแล้ว

เมื่อจบปาฐกถาผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ถามคำถามย้อนคุณจักรภพเกี่ยวกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรกับระบบอุปถัมภ์ว่า

Wasn’t it as much patronage under Taksin Shinawatra? Doesn’t he rely on patronage to bring people on board as well?— ก็ มีระบบอุปถัมภ์อย่างมากมายในสมัย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มิใช่หรือ ? ทักษิณเองก็อาศัยระบบอุปถัมภ์ดึงประชาชนมาเป็นพวกอย่างมากเหมือนกันมิใช่ หรือ ?

คำถามดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ตั้งคำถามเข้าใจคำว่า patronage system ตามนัยยะที่ 1 ซึ่งผู้ให้ความอุปถัมภ์อาจเป็นใครก็ได้ ตามนัยยะนี้ ผู้ถามจึงเข้าใจว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จัดเป็นผู้ใหญ่คนสำคัญที่ให้ความอุปถัมภ์แก่ผู้น้อยคือประชาชน เป็นคนละนัยยะกับของคุณจักรภพ เพราะตามนัยยะของคุณจักรภพ ผู้ใหญ่ในระบบอุปถัมภ์จำกัดว่าเป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น

5) Patronage System = Monarchy ???!!!

คำว่า patronage มาจากต้นศัพท์ภาษาละตินว่า pater แปลว่า “พ่อ” คำว่า pater เป็นคำร่วมเชื้อสายกับคำว่า father ในภาษาอังกฤษ

ทันทีที่คุณจักรภพเริ่มกล่าวถึงต้นพัฒนาการของ patronage system คุณจักรภพก็กล่าวถึงพ่อขุนรามคำแหง คุณจักรภพเลือกใช้คำว่า Great father แทนคำว่า พ่อขุน ดังนี้

In Sukhothai…we were led to know and believe that one of the kings during Sukhothai period, King Ramkhamhaeng, at the time, to be more precisely “Great Brother” –er I’m sorry “Great Father Ramkhamhaeng”— สมัย สุโขทัย…เราถูกชักนำให้เชื่อว่ากษัตริย์องค์หนึ่งในสมัยสุโขทัยคือพระเจ้า รามคำแหง หรือที่ถูกต้องคือ พี่ขุน อ้อ ขอโทษครับ พ่อขุนรามคำแหง

คำว่า พ่อขุน มีความหมายเหมือนคำว่า king จากคำปาฐกถาของคุณจักรภพ คุณจักรภพก็รู้ดี เมื่อรู้ดีเช่นนั้นทำให้เกิดคำถามว่า

ทำไมคุณจักรภพไม่ใช้คำว่า King Ramkhamhaeng แต่กลับเจตนาใช้ Great father Ramkhamhaeng ?


คำตอบที่เป็นไปได้มี 2 ทาง

คำตอบทางที่ 1 :

คุณจักรภพต้องการแปลให้ตรงกับภาษาไทย พ่อขุนรามคำแหง = Great father Ramkhamhaeng

ถ้าคำตอบเป็นคำตอบนี้ จะทำให้เกิดคำถามตามมาอีกว่า ใช้ Great father Ramkhamhaeng สื่อความคิดดีหรือมีประสิทธิภาพกว่า King Ramkhamhaeng อย่างไร ? คำตอบที่จะให้แก่คำถามหลังนี้ หาไม่พบจากปาฐกถาของคุณจักรภพหรือแม้แต่จากที่อื่นๆ

ถ้าเช่นนั้น ลองพิจารณาคำตอบทางที่ 2

คำตอบทางที่ 2 :

มีความเป็นไปได้สูงมากว่า คุณจักรภพรู้ว่าต้นศัพท์ของ patronage คือ pater ซึ่งเป็นคำร่วมเชื้อสายกับ father คุณจักรภพเลือกใช้คำว่า Great Father Ramkhamhaeng แทน king Ramkhamhaeng เพื่อที่จะบ่งเป็นนัยๆ อย่างชาญฉลาดแก่ผู้ฟังว่า

patronage = Great Father = king

คุณจักรภพสร้างตรรกะดังกล่าวก็เพื่อวัตถุประสงค์ปลายทางคือการกำหนด ความหมายเฉพาะแก่คำว่า patronage system ซึ่งเป็น key word ในปาฐกถาว่า ไม่มีนัยยะที่ 1 แต่มีนัยยะที่ 2 คือ “ระบบ ที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์สำคัญในสังคม เป็นระบบที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบความอุปถัมภ์ในรูปของความช่วยเหลือเพียง น้อยนิดแก่ประชาชนเพื่อแลกกับความจงรักภักดีและแลกกับการคงดำรงอยู่ในฐานะ สูงสุดในทางการปกครอง” ความหมายใหม่นี้เองทำให้คุณจักรภพกล่าวว่า ระบบอุปถัมภ์นั้น is in direct conflict with democratization—ขัดแย้งโดยตรงกับกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย ดังได้กล่าวมาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้วิเคราะห์ระบบคิดของคุณจักรภพได้ว่า

เมื่อ Patronage = Great Father = King
การอุปถัมภ์ = พ่อขุน = กษัตริย์

ดังนั้น Patronage System = King system = Monarchy
ระบบอุปถัมภ์ = ระบบกษัตริย์ = ระบอบกษัตริยาธิปไตย


ที่วิเคราะห์ว่า patronage system ระบบอุปถัมภ์ ของคุณจักรภพหมายถึง monarchy ระบอบกษัตริยาธิปไตย นั้น ไม่อาจกล่าวว่าตีความเกินเลย เพราะคุณจักรภพสารภาพออกมาเองเมื่อกล่าวถึงอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ว่า เมื่อ พ.ศ. 2475 อาจารย์ปรีดีได้เปลี่ยนการปกครองระบอบ absolute monarchy มาเป็น constitutional monarchy หมายความว่าคุณจักรภพพิจารณาว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2475 และยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นเพียงการปกครองแบบระบอบ กษัตริยาธิปไตย รูปแบบหนึ่ง ซึ่งคุณจักรภพใช้ว่า constitutional monarchy หรือ การปกครองระบอบกษัตริยาธิปไตยแบบมีรัฐธรรมนูญ เท่านั้น ไม่ใช่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง !!!

เมื่อลองนำคำว่า monarchy ไปแทนที่คำว่า patronage หรือ patronage system ซึ่งใช้ตามนัยยะที่ 2 และใช้จำนวนมากถึง 21 แห่ง ก็พบว่า แทนที่กันได้และเข้ากับเนื้อความได้สนิทเป็นอย่างดี

When we have problem, turn to someone who can help you. So before we know it, we are led into the PATRONAGE SYSTEM because we ask about dependency before our own capability to do things.

When we have problem, turn to someone who can help you. So before we know it, we are led into the
MONARCHY because we ask about dependency before our own capability to do things.


ดังนั้น ข้อความข้างต้นแทนที่จะแปลว่า

ยามใดที่เราเมื่อประสบปัญหา เราก็หันไปพึ่ง บุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งสามารถช่วยเราได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่เราจะทันรู้ตัว เราก็ได้ถูกชักนำเข้าไปสู่ระบบอุปถัมภ์เสียแล้ว เพราะเราร่ำร้องหาแต่ที่จะพึ่งพาอาศัยผู้อื่นโดยไม่คิดจะพึ่งพาความรู้ความสามารถของตนเองก่อนเลย


ที่ถูกควรแปลว่า

ยามใดที่เราเมื่อประสบปัญหา เราก็หันไปพึ่งพระองค์ผู้เดียวซึ่งสามารถช่วยเราได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่เราจะทันรู้ตัว เราก็ได้ถูกชักนำเข้าไปสู่ระบอบกษัตริยาธิปไตยเสียแล้ว เพราะเราร่ำร้องหาแต่ที่จะพึ่งพาอาศัยผู้อื่นโดยไม่คิดจะพึ่งพาความรู้ความสามารถของตนเองก่อนเลย

ที่สำคัญเมื่อแทนที่ patronage system ทำให้เข้าใจกระจ่างกว่าด้วยซ้ำว่า เหตุใดคุณจักรภพจึงแสดงตัวอย่างเฉพาะความอุปถัมภ์ที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบแด่ประชาชน โดยเว้นไม่อภิปรายถึงความอุปถัมภ์ลักษณะอื่นๆ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางผู้ใหญ่กับขุนนางผู้น้อย นายกับบ่าว ฯลฯ ในกรณีสังคมเก่า หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง เพื่อนกับเพื่อน รุ่นพี่กับรุ่นน้อง นักการเมืองกับหัวคะแนน ฯลฯ ในกรณีสังคมปัจจุบัน

6)“โอกาสที่สูญเสียไป” ในทรรศนะของจักรภพ ?


คุณจักรภพคิดว่า ระบบอุปถัมภ์ หรือให้ตรงกว่านั้น ระบอบกษัตริยาธิปไตย มีกำเนิดและหยั่งรากฝังลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ใน “ระยะเวลาที่ยาวนาน” ของ ประวัติศาสตร์ระบบอุปถัมภ์หรือระบอบกษัตริยาธิปไตย การครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชก็เป็นส่วนหนึ่ง อยู่ด้วย เวลาที่ยาวนานทำให้ประชาชนแยก perception หรือ การรับรู้ ไม่ออกว่า เป็น ความจริง หรือเป็น ปะรำปะราคติ

And then, here we are in the reign of the current King, King Bhumibhol or Rama IX. We have all of that combined. And because he reigns for so long of a time, 60 some years now, his being in Thailand has been promoted to the state of myth. People don’t know whether or not they’re talking about realities or belief about him. Because he reigns long enough that he could be all of those combined: the traditional King, the scientific King, the developing King, the working monarch, and now so, he can still be the guardian of the new invention to Thailand, democracy.— ขณะนี้เราอยู่ในรัชกาลปัจจุบัน รัชกาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หรือรัชกาลที่ 9 พระมหากษัตริย์รัชกาลนี้มีทุกประการที่ผมได้กล่าวมาแล้วรวมกัน เนื่องจากพระองค์ทรงครองราชย์ยาวนานกว่า 60 ปีแล้ว ประชาชนจึงยกพระองค์ขึ้นสู่เทวตำนาน โดยมิพักรู้เลยว่า พวกเขากำลังกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่เป็นบุคคลจริงหรือ เป็นบุคคลในความเชื่อปะรำปะราคติ ด้วยว่าพระองค์ทรงครองราชย์ยืนนานมาจนทรงสามารถเป็นได้ทุกอย่างรวมกัน ทั้งกษัตริย์ที่สืบคติต่อกันมา กษัตริย์นักวิทยาศาสตร์ กษัตริย์นักพัฒนา กษัตริย์ผู้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ และทุกวันนี้ ยังได้ทรงดำรงฐานะผู้พิทักษ์สิ่งใหม่ของไทย คือ ประชาธิปไตย

ข้อความตอนท้ายที่ว่า ยังได้ทรงดำรงฐานะผู้พิทักษ์สิ่งใหม่ของไทย คือ ประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่คุณจักรภพต้องการให้ผู้ฟังใช้วิจารณญาณตรองอีกครั้งว่าเป็น reality หรือ belief

จากนั้นคุณจักรภพต่อความคิดทันทีว่า

We missed some opportunities in the past like when Predee Panomyong, the civilian leader of the revolution of 1932, 2475 for Thai people, that the system was turned from absolute monarchy into constitutional monarchy.— ในอดีตเราสูญเสียโอกาสอย่างในสมัยอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำพลเรือนในการปฏิวัติเมื่อ ค.ศ.1932 หรือ พ.ศ. 2475 กลายเป็นว่า เป็นการปฏิวัติที่เปลี่ยนจากระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูไป


คุณจักรภพเจตนาใช้คำว่า civilian leader ขยายคุณสมบัติของอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เพื่อย้ำว่าว่าบุคคลที่คุณจักรภพเพิ่งกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นกษัตริย์ผู้นำ ซึ่งคุณจักรภพคิดว่านั่นเป็นเพียง myth หรือ belief

ดังนั้น โอกาสที่สูญเสียไปในทรรศนะของคุณจักรภพคือ ทั้งๆ ที่ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้นำพลเรือน และแม้จะมีโอกาสได้เปลี่ยนระบอบการปกครองของสยามประเทศแล้ว แต่ก็ได้เปลี่ยนจากระบอบ monarchy รูปแบบหนึ่งไปเป็น monarchy อีกรูปแบบหนึ่ง คือยังคง monarchy หรือ ระบอบกษัตริยาธิปไตย ไว้อยู่ดี อาจารย์ปรีดีมิได้เปลี่ยนการปกครองจากระบอบกษัตริยาธิปไตยให้กลายเป็นระบอบ ประชาธิปไตยที่พลเรือนเป็นทั้งผู้นำและทั้งประมุขของรัฐ

7) อะไรคือโอกาสที่จักรภพจะไม่ยอมสูญเสีย ?

คุณจักรภพคิดว่าโอกาสที่ไม่น่าสูญเสียไปคือ เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรได้ ปลดปล่อยประชาชนออกจากระบบอุปถัมภ์ แล้วจึงนับว่าเป็น It’s time of real change—ได้เวลาเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง และคุณจักรภพกล่าวอย่างเชื่อมั่นมากว่า I believe we can see this in a life time, the complete change that has started at this very moment.— ผมเชื่อว่าพวกเราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ในชั่วชีวิตของเรา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์แบบซึ่งก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้วไปละ

แสดงว่าคุณจักรภพไม่เพียงคิดและพูด แต่ได้ลงมือปฏิบัติแล้ว คือได้ลงมือเปลี่ยน constitutional monarchy แล้ว (ต้องไม่ลืมว่าคุณจักรภพใช้คำนี้ในความหมายว่า ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)

คุณจักรภพเชื่อสนิทใจว่า ประชาธิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ (ระบอบกษัตริยาธิปไตย) ขัดแย้งกันโดยตรง จึงได้กล่าวหนักแน่นภายหลังว่า WE have to undo it. WE have to personalize patronage system by saying that, well, who keeps patronizing people. And I believe that the time is near to do that.— พวกเราต้องแก้ไข พวกเราต้อง เปลี่ยนแปลงระบบอุปถัมภ์ (ระบอบกษัตริยาธิปไตย) โดยช่วยกันตั้งคำถามว่า ใครกันที่เฝ้าวนเวียนแต่คอยหยิบยื่นความอุปถัมภ์แก่ประชาชน ผมเชื่อว่า เวลาที่จะทำดังว่าใกล้เข้ามาแล้ว

คำถาม 2 คำถามสุดท้ายมีว่าคำว่า we หรือ พวกเรา หมายถึงใครแน่ ? หมายถึง คุณจักรภพในฐานผู้แสดงปาฐกถารวมทั้งผู้ฟังปาฐกถา ? หมายถึงประชาชนคนไทยทั่วไป ? หรือหมายถึง คุณจักรภพ กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และผู้แวดล้อมวงในทั้งหมด ??? กับคำถามว่า เวลาที่จะทำดังว่าใกล้เข้ามาแล้ว คือ วันนี้หรือพรุ่งนี้ ?

คำ ตอบมิได้อยู่ในสายลม และเป็นคำตอบที่ “ฟ้ารู้ ดินรู้ เรารู้ ท่านรู้” และแน่นอน บุรุษชื่อ จักรภพ เพ็ญแข ก็รู้ และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ก็รู้ นอกจากนี้ ศาลท่านจะรู้หรือไม่ ? และจะทำให้ประชาชนทั่วไปรู้หรือไม่ ? และเมื่อคนไทยรู้แล้วจะคิดหรือทำอะไรเป็นประการต่อไป ???

from : MGR online

วันเสาร์, พฤษภาคม 24, 2551

ยามเฝ้าแผ่นดิน:“สนธิ” ลั่น “25 พ.ค.”สงครามครั้งสุดท้าย!

“สนธิ”ลั่น ชุมนุม 25 พ.ค.เป็นสงครามครั้งสุดท้าย อาจเป็นจุดจบของระบอบทักษิณ หรือจุดเริ่มต้นของสาธารณรัฐ พร้อมย้อนเหตุต้องออกมาสู้แม้เป็นลูกคนจีน เพราะพ่อปลูกฝังให้รักบ้านเมืองมาตั้งแต่เด็ก ย้ำเหตุชุมนุมไม่ได้มีเฉพาะเรื่องแก้ รธน.ฟอกมาร แต่มีวิกฤติบ้านเมืองรุมเร้าหลายด้าน จากการชักใยของ “ทักษิณ” ปลุกคนไทยที่ยังรักชาติบ้านเมือง ร่วมแสดงพลังวันอาทิตย์นี้


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ ยามเฝ้าแผ่นดิน โดย สนธิ ลิ้มทองกุล

สนธิ - ท่านผู้ชมครับ, วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ที่ 24 และมะรืนนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 25 อย่างที่ท่านผู้ชมทราบว่า วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2551นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประกาศจะมีการชุมนุมต่อต้าน รวมพลังการแก้รัฐธรรมนูญ และอื่นๆ อีกหลายประการ เวลา 15.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้น นำาเนาบัตรประชาชนถ้าท่านผู้ชมต้องการจะนำมาอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ แต่ต้องเป็นสำเนาที่ชัดเจนเป็นรูปถ่ายที่ชัดเจน และลงนามรับรองสำเนา

ที่ต้องเอาสำเนามานั้นก็เพราะว่าวันนั้นเราจะมีการกรอกแบบฟอร์มมอบ สำเนาบัตรประชาชนเพื่อยื่นถอดถอน ส.ส. ทุกท่าน และ ส.ว.ทุกท่านที่ลงชื่อในการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อประธานสภาฯ คุณชัย ชิดชอบ เหตุผลก็เพราะว่า ส.ส.พวกนี้มีความผิดตามมาตรา 122 นะครับ เข้าความผิดตามมาตรา 270 ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ความผิด ส.ส.ตามมาตรา 122 การปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการขัดแย้งแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากมี ส.ส.บางส่วน สังกัดพรรคการเมืองที่กำลังถูกดำเนินคดียุบพรรค

ในขณะที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนเพื่อให้พรรคการ เมืองของตนนั้นพ้นความผิดยุบพรรค ส่วนความผิดของ ส.ว.ตามมาตรา 122 การปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการขัดแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม ได้มุ่งหมายเปลี่ยนโครงสร้างของวุฒิสภา ทั้งที่มาและอำนาจหน้าที่ โดยให้ยุบเลิก ส.ว.ที่มาจากการสรรหาทิ้ง ฉะนั้นการที่ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งบางส่วนร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐ ธรรมนูญฉบับนี้ จึงเป็นการกระทำที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ความผิดตามมาตรา 291 เนื่องจากร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้งเนื้อหาและรูปแบบที่เสนอมานั้นไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 291 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ทั้งประธานสภา และสมาชิกรัฐสภา จึงถือได้ว่าเข้าข่ายร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้

อีกความผิดหนึ่งก็คือความผิดตามมาตรา 68 พบว่าบัญญัติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญทั้งรูปแบบ และวิธีการ สาระสำคัญในร่างแก้ไขที่เสนอแก้ไขต่อรัฐสภาครั้งนี้เป็นวิธีการเพื่อให้ได้ มาซึ่งการปกครองประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ด้วยข้อที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น ทำให้ ส.ส.ทุกท่าน และ ส.ว.ทุกท่านที่ลงนามในญัตติที่เสนอเข้าไปยังคุณชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความผิดตามข้อหาที่ผมเล่าให้ฟัง

เพราะฉะนั้นแล้ววิธีการก็คือว่า พี่น้องประชาชนที่ร่วมกันมาวันอาทิตย์นี้ ให้นำสำเนาบัตรประชาชน และต้องเป็นสำเนาที่ชัดเจนเซ็นรับรองมาด้วย ผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งหลังสุด คือเลือกตั้ง ส.ว.จะถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้ง และจะลงนามยื่นถอดถอนไม่ได้นะครับ ถ้าท่านไม่ได้ไปเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งหลังสุดนั้น ท่านไปยื่นเรื่องไม่ได้ ถอดถอนไม่ได้ ส่วนแบบฟอร์มการถอดถอนนั้น ดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ผู้จัดการ www.manager.co.th เมื่อดาวน์โหลดไปแล้วกรอกไปได้แต่อย่าเพิ่งระบุวันที่นะครับ เพราะว่าตามขั้นตอนจะต้องแสดงตนเป็นผู้ริเริ่มถอดถอนก่อน ผมจะไปแสดงตนในวันจันทร์

ฉะนั้นถ้าใครจะเอาเอกสารมาให้ในวันชุมนุมก็คงต้องให้กรอกวันที่เป็น วันจันทร์ หรือวันอื่นๆ หลังจากวันที่แสดงตนก็ได้ ส่วนเอกสารลงลายมือชื่อเพื่อขอวุฒิสภาถอดถอน ส.ส.พวกนั้น เราจะมีชุดที่เราจัดพิมพ์ไปให้ แจกกันให้ในวันอาทิตย์เช่นกันนะครับ บางท่านที่มีคอมพิวเตอร์มีอินเตอร์เน็ต สามารถเข้าไปดาวน์โหลดได้ในเว็บไซต์ของผู้จัดการ อย่าลืมนะครับ www.manager.co.th

สนธิ - ท่านผู้ชมครับ วันที่ 25 นี้ ผมพอจะพูดได้ว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของผมแล้ว แล้วผมเชื่อว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของทุกๆ คนที่เกี่ยวข้อง อาจจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของระบอบทักษิณ หรืออาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศไทยในยุคที่กำลังจะกลายเป็นสาธารณรัฐใน ที่สุดก็ได้ อาจจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของกลุ่มศักดินา ที่คุณจักรภพ เพ็ญแข กล่าวอ้างถึง จะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายอย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว ตั้งแต่ปี 2547 ไล่มาจนถึงปี 2551 เริ่มเข้มข้นเมื่อกลางปี 2548 ต่อเนื่องมาตลอด จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

สำหรับผม สนธิ ลิ้มทองกุล นั้น เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก วันนี้อาจจะเป็นการออกรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ครั้งสุดท้ายในชีวิตของผมก็ได้ หลังวันจันทร์แล้ว อีกสักไม่นานก็อาจจะเป็นวันสุดท้ายของ ASTV ก็ได้ จะเป็นอะไรก็ตามผมอยากให้พี่น้องประชาชนตลอดจน ส.ส.พรรคพลังประชาชน คุณเฉลิม อยู่บำรุง คุณเผด็จ ภูริปฏิภาณ และคุณหลายๆคุณใน นปก.ตลอดจน ส.ส.พรรคพลังประชาชนทุกคน ที่สำคัญที่สุดผมอยากให้คุณทักษิณ ชินวัตร ดูรายการนี้แล้วตั้งใจฟังรายการนี้ให้ดีๆ

ชีวิตผมที่ผ่านมาตั้งแต่กลางปี 2548 จนถึงปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ไม่ใช่เหมือนเดิม ผมเป็นลูกคนจีน คุณพ่อผมชื่อ นายวิเชียร ลิ้มทองกุล เกิดที่ ต.ทุ่งหลวง อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย คุณปู่ผมชื่อ นายหงเม่ง แซ่ลิ้ม คุรย่าผมชื่อ นางทอง คุณพ่อผมก็เลยเป็นลูกครึ่งไทย-จีน ส่วนคุณอาผม คุณลุงผมนั้น ท่านมีเชื้อไทยมากกว่าเชื้อจีน เพียงแต่คุณพ่อผมนั้นมาแต่งงานกับคุณแม่ผม ซึ่งเป็นคนจีนมาจากเกาะไหหลำ ผมก้เลยมีเชื้อจีนเศษ 3 ส่วน 4 เชื้อไทย เศษ 1 ส่วน 4 ผมต้องเล่าเรื่องของผมให้พี่น้องฟัง ไม่ใช่เพื่อเป็นประวัติเพื่อมาประดับเกียรติยศผมหรอก ไม่ใช่ และผมอยากให้คนที่ไม่ชอบผม หลายๆ คน ได้เข้าใจว่าตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2548 กลางปีจนถึงวันนี้ ผมสู้ไปทำไม ผมสู้ไปแล้วผมได้อะไร

ผมต้องการให้ทุกคนรับทราบ ผมเคยพูดเรื่องลักษณะแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ในเดือนกันยายน แต่เหตุการณ์วันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกัน วันนี้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ พ่อแม่พี่น้องประชาชน ครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่ผมจะลุกขึ้นมาสู้ หมดครั้งนี้แล้วแพ้หรือชนะ ผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่ลูกจีนคนหนึ่งที่มีความรักในแผ่นดิน รักในพระเจ้าอยู่หัวฯ รักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ ได้อย่างเต็มที่ ก้มหน้าไม่อายดินเงยหน้าไม่อายฟ้า ทำไมผมต้องพูดเช่นนั้น

พี่น้องครับ ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังนิดหนึ่งพี่น้องจะได้เข้าใจ สมัยเด็กๆ ผมเรียนหนังสืออยู่ที่อัสสัมชันศรีราชา ผมเล่นฟุตบอล ผมเล่นรักบี้ ตอนอยู่ ม.ปลาย ผมติดรักบี้ทีมชาติ ผมเป็นคนซึ่งรักเพื่อนรักพ้อง ต่อสู้กับความอยุติธรรมตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน ถ้าใครโดนรักแกผมก็จะลุกขึ้นมาชกต่อยให้ จะตัวใหญ่มากกว่าผมกี่เท่าผมก็ไม่กลัว มันอาจจะอยู่ในกมลสันดานก็ได้ คุณพ่อผมสมัยเด็กๆ เนื่องจากคุณปู่เป็นคนจีน ก็เลยอยากจะส่งลูกสัก 1 คนไปเรียนต่อที่เมืองจีน คุณพ่อผมตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยถูกส่งขึ้นเรือเดินสมุทรไปที่ประเทศจีน คุณพ่อเข้าไปเรียนหนังสือจนกระทั่งโตพอที่จะเข้าเรียนต่อ

คุณพ่อเลือกเรียนที่แวมพรูเมเลอร์เทอรี่สคูล หรือที่ภาษาจีนกลางเขาเรียกว่า หวังผู่จุนเสี้ยว ถ้าเทียบก็คือ โรงเรียนนายร้อย จปร.ในประเทศไทย หรือ เวสต์พอยท์ ในสหรัฐอเมริกา คุณพ่อติดยศเป็นร้อยตรี ประเทศจีน แล้วคนซึ่งเป็นผู้บังคับการโรงเรียน ซึ่งเป็นเจ้านายคุณพ่อตอนนั้นคือ จอมพลเจียง ไคเช็ก คุณพ่อเป็นทหารรบกับญี่ปุ่น รบมาตลอดชีวิต จนกระทั่งสงครามเลิก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก็ยึดครองรัฐบาล ตั้งเป็นรัฐบาลของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พีเพิลรีพับลิก ออฟ ไชน่า จอมพลเจียง ไคเช็ก ก็หนีไปอยู่ที่ไต้หวัน

สนธิ - คุณพ่ออยู่ที่เมือง สมัยนั้นเรียกว่า จงกิง เมืองจงกิง ภาษาจีนเรียกว่าเมืองฉงชิ่ง อยู่ในมลรัฐเสฉวน คุณพ่อเลยต้องเดินทางกลับบ้าน วันนั้นคุณพ่อมียศเป็นพันเอกแล้ว ยังหนุ่มอยู่ รบกับญี่ปุ่น คุณพ่อเดินข้ามภูเขาเป็นสิบๆ ลูก จากเสฉวน ติดรถบรรทุกมาลงที่ยุนหนาน ต่อไปจนถึงเมืองเชียงรุ้ง 12 ปันนา แล้วนั่งเรือล่องมาขึ้นที่หลวงน้ำทา ลาว ข้ามมายังฝั่งเชียงแล้วแล้วเดินทางกลับไปที่ จ.สุโขทัย คุณพ่อสอนผมตลอดเวลา ว่าตั๊บ ผมชื่อเล่นชื่อ "ตั๊บ" ผมเป็นลูกคนโต ตอนเด็กๆ สุขภาพไม่ดี คุณแม่ก็เลยเอาไปยกเป็นลูกของครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเขามีลูกอยู่ 9 คนแล้ว ผมเป็นคนที่ 10 เขาเลยเรียกผมว่าตั๊บ ภาษาไหหลำแปลว่า 10

คุณพ่อบอกว่าตั๊บ คนเรานั้นอะไรไม่สำคัญเท่ากับการรักชาติ รักบ้านรักเมือง คุรพ่อบอกว่าสำหรับชีวิตพวกเรานั้นประเทศที่ให้เรามามี 2 ประเทศ แระเทศแรกคือประเทศจีน ที่เป็นประเทศจีนเพราะว่าเป็นแหล่งกำเนิดของคุณปู่ อากง และเป็นแหล่งกำเนิดของแม่ผม ประเทศที่ 2 คือประเทศไทย เพราะว่าเป็นประเทศที่คุณพ่อเกิด และเป็นประเทศที่ลูกหลานของตระกูลลิ้มทองกุล ซึ่งตั้งนามสกุลมาร้อยปีแล้วได้เจริญเติบโตมา ผมมีพี่ชาย ลูกของลุง ซึ่งเป็นอดีตรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ เป็นหนึ่งในคณะแพทย์ที่ดูแลรักษาสมเด็จพระสังฆราช

ผมมีพี่ชายคนหนึ่ง ชื่อ นายสุเทพ ลิ้มทองกุล ซึ่งเกษียณอายุในตำแหน่งผู้ตรวจการกระทรวงเกษตรฯ ทั้งที่มีสิทธิ์ที่จะเป็นอธิบดี แต่ไม่เป็น เหตุผลเพราะว่าในระบอบทักษิณช่วงนั้นเขาดันนามสกุลลิ้มทองกุล แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาเป็นผูเชี่ยวชาญเรื่องข้าว เคยเป็นผู้อำนวยการสถาบันข้าว เขาเห็นปัญหาข้าวแล้วน้ำตาเขาตกใน ผมมีพี่สะใภ้อีกคนหนึ่ง ภรรยาคุณสุเทพ ลิ้มทองกุล เป็นอดีตรองอธิบดีกรมกรมหนึ่งในกระทรวงพาณิชย์ ผมมีน้องชายคนหนึ่งชื่อ น.พ.บุญเลิศ ลิ้มทองกุล ซึ่งกำลังจะเกษียณอายุเดือนตุลาคมนี้ ตำแหน่งคือผู้ตรวจการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็อีกเหมือนกัน มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในกระทรวงสาธารณสุข แต่เขาไม่ยอมก้าวหน้า เพราะถ้าต้องแลกกับการที่เขาต้องขายชีวิตจิตวิญญาณเขาก็ไม่เอา ที่ผมต้องเล่าให้พี่น้องฟังนั้น ผมอยากจะปูพื้นฐานให้ฟังซะก่อน ประเทศไทยเป็นประเทศที่พ่อผมเกิด ผมเกิด ประเทศจีนเป็นประเทศที่คุณปู่ผมเกิด

แต่พ่อผมบอกว่าถึงเราจะมี 2 ประเทศ แต่เรามี 1 ชาติ คุณพ่อบอกว่านั่นคือชาติไทย ทำไมต้องชาติไทย คุณพ่อบอก เพราะว่า 1.เราเกิดในเมืองไทย หรือถึงเราไม่ได้เกิดในเมืองไทย เราเข้ามาทำมาหากินในเมืองไทย เราเจริญเติบโตในเมืองไทย เมืองไทยเป็นเมืองที่ให้ชีวิตเรา ให้ความร่มเย็นเป็นสุข ให้ทุกอย่าง ด้วยบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพราะฉะนั้นแล้วจะกี่ประเทศก็ตาม จะมีเพียง 1 ชาติเท่านั้นคือ ชาติไทย นั่นคือคำสอนที่ผมได้รับมาตลอด ตั้งแต่ผมยังตัวเล็กอยู่ ที่พ่อชอบพาผมไปดู ไปคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อนฝูงคุณพ่อ ผู้หลักผู้ใหญ่แม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ต้นตระกูลจิราธิวัฒน์ ตระกูลเซ็นทรัล ก็รู้จักกัน คุณพ่อคุณบัญญัติ บรรทัดฐาน กับคุณพ่อผมก็เป็นญาติห่างๆ กัน คนไหหลำนั้นถ้าไม่ขายข้าวมันไก่ก็ทำโรงแรม เปิดร้านซักรีด ก็มีบ้างที่เปิดซ่องโสเภณีเป็นโรงแรมม่านรูดแถวๆ วิสุทธิ์กษัตริย์

เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อผมโตขึ้นมาผมระลึกเสมอว่าผมเป็นคนที่มีเชื้อจีน สมัยผมเด็กๆ โตจนกระทั่งเรียนหนังสือที่อัสสัมชันศรีราชา ผมเป็นคนซึ่งใช้แซ่นำหน้า คือ ลิ้มทองกุล หลายคนในสังคมอายความที่มีเชื้อจีนไม่ยอมใช้แซ่นำหน้า สมัยหนึ่งพี่น้อง ผมยังจำได้ว่า เมื่อผมจบมัธยม 8 หรือ ม.6 สมัยนี้ ผมสนใจที่จะเข้าตำรวจ เข้าทหาร แต่ผมเข้าไม่ได้เพราะผมมีแซ่นำหน้า คือ ลิ้มทองกุล ในแว้บหนึ่งของความน้อยเนื้อต่ำใจและความเจ็บใจ ผมมีทำไมผมจะไม่มี ความสามารถผมมี ผมเป็นนักรักบี้ทีมชาติ ผมเรียนเก่ง ผมสอบติดบอร์ด 1 ใน 50 ของประเทศไทย ผมเข้มแข็ง แต่ผมเข้าโรงเรียนพวกนั้นไม่ได้เพราะว่าผมมีคำว่า ลิ้ม นำหน้า ผมมีความรู้สึก แต่อีกแว้บหนึ่งผมนึกคำว่า ชาติไทยขึ้นมา ผมนึกถึงพระเจ้าอยู่หัว ผมนึกถึงคำว่า ผมและพ่อผมเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน ความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นหายไป ผมก็เดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

สนธิ - ท่านผู้ชมครับ ลูกเจ็กลูกจีนที่ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาล ที่ไม่ได้มีกิจการใหญ่โต ที่ไม่ได้มีพ่อเป็นนักการเมืองซึ่งคตโกงประเทศไทย ที่ไม่ได้มีพ่อเป็นนายทหารใหญ่ ซึ่งสมัยก่อนนั้น ทหารใหญ่ต่ำแหน่งใหญ่ๆ นั้นร่ำรวยทุกคน เพราะเจ็กจีนเอาเงินมาส่งให้ ผมยังจำได้ พ่อผมเคยเล่าเรื่อง คุณสหัส มหาคุณ ให้ฟัง พ่อเล่าให้ฟังว่า คุณสหัส มหาคุณ สมัยก่อนนั้นทำเหล้าแม่โขง คุณสหัส มหาคุณ นั้นเป็นคนซึ่งสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มาตั้งแต่สมัยยังเป็นพันเอก เสร็จเรียบร้อยแล้ว

พอจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจจากจอมพลถนอมได้ ในปี พ.ศ.2500 จอมพลสฤษดิ์ ถามคุณสหัส มหาคุณว่า "หัส ลื้ออยากได้อะไรวะ" พ่อเล่าให้ฟัง คุณสหัสบอกว่า "ผมขอทำเหล้าแม่โขงครับ" และนี่คือตำนานที่เกิดขึ้น แต่พ่อผมบอกว่าสำหรับป๊าแล้ว ป๊าทำไม่ได้ เพราะว่าบรรพบุรุษสอนมาว่าทำธุรกิจอะไรก็ตามต้องไม่ทำธุรกิจที่ให้คนลำบาก ต้องไม่ทำธุรกิจที่ต่ำ เช่น ทำธุรกิจขายเนื้อขายหนัง ขายเหล้าขายเบียร์ พ่อสั่งเอาไว้หนักเอาไว้หนา เพราะนั่นคือธุรกิจที่ผิดศีล พี่น้องครับ

ผมไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศ เงินทองไม่มี ผมต้องตื่นตี 4 เพือ่ไปขายโดนัท ที่ร้านโดนัทหน้ามหาวิทยาลัยตอนตี 5 ขายถึง 8 โมงเช้า 3 ชั่วโมง ได้ชั่วโมงละ 1 เหรียญ 20 เซนต์ สมัยนี้ค่าแรงขั้นต่ำ 10 เหรียญ สมัยนั้น 1 เหรียญ 20 เซนต์ วันละ 3 เหรียญ 60 เซนต์ ที่ต้องทำเพราะว่าต้องการ 3 เหรียญ 60 เซนต์ จากตรงนั้นแล้วก็ได้กินโดนัทฟรี อาหารเช้าเพื่อจะประหยัดอาหารเช้า 8 โมงเข้าไปเรียนหนังสือ จนกระทั่ง 11 โมงครึ่ง ก็เข้าไปทำงานล้างชามในร้านอาหารของมหาวิทยาลัยแคฟิทีเรีย เพื่อที่จะแลกกับค่าแรงในมหาวิทยาลัยจะถูกกว่าข้างนอกเพียง 1 เหรียญเท่านั้นเอง

แต่ที่ได้ก็คือได้ทานอาหารฟรี แล้วตกเย็น 6 โมงเย็นก็เข้าไปในห้องสมุด ไปทำงานในห้องสมุด เพื่อได้เงินด้วย และขโมยเวลาไปอ่านหนังสือ นี่คือชีวิตนักเรียนนักศึกษาที่ปากกัดตีนถีบ จนกระทั่งจบปริญญาตรีได้เกียรตินิยมอันดับ 2 สาขาประวัติศาสตร์ และผมก็ได้ทุนไปเป็นทีเอ ผู้ช่วยอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐยูทาห์ เรียนปริญญาโท และสอนประวัติศาสตร์อเมริกัน ให้กับเด็กนักเรียนปี 1 เพื่อแลกกับทุนที่ได้

สนธิ - ที่ผมต้องเล่าให้พี่น้องฟัง และผมอยากให้คุณเฉลิม อยากให้คุณทักษิณ รู้รากเหง้าของผมว่าผมไปมาอย่างไร รู้ว่าตระกูลผมไม่เคยคดโกงใคร รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวผมกับพ่อผม เกิดด้วยลำแข้งของเรา ผมไม่เคยไปสุงสิงอยู่กับญาติที่เป็นเจ้าของบ่อน หรือเจ้าของซ่อง เหมือนคนบางคน แล้วก็ไปเห็นบทบาทของตำรวจ ที่มีอิทธิพลต่อบ่อนต่อซ่องทำให้เด็กหนุ่มบางคนซึ่งผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ มีความใฝ่ฝันอยากเป็นตำรวจ โอกาสทำความชั่วผมมี แต่ผมไม่เลือกจะเดินเส้นทางนั้น ผมไม่เลือก ผมเหมือคนไทยทั่วๆไป ที่อยากจะเดินหน้าไปข้างหน้า อยากจะได้การศึกษา เอาความรู้ทางการศึกษามาเสริมตัวเองเพื่อไปทำมาหากินด้วยอาชีพที่สุจริต

หลังจากนั้นผมก็กลับมาเมืองไทย ผมทำงาน ผมทำงานหนังสือพิมพ์ ผมทำงานหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ในช่วงหลัง 14 ตุลา ใหม่ๆ ต่อเนื่องมาจนถึง 6 ตุลา ผมทำด้วยจิตวิญญาณของคนข่าว คุณเสถียร จันทิมาทร ที่ทำงานอยู่หนังสือพิมพ์มติชน ที่เขียนเข้าข้างคุณทักษิณ ระบอบทักษิณทุกอย่าง ก็เคยนั่งอยู่ในกองบรรณาธิการ เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาผม ผมทำงานในยุคที่กระทิงแดงข่มขู่เอาระเบิดมาขว้าง ผมทำงานบนโต๊ะกองบรรณาธิการพร้อมกับปืน 1 กระบอกวางที่ข้างๆ ตัว

ผมผ่านการถูกขู่ จากการที่ผมพยายามทำอาชีพของผมอย่างตรงไปตรงมา ฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งแฝงตัวอยู่ในกองบรรณาธิการประชาธิปไตย ก็ด่าผม แอบด่าผมว่าผมนั้นเป็นหัวก้าวหน้าจอมปลอม แต่ตอนนี้ยังมีประโยชน์อยู่ให้ใช้นายสนธิมันไปก่อน พนักงานแปลข่าวที่อยู่ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ก็เป็นคนของกรมประมวลข่าวกลาง เป็นคนของรัฐบาล คนเขียนคอลัมน์บางคน ซึ่งนั่งอยู่ในกองบรรณาธิการประชาธิปไตย ก็เป็นคนของพรรคคอมมิวนิสต์ ฝ่ายขวาก็ด่าผม ฝ่ายซ้ายก็ด่าผม แต่ผมยืนอยู่บนความจริง

วันที่คุณเทิดภูมิ ใจดี ถูกยิงที่วิสุทธิ์กษัตริย์ หลังจากเป็นแกนนำกรรมกรโรงแรมดุสิตธานี ประท้วง เขาไม่ได้คิดถึงใครนอกจากคิดถึงผม เพราะเขาบอกว่าเขาเชื่อใจผม ผมต้องขับรถไปหาเขาเพื่อไปเป็นเพื่อนเขาไปทำข่าวของเขา วันที่ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน ซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคสังคมนิยม ถูกยิงตายกลางถนนวิภาวดีรังสิต ภรรยาท่านคือ คุณทัศนีย์ ผมไปเยี่ยมศพ อ.บุญสนอง ซึ่งเป็นขวัญใจฝ่ายซ้ายและขวัญใจพรรคคอมมิวนิสต์ ผมถูกขว้างด้วยระเบิด ไล่ยิงด้วยปืนโดยพวกกระทิงแดง ตอนที่จะเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา

ผมอยู่ในหอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ ด้านล่าง โดนไล่ยิง โดนขว้างระเบิด จนกระทั่งผมต้องวิ่งหลบไปข้างหลังคณะนิติศาสตร์ จังหวะพอดีพวกกระทิงแดงบุกเข้ามาข้างใน เอาไม้หน้าสามเตรียมจะตีผม ผมถือกล้อง ผมต้องบอกเขาว่า ผมนั้นมาจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง คือหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เชียร์พวกกระทิงแดง กระทิงแดงสมัยนั้นไม่ต่างจาก นปก.สมัยนี้ ผมถึงรอดออกมาได้ และมีภาพกระทิงแดงกำลังถือไม้ทุบกระจกคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย

เมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ผมก็รายงานไปตามปกติ เจ้าของหนังสือพิมพ์ไล่ผมออกจากหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ผมก็ออก ผมกลับไปที่บ้าน แม่ผมร้องไห้ ภรรยาผมซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่ประสานมิตร ท้องลูกชายคนเดียวผม ทั้งครอบครัวมาบอกว่า ทำไมต้องมาทำงานแบบนี้ เรียนจบเมืองนอกเมืองนามา ทำไมไม่ไปทำงานที่มันได้เงินเดือนดีกว่านี้ ปลอดภัยกว่านี้ ทำไมจะต้องมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ไม่นึกถึงพ่อถึงแม่ ไม่นึกถึงลูกที่กำลังจะเกิดมาหรือ

ผมตัดสินใจไปสมัครบริษัทฝรั่ง ชื่อ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์สินค้า โปรดักซ์แมเนเจอร์ พี่น้องครับ 30 กว่าปีที่แล้วได้เงินเดือน 15,000 บาท พี่น้องว่าน้อยหรือ แต่วันที่จะต้องเดินเข้ามาทำงานวันแรกผมเดินออกมา เพราะผมบอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ สิ่งที่ผมต้องการคือผมต้องการทำงานให้ชาติบ้านเมือง ในความเป็นสื่อสารมวลชนที่กล้าพูด ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ผมเลยต้องออกมา แล้วทำกิจการสิ่งพิมพ์ของผมเอง

สนธิ - ทำไมผมต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทำไมผมต้องเล่าเรื่องนี้ให้คุณทักษิณฟัง ทำไมผมต้องเล่าเรื่องนี้ให้คุณเฉลิมฟัง ผมอยากให้พวกท่านรู้จริงๆ ว่าที่มาที่ไปของผมมันเป็นอย่างไร จนกระทั่งผมทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการขึ้นมา ไล่มาเรื่อย ชีวิตก็ทำอยู่ในวงการสื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ที่ผมทำไม่เคยมีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะถูกกล่าวหาว่ารรับเงิน ใครมา สมัยหนึ่ง อาบอบนวด ชวาลา จะลด 50 % ให้กับนักข่าวที่มีบัตรประจำตัวนักข่าว นักข่าวคนไหนถ้าอยากอาบอบนวด ลด 50 % ไปที่นั่น แล้วเอาบัตรนักข่าววาง เขาจะลดให้ 50 %

ผมเป็นคนทำหนังสือแจ้งไปที่อาบอบนวดชวาลา ว่าไม่ให้สิทธิ์พิเศษอะไรทั้งสิ้นกับนักข่าวหนังสือพิมพ์ของผม ขออนุญาตพูดถึงเรื่องเก่านิดนึง สมัยผมทำหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยอยู่ คุณจันทรา ชัยนาม คุณแดง โกรธผม โกรธจนกระทั่งไม่พูดกับผมเป็นเวลา 10 ปี ช่วงหลังค่อยเริ่มพูดกับผม ที่โกรธ เพราะว่าคุณจันทรา ชัยนาม เขียนคอลัมน์ประจำ ใช้นามปากกาว่า "ขุนทอง" แล้วมีอยู่วันนึงคุณจันทรา บอกว่าพรุ่งนี้วันเกิดขุนทอง เท่านั้นเอง

วันรุ่งขึ้นมีของขวัญมาที่สำนักงานเต็มไปหมด อีกวันต่อมาผมสั่งยกเลิกประจำคุณขุนทองทันที คอลัมน์ซุบซิบ ที่พูดนี่ไม่ใช่เอาตัวเองดีเลอเลิศ แต่เล่าให้ฟังว่า อุดมการณ์และหลักการ จิตวิญญาณของผมไม่ใช่เพิ่งมีตอนนี้ มันมีมานานแล้ว มันอยู่ในกมลสันดาน มันอยู่ในสายเลือด พี่น้องครับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการวันนั้น เป็นวันที่เขาจับตัว พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในยุคนั้น จับตัว พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เสร็จ คุณเฉลิม อยู่บำรุง หนีหัวชุกหัวซุน เหมือนหมาถูกน้ำร้อนลวก หลบไปตลอดเวลา

แล้วนายทหารรุ่น 5 ส่งทหารกรม ปตอ.ปืนใหญ่ มาจับตัวผมที่ออฟฟิศ เหตุผลก็เพราะว่า หาว่าผมนั้นสนับสนุน อยู่เบื้องหลัง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร เผอิญผมไม่ได้เข้าออฟฟิศก็เลยรอดไป ช่วงจังหวะชุลมุนนั้นเขากะจับตัวผมไป หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเลยเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวที่ลุกขึ้นมาสู้กับรุ่น 5 ในยุคเผด็จการ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ ให้สันติบาลยื่นหนังสือมาเพื่อที่จะปิดหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

ผมอุตส่าไปพูดกับ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ ว่าไม่ได้ผมขอทำอีก ช่วยผมหน่อย ก็เลยไม่ถูกปิดแต่ถูกเตือน คุณอานันท์ อนันตกูร ซึ่งผมเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่ มาเตือนผม ผมยังจำได้ที่ล็อบบี้โรงแรมโฟร์ซีซั่น ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่า โรงแรมรีเจนท์ นั่งต่อหน้า พี่นันบอก สนธิทำไมไม่ยอมเขาล่ะ เขามีอำนาจนะ เขาอยู่อีกนาน สนธิจะเอาอะไรเขาก็ให้ สนธิอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์เขามาก ผมบอก พี่นัน ไหว้เถอะครับ ผมไม่ได้ลำบากเดือดร้อนอะไรมากมายนัก บริษัทผมเพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ ถ้าคุณอิสระพงษ์ หนุนภักดี คุณสุจินดา คราประยูร ทำดีต่อชาติบ้านเมือง ผมยินดีให้การสนับสนุน แต่ถ้าเขาทำไม่ดีผมต้องกล้า พี่นันเป็นห่วงชีวิตผมมาก ด้วยความรักเหมือนน้อง พี่นันบอก สนธิระวังตัวให้ดีๆ ก็แล้วกัน

มีการประชุมของนายทหารรุ่น 5 มีนายทหารอากาศคนหนึ่ง อย่าให้เอ่ยชื่อ ประชุมอยู่ที่กองทัพภาคที่ 1 พูดโพร่งออกมาว่า ไอ้สนธิซื้อไม่ขายขอไม่ให้ต้องฆ่ามัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่เขาจัดตั้งกระบวนการมาสังหารผม ตอนนั้นพี่จำลอง ศรีเมือง กำลังเริ่มประท้วงอยู่ที่สนามหลวง ไล่ขึ้นมา ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนลงข่าวเลยแม้แต่ฉบับเดียว โทรทัศน์ก็ไม่ออก

หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐก็เอาตัวรอด ทุกคนเอาตัวรอดหมด มีผู้จัดการฉบับเดียว ประชาชนชุมนุมกันเต็มไปหมดเลย แต่วิทยุออกบอกว่ามีแค่ 100-200 คน วิทยุออก โทรทัศน์ออก หนังสือพิมพ์ไม่ตีพิมพ์ ผมประชุมกองบรรณาธิการ คุณคำนูณ สิทธิสมาน ก็อยู่ หลายๆ คนอยู่ ผมมองหน้าทุกคน แล้วผมก็ถามเขาบอกว่า จะเอาอย่างไร จะลงข่าวแบบไหนดี คุณคำนูณบอก บริษัทเป็นของพี่ เงินของพี่พี่ตัดสินใจเอง

สนธิ - พี่น้องครับ วันนั้นบริษัทผมเพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ ผมมีเงินเป็นพัน พันล้าน ไม่มีใครหรอกครับที่จะเอาเงินพันล้านไปเสี่ยงกับการที่จะต้องไปสู้กับรุ่น 5 แล้วตัวเองทรัพย์สินหมด แต่ผมมองตาทุกคนที่นั่งอยู่ ทุกคนตาแป๋วใสซื่อบริสุทธิ์ เหมือนผมสมัยหนุ่มๆ แล้วผมถามตัวผมเองว่า ผมมาเป็นสนธิ ลิ้มทองกุล วันนั้นได้เพราะจุดยืนอุดมการณ์ผมใช่ไหม แต่ผมเผอิญมีโชคเอาตลาดเข้าตลาดหลักทรัพย์ถึงมีเงิน

แต่ถ้าตัดเรื่องเงินออกซะมันมีความหมายอะไรไหมถ้าเราไม่มีอุดมการณ์ ผมถึงบอกคุณคำนูณและเพื่อนฝูงที่อยู่ในกองบรรณาธิการ บอกว่า ให้ตีพิมพ์ข่าวลงไป ผมสั่งให้พิมพ์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการไซน์แทบลอยด์ 200,000 ฉบับ พิมพ์เสร็จผมเอาไปแจกฟรี แจกให้ประชาชนแถวสีลม หมดทุกคน ท่านประสงค์ สุ่นศิริ ประชุมอยู่ที่ดุสิตธานี กำลังกลุ้มใจบอกว่าจะทำอย่างไรดีเพราะข่าวมันไม่ออก จู่ๆ หนังสือพิมพ์มา คนที่สีลมรู้กันหมด ก็เลยยกขบวนกันไปให้กำลังใจ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

คืนนั้นมีคนที่กองทัพภาค 1 มาบอกผม บอกให้ผมรีบออกซะเพราะเขากำลังจะส่งคนมายิงผมแล้ว เขาส่งคนมา 5 คนมายิงผม ทำไมผมถึงรู้ เพราะว่า พล.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ผมมีหลักฐาน มีประจักษ์พยาน ซึ่งในขณะนั้น เวลานั้นเป็น พ.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ สารวัตรปราบปราม อยู่ท้องที่ชนะสงคราม ส่งลูกน้องมาเฝ้าที่ออฟฟิศ ปิดเอาไว้แล้ว ทรงธรรมก็ให้ลูกน้องแจ้ง พี่ๆ มันส่งคนมายิงพี่ 5 คน พี่อยู่ที่ไหนพี่หลบไป

ผมตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินจะไปอังกฤษ ก่อนไปผมแวะไปที่โรงแรมรามาการ์เด้น คนที่นั่งประชุมสู้กับรุ่น 5 อยู่มีหมด ไม่ว่าคุณอ๋า สามีคุณมาลีรัตน์ แก้วก่า คุณชัชวาลย์ สุทธิพิกุลชัย ซึ่งเป็นเหมือนน้องผม พี่น้องครับ ผมหยิบเช็กมา 1 ใบ แล้วผมเซ็นเช็กให้เขาไป 10 ล้านบาท บอกชัชเอาไปซื้อข้าวสนับสนุนพี่น้องที่กำลังสู้กับรุ่น 5 แล้วผมเซ็นเช็กเปล่า ให้อีกใบหนึ่ง บอกชัช เงินไม่พอให้เบิกไป เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย แล้วผมก็ไป

คุณเฉลิมครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมสู้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมสู้ ตอนผมสู้รุ่น 5 อยู่ รุ่น 5 ขับไล่คุณออกนอกประเทศ ผมต้องสู้แทนคุณสู้เพื่อให้คุณได้กลับมาในประเทศไทย คุณไม่ต้องมาระลึกถึงบุญคุณผมหรอก คุณไม่จำเป็นต้องมีความกตัญญูกับผมเลยแม้แต่นิดเดียว ช่างมัน แต่คุณรู้ข้อเท็จจริงสักนิดหนึ่ง ยังไม่นับถึงเงิน 500,000 บาท ที่ผมให้คุณคำนูณ สิทธิสมาน เอาไปให้คุณที่เมืองนอก คุณกลับมาผมยังคิดว่าคุณน่าจะเป็นคนที่มีศักยภาพทางการเมือง ผมควักเงินส่วนตัวผมให้คุณเป็นร้อยล้านบาทเพื่อให้คุณมาเล่นการเมือง

ผมขออยู่อย่างเดียว ให้คุณดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่ไม่ได้มีโอกาสไปทำมาหากินเพื่อชื่อเสียงคุณ นั่นคือที่มาของการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ถ้าคุณจำได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมจำเป็นต้องพูด ทำไมผมต้องเลิกกับคุณ ผมเลิกคบคุณก็เพราะว่าคุณหลงในอำนาจ คุณต้องการเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย ผมบอกถ้านั้นเราเดินคนละเส้นทาง คุณเดินทางคุณผมเดินทางผม เหมือนที่ผมพูดทางหมาหมาเดิน ทางเสือเสือเดิน ท่านผู้ชมฟังเรื่องราวแล้ว ท่านผู้ชมคิดเอาเองว่าใครเป็นหมาใครเป็นเสือ

สนธิ - ผมรู้จักคุณทักษิณ ชินวัตร ตอนไหน ผมรู้จักคุณทักษิณ ชินวัตร สมัยที่คุณทักษิณ ยังทำบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์อยู่ คุณทักษิณ ชินวัตร คุณพจมาน ชินวัตร ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นคุณหญิงอ้อ วิ่งเข้าไปแลกเช็กเข้าไปพบกับคุณ ซึ่งเป็นเหมือนกับเป็นอาเจ็ก คือคุณอาผม ที่ภัตตาคารไต้ท้ง ถ้าคุณทักษิณฟังอยู่ คุณคงจำได้ และคนที่นั่งอยู่ในไต้ท้ง มีหลายคนที่เป็นประจักษ์พยานให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.ไอยรัตน์ เวสสะโกศล ซึ่งในยุคนั้นเป็นแค่ พ.ต.อ.พิเศษ เท่านั้นเอง คุณเอาเช็กไปแลกกับอาเจ็กผม

ผมเอาเช็กผมกับเช็กคุณมาแลกซึ่งกันและกัน เราทำธุรกิจเดือดร้อนเรื่องเงินเรื่องทอง คุณยังต้องไปขอเครดิตไลน์ กับคุณไชยทัต เตชะไพบูลย์ ธนาคารศรีนคร เสร็จแล้ววันนึงคุณเกิดโชคดี คุณไปได้โครงการไอบีซี กับคุณเฉลิม เพราะคุณเฉลิม ไปเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุณอาศัยความเป็นตำรวจรุ่นเดียวกับคุณเฉลิม เทียวไล้เทียวขื่อไปนั่งเฝ้าคุณเฉลิม ไปเอาก๋วยเตี๋ยวไปให้ ซื้อเนคไทไปให้ แล้วตีตั๋วฟรี ขอโครงการไอบีซี เมื่อคุณได้โครงการไอบีซีมาแล้ว วันที่ผมเจอคุณที่คุณเฉลิม หนีออกไปต่างประเทศ ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยน ชื่อ ปิ๊กกาโล่ ในโรงแรมปริ๊นส์เซส ผมเห็นคุณเดินมากับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หลังจากที่ยึดอำนาจแล้ว เพราะคุณกำลังวิ่งเต้นที่จะเอาโครงการดาวเทียม

ผมบอกคุณทักษิณ สงสารเฉลิมมัน ผมจะให้เงินมัน 500,000 บาท ให้คุณคำนูณเอาไป คุณให้เท่าไหร่ คุณทักษิณ พูดอย่างไรผมยังจำติดหู คุณเฉลิมคุณจำเอาไว้ด้วย "ผมให้มันทำไม ผมให้มันมามากแล้ว" นี่คือคำพูดที่คุณทักษิณพูดกับผม "มันอยู่ที่นั่นแหละดีแล้ว" ผมนึกไม่ถึงว่าวันนี้คุณมารับใช้เขาได้คุณเฉลิม คุณเป็นคนไม่มีประวัติศาสตร์เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยจำอะไรในชีวิต ในที่สุดผมเข้าไปเทกโอเวอร์บริษัทไออีซี ซึ่งเป็นของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย

คุณทักษิณจำได้ใช่ไหม หลักฐานมีหมด บริษัทนั้นหุ้นราคา 10 บาท หุ้นที่จำหน่ายให้บุคคลภายนอกที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ขายที่ 250 บาท ผมไม่รู้ว่าคุณจำได้หรือเปล่า ว่าผมให้คุณไปกี่หุ้นในราคา 10 บาท ถ้าคุณจำไม่ได้ ผมยังเก็บหลักฐานอันนี้อยู่ เพราะฉะนั้นแล้วคำพูดที่คุณหรือพวกคุณในอดีตที่เคยพูดบอกว่าผมขออะไรคุณแล้ว คุณไม่ให้ผมเลยมาโกรธผม คุณผิดหมด ชีวิตนี้ผมไม่เคยขออะไรคุณเลยคุณทักษิณ และชีวิตนี้ผมไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณคุณ ผมกลับเป็นคนเอาหุ้นไออีซีให้คุณ

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่เป็นอิสระทางความคิด ก็เขียนการ์ตูนล้อคุณ สมัยที่คุรเป็นรองนายกฯ คนที่เขียนการ์ตูน บัญชา คามิน บอกว่า พี่สนธิ คุณทักษิณเป็นคนที่เขียนการ์ตูนได้ดีมาก เพราะว่าคุณทักษิณเหมือนลิเก เขาก็เขียนมาตลอด และคนที่ตัดการ์ตูนแล้วไปฟ้องคุณทุกวัน คือคุณบรรณพจน์ ดามาพงศ์ คุณก็เลยเกลียดผมขึ้นมา หมั่นไส้ผมขึ้นมา คุณก็เลยไม่ติดต่อ ไม่เคยติดต่อ เราไม่เคยรู้จักกัน เราไม่เคยแม้กระทั่งนัดหมายกันไปทานข้าวข้างนอกบ้านเลยแม้แต่นิดเดียว ถูกไม่ถูก

เพราะฉะนั้นคำพูดที่บอกว่า คุณกับผมสนิทสนมกันแล้วมาทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์ ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าผมสนิทกับคุณจริงผมต้องเคยไปบ้านคุณ ผมต้องเคยเชิญลูกหลานคุณมาทานข้าวกับผม ไม่มี คุณทักษิณ ไม่มีเลย คุณมาโกรธผมเพราะเรื่องการ์ตูน คุณฉุนเพราะคุณเป็นคนเจ้าอารมณ์ ใครว่าคุณไม่ได้ คุณก็เลยพูดถึงผมในแง่ที่ว่าไม่มีความหมาย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

ตราบจนกระทั่งคุณกำลังเข้ามาเล่นการเมืองในยุคปี 2544 หลังจากที่คุณโลดเเล่นอยู่ในการเมืองที่คุณเข้าไปซื้อพรรคพลังธรรมของ พล.ต.จำลอง แล้วคุณทำไม่สำเร็จ แล้วคุณก็บอกว่าคุณจะล้างมือ ผมจำได้คุณทักษิณ คุณจำได้หรือเปล่า อีก 7 วันก่อนที่จะลงคะแนนเสียง คุณตัดสินใจมาหาผม เพราะคุณเป็นคนฉลาด คุณมองว่าคุณจะมาเล่นการเมือง เมื่อคุณจะมาเล่นการเมืองแล้ว คุณไม่อยากจะมีศัตรูกับใคร คุณมาขอกินก๋วยเตี๋ยวกับผม คนที่ประสานให้คุณมาเยอะแยะไปหมด รวมไปจนถึงสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ใช่ไม่ใช่ คุณมาถึงนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกับผม คุณมากับคุณผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขาฯหัวขาวคุณนั่งอยู่ข้างนอก คุณกับผมกินกัน 2 คน คำแรกที่คุณพูด คุณพูดว่าไรรู้ไหม ถ้าคุณจำไม่ได้ผมจะเตือนความจำคุณ ผมจำได้สนิท

คุณบอกว่าคุณสนธิ ที่เราทะเลาะกัน เพราะไอ้เหลิม ไอ้เหลิมเป็นตัวยุแยงตะแคงรั่วให้เราทะเลาะกัน ผมก็หัวเราะ ว่ามันไม่เป็นไรหรอก เรื่องในอดีตผมไม่เอามาใส่ใจ คุณบอกคุณรวยแล้ววันนี้คุณอยากจะทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ช่วยผมหน่อยได้ไหม ผมบอกว่าาคุณทักษิณ ถ้าคุณจะทำงานให้ชาติบ้านเมืองจริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจผมยินดีช่วยคุณ เราก็จากกันด้วยการจับมือกัน อย่าลืมนะ ช่วยเหลือกัน ตอนคุณโดนคดีซุกหุ้น

ผมยังทุ่มเททุกอย่างเพื่อขอความเห็นใจให้คนเขาเห็นว่าคุณบกพร่องโดย สุจริต ไม่มีเจตนา อย่าว่าแต่ผมเลย พ่อแม่ครูอาจารย์ผม องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านระดมพระป่าลูกศิษย์ท่านหาเสียงให้คุณ เชียร์ให้กำลังใจคุณเป็นแสน เป็นล้านคน คุณรู้หรือเปล่า คุณโทรศัพท์ไปร้องไห้กับลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ร้องไห้โฮโฮ บอกผมจะพ้นไหมเนี่ยเรื่องซุกหุ้น ก่อนที่คุณจะสมัครเป็นนายกฯ ลงเลือกตั้ง คุณโทรศัพท์ไป

คุณไปกราบหลวงตา บอกท่านบอกว่า ผมคงไม่มีบุญวาสนาได้เป็นนายกฯ ท่านเมตตาท่านเห็นว่าวันนั้นไม่มีใครแล้ว ท่านชี้ไปที่คุณบอกว่า เราจะให้นายเป็นนายกฯ ผมไม่รู้ว่าคุณเชื่อผมหรือเปล่า แต่คำพูดของพ่อแม่ครูอาจารย์ผมศักดิ์สิทธิ์ ท่านพูดบอกว่า เราจะให้นายเป็นนายกฯ นายต้องเป็นนายกฯ แล้วคุณก็ได้เป็นนายกฯ คุณโดนคดีซุกหุ้น ทุกวินาที คุณให้ลูกน้องคุณโทรไปหาคนสนิทของหลวงตา ถามว่า อาจารย์ท่านว่าอย่างไร หลวงตาท่านต้องเข้าไปนั่งในกุฎ เพ่งแผ่เมตตาให้คุณ

ผมไม่รู้ว่าคุณหลุดเพราะอะไร แต่ผมเชื่ออย่างคุณหลุดเพราะบารมีของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผม แต่หลังจากนั้นแล้วคุณก็ไม่ได้นับท่านเป็นครูบาอาจารย์ คุณทำทุกอย่างตรงกันข้ามกับสิ่งซึ่งท่านสอน ไม่ว่าจะเรื่องขององค์สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จญาณฯ คุณโกหกท่าน ท่านเป็นคนให้ผมมาพูดกับคุณ ถ้าคุณจำได้ ผมไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์

ท่านบอกให้ไปพูดกับนายกฯ ทักษิณ เรื่องของสมเด็จญาณฯ เรื่องของคุณวิษณุ เครืองาม เรื่องนู้นเรื่องนี้ ว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ผมไปพูดกับคุณ เมื่อไปพูดกับคุณแล้ว คุณก็บอกคุณจะนัดเจอท่าน ท่านอุตส่าลงจากวัดป่าบ้านตาดมาที่สวนแสงธรรม มารอคุณถึง 5 วัน วันสุดท้ายท่านจะอยู่วันสุดท้ายถ้าคุณไม่มาท่านจะกลับ ผมอุตส่าตากหน้าไปหาคุณ บอกว่า พ่อแม่ครูอาจารย์มาแล้วคุณต้องไปพบท่านหน่อย คุณถึงไปพบ

แล้วคุณไปรับปากท่านว่าคุณจะแก้เรื่องนู้นเรื่องนี้ คุณบอกคุณไม่รู้เรื่อง เสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏว่า คุณไม่ได้ทำเลยแม้แต่เรื่องเดียว คุณโกหกท่าน คุณทักษิณ คุณโกหกพระอรหันต์ แล้วผมจะเรียนคุณเรื่องหนึ่งนะ คุณรอดตายเพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว จู่ๆ ท่านสั่งทองก้อนให้รีบติดต่อคุณให้ด่วนที่สุด ทันทีเลย บอกว่าไม่ให้คุณขึ้นเครื่องบิน 737-400 ที่ดอนเมือง ไปเชียงใหม่ สั่งเด็ดขาด อย่าเพิ่งขึ้น แล้วไม่ให้ขึ้น คุณรู้ใช่ไหมว่าเครื่องบินลำนั้นระเบิด ไม่ใช่บุญบารมีคุณหรอก พ่อแม่ครูอาจารย์บอกคุณมา ถ้าท่านไม่บอกคุณมาคุณก็ตายไปแล้วคุณทักษิณ

สนธิ - ทำไมผมต้องสู้คุณ ผมไปจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์นั้น วัตถุประสงค์ตอนแรกเพื่อที่จะสนับสนุนคุณ เพื่อที่จะอธิบายความเรื่องราวต่างๆ ที่คุณทำแล้วมันผิดพลาด ผมก็มองโลกในแง่ดีว่า มันผิดพลาดไม่ใช่เพราะคุณเป็นคนทำแต่ว่าลูกน้องคุณทำ ผมก็ออกมาปกป้องคุณตลอด อาทิตย์ต่ออาทิตย์ ปกป้องไปปกป้องมาผมเริ่มที่จะรับคุณไม่ได้ เพราะว่า เป็นไปได้อย่างไรที่คุณไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว ผมจะพูดตลอดเวลาได้อย่างไรว่า เนี่ยท่านนายกฯ ท่านไม่รู้เรื่อง ผมสงสารท่านนายกฯ ผมพูดจนผมจะกลายเป็นคนบ้า

จนในที่สุด ผมตัดสินใจวันไหนคุณรู้ไหมคุณทักษิณ วันที่ผมเห็นรูปคุณไปเป็นประธานในพิธีที่วัดพระแก้วแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวฯ นั่งตำแหน่งที่แทนเลย ผมรับคุณไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว รับไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมต้องพูดความจริงออกมา อะไรมันจะเกิดให้มันเกิด ผมบอกคุณแอ้ม สโรชา ตลอดเวลาว่า แอ้มเราออกวันนี้แล้วต้องทำใจนะ อาทิตย์หน้าเราจะไม่ได้ออกอีกแล้ว ผมเลยต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ผมพูด ผมยกตัวอย่าง ผมเลยเลยเถิดไปจนถึงเรื่องของสมเด็จพระสังฆราช ที่คุณรับปากพ่อแม่ครูอาจารย์ แล้วผมก็เลยไปถึงเรื่องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งผมไม่เคยรู้จักคุณหญิงจารุวรรณ เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคย แต่ผมจำเป็นต้องพูด

เพราะผมเห็นว่าคุณกำลังจะละเมิดพระราชอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวฯ เพราะคุณส่งเรื่องไป ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังไม่มีการลงพระปรมาภิไธยเพื่อปลดคุณหญิงจารุวรรณ พระองค์ท่านก็เลยไม่ได้แต่งตั้งผู้ว่าฯ สตง.คนใหม่ ทั้งๆ ที่คุณรู้ว่ามันส่งไปเป็นเดือนแล้วคุณก็ยังไม่ยอมถอย คุณก็ยังกดดัน มาถึงเรื่องโผโยกย้ายทหาร

ที่คุณบอกว่าคุณไม่ผ่านป๋าเปรมแล้วคุณจะขึ้นรายงานพระเจ้าอยู่หัวโดย ตรงเลย แล้วพี่ชายคุณ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์บอกว่า ถ้านายกฯ เซ็นแล้วใครจะกล้าเปลี่ยน ตรงนี้ผมก็รับไม่ได้เช่นกันคุณทักษิณ คุณเข้าใจหรือยัง มันเริ่มตรงนี้ มันเริ่มตรงนี้ คุณเลยปลดรายการผมออกจากช่อง 9 คุณสั่งให้คุณมิ่งขวัญปลด คุณธงทองซึ่งเป็นกรรมการ ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายคุณ คุณธงทอง จันทรางศุ เสร็จแล้วมาออกช่อง 9 ประณามผม ว่าผมหมิ่น ผมไปดึงฟ้าลงมาต่ำ นั่นคือจุดเริ่มต้นพ่อแม่พี่น้อง ที่ผมทนไม่ไหว ผมคิดว่าต้องมีคนกล้าพูดบ้าง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่เอาเมืองไทยรายสัปดาห์ไปสัญจรให้ความรู้กับ ประชาชนทั่วไป

แล้วคุณรู้ไหมคุณทักษิณ ทำไมผมต้องจัดชุมนุมที่ลานพระรูปทรงม้า ผมจะบอกความลับคุณก็ได้ ถ้าคุณไม่รู้คุณรู้ไว้ เพราะลูกน้องคุณไปเที่ยวเอาป่าไม้มารังแกพวกผม มารังแกประชาชน เอาประทัดยักษ์ไปจุดระเบิดจนมีคนบาดเจ็บ คุณบังคับให้ผมต้องเปลี่ยนตัวผมจากนักสื่อสารมวลชนที่มีหน้าที่ให้ความรู้ ประชาชน คุณบังคับให้ผมกลายเป็นผู้นำมวลชนไป

ผมก็เลยตัดสินใจที่จะต้องนำมวลชนเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายด้วยตัวผมเอง ที่ลานพระรูปทรงม้า หลังจากนั้นก็เกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลังจากนั้นก็มีเรื่องมีราวกันมาตลอด ผมก็ยังยืนอยู่ในจุดเดิมของผม ยืนอยู่บนความถูกต้อง ผมไม่เคยผิดเพี้ยนอะไรทั้งสิ้น ผมขึ้นไปกราบประชาชนที่สนามหลวง คุณทักษิณ ผมบอกผมชั่วก็มีดีก็หลาย จากวันนี้ไป นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่นายสนธิ ลิ้มทองกุล คนเก่าอีกแล้ว ผมขอมอบชีวิตส่วนที่เหลือของผมให้กับชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นั่นคือทั้งหมดที่เกิดขึ้น

พี่น้อง 2549 48 49 50 จนกระทั่งวันนี้ ผมโดนรังแกมาทุกด้าน นักธุรกิจคนไหนจะลงโฆษณากับผมก็โดนตรวจสอบภาษี คนก็บอก ASTV คนดูเยอะเหลือเกิน แต่ผมไม่กล้าลงครับ เพราะลงเมื่อไหร่โดนเช็กบิลทันที ผมไปกู้หนี้ยืมสินชาวบ้านเขามาเพื่อให้ ASTV มันอยู่ต่อไป เพราะผมเห็นว่าประเทศไทยนั้นถ้าไม่มี ASTV นั้น ประเทศไทยจะต้องถูกแบ่งขายไปเป็นส่วนๆ ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมายืน พวกเราโดนแกล้งตลอด

โดนแกล้งด้วยการยิงสัญญาณดาวเทียมเรา โดนแกล้งด้วยการไปแจ้งความจะปิดเรา ยังโชคดีที่เราไปร้องให้ศาลปกครองคุ้มครอง ไปไหนมาไหนโดนจับตาตลอด โดนถ่ายรูป น้องๆ ที่เป็นตำรวจผม ที่ผมดูแลเขามาตั้งแต่เขายังเป็น ร.ต.ท. คนอย่าง พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ผมรู้จักเขามาตั้งแต่เป็น ร.ต.ท. ผมบอกยะ ยะคบกับพี่พี่ขอเรื่องเดียว ยะอย่าทำอะไรผิดศีลธรรมก็แล้วกัน ภรรยายะก็เงินเดือนสูง พี่ให้เงินเดือนยะส่วนตัว ยะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา อย่าไปคดอย่าไปโกงใคร พล.ต.ต.ชัยยะ เลื่อนจาก ร.ต.ท.มาจนเป็น พล.ต.ต. วันที่ผมลุกขึ้นมาสู้คุณทักษิณ คุณชัยยะมาช่วยผมดูแลความปลอดภัยผม ไม่ถึง 3 วัน พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ย้ายคุณชัยยะไปประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีงานทำ

น้องผมอีกคน พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ช่วยผม โดนย้ายไปเป็นรองผู้การจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนายตำรวจรุ่นเดียวกับคุณทักษิณ แต่ 2 คนนี้ไม่ยี่หระ ทำงานตรงไปตรงมาไม่กลัว เป็นน้องที่น่ารักมาก บอกกับผมบอกพี่ พี่ไม่ต้องกังวลผม มันจะทำอะไรกับผมให้มันทำไปผมไม่กลัวอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณชัยยะทำคดีคุณยงยุทธ ติยะไพรัช พี่น้องประชาชน ตอนที่ทำสำนวนคดีอยู่ มีคนมาขอดูสำนวนที่คุณชัยยะทำ ให้เงินสด 50 ล้านบาท เพียงแค่ขอดูสำนวน

คุณชัยยะ ศิริอัมพันธุ์กุล ปฏิเสธ ไม่ยอม 50 ล้านบาท แลกกับเพียงแค่ขอดูสำนวน เขาก็ไม่ยอม ผมภูมิใจในน้องผมคนนี้ เขาก็ภูมิใจในตัวผม แต่พี่น้อง ตำรวจแบบนี้ ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แบบนี้มีกี่คนแล้วในประเทศไทยเดี๋ยวนี้ มันไม่มีเหลือแล้วนะพี่น้อง คุณชัยยะวันนี้ เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลถูกย้ายเข้าประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะความผิดอะไรละ เพราะว่าดันไปทำคดีคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งกำลังจะถูกศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งตัดสิน

นี่หรือความยุติธรรมของสังคม คนๆนึงทำหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริต จับคนซึ่งโกงการเลือกตั้ง แต่คนที่โกงการเลือกตั้งบังเอิญชื่อคุณยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งเป็นคนสนิทของคุณทักษิณ ชินวัตร ได้ไปเป็นประธานสภาฯ กกต.มีชี้มูลว่าคุณยงยุทธ ผิด เลยส่งศาลฎีกา แผนกเลือกตั้ง ส่วนคุณชัยยะ เป็นคำทำงานก็ได้รางวัลด้วยการถูกย้ายเข้าประจำ ท่านผู้ชม

นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ ยังไม่ได้พูดถึงท่านอธิบดีสุนัย ยังไม่ได้พูดถึงคุณสังวรณ์ รองผู้การ จ.บุรีรัมย์ ที่ถูกย้ายไปอยู่กาฬสินธุ์ เพียงเพราะว่าเขาเป็น กกต.แล้วเล่นงาน ส.ส.พรรคพลังประชาชนให้ได้ใบแดง ยังไม่พูดถึงรองผู้ว่าฯ จ.บุรีรัมย์ คุณเกษม ที่ถูกย้ายไป เพราะเป็นประธาน กกต.บุรีรัมย์ ยังไม่พูดถึง พล.ต.ต.ทรงธรรม ซึ่งช่วยคุณชัยยะ สืบคดีคุณยงยุทธ ถูกย้ายกระเด็นเข้ามาประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ

สนธิ - พี่น้องนี่มันเป็นประเทศไทยที่เราจะอยู่เหรอ นี่ใช่เหรอ เมื่อวานนี้ หรือเมื่อเช้านี้ศาลอาญาได้พิพากษาลงโทษ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ข้อหาอะไร ข้อหาทำร้ายประชาชนให้ลูกน้องไปทำร้ายประชาชนตามข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาตรา 157 พี่น้องครับ ลงโทษเท่าไหร่รู้ไหม จำคุก 2 ปี แต่ว่าให้รอลงอาญา 24 เดือน พี่น้องครับคุณฤทธิรงค์ ทำร้ายประชาชน

ผิดข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที แต่ถูกรอลงอาญา 2 ปี กระผม นายสนธิ ลิ้มทองกุล สู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดนคนในระบอบทักษิณฟ้องหมิ่นประมาท ผมโดนสั่งจำคุกไม่มีรอลงอาญา 3 คดีติดกัน รวมเบ็ดเสร็จ 6 ปีละ ยังมีอีกหลายคดี ผมถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ทำงานสู้กับความชั่วร้าย ถึงแม้ผมแค่หมิ่นประมาทเฉยๆ ผมไปหมิ่นประมาทให้ร้ายคน เมื่อเทียบกับคุณฤทธิรงค์ ซึ่งใช้มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้ลูกน้องตัวเองทำร้ายประชาชน ผมโดนจำคุกไม่รอลงอาญา แต่คุณฤทธิรงค์ โดนรอลงอาญา พี่นอ้งคิดว่าผมควรจะท้อไหม ผมเจ็บไหม ผมแบกอยู่ทุกอย่าง ผมแบก ASTV ทั้งหมด ผมเดือดร้อน เงินเดือนออกช้า ค่าใช้จ่ายติดอยู่หลายเรื่อง

ทำไมผมต้องสู้ ผมสู้เพราะว่าพ่อผมสอนว่า "ตั๊บ ชาติต้องมาก่อน ต้องรักชาติ" ผมสู้เพื่อชาติ ทุกเช้าผมกราบพระ ผมอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ผมอาราธนาสิ่งศักดิ์ในตัวพ่อแม่ครูอาจารย์ ผมขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผมตั้งจิตอธิษฐานว่าผมจะทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมสู้เหมือนคนบ้า เหมือนเอาหัวชนกำแพงตึก ชนจนหัวแตก ก็ยังไม่หยุดชน พี่น้องครับลูกชายผม สนิทกับลูกชายของเจ้าของกิจการใหญ่มาก เจ้าของกิจการน้ำเมาแห่งหนึ่ง ลูกที่รักพ่อ สงสารพ่อ ไปหาเพื่อน แล้วไปบอกว่า ขอเจรจาเรื่องโฆษณามาช่วยป๋า หน่อยได้ไหม

นอกจากเขาไม่ให้แล้ว เขาพูดว่าไงรู้ไหมท่านผู้ชม เขาบอกว่าช่วยไปถามป๋าหน่อยได้ไหม ป๋าคือตัวผม ป๋าสู้ไปทำไป สู้แล้วได้อะไร นี่คนที่มีเงินเป็นแสนล้าน รวยขึ้นมาเพราะพระบรมโพธิสมภาร ลูกคนจีนเหมือนกัน ฝากลูกผมกลับมาด่าผมว่า "สู้ไปทำไม สู้ไปแล้วได้อะไร" พี่น้อง คนมีเงินเป็นแสนล้านคิดได้แค่นี้ ไอ้คนที่เป็นหนี้เป็นสินยืมเงินยืมทองเขามา เพื่อเอาความจริงให้ประชาชน แบกเอาไว้ทุกอย่าง ไม่รู้ว่าจะแบกได้นานแค่ไหน วันนี้ความชั่วช้าสามานย์ของรัฐบาลชุดนี้มันมีไปหมด มันไม่ได้มีเฉพาะแค่การแก้รัฐธรรมนูญให้ผิด รัฐบาลชุดนี้ไร้ความรับผิดชอบสิ้นเชิง วันนี้เป็นที่ยอมรับแล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลชุดนี้ก็คือคุณทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง

กระบวนการยุติธรรมพังไปหมดแล้ว ประธานรัฐสภาคือ คุณชัย ชิดชอบ นายกรัฐมนตรีก็คือ คุณสมัคร สุนทรเวช จักรภพ เพ็ญแข คนซึ่งจวบจ้วงสถาบัน วันนี้ทุกคนพยายามที่จะปลดคุณจักรภพเพื่อไม่ให้ภัยถึงตัว แต่พี่น้องผมถามว่า คุณจักรภพทำมาตั้งไม่รู้กี่เดือนแล้วทำไมไม่มีใครทำอะไรเลย เพิ่งจะมาตื่นตัวกันเมื่อ ASTV นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายคำนูณ สิทธิสมาน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

แล้วเรายังมีคนๆ หนึ่งซึ่งทำตัวเหมือน ต.บ้านพลูหลวง ในประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา ทำไมกรุงศรีอยุธยาต้องแตกรู้ไหม เพราะทหารกำลังสู้ศึกอยู่ ยิงปืนใหญ่ แล้วมีคนในวังบอกว่า อย่ายิงปืนใหญ่ไปกระทบกระเทือนพระเจ้าอยู่หัว เดี๋ยวพระองค์ท่านทรงบรรทมไม่ได้ เหมือนกับผมเป็นคนยิงปืนใหญ่สู้ข้าศึก แล้วมีไอ้บ้าที่ไหนมาบอกว่า อย่าเอาสถาบันมาอ้างนะ พี่น้องเห็นหรือยังว่ามันขมขื่นแค่ไหน คนที่สู้เพื่อชาติ สู้เพื่อบ้าน สู้เพื่อเมือง

สนธิ - ปั๊บเธอไปถามป๋าเธอว่าสู้ไปทำไม สู้เพื่ออะไร ถ้าไม่สู้เขาก็ได้ตังค์ได้เงินได้ทองมาใช้ สู้เพื่ออะไร วันนี้จู่ๆ คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้บริษัทแขกดูไบ เวิลด์ดูไบ มาทำการศึกษาแลนด์บริดจ์ ก็คือถนนที่เชื่อมระหว่างสุดด้านหนึ่งของด้ามขวานข้างล่าง จากจุดทะเลอันดามันมาสู่อีกจุดหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก แล้วให้สิทธิ์ขาดเขา เมื่อศึกษาเสร็จแล้วจะใช้ต้องใช้บริษัทเขาเป็นคนจัดการ

นี่ยกประเทศให้เขาแล้วหรอ แล้วจู่ๆ มาบอกว่าแขกซาอุฯ จะเอานาคนไทยมาทำ จ้างคนไทยทำนา คนละ 5,000 บาท นี่มันประเทศใคร เราขายชาติเราให้สิงคโปร์ไปแล้ว วันนี้เราจะขายชาติเราให้แขกต่อหรอ พี่น้องครับ เรามีคนที่จ้องทำลายสถาบันเป็นกระบวนการมานานแล้ว รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเลย เรามีรัฐมนตรี นายกฯ ที่สามหาว พูดจาถ่อย ดูถูกประชาชนตลอดเวลา เรามีการกระทำที่ส่อฉ้อราษฎร์บังหลวง ขึ้นราคาน้ำมัน ขึ้นราคาน้ำตาล 5.35 บาท โดยที่ตั้งบนพื้นฐานของสต็อกเก่า ได้กำไร

แทนที่จะบอกว่า ราคาที่ขึ้นนั้นต้องรอฤดูหีบอ้อยใหม่ ไม่เพื่อให้โรงงานน้ำตาลกำไรและนักการเมืองกำไร เรามีชาวนาที่ถูกรังแกโดยพ่อค้าคนกลาง ถูกรังแกโดยเจ้าของโรงสี ถูกรังแกโดยผู้ส่งออก ราคาข้าววันนี้ขายได้แค่เกวียนละ 6,000 ราคาพอจะขึ้นรัฐบาลเอาข้าวธงฟ้ามาขาย นาปรังกำลังจะออกก็เอาข้าวธงฟ้ามาขาย เราจะยกแผ่นดินของเราให้เขมร จนวันนี้รัฐบาลไทยยังไม่ได้ทำเรื่องคัดค้านยื่นเรื่องไปร่วมกับคณะกรรมการ มรดกโลกเรื่องเขาพระวิหาร แต่ปากบอกว่าจะเจรจาระดับรัฐมนตรี

พี่น้องครับ การเจรจาระดับรัฐมนตรีไม่มีความหมาย ความหมายที่แท้จริงเราต้องยื่นเรื่องอันนี้เข้าไปคัดค้านทันที ท่าน ศ.ดร.อดุลย์ วิเชียรเจริญ ท่านเป็นคนพูดเอง ท่านบอกว่า ท่านอาจจะถูกปลดเร็วๆ นี้ เพราะท่านคัดค้าน คำถาม ทำไมรัฐบาลไทยถึงไม่ส่งเจ้าหน้าที่ทำเรื่องยื่นคัดค้านเข้าไปที่คณะกรรมการ มรดกโลก ทำไม วันนี้เรามีพวกเขมรบุกรุกเข้ามาแล้วบนเขาพระวิหาร มาตั้งร้านค้า รุกเข้ามาในที่ไทย ถ้าเราไม่ยื่นคัดค้าน ในที่สุดเราจะเสียพื้นที่ให้เขาไปอีก 10 ตารางกิโลเมตร พี่น้องเห็นหรือยัง นี่คือการยกอธิปไตยให้ชาติเขมร

สนธิ - พี่น้องครับ ทั้งหมดนี้คือที่มาของการที่เราต้องสู้ครั้งสุดท้าย วันที่ 25 นี้ ผมเหนื่อยไหมครับ ผมไม่ได้เหนื่อยอย่างเดียว ผมท้อใจด้วย ทำไมผมท้อใจ เพราะสังคมไทยมันถูกซื้อไปได้ทุกอณูของมันแล้ว ทหารบางส่วนถูกซื้อ กระบวนการยุติธรรมเกือบทั้งหมดถูกซื้อไปแล้ว ข้าราชการถูกซื้อ ท่านผู้ชมจำคำพูดนี้ได้ไหม นักข่าวชอบถามว่า ไม่กลัวหรอว่าคนเขาจะมองว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นตัวก่อความ วุ่นวาย

คำพูดนี้หลุดปากออกมาจากคนไทยได้อย่างไร ถ้าคำพูดนี้หลุดปากออกมาจากคนไทยได้ แสดงว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่ถูกสาปแช่ง เหมือนกับจู่ๆ ก็มีคนใจบาปใจชั่วไปทุบเขาพนมรุ้ง ปราสาทเขาพนมรุ้ง ทุบปากสิงห์ หูสิงห์ ตาและจมูก เพื่อพิธีกรรมให้ตัวเองยิ่งใหญ่ แล้วสามารถจะโค่นล้มสถาบันได้ ในแวดวงของไสยศาสตร์เขารู้กันหมด ใครมันจะทำได้ล่ะถ้าหากไม่ใช่เป็นผู้มีอิทธิพลใน จ.บุรีรัมย์ ขนาดโบราณสถานเป็นพันปียังไม่ละเว้น วัดพระแก้วก็ไม่ละเว้น แม้กระทั่งการทำพิธียังมีการยิงปืนสลุต 21 นัด พี่น้องครับ มันจะเหลืออะไรในประเทศไทยแล้ววันนี้ ประเทศไทยไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่ที่ผมทนสู้มาจนทุกวันนี้ เพราะผมเชื่อว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องอยู่ร่วมกัน

แต่พี่น้องผมเหมือนคนที่เดินทางไกล แบกทุกอย่างมาจนหลังแอ่น ไม่รู้ว่าจะเดินไปได้อีกแค่ไหน ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ถ้าพ้นวันอาทิตย์นี้ไปแล้ว ผมถอดใจ ผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินทางต่อไป พี่น้องประชาชนต้องเห็นใจผม เพราะว่าผมก็ไม่อยากจะทำอะไรก็ตามที่ในที่สุดแล้วไม่มีใครเข้ามาร่วมกับผม หรือว่าผมเป็นคนปกติในสังคมที่ไม่ปกติ วันที่ 25 นี้ เพื่อนฝูงหลายคนบอกว่า จะมากี่คนกัน พี่น้องครับ ผมพูดไปหลายครั้งและผมจะพูดอีกครั้ง จะมากี่คนไม่สำคัญสำหรับผม แจะมาแค่ร้อยคนแสนคน

สำหรับผมแล้วผมจะอยู่ที่นั่น เพราะผมเชื่อ และศรัทธาในความเชื่อมั่นของผม ถ้ามันจะเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายในชีวิตผม ผมก็ต้องสู้ ผมจะต้องเอาธรรรมนำหน้า ผมถอยให้ไปม่ได้อีกแล้ว ประเทศไทยมันไม่มีอะไรจะเหลือให้พวกเราอีกแล้ว ลูกหลายเราจะอยู่อย่างไร ถ้าคนสังคมมันเห็นแก่เงิน ถ้าคนสังคมมันไม่ได้เคารพจารีตประเพณี ถ้าคนในสังคมมัยไม่ได้สนใจรากเหล้าประเพณี คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองไปยกอธิปไตยของเขาพระวิหารให้กับเขมร ได้อย่างไร คนที่ได้เครื่องราชย์ คนที่เป็นข้าราชการ คนที่ร่ำรวยเป็นแสนล้านหมื่นล้าน มาไล่ให้ลูกเจ๊กอย่างผม ลุกขึ้นมาสู้ได้อย่างไร มาว่าผมได้อย่างไร

ผมก้มหน้าไม่อายดินเงยหน้าไม่อายฟ้า ถ้าผมจะตายไป ผมตาไปโดยที่ลูกผมเดินบนถนนได้อย่างไม่อับอายขายหน้าใคร แต่ผมจะเสียใจอย่างสุดชีวิต ที่มีคนทั้งประเทศ หรือคนอีกจำนวนมากที่มีอำนาจอยู่ ที่ไปกลัวอำนาจเหมือนตำรวจบางคนซึ่งเคยเข้าบ้านผม เข้าบ้านพระอาทิตย์ พอรู้ว่าพรรคพลังประชาชนมาเป็นใหญ่หายไปหมดเลย บางคนทุกๆวันศุกร์ต้องขนอาหารมาเลี้ยงพนักงาน เพราะเรามีการเลี้ยงอาหารกัน

พอรู้ว่าพรรคพลังประชาชนมา อาหารก็ไม่มา เหลืออยู่แค่ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธุ์กุล พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข กับอีก 2 - 3 คนที่ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ เหลืออยู่เพียงแค่นี้ ที่บอกว่าพี่ไม่ต้องกังวล ผมอยู่กับพี่จนตาย ตราบใดที่พี่ยังยืนอยู่บนความถูกต้อง เดี๋ยวนี้คุณงามความดีมันหายไปไหนหมดละ ผมลุกขึ้นมาสู้เพื่อคุณงามความดีที่แท้จริง ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่จะไปแบ่งขายคนโน้นคนนี้ ไม่ใช่ให้แขกมาทำ คนไทยชาวนาที่ไม่เคยได้รับความเป็นธรรม ทำไมไม่ช่วยให้เขาได้รับความเป็นธรรม พี่น้องครับวันนี้ที่ผมต้องเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวของผมให้ทุกๆคนฟัง เพื่อให้ท่านพี่น้องที่รักผม และคนที่เกลียดผมได้รู้จริงๆ ว่าสิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้ทำเพราะว่าเกลียดนายคุณหรอกคุณทักษิณ ชินวัตร คนที่คุณบูชาเป็นเทพเจ้า

ผมไม่ได้เกลียดหรอก แต่คุณเคยหยุดคิดสักนิดไหม ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะใคร เราไม่ได้มาชุมนุมวันที่ 25 นี้เพราะเราอยากชุมนุม เรามาชุมนุมก็เพราะว่าคุณกำลังจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อทำผิดให้มันถูก แล้วคุณยังมีเรื่องอีกเยอะ เรื่องอธิปไตยของเขาพระวิหาร ทำไมคุณไม่จัดการทำ เรื่องต่างๆอีกหลายเรื่อง จู่ๆคุณจะให้คนเขาจะมาเป็นเจ้าของแลนด์บริจ เท่ากับตัด 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไป

พี่น้องครับ ผมไม่ได้ขออะไร ถ้าเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายของผม อยากให้พี่น้องที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักแผ่นดิน เราอยากเห็นชาติบ้านเมืองเรายืนอยู่บนหลักที่ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าอยากมาร่วมกับผม เรารักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ เหมือนผมหรือเปล่า ถ้ารัก มายืนข้างผม และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราต้องการให้ชาติบ้านเมืองมีจริยธรรม มีคุณธรรม มีศีลธรรม ในท่ามกลางข้าราชการ และนักการเมืองหรือเปล่า ถ้าต้องการมายืนข้างผม เราตอ้งการขับไล่ความชั่วร้าย ความสามานย์ของคนชั่วที่ขายชาติ ขายแผ่นดินไหรือเปล่า ถ้าต้องการมายืนกับผม ที่สำคัญเราพร้อมที่จะมายืนแสดงพลังร่วมกันให้เห็นว่ายังมีคนอีกนับล้านๆ คนที่ยังต้องการความถูกต้องในสังคมอยู่ ต้องการหรือไม่ครับท่านผู้ชม ถ้าต้องการมายืนกับผม

สนธิ - ท่านผู้ชมครับ ชีวิตๆ นี้มีแต่ความว่างเปล่า พ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงตามหาบัวได้พูดกับผม แต่ถ้าได้ทำให้กับชาติให้กับบ้านให้กับเมือง อันนี้จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวของมันเอง 25 พฤษภาคม พ.ศ.2551 15.00 น. วันอาทิตย์ วันมะรืนนี้ เป็นสงครามครั้งสุดท้ายในชีวิตผม เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของพ่อแม่พี่น้อง ถ้าเขาไม่สนใจเรา ถ้าเขายังมีอำนาจเหนือเรา

พี่น้องครับเรายกประเทศให้เขาไปเลย ยกประเทศให้กับคุณชัย ชิดชอบ คุณเฉลิม อยู่บำรุง คุณทักษิณ ชินวัตร คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เอาไปเลย คุณจะไปตัดแบ่งขายอย่างไร คุณจะให้ใครมาทำนา ซื้อนา คุณจะเปลี่ยนสถานภาพชาติ พระมหากษัตริย์อย่างไร เชิญตามสบาย เพราะอะไร เพราะพี่น้องครับพวกเราหมดแรงกันแล้ว เหมือนคนสิ้นหวัง แต่มีความหวังอยู่ความหวังเดียวเท่านั้นเอง คือความศรัทธาและเชื่อมั่นว่าชาติจะต้องอยู่รอดถ้าพวกเราร่วมมือร่วมใจกัน จริงๆ ผมหวังว่าผมจะได้เจอพ่อแม่พี่น้องทั้งหมดในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2551 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขอบพระคุณมากครับ
คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 1

( 56 k ) | ( 256 K )



คลิกที่นี่ เพื่อชมวิดีโอคลิป
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ช่วงที่ 2

( 56 k ) | ( 256 K )

from : MGR

วันพุธ, พฤษภาคม 21, 2551

เกี่ยวกับ ชาติไทย ของเรา

เกี่ยวกับ ชาติไทย ของเรา เนื้อหา น่าอ่าน หลายเรื่อง ทั้งปัญหาชายแดนใต้ ลองอ่านดู ....ที่นี่

หรือที่ http://www.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/nation.htm

รายชื่อผู้เสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแก้ 2550



ส.ส.พรรคพลังประชาชน 117 คน

1.นาย บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา
2.นาย ศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม
3.ว่าที่ ร.ต.พงศ์พันธุ์ สุนทรชัย ส.ส.หนองคาย
4.นาย วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่
5.นาย ฉลาด ขามช่วง ส.ส.ร้อยเอ็ด
6.นาย ปวีณ แซ่จึง ส.ส.ศรีสะเกษ
7.นาย ภูมิ สาระผล ส.ส.ขอนแก่น
8.นาย เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ ส.ส.ร้อยเอ็ด
9.นาย สุรจิตร ยนต์ตระกูล ส.ส.มหาสารคาม
10.นาย ยรรยง ร่วมพัฒนา ส.ส.สุรินทร์
11.นาย ธีระ ไตรสรณสกุล ส.ส.ศรีสะเกษ
12.นาย พิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.หนองบัวลำภู
13.นาย จักรพรรดิ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี
14.นาย มนต์ไชย ชาติวัฒนศิริ ส.ส.พิษณุโลก
15.นาย อิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เชียงราย
16.นาย สุชาย ศรีสรพล ส.ส.ขอนแก่น
17.พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน ส.ส.สัดส่วน
18.นาย ภิรมย์ ผลวิเศษ ส.ส.นครราชสีมา
19.นาย พีระเพชร ศิริกุล ส.ส.กาฬสินธุ์
20.นาย ธนเทพ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย
21.นาง นันทนา ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย
22.นาย สถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน
23.นาย ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา ส.ส.สุรินทร์
24.นาย ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี
25.นาย จตุพร เจริญเชื้อ ส.ส.ขอนแก่น
26.นาย สิทธิชัย จรูญเนตร ส.ส.อุบลราชธานี
27.นาย เทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.สัดส่วน
28.นาย สนอง เทพอักษรณรงค์ ส.ส.บุรีรัมย์
29.นาย ประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.ขอนแก่น
30.นาย วิเชียร อุดมศักดิ์ ส.ส.อำนาจเจริญ
31.นาย เชิดพงศ์ ราชป้องขันธ์ ส.ส.หนองคาย
32.นาย ไตรรงค์ ติธรรม ส.ส.หนองคาย
33.นาง พัฒนา สังขทรัพย์ ส.ส.เลย
34.นาง บุญรื่น ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์
35.นาง ดวงแข อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น
36.นาย วีระ รักความสุข ส.ส.สัดส่วน
37.นาย รังสิกร ทิมาตฤกะ ส.ส.บุรีรัมย์
38.นาย ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ
39.นาย เสรี สาระนันท์ ส.ส.สกลนคร
40.นาย วิชัย สามิตร ส.ส.หนองบัวลำภู
41.นาย ทองดี มนิสสาร ส.ส.อุดรธานี
42.นาย กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.หนองบัวลำภู
43.นาย เกษม อุประ ส.ส.สกลนคร
44.นาย อนันต์ ศรีพันธุ์ ส.ส.อุดรธานี
45.นาย เกรียงศักดิ์ ฝ้ายสีงาม ส.ส.อุดรธานี
46.นาย สุชาติ โชคชัยวัฒนากร ส.ส.มหาสารคาม
47.นาย ไชยา พรหมมา ส.ส.หนองบัวลำภู
48.นาย ไชยวัฒน์ ติณรัตน์ ส.ส.มหาสารคาม
49.นาย สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ส.ส.อุดรธานี
50.นาย พฤฒิชัย วิริยะโรจน์ ส.ส.สัดส่วน
51.นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน
52.นาย ศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด
53.นาย กิตติ สมทรัพย์ ส.ส.ร้อยเอ็ด
54.นาย คมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์
55.นาย ต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี
56.นาย ประสิทธิ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ส.ส.บุรีรัมย์
57.น.ส.สุนทรี ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ
58.นาย จักริน พัฒนดำรงจิตร ส.ส.ขอนแก่น
59.นาย สงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน
60.นาย สมคิด บาลไธสง ส.ส.หนองคาย
61.นาย ธเนศ เครือรัตน์ ส.ส.ศรีสะเกษ
62.นาย พงษ์ศักดิ์ บุญศล ส.ส.สกลนคร
63.นาย วาสิต พยัคฆบุตร ส.ส.ลำปาง
64.นาย นิยม วิวรรธนดิฐกุล ส.ส.แพร่
65.นาย อนันต์ ผลอำนวย ส.ส.กำแพงเพชร
66.นาย วารุจ ศิริวัฒน์ ส.ส.อุตรดิตถ์
67.นาย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่
68.น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย
69.นาย กฤษดากรณ์ เสียมภักดี ส.ส.เชียงใหม่
70.นาย สุรเชษฐ์ ชัยโกศล ส.ส.อยุธยา
71.ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี ส.ส.ปทุมธานี
72.นาย อดุลย์ วันไชยธนวงศ์ ส.ส.แม่ฮ่องสอน
73.นาย ธนาธร โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง
74.นาย สุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล ส.ส.อยุธยา
75.นาย วีระพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี
76.นาย พ้อง ชีวานันท์ ส.ส.อยุธยา
77.ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี
78.นาย นิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก
79.นาย เรืองเดช สุพรรณฝ่าย ส.ส. ขอนแก่น
80.นาย วิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี
81.นาย สุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน
82.นาย สุรพล เกียรติไชยากร ส.ส.เชียงใหม่
83.นาย สุรสิทธิ์ เจียมวิลักษณ์ ส.ส.เชียงราย
84.ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน
85.นาย นพคุณ รัฐไผท ส.ส.เชียงใหม่
86.นาย อำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี
87.นาย ประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ
88.นาย สุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี
89.นาย ดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.กทม.
90.นาง อรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา
91.นาย วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส. พะเยา
92.นาย มนต์ชัย วิวัฒน์ธนาฒย์ ส.ส.พิษณุโลก
93.พล.อ.สมชาย วิษณูวงศ์ ส.ส.กาญจนบุรี
94.นาย ชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน
95.นาย กิตติศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.สุรินทร์
96.นาง อนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ
97.นาย วิทยา บูรณศิริ ส.ส.อยุธยา
98.นาย นิรมิต สุจารี ส.ส.ร้อยเอ็ด
99.นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน
100.นาย นิพนธ์ ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์
101.นาย วีระวัฒน์ โอสถานุเคาระห์ ส.ส.กาฬสินธุ์
102.นาย สรรพภัญญู ศิริไปล์ ส.ส.มหาสารคาม
103.นาย อัศนี เชิดชัย ส.ส.สัดส่วน
104.นาง ลินดา เชิดชัย ส.ส.นครราชสีมา
105.นาย พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย
106.นาย สามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย
107.นาย ก่อเกียรติ วิริยะเสถียร ส.ส.นครปฐม
108.นาย วราวงษ์ พันธ์ศิลา ส.ส.ร้อยเอ็ด
109.นาย ประเสริฐ บุญเรือง ส.ส.กาฬสินธุ์
110.นาย ทวีวัฒน์ ฤทธิ์ฤาชัย ส.ส.สกลนคร
111.นาย โสภณ ซารัมย์ ส.ส.บุรีรัมย์
112.นาย ยุทธพงษ์ แสงศรี ส.ส. หนองคาย
113.นาย สาทิตย์ เทพวงศ์ศิริรันต์ ส.ส.สุรินทร์
114.นาย ไพโรจน์ อิสรเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.
115.นาย เชิดชัย วิเชียรวรรณ ส.ส.อุดรธานี
116.นาย วุฒิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก
117.นาย เฉลิมชาติ การุณ ส.ส.สกลนคร

พรรคเพื่อแผ่นดิน 5 คน

1.นาย รณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร
2.นาย พิเชษฐ์ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา
3.นาย นรพล ตันติมนตรี ส.ส.เชียงใหม่
4.นาย พิกิฏ ศรีชนะ ส.ส.ยโสธร
5.นาย มานพ ปัตนวงศ์ ส.ส.สัดส่วน

พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 4 คน

1.นาย วินัย ภัทรประสิทธิ์ ส.ส.พิจิตร
2.นาง วรศุลี สุวรรณบริสุทธิ์ ส.ส.มุกดาหาร
3.นาย ประเสริฐ บุญชัยสุข ส.ส.นครราชสีมา
4.นาย สมชัย ฉัตรพัฒนาศิริ ส.ส.นครราชสีมา

พรรคมัชฌิมาธิปไตย 2 คน

1.นาง พรทิวา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท
2.นาย เกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี

พรรคประชาราช 1 คน

1.นายสรวงศ์ เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว

รายชื่อ ส.ว.ลงชื่อ 29 คน

1.นาย ยุทธนา ยุพฤทธิ์ ส.ว.ยโสธร
2.นาย ต่วนอับดุลเลาะ ดาโอ๊ะมารียอ ส.ว.ยะลา
3.พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ ส.ว.มุกดาหาร
4.นาย บวรศักดิ์ คณาเสน ส.ว.อำนาจเจริญ
5.นายรักพงษ์ ณ อุบล ส.ว.หนองบัวลำภู
6.นาย ถนอม ส่งเสริม ส.ว.อุบลราชธานี
7.นาย มงคล ศรีกำแหง ส.ว.จันทบุรี
8.นายบุญส่ง โควาริสารัช ส.ว.แม่ฮ่องสอน
9.นาย จตุรงค์ ธีระกนก ส.ว.ร้อยเอ็ด
10.นาย ประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ ส.ว.ขอนแก่น
11.นาย ชูชัย เลิศพงษ์อดิศร ส.ว.เชียงใหม่
12.นาย สุรชัย ชัยตระกูลทอง ส.ว.ชลบุรี
13.นาย สิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล ส.ว.กาฬสินธุ์
14.นาย จิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ
15.นาย เกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี
16.นาย ประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี
17.นางสาว สุวิมล เมฆเสรีกุล ส.ว.เพชรบุรี
18.นาง สมพร จูมั่น ส.ว.นครสวรรค์
19.นาย ทวีศักดิ์ คิดบรรจง ส.ว.บุรีรัมย์
20.พล.ต.ต.ขจร สัยวัฒน์ ส.ว.หนองคาย
21.พ.ต.อ.พายัพ ทองชื่น ส.ว.สระแก้ว

ล่าสุด มี ส.ว.ขอถอนชื่อ 8 คน ประกอบด้วย
22.นาย สุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล
23.นาย วรวิทย์ บารู ส.ว.สงขลา
24.นาย ภิญโญ สายนุ้ย ส.ว.กระบี่
25.นาย แวดือราแม มะมิงจิ ส.ว.ปัตตานี
26.นายมูหามะรอสดี บอตอ ส.ว.นราธิวาส
27.นาย รุสดี บินหะยีสะมะแอ ส.ว.สรรหา
28.นาย โสภณ ศรีมาเหล็ก ส.ว.น่าน
29.นาย วิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม

ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบรายชื่อที่เสนอ พบว่า มีรายชื่อที่ยื่นให้ประธานรัฐสภา มีทั้งสิ้น 158 คน ซึ่งไม่ตรงกับที่ได้ 164 คน ตามที่ได้ระบุในการยื่นเข้าชื่อ เพราะตรวจสอบมีรายชื่อซ้ำส่วนหนึ่ง ขาด 5 คน ล่าสุดมียอด ส.ว.ขอถอนชื่อรวม 8 คน ในที่สุด มีรายชื่อ ส.ส.และ ส.ว.เข้าชื่อยื่นเสนอครั้งนี้ 150 คน

from : MGR