เพื่อชีวิต..ใคร???

วันอาทิตย์, เมษายน 20, 2551

ยิ่งรุกทางทหาร ยิ่งตั้งรับทางการเมือง แนวโน้มความรุนแรงเชิงคุณภาพปี 2551

หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้เผยแพร่บทวิเคราะห์ "ยิ่งรุกทางทหาร ยิ่งตั้งรับทางการเมือง แนวโน้มความรุนแรงเชิงคุณภาพปี 2551" ของนายประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ครูจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านเว็บไซต์ www.deepsouthwatch.org

สถานการณ์ความ ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วง 4 ปี (2547-2550) ที่ผ่านมา แม้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานความมั่นคงโดยตรง อย่าง ‘กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4’ (กอ.รมน.ภ.4) ส่วนหน้า จะ วิเคราะห์ว่ากลุ่มก่อความไม่สงบกำลังเพลี่ยงพล้ำทางการทหาร ทำให้เสียขวัญ กำลังใจ และจิตวิทยา จึงต้องเร่งก่อเหตุรุนแรงให้มากขึ้นในช่วงต้นรัฐบาลใหม่ เพื่อรักษาระดับความเชื่อมั่นแก่พลพรรค และแนวร่วม ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงภาวะจนตรอกทางการทหารของกลุ่มก่อความไม่ สงบ ซึ่งจะค่อยๆ ลดระดับความรุนแรงลง จนเข้าสู่ภาวะปกติได้ในไม่ช้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่

แต่หากพิจารณาสถานการณ์โดยรวมจะพบว่า ยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในแต่ละปีกลับสูงขึ้น ดังเช่นในปี 2547 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวน 1,438 คน ปี 2548 มี 1,643 คน ปี 2549 มี 1,877 คน และในปี 2550 มีถึง 2,295 แม้ว่าในปี 2550 ทหารจะเปิดยุทธการขนาดใหญ่เพื่อสลายโครงสร้างองค์กรก่อความไม่สงบ แต่จำนวนตัวเลขผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าทุกปี ซึ่งแสดงว่าความรุนแรงมิได้ลดระดับลงไปด้วย

นี่คือสิ่งที่หน่วยงานรับผิดชอบทุกฝ่ายควรต้องตระหนัก และเห็นถึงระดับความร้ายแรงของปัญหาให้มาก อย่าได้ดูเบาในศักยภาพของขบวนการก่อความไม่สงบเป็นอันขาด เพราะหมากที่จะเดินต่อไปนี้ ผิดตาเดียว ก็จะล้มทั้งกระดาน ไม่มีวันกลับมาเริ่มต้นเล่นใหม่ได้อีกตลอดไป

สถานการณ์ฝ่ายรัฐ

ในห้วงเวลา 4 ปี (2547-2550) ภายใต้การนำของรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีสองคนคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นสัญลักษณ์คนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งในงานอาชีพและงาน การเมือง และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เป็นต้นแบบของทหารอาชีพ ผู้มีวัตรปฏิบัติสันโดษและเคร่งครัดในคุณธรรม

นายก รัฐมนตรีคนแรกเน้นความรวดเร็ว การรวบรวมข้อมูล วินิจฉัยปัญหาและตัดสินใจ ทุกขั้นตอนใช้รูปแบบเดียวกับงานธุรกิจ ยึดเป้าหมายและผลลัพธ์เป็นสำคัญ ผลปรากฏว่าสถานการณ์รุนแรงมากขึ้น แนวรบขยายกว้างออกไปหลายมิติจนเกือบจะควบคุมไว้ไม่ได้

ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ ใช้ความเยือกเย็น รอบคอบ และจริงใจ มุ่งยอมรับผิดชอบ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าใครคือคนผิด และความจริงคืออะไร มุ่งทำดี เพื่อเอาชนะความไม่ดี ยึดแนวทางสมานฉันท์ และสันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยเชื่อว่าการเอาคนส่วนใหญ่เป็นพวกเพื่อโดดเดี่ยวคนส่วนน้อยที่นิยมความ รุนแรงจะทำให้กลุ่มก่อความไม่สงบเฉาตายไปเอง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่และประชาชนบาดเจ็บล้มตายไปกว่า 2,200 คน มากกว่าสมัยนายกทักษิณเสียอีก

ถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็คงต้องพูดว่าถูกหลอกมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกหลอกให้ยุบ ศอ.บต. และ พตท.43 ครั้งที่สองหลอกให้หลงประเด็น แล้วยุให้กล่าวขอโทษ จนมีข่าวว่ากลุ่มก่อความไม่สงบได้นำภาพไปทำแผ่น CD แจกให้คนดู แล้วย้ำให้เห็นว่ารัฐไทยทำผิดจริง ขนาดผู้นำรัฐบาลยังออกมายอมรับผ่านสื่อ ซึ่งเผยแพร่ไปทั่วโลก

มา วันนี้ นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 คือ นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองยาวนานมากที่สุดคนหนึ่ง จึงควรพิจารณาบทเรียนของสองรัฐบาลที่แล้วมา ว่ามีจุดเด่น จุดด้อย ตรงไหน ควรจะกำหนดแนวทางแก้ปัญหาต่อไปอย่างไร ทำไมการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างลงไปอย่างมากมายมหาศาล อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงไม่ได้ผล

ในฐานะคนพื้นที่ซึ่งเกาะติดสถานการณ์มานานกว่า 30 ปี ขอแสดงความเห็นว่าสถานการณ์ฝ่ายรัฐขณะนี้ยังเสียเปรียบอยู่มาก รัฐยังรู้จักคู่ต่อสู้ไม่ลึกซึ้งเพียงพอ แนวความคิดทางยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ว่าจะดำเนินการปรับความคิดความเชื่อของ ประชาชนให้เห็นเจตนาดีของรัฐบาลไทย ที่พยายามทุกอย่างด้วยความจริงจังและจริงใจ และให้เข้าใจถึงความห่วงใยของพี่น้องคนไทยภาคอื่นๆ ทั้งประเทศ ที่ให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านวัตถุ กำลังใจ และความปรารถนาดีอยู่ตลอดเวลา ก็ยังไม่เห็นการขับเคลื่อนที่ชัดเจน

การบังคับใช้กฎหมายยังมีช่องโหว่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการหาพยานหลักฐานมัดตัวผู้ต้องหา การปฏิบัติการทางทหาร ก็ถูกกล่าวหาอยู่บ่อยๆ ว่าเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน การต่อสู้ทางความคิด ซึ่งเป็นงานการเมืองที่สำคัญที่สุด ยังไปไม่ถึงไหน ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ตลอดระยะเวลา 4 ปี

แม้ งานด้านการทหารจะรุดหน้าไปมาก แต่ก็เป็นเฉพาะงานยุทธการ งานกิจการพลเรือนที่เป็นฝ่ายการเมืองของกองทัพ ก็ยังขยับไม่ออก การต่อสู้ในสงครามก่อความไม่สงบลักษณะเช่นนี้ หากไม่สามารถช่วงชิงเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง โดยการเอาชนะทางความคิดให้ได้แล้ว จะถือว่าฝ่ายรัฐอยู่ในฐานะรุกทางยุทธศาสตร์ก็ไม่ได้เช่นกัน

สถานการณ์ของฝ่ายกลุ่มก่อความไม่สงบ

แม้จะถูกฝ่ายรัฐบาลใช้ปฏิบัติการรุกทางทหารอย่างหนักในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จนสามารถนำไปสู่การปิดล้อม ตรวจค้น เชิญตัวผู้ต้องสงสัยไปยังศูนย์ซักถาม จับกุมผู้ปฏิบัติการก่อเหตุ และแนวร่วมได้จำนวนมาก อีกทั้งสามารถขยายผลล่วงรู้ถึงเครือข่ายการจัดตั้ง มองเห็นผู้บัญชาการระดับกองกำลังประจำถิ่นได้จำนวนมาก การเปิดยุทธการในหลายๆ พื้นที่ แม้ฝ่ายรัฐประสบความสำเร็จมากขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ฝ่ายกลุ่มก่อความไม่สงบเสียขบวน

สิ่งที่ปรากฏชัดว่ากลุ่มก่อความไม่สงบยังสามารถกุมสภาพภายในขบวนการ ได้ก็คือ ความสามารถยึดกุมงานมวลชน เช่น การสร้างสภาวะน่าสะพรึงกลัวให้ดำรงอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ และข้าราชการ พนักงาน ตลอดจนลูกจ้างของรัฐ ทั้งที่เป็นพุทธ และมุสลิม ยังไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ต้องคอยระวังตนเองอยู่ตลอดเวลา นานเข้าก็เกิดความเครียด ทนไม่ไหว ต้องหาทางอพยพออกนอกพื้นที่ไป

การ คงไว้ซึ่งการปฏิบัติการทางทหารอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัจจัยทางการเมืองที่เกื้อหนุนต่อยุทธศาสตร์แบ่งแยกดินแดนตลอดเวลา เช่น ปริมาณผู้บาดเจ็บล้มตาย จะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่นำไปสู่การแทรกแซงขององค์กรระหว่างประเทศ การปฏิบัติการที่โหดเหี้ยมไร้ขีดจำกัดทางศีลธรรม จะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่สงครามกลางเมือง การก่อวินาศกรรมที่ครอบคลุมพื้นที่จะทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและสังคม สั่นคลอน เป็นเงื่อนไขนำไปสู่การต่อรองประเด็นทางการเมืองและสังคมกับรัฐบาลได้

หากติดตามประเมินอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง จะพบว่า กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบยังมีความได้เปรียบในการรักษาสถานะทางยุทธศาสตร์เอา ไว้ได้ ขณะที่ฝ่ายรัฐยังไม่อาจเปิดเกมรุกในเชิงยุทธศาสตร์ได้เต็มที่ ส่วนเกมรุกทางยุทธวิธีก็ส่งผลให้เกิดการตีกลับ ซึ่งมีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจกลายเป็นเงื่อนไขใหม่ๆ ทางการเมือง เช่น แนวความคิด เรื่องเขตปกครองพิเศษ แนวความคิดการให้ทหาร ตำรวจ ถอนตัวออกจากพื้นที่แล้วจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์ตนเองให้เต็มพื้นที่ทุกหมู่ บ้าน ตลอดถึงเรื่องการให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเขตปลอดอาวุธ

สถานการณ์การต่อสู้

หากติดตามสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้อย่างใกล้ชิด จะเห็นรูปการของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายรัฐและกลุ่มก่อความไม่สงบอย่างคร่าวๆ ดังนี้

ฝ่ายรัฐบาล


ยังคงใช้ยุทธศาสตร์การเมืองนำการทหาร เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบทั้งระบบ แต่การปฏิบัติในแต่ละพื้นที่นั้น ยังมีการแยกเฉพาะว่า จะใช้การเมืองหรือการทหารนำ

หากเป็นพื้นที่ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกองกำลังผู้ก่อความไม่สงบ ฝ่ายรัฐบาลก็จะใช้ปฏิบัติการทางทหารนำ การปฏิบัติดังกล่าว งานยุทธศาสตร์เฉพาะส่วนจะเน้นการปรับความคิดความเชื่อของประชาชน ให้กลับมาเชื่อมั่นการต่อสู้โดยสันติวิธี ประการต่อมา คือการบังคับใช้กฎหมายที่เสมอภาค และเป็นธรรม ประการสุดท้ายสำหรับกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ยอมรับแนวทางดังกล่าว ฝ่ายรัฐก็จะใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าแก้ปัญหา

สำหรับแนวทางยุทธการนั้น ใช้วิธีการวางกำลังทหารหลักให้คลุมพื้นที่ จัดกองหนุนเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติการหนุนช่วยทหารหลักในกรณีจำเป็น ถัดมาคือการควบคุมความรุนแรงมิให้ขยายวง และสุดท้าย คือการสร้างความปลอดภัยแก่ชุมชน ทั้งในเมืองและในชนบท การปฏิบัติจะเน้นการกดดัน ตรวจค้น จับกุม นำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชนทั่วไป หรือสมาชิกของกลุ่มก่อความไม่สงบทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือเยียวยาโดยถ้วน หน้ากัน

ฝ่ายกลุ่มก่อความไม่สงบ

ใน ทางยุทธศาสตร์ยังคงใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธ ก่อความรุนแรง เพื่อกดดันรัฐบาลให้ยอมรับการดำรงอยู่ของกลุ่ม ประชาสัมพันธ์ให้องค์กรระหว่างประเทศที่ทรงอิทธิพลจับตามองเหตุรุนแรงที่ เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เพิ่มแรงกดดันต่อรัฐไทยให้เดินไปสู่กับดักทางการเมืองทีละขั้น จนสามารถทำแนวร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศได้ พัฒนาพลังต่อรองอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้มีสถานภาพเท่าเทียมกับรัฐบาลไทย

หากขั้นตอนนี้บรรลุได้เมื่อใด เมื่อนั้นรัฐไทยก็จะเข้าสู่ภาวะจำยอมในการเข้าสู่กระบวนการเจรจา ซึ่งอาจใช้ประเด็นทางการเมืองที่สอดคล้องกับแนวทางขององค์กรระดับสากล เช่น สหภาพยุโรป องค์กรเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ องค์กรอาเซียน ไปจนถึงองค์การสหประชาชาติ เช่น ประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประเด็นวัฒนธรรม และสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย เป้าหมายคือการเพิ่มแนวร่วม เพื่อสร้างพลังต่อรองทางสากลให้เหนือกว่ารัฐไทย

ส่วนด้านยุทธวิธีนั้น พิจารณาจากศักยภาพของกองกำลังที่ไม่อาจเทียบได้กับรัฐไทย เชื่อว่านับจากนี้ไปกลุ่มก่อความไม่สงบมีแนวโน้มที่จะเน้นการต่อสู้ทางด้าน การเมือง และด้านข้อมูลข่าวสารในระดับต่างๆ มากขึ้น จากสถานการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นว่า นี่คือสิ่งที่ส่งผลสะเทือนต่อรัฐไทยมากที่สุด พิจารณาได้จากการก่อเหตุที่ไม่เน้นการปะทะแตกหักกับรัฐ แต่จะลอบซุ่มโจมตี เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐไร้ประสิทธิภาพในการคุ้มครองตนเอง การทำร้ายประชาชน เพื่อให้เห็นว่ารัฐล้มเหลวในการทำหน้าที่รักษาความสงบ

ขณะ เดียวกัน ยุทธวิธีกดดันทางการทหารของรัฐ ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็กลับกลายเป็นเงื่อนไขเชิงบวกให้กับขบวนการใต้ดิน ซึ่งจะเห็นว่ามีหลายองค์กรสะท้อนปัญหาในประเด็นนี้อย่างกว้างขวางหลายระดับ ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และสังคมโลก บทบาทตามธรรมชาติขององค์กรเหล่านี้ แม้จะเป็นการตรวจสอบเพื่อให้รัฐใช้ความระมัดระวัง แต่ก็ส่งผลสะเทือนในเชิงการเมืองของรัฐไม่น้อย ซึ่งกลับกลายเป็นว่า ยิ่งรัฐรุกทางการทหารเท่าไหร่ ก็ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับทางการเมืองมากขึ้นเท่านั้น

เปรียบเทียบสถานการณ์การต่อสู้


ใน สนามการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั้น สามารถเห็นได้ทั้งในระดับยุทธศาสตร์และระดับยุทธวิธี ทั้งในทางการเมือง และทางการทหาร

ระดับยุทธศาสตร์ ด้านการเมือง ฝ่ายรัฐพยายามเน้นการเปลี่ยนความคิดความเชื่อของประชาชน ให้เชื่อมั่นในรัฐบาลและกลไกอำนาจรัฐด้วยชุดความคิดสันติวิธี อ้างอิงบทบัญญัติทางศาสนาในเชิงบวก เน้นการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม และบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค โปร่งใส และเป็นธรรม

ฝ่ายก่อความไม่สงบใช้ยุทธวิธีสร้างความเกลียดชังและหวาดกลัว ระหว่างกลุ่มคนไทยเชื้อสายมลายูกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ใช้ประวัติศาสตร์สงครามในอดีตกับความศรัทธาในศาสนาเป็นเครื่องมือ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง

ที่สำคัญพวกเขาได้ใช้จุดอ่อนของเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเกิดจากปฏิบัติการ ทางทหาร เป็นประเด็นขยายผล ขยายพื้นที่ด้านข้อมูลข่าวสาร เช่น เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเบียดบังงบประมาณ แม้แต่เรื่องชู้สาวของกำลังพล เพื่อบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากพวกเขายังคงดำรงความมุ่งหมายทางยุทธศาสตร์ 3 ขั้นตอนอยู่อย่างมั่นคง คือ การบ่มเพาะแกนนำด้านการเมืองและการทหาร, การสร้างสภาวการณ์ให้สังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสังคมแห่งความน่าสะพรึง กลัว และสร้างเงื่อนไขให้องค์กรระดับสากลเห็นความจำเป็นของการมีรัฐใหม่ที่มี ลักษณะจำเพาะทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม จนสามารถบรรลุเป้าหมายสุดท้ายคือ การแบ่งแยกดินแดนออกเป็นรัฐอิสระได้ในที่สุด

ถ้าเปรียบเทียบความได้เปรียบเสียเปรียบในการต่อสู้ทั้งสองฝ่าย ขณะนี้กล่าวได้ว่า ฝ่ายรัฐไทยได้เปรียบในสนามการต่อสู้ทางสากล และได้เปรียบทางปริมาณด้านการยุทธ์ ตลอดถึงการโฆษณายุทธศาสตร์ทางด้านการเมือง

ส่วนฝ่ายก่อความไม่สงบมีความได้เปรียบในทางยุทธวิธี เนื่องจากรู้พื้นที่ รู้มวลชน มีแนวร่วมที่แน่นอน สามารถหลบหลีก จู่โจม ถอนตัวได้รวดเร็ว โดยเฉพาะระดับชี้นำทางการเมือง ทหารหลัก หรือหน่วยรบพิเศษ คอมมานโด จะเป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์มั่นคง พร้อมสละชีวิตเพื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้ตลอดเวลา

ในยุทธศาสตร์การทหาร ขั้นที่หนึ่ง พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมาย การบ่มเพาะแกนนำ และกองกำลังได้หลายระดับ ตั้งแต่ระดับบัญชาการไปจนถึงระดับปฏิบัติขั้นพื้นฐาน ขั้นที่สอง พวกเขาสามารถสร้างสภาวการณ์ให้สังคมเกิดความน่าสะพรึงกลัวจนคนไทยที่นับถือ ศาสนาพุทธในชนบทห่างไกล ต้องอพยพไปอยู่ในเมือง หรือไม่ก็ย้ายออกนอกพื้นที่ไปเลยทีเดียว

กล่าว ได้ว่าในขณะนี้ แม้ดูเหมือนว่าขบวนการก่อความไม่สงบจะพ่ายแพ้ แต่ผลที่เกิดในทางปฏิบัติกลับเป็นฝ่ายได้ชัยชนะทีละขั้นๆ และหากขบวนการก่อความไม่สงบสามารถปรับยุทธวิธีทางด้านการเมือง เพื่อบรรลุผลในขั้นที่สาม ดึงองค์กรระดับโลกให้เข้ามาแทรกแซงกดดันรัฐไทย นี่คือสิ่งที่น่าวิตกอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นที่จะให้องค์กรเหล่านั้นสนับสนุน เห็นความจำเป็นของการมีรัฐใหม่ที่มีลักษณะจำเพาะทางด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม จนสามารถบรรลุเป้าหมายสุดท้ายทางยุทธศาสตร์ คือการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นรัฐเอกราชได้ในที่สุด

ยุทธศาสตร์สามขั้นนี้ ถือได้ว่าสามารถดำเนินการจนบรรลุเป้าหมายได้แล้วสองขั้น ในขั้นที่สามนั้น สิ่งชี้ขาดอยู่ที่การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐเอง หมายความว่า หากฝ่ายรัฐปฏิบัติการทางทหารมากจนลืมงานการเมือง เช่น การตั้งอยู่ในความประมาทเกี่ยวกับการปฏิบัติในมิติทางวัฒนธรรม ย่ามใจจนเข้าขั้นละเมิดสิทธิมนุษยชน อ่อนประชาสัมพันธ์ พ่ายแพ้ในด้านข้อมูลข่าวสาร เมื่อนั้นฝ่ายก่อความไม่สงบจะเป็นต่อทางด้านการเมือง และจะรุกคืบจนบรรลุเป้าหมายระดับยุทธศาสตร์ในขั้นตอนที่สามได้ทันที

ข้อพิจารณา

การพิจารณาสถานการณ์ต่อสู้ทุกแนวรบในบทความนี้ มุ่งเน้นพิจารณาทั้งในด้านการเมืองและด้านการทหารว่า การต่อสู้ที่เป็นจริงระหว่างฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ กับกลุ่มก่อความไม่สงบนั้น มีปมเงื่อนอะไรที่น่าสนใจ และเป็นพื้นฐานแนวโน้มสำคัญของสถานการณ์ในอนาคต

ในด้านการเมือง สิ่งสำคัญที่สุด คือการต่อสู้ทางความคิด ชุดความคิดที่เจ้าหน้าที่รัฐควรนำมาเป็นประเด็นในการต่อสู้ คือ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นรัฐไทย การอยู่ร่วมกันในพหุสังคม ประวัติศาสตร์ และแนวทางสันติวิธีที่สามารถบรรลุเป้าหมายทางสังคมได้จริง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นงานการเมืองที่เจ้าหน้าที่รัฐทำน้อยมาก แม้จะยึดนโยบายการเมืองนำการทหารก็ตาม

ต่าง จากฝ่ายก่อความไม่สงบ การเคลื่อนไหวทางด้านความคิดเกี่ยวกับรัฐไทย ล้วนประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการกดขี่ข่มเหง ซึ่งเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์และความอยุติธรรม การโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับเชื้อชาติ ประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่แนวความคิดการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนได้รับการ ปลูกฝังแก่มวลชนมาตั้งแต่เด็ก ต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ ที่พร้อมจะแบกรับภารกิจการต่อสู้ต่อจากคนรุ่นก่อนได้อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งก็คืองานด้านความคิด หรืองานการเมือง กลับเป็นสิ่งที่ฝ่ายก่อความไม่สงบให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

ในด้านการทหาร จากการสังเกตการณ์ของผู้เขียน เห็นว่ารัฐบาลไทยได้ทุ่มเททรัพยากรด้านการทหารลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และเงินงบประมาณ อาจพูดได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของกองทัพไทยเลยทีเดียว แต่สถานการณ์ความรุนแรงกลับไม่ได้ลดลงเท่าที่ควร ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและทางราชการ กลับเพิ่มมากขึ้นในปี 2550 เมื่อเทียบกับปี 2547-2549 รัฐบาลและกองทัพน่าจะหยุดคิดทบทวน ทั้งระดับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีใหม่หมดทั้งระบบ เพื่อการปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ปี 2551 นี้เป็นต้นไป

ส่วนฝ่ายก่อความไม่สงบ นับว่าปฏิบัติการด้านการทหารในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาประสบผลสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ในทางปริมาณสามารถเพิ่มความสูญเสียแก่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐได้มาก แต่ก็เป็นเพียงผลของการสู้รบแบบกองโจร ซึ่งความหมายของผลลัพธ์แห่งสงครามชนิดนี้ หากไม่สามารถนำไปยกระดับสร้างเงื่อนไขทางการเมืองเชิงบวกแก่ฝ่ายตนได้แล้ว ปริมาณความสูญเสียของฝ่ายตรงกันข้ามก็จะเป็นตัวเร่ง ลดระดับการเมืองของฝ่ายก่อการเองอย่างรวดเร็วเป็นเงาตามตัว และหากการต่อสู้เป็นไปในลักษณะยิ่งรบ ยิ่งเสียการเมือง ก็จะเป็นสัญญาณของความพ่ายแพ้ทางการทหารในอนาคตอย่างแน่นอน และหากแพ้ทั้งทางการเมืองและการทหารเมื่อใด เมื่อนั้นจะเป็นการแพ้ทั้งระบบ และแพ้อย่างราบคาบ ไม่อาจลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีก อย่างน้อยก็ในช่วงประวัติศาสตร์นั้นๆ

ดัง นั้นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องคำนึงในสนามการต่อสู้ก็คือการสะสมชัยชนะทางด้านการ เมือง เนื่องจากการเมืองเป็นสิ่งชี้ขาดผลแพ้ชนะของสงครามทั้งสงคราม มิใช่การทหาร การทหารเป็นเพียงเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองในขั้นต่างๆ เท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ข้อเสนอ

สำหรับข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาค ใต้ คงไม่ต่างจากที่เคยเสนอต่อรัฐบาลชุดที่ผ่านมา เนื่องจากนโยบายความมั่นคงเฉพาะพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลภายใต้ การนำของ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงยึดนโยบายเดิม เหมือนรัฐบาลชุดที่แล้ว จึงใคร่ขอเสนอไว้เฉพาะประเด็นการแก้ไขปัญหาที่สำคัญและเร่งด่วน โดยสรุป ดังนี้

ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสงครามที่ไม่ประกาศเป็นการลุก ขึ้นสู้ด้วยอาวุธของขบวนการแบ่งแยกดินแดน เป็นการต่อสู้ที่มีอุดมการณ์ยึดโยงกับความเชื่อ ความศรัทธาอย่างเหนียวแน่น มีเครือข่ายการจัดตั้งทางการเมืองและการทหาร กว้างขวางและลึกซึ้ง การเอาชนะความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องต่อสู้ด้วยความ ระมัดระวัง ใช้สติปัญญา และสุขุมรอบคอบอย่างยิ่ง ทุกนโยบาย ทุกยุทธศาสตร์ และทุกยุทธวิธีจึงต้องมีลักษณะรอบคอบ รอบรู้ และรอบด้านตลอดเวลา


การสำรวจสภาพลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะของสังคม ศึกษาจุดเด่น จุดด้อย เพื่อกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การต่อสู้ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในทุกๆ พื้นที่ ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล และทุกหมู่บ้าน เพื่อให้แต่ละสนามการปฏิบัติการ มีสภาพสอดคล้องกับเงื่อนไขที่ดำรงอยู่จริงในแต่ละพื้นที่ ซึ่งก็คือในแต่ละหมู่บ้านนั่นเอง

การ ต่อสู้ของฝ่ายรัฐ ควรเริ่มต้นจากการต่อสู้ทางความคิด รัฐควรผลิตชุดความคิดขึ้นมาชุดหนึ่ง ในกระบวนการผลิตดังกล่าว ประเด็นหลักๆ ควรมาจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ปัญญาชน และผู้นำธรรมชาติทั่วไป ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี ควรกำหนดไว้ให้ชัดเจนเป็นการเฉพาะ และอยู่ในกรอบของยุทธศาสตร์ใหญ่โดยรวม

สำหรับการต่อสู้ทางการเมืองนั้น ทุกระดับต้องดำเนินการอย่างจริงจัง และประสานสอดคล้องกัน ถ้าถามว่าอะไรคือการเมือง ตอบง่ายๆ ได้ว่าการต่อสู้ทุกๆ อย่างที่ไม่ใช้อาวุธและความรุนแรง คือการต่อสู้ทางการเมืองทั้งสิ้น การต่อสู้ทางความคิด การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม การเยียวยาช่วยเหลือประชาชน หรือแม้แต่การให้บริการที่ดี ก็ล้วนอยู่ในบริบทของการต่อสู้ทางการเมือง

ส่วน การต่อสู้ทางการทหารนั้น จะต้องใช้วิถีทางของนักการทหารเป็นการเฉพาะเช่นกัน การใช้มาตรการทางทหารต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลการข่าวที่แม่นยำ ถูกต้อง และทันเวลา การใช้กำลังทุกรูปแบบต้องทำอย่างจำกัด และเมื่อทำแล้วต้องส่งผลเชิงบวกต่อการยกระดับให้แก่งานการเมือง ยิ่งใช้ปฏิบัติการทางทหารต้องยิ่งได้การเมือง เพราะงานการทหารคือเครื่องมือในการทลายจุดอับทางการเมือง เมื่องานการเมืองเดินหน้าต่อไปได้ การปฏิบัติการทางทหารก็ต้องลดลง คงไว้ได้เพียงระดับการป้องปรามเท่านั้น

สำหรับประเด็นยุทธวิธีเฉพาะหน้าที่รัฐบาลต้องรีบทำทันที คือ

ประการแรก คือ การเร่งสร้างความเป็นเอกภาพ ด้านอุดมการณ์ยุทธศาสตร์ และนโยบายการแก้ปัญหาความไม่สงบในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

ประการที่สอง ต้องเร่งรัดคดีที่ประชาชนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้ปรากฏผลโดยเร็ว และเมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ก็ควรประชาสัมพันธ์ให้สังคมได้รับรู้อย่างกว้างขวาง กรณีที่จำเป็นต้องเยียวยา ก็ต้องดำเนินการโดยทันที

ประการที่สาม คือ การหาช่องทางจัดสรรงบประมาณแก่กลุ่มผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรภาคประชนชนทุกประเภท ให้ได้เข้ามามีบทบาทร่วมในการแก้ปัญหาในชุมชนให้มากขึ้น

ประการสุดท้าย คือ การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการจัดกิจกรรมมวลชนสัมพันธ์ให้แก่ทุกอำเภออย่าง เพียงพอ เนื่องจากการขับเคลื่อนงานมวลชนสัมพันธ์ระดับอำเภอ เป็นการสร้างความเข้มแข็ง และยกระดับงานการเมืองระดับพื้นที่ได้ดีที่สุด

แนวโน้มของสถานการณ์ในปี 2551

สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปี 2551 หากพิจารณาจากพัฒนาการของสถานการณ์ และสภาวะแวดล้อมในห้วงเวลาปัจจุบัน ก็อาจคาดการณ์ได้ว่า กลุ่มก่อความไม่สงบจะยังคงปฏิบัติการทางทหารอยู่ต่อไป และจะยกระดับความรุนแรงในเชิงคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยหวังผลความสูญเสียที่ใหญ่โต และกว้างขวาง สังเกตได้จากการวางระเบิดในระยะหลัง มักหวังผลความเสียหายในวงกว้าง การซุ่มโจมตีก็ยกระดับเป้าหมายที่มีตำแหน่งสำคัญในราชการสูงขึ้น

ใน ทางการเมืองคาดว่า กลุ่มก่อความไม่สงบน่าจะใช้ความพยายามทำงานแนวร่วมกับองค์กรสากลเพิ่มขึ้น โดยใช้เงื่อนไขการปราบปราม และการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเงื่อนไขหลัก ประสานกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองในระบบระดับต่างๆ และองค์กรพัฒนาเอกชนบางองค์กรที่ได้รับข้อมูลซึ่งไม่ชัดเจนเพียงพอทั้งทาง ตรงและทางอ้อม

หากเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับยังไม่ปฏิบัติการต่อสู้เชิง รุก ไม่ทำงานด้วยเข้มแข็ง จริงจัง ทั้งงานการเมืองและการทหารแล้ว ก็เชื่อได้ว่าเหตุรุนแรงจะยังคงมีอยู่ต่อไป และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขนาด และปริมาณความเสียหายที่ใหญ่โตมากขึ้นในห้วงปี 2551


mgr online

เปิดคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ลดค่าเงินบาท

ผู้จัดการออนไลน์ - เปิดคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ลดค่าเงินบาท (ฉบับเต็ม) เผยธาตุแท้ “โภคิน” มือกฎหมายชั้นนำของประเทศโกหกกลางศาล ด้าน “ด็อกเตอร์ทักษิณ” เศรษฐีมือถือ อินไซด์ข้อมูล ไขปริศนาดำมืดเหตุใดจึงรวยอู้ฟู่ ตักตวงประโยชน์ สะสมทุนตั้งสามารถตั้งพรรคกินเมืองในเวลาต่อมา ??

**ถอด รหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ - ตอนที่ 1 : เวลา 4 ทุ่ม กับคืนที่ทักษิณรู้ข่าวลดค่าเงินบาท**

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5730/2550 ยกฟ้องคดีที่นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กับหนังสือพิมพ์อีก 8 ฉบับ เป็นเงิน 2,500 ล้านบาท กรณีที่นายสุเทพอภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 เรื่องการลดค่าเงินบาท โดยตั้งข้อสงสัยว่านายโภคิน จะนำมติจากที่ประชุมลับเรื่องการลดค่าเงินบาท ไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้บริษัทของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ประโยชน์

คำ พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งทั้งสองฝ่ายนำสืบพยานและศาลได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงก่อนมีคำพิพากษา เปิดเผยให้เห็นความจริงที่ถูกเก็บงำเป็นความลับมาตลอดร่วมสิบปี ทั้งยังเผยให้เห็นธาตุแท้ของนักกฎหมายระดับชั้นนำของประเทศ ขณะที่ปริศนาและข้อพิรุธสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทได้ปรากฏให้เห็นมูลความจริง

ต่อไปนี้ คือ คำฎีกาและการนำสืบของโจทก์ (นายโภคิน พลกุล) การนำสืบต่อสู้คดีของฝ่ายจำเลยที่ 1 (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) การพิเคราะห์ข้อเท็จจริงของศาล และคำพิพากษาในคดีประวัติศาสตร์

…………………………………..

ศาล ฎีกา รับคำฎีกาของโจทก์ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2547 และศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณา โจทก์นำสืบว่า โจทก์สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมดี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย ปริญญาโทและปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปรารีส ประเทศฝรั่งเศส

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส ได้กลับมารับราชการเป็นอาจารย์ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นอาจารย์ระดับปริญญาตรีและปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งทางวิชาการ เริ่มต้นจากอาจารย์ ต่อมาเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ ทั้งมีตำแหน่งทางบริหารในมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ เป็นหัวหน้าฝ่ายวิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ และเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ ผู้อำนวยการบัณฑิตศึกษาในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ทั้งเป็นกรรมการกฤษฎีกา กรรมการข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย เป็นกรรมการข้าราชการตำรวจ เป็นกรรมการทบวงมหาวิทยาลัย เป็นกรรมการสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และกรรมการอื่นๆ อีกหลายแห่ง ต่อมา ได้ลาออกจากราชการและดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา และรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 มีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่รัฐสภา เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีขณะนั้น คือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงทางวิทยุโทรทัศน์ ช่อง 9 และช่อง 11 ถ่ายทอดเสียงไปทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย การถ่ายทอดดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 1 ทราบดี ขณะนั้น จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน

จำเลย ที่ 1 อภิปรายกล่าวพาดพิงถึงโจทก์ว่า โจทก์ทราบถึงการตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 และได้พาดพิงถึงโจทก์ว่า ได้นำข้อมูลที่ทราบไปบอกแก่ด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ได้อาศัยข้อมูลดังกล่าวทำการซื้อขายเงินตราในระยะ 2 วัน ทำกำไร 4,000,000,000 บาท ถึง 5,000,000,000 บาท ทำให้ประชาชนน้ำตาไหล ทำให้พรรคพวกของตัวเองได้ประโยชน์ เป็นการผิดศีลธรรมจรรยา และเป็นการที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เองก็จะอยู่ในแผ่นดินไทยไม่ได้

กล่าวโดยสรุป กล่าวหาว่าโจทก์ร่วมกันหาประโยชน์กับด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ในข้อมูลที่จะเปลี่ยนแปลงค่าบาท ซึ่งทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหาย ทั้งยังกล่าวว่า หากจำเลยที่ 1 พูดไม่ถูกต้องก็ให้นำไปฟ้องเป็นคดีต่อศาล ปรากฏตามคำอภิปรายของจำเลยที่ 1

*** ในวันรุ่งขึ้น หลังจากจำเลยที่ 1 หนังสือพิมพ์ได้ลงพาดหัวข่าวในทำนองที่เชื่อคำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ว่า ด็อกเตอร์ทักษิณ กับโจทก์ มีส่วนรู้เห็นในการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และนำข้อมูลดังกล่าวไปแสวงหาประโยชน์ ซึ่งข้อความที่จำเลยที่ 1 อภิปรายนั้นเป็นข้อความที่ใส่ร้ายและเป็นเท็จ โจทก์ไม่เคยทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ไม่เคยติดต่อกับด็อกเตอร์ทักษิณ และไม่เคยร่วมมือกับด็อกเตอร์ทักษิณ หรือบุคคลอื่นใดหาประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าว

***ต่อมา พรรคความหวังใหม่ มีหนังสือไปถึงรัฐมนตรีกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ตรวจสอบการซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงวันที่ 29 มิถุนายน 2540 และย้อนหลังขึ้นไปอีก 2 สัปดาห์ แต่กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้ตอบกลับมา

พรรคความหวังใหม่ จึงได้มีหนังสือไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งหนึ่ง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า ปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกัน ของเดือนก่อนหน้าร้อยละ 12 เนื่องจากเป็นช่วงกลางปีจึงมีเงินกู้และดอกเบี้ยครบกำหนดต้องชำระเป็นจำนวน มาก ส่วนการซื้อขายในตลาดต่างประเทศนั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากธุรกรรมการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดต่างประเทศ ธนาคารผู้ค้าจะแจ้งเฉพาะอัตราที่เสนอซื้อขายโดยไม่แจ้งปริมาณซื้อขาย (ตามเอกสารหมายเลข จ.3)

โจทก์เห็นว่า เอกสารหมายเลข จ.3 ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่มีหนังสือถามไป จึงให้รองผู้อำนวยการพรรคความหวังใหม่ มีหนังสือไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ คลังอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาข้อมูลของบุคคลที่แสวงหาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท

ต่อ มา ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ เนื่องจากเป็นข้อมูลลับ ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งขณะนั้นคือ นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่ตอบหนังสือกลับมายังพรรคความหวังใหม่ พรรคความหวังใหม่ จึงมีหนังสือสอบถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง

ต่อ มา กระทรวงการคลัง โดยปลัดกระทรวงการคลัง มีหนังสือตอบกลับมายังพรรคความหวังใหม่ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย ตอบคำถามของพรรคความหวังใหม่ไปแล้ว

หนังสือตอบกลับสรุปว่า ไม่ได้ความว่าผู้ใดเป็นผู้รับประโยชน์จากการที่ค่าเงินบาทลอยตัว

การอภิปรายของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ร่วมสอนหนังสือพูดหยอกล้อเรื่องที่โจทก์คงได้ เงินไปหลายร้อยล้านบาท เป็นการเชื่อตามที่จำเลยที่ 1 ได้อภิปราย ซึ่งหลังจากที่จำเลยที่ 1 อภิปรายมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างจริงจังจากภาค รัฐบาล

เหตุที่โจทก์ต้องฟ้องคดีนี้ เนื่องจากต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ใส่ร้ายป้ายสีทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าโจทก์ได้ผลประโยชน์จากการทำกำไรของด็อกเตอร์ทักษิณ อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จึงขอเรียกค่าเสียหาย 2,500,000,000 บาท นอกจากนี้โจทก์ไม่ติดใจที่จะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนอื่นอีก

จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขณะนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้อภิปรายในสภาเกี่ยวกับพฤติกรรมของโจทก์ ที่เกี่ยวข้องกับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ประเพณีปฏิบัติที่ทำกันทุกสมัยในกรณีที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ค่าเงินบาทนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมจะมีเพียง 3 คน คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่การประชุมในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 นั้น โจทก์เข้าร่วมประชุมด้วยทั้งที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย

ก่อนเกิดเหตุคดี นี้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า เรื่องนี้ได้ทำเป็นความลับโดยมีผู้รู้เห็นเพียง 3 คน คือ ตนเอง นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

แต่ จำเลยที่ 1 ทราบว่า โจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย โดยทราบจากนายภูษณะ ปรีมาโนช นายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ และนายเริงชัย มะระกานนท์ เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบว่าโจทก์เข้าร่วมประชุมด้วย จึงเห็นเป็นข้อพิรุธว่าโจทก์สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการค้า ขายเก็งค่าเงินบาทได้ผลกำไร

การอภิปรายของจำเลยที่ 1 ไม่เคยใช้ข้อความยืนยันว่าโจทก์ทุจริต แต่จะใช้คำว่าตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมของโจทก์ว่าไม่เหมาะสม ไม่โปร่งใส สงสัยว่าโจทก์จะนำความลับเกี่ยวกับการปรับลดค่าเงินบาทไปบอกด็อกเตอร์ทักษิณ เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ด็อกเตอร์ทักษิณ ไม่ได้รับความเสียหายจากการปรับค่าลดค่าเงินบาทในครั้งนี้ แต่กลับได้รับผลกำไรและมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการลดค่าเงินบาท

ในการอภิปรายของจำเลยที่ 1 ไม่ได้มีเจตนาใส่ความหรือใส่ร้ายโจทก์ จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้ทำหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน มาตรา 157 ได้บัญญัติคุ้มครองการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาไว้ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิแถลงข้อเท็จจริงแสดงความคิดเห็นเป็น เอกสิทธิ์ ผู้ใดนำไปฟ้องร้องไม่ได้

แม้การอภิปรายในที่ประชุมจะมีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือ วิทยุโทรทัศน์ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ประกาศใช้แล้วเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 ซึ่งมีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและของ ประชาชน บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่สามารถใช้ย้อนหลังเพื่อเป็นโทษได้ แต่ต้องนำส่วนที่เป็นคุณมาใช้บังคับ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง เนื่องจากก่อนเป็นนักการเมืองโจทก์เป็นนักวิชาการไม่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก นัก ทั้งไม่เคยทำธุรกิจค้าขายร่วมกับชาวต่างประเทศและเสียภาษีเพียงปีละหลักพัน บาทเท่านั้น

พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 และวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในขณะนั้น ร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท

ต่อมาวันที่ 26 กันยายน 2540 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่รัฐสภา เป็นการอภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีคือพลเอกชวลิต และมีการถ่ายทอดไขข่าวแพร่หลายทั้งการกระจายเสียงทางสถานีวิทยุและแพร่ภาพ ทางสถานีโทรทัศน์ จำเลยที่ 1ซึ่งขณะนั้นป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้าน ส่วนโจทก์เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของพลเอกชวลิต

จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้อภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจพลเอกชวลิตนายก รัฐมนตรีเกี่ยวกับการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท และระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

*** จำเลยที่ 1 อภิปรายว่า "การที่มีคนมีกำไรอย่างนี้นะครับ ทำให้ผมสงสัยว่ามีคนอื่นที่ได้กำไร ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อพลเอกชวลิต แต่เป็นพวกที่เชื่อพลเอกชวลิต แล้วได้กำไรมีไหม มีครับท่านประธาน เพราะเขาเชื่อว่าพลเอกชวลิตจะตัดสินใจลดค่าเงินบาทเมื่อไร คนนี้เอาเปรียบคนไทยทั้งชาติ คนนี้เอาข้อมูลภายในไปแสวงหาประโยชน์ มีข่าวลือกันมากในตลาดการเงินในประเทศไทยว่า ขาใหญ่ที่ร่ำรวยนั้น รวยถึงขนาดมีการันตีได้ว่า เลือกตั้งคราวหน้าสบายกันทุกคน

ท่านประธานที่เคารพครับ ผมสงสัยเรื่องนี้แล้ว ท่านประธานต้องเห็นใจอย่างยิ่งที่ผมมีความสงสัย เพราะพลเอกชวลิตแสดงพิรุธ พลเอกชวลิตแสดงพิรุธ 2 ประการ

*** ประการที่ 1 พลเอกชวลิตแสดงพิรุธด้วยการมาพูดจาในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์ ทั้งทีวี ทั้งวิทยุ ว่าในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัวนั้น ทำอย่างเป็นความลับที่สุด รู้กัน 3 คน เท่านั้นเอง คือพลเอกชวลิต นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

ตรงนี้เป็นพิรุธครับท่านประธาน ผมสอบสวนมีพยานหลักฐานยืนยันได้ ถ้าพลเอกชวลิตต้องการรู้ว่า ต้องการที่จะเถียงกับผม ผมท้าให้ฟ้องศาลเรื่องนี้เพราะผมมีหลักฐาน พยานบุคคลยืนยันว่า วันที่ตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้รู้กันแค่ 3 คนมีคนที่ 4 รู้ด้วย

ท่านประธานที่เคารพครับ เข้าประตูทำเนียบนี่มียามรักษาการณ์ มีเจ้าหน้าที่ มีว่า วันนั้นเวลานั้นในห้องนายกรัฐมนตรีมีใครอยู่กี่คน ผมแอบได้ยินมาด้ว ว่า พูดอย่างไรด้วย มีคนเขาเล่าให้ผมฟัง เขาพร้อมที่จะเป็นพยานให้ผม คนที่ 4 ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่สมควรที่จะนั่งอยู่ในการตัดสินใจครั้งสุด ท้าย ตามตำหนิรูปพรรณที่คนเขาให้การมา รวมทั้งแผลเป็นบอกว่าชื่อนายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่เคยปรากฏว่า ในวันที่นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างนี้จะต้องมีคนมานั่งใกล้ชิด กำกับอยู่ด้วย นายกรัฐมนตรีควรมีสติ มีปัญญาที่จะตัดสินวินิจฉัยได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีคนกำกับ

*** ผมสงสัยว่า นายโภคิน พลกุล ไปนั่งอยู่ทำไมในเวลานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของนายโภคิน ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะให้นายโภคินล่วงรู้เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตัดสินใจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันตัดสินใจเท่านั้น แต่เรื่องนี้แม้พลเอกชวลิตจะมาพูดกับคนทั้งชาติว่ารู้กัน 3 คน แต่ที่จริงรู้กัน 4 คน นายโภคินนั่งอยู่ด้วยตลอดในเวลา 1 ชั่วโมง ที่หารือกันเรื่องนี้ หารือกันวันที่เท่าไร ท่านประธานครับ วันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันอาทิตย์ เวลา 9.30 นาฬิกา เป็นต้นไป

*** ตรงนี้พลเอกชวลิต แสดงพิรุธอีก เพราะพลเอกชวลิตบอกกับสภานี้ว่าได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะประกาศที่จะให้ ค่าเงินบาทลอยตัวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ความตรงนี้มีนัยที่น่าสนใจมาก

*** ท่านประธานครับ พลเอกชวลิตคล้ายๆ จะบอกกับสภานี้ว่า ตัดสินใจวันที่ 1 รุ่งขึ้นเช้าวันที่ 2 ประกาศเลย เหมือนกับเป็นการป้องกันตัวไว้ก่อนว่าไม่มีใครหยิบฉวยจังหวะตรงนี้ไปหา ประโยชน์ได้หรอก ความจริงไม่ใช่ ไปปรึกษาการตัดสินใจครั้งสุดท้ายวันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันอาทิตย์ 9.30 น.

ก่อนหน้านี้มีคนนั่งกันอยู่ในห้องหลายคนมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ มีสภาพัฒน์ฯ พอ 3 คนนี้เข้าไปก็ให้คนอื่นออก แต่เหลือนายโภคินเอาไว้ แล้วตัดสินใจเสร็จ จากวันที่ 29 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ รุ่งขึ้นวันที่ 30 เป็นวันจันทร์ วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันอังคาร

*** พลเอกชวลิต มาพูดที่นี่ว่า วันที่ 1 เป็นวันหยุดกลางปีของธนาคาร ใครรู้อะไรก็ทำอะไรไม่ได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยหยุด ท่านประธานครับ ธนาคารฮ่องกง ธนาคารสิงคโปร์ไม่หยุด รู้ล่วงหน้า 2 วัน ทำเงินได้หลายพันล้านบาทครับ ถ้าคนนั้นมีเงินในระดับที่จะไปลงทุนได้

*** ความ 2 ประการนี้เป็นพิรุธ พิรุธเรื่องที่บอกว่ารู้กัน 3 คน ทั้งๆ ที่รู้กัน 4 คน พิรุธเรื่องที่บอกว่า ตัดสินวันที่ 1 ทั้งๆ ที่ตัดสินเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พิรุธนี้ทำให้ผมสงสัยว่าอย่างไร สงสัยว่า เอาเวลาช่วงที่ขาดไปนั้นไปให้พรรคพวกของตัวเองได้ไปซื้อเงินดอลลาร์ไว้ล่วง หน้า ไปซื้ออัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้าแล้วทำกำไร

ท่านประธานที่เคารพครับวันนี้ผมยอมบาป คนที่ผมสงสัยมากที่สุดนั่งอยู่ตรงนั้นครับ ด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ครับผู้ต้องสงสัยของผม ท่านด็อกเตอร์ทักษิณไม่ได้ทำบาปอะไรหรอกครับ ที่ผมสงสัยคือสงสัยว่ารัฐมนตรีโภคินจะเป็นคนบอกความลับเรื่องนี้กับ ด็อกเตอร์ทักษิณ แล้วด็อกเตอร์ทักษิณไปซื้อขายเงินไว้ล่วงหน้าทำกำไร

ท่านประธานที่เคารพครับ ท่านได้กำไรไปเยอะในขณะที่คนในชาติน้ำตาไหลกันทุกคน ผมไม่แปลกใจว่า หลังจากนั้นไม่นาน ได้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ก็เก่งขนาดทำเงินได้ 2 วัน 4,000,000,000 บาท ถึง 5,000,000,000 บาท ก็น่าจะให้เป็นหรอกครับ

*** ท่านประธาน นี่เป็นข้อสงสัยของผม ผมคาดคะเนสงสัยด้วยเหตุผลแวดล้อมอย่างนี้และผมมีประจักษ์พยานหลักฐานว่า หลังจากนายโภคินได้รับความลับเรื่องนี้ ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อกับด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร เสียอย่างเดียวว่า ผมไม่มีหูทิพย์ว่าพูดกันอย่างไรเท่านั้นเองครับ แต่ผมสงสัย และผมรู้ว่านายโภคินได้พูดความลับเรื่องนี้กับคนอื่นอีก ถ้าท่านรัฐมนตรีโภคินสงสัยฟ้องศาล จะได้รู้ว่า คนที่ท่านบอกนั้นจะเป็นพยานให้ท่านหรือจะเป็นพยานให้ผม

การที่มีคนรู้ความลับและเอาความลับไปเปิดเผยแล้วไปหาประโยชน์กันมัน ผิดทั้งคุณธรรม ทั้งจรรยา ผมต้องเรียนกับท่านประธานตรงๆ นะครับ ผมไม่สามารถจะสงสัยคนอื่นที่เปิดเผยความลับได้หรอกนอกจากรัฐมนตรีโภคิน เพราะว่า คนแรกคือนายกรัฐมนตรีผมเชื่อว่า ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นนายกรัฐมนตรีคงไม่บอกด้วยปากตัวเอง

คนที่ 2 คือ รัฐมนตรีฯ ทนง ถึงจะเคยมีความสัมพันธ์กับด็อกเตอร์ทักษิณมาก่อน ทำงานอยู่ด้วยกัน แต่ศักดิ์ศรีขุนคลังของประเทศคงไม่เปิดปากคนที่ 3 คือ นายเริงชัย มะระกานนท์ ที่รู้เรื่อง เขาเป็นลูกหม้อธนาคารแห่งประเทศไทยแบงก์ชาติ ผมว่า จิตวิญญาณเขาคงหนักแน่นไม่ทำอย่างนั้น คนที่ 4 ซึ่งไม่เกี่ยวกับเขาละสิครับไปนั่งอยู่ด้วยนี่สิครับ ไม่ให้ผมสงสัยได้อย่างไร นี่คือเหตุผลครับ ท่านประธานครับ...."

วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงพาดหัวข่าวการอภิปรายของจำเลยที่ 1
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ศาลวินิจฉัยแล้ว เห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น

คดีมีปัญหาวินิจฉัยในประการต่อไปว่า คำอภิปรายของจำเลยที่ 1 เป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่

โจทก์เบิกความว่า คำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์ว่า โจทก์ทราบว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 และโจทก์นำข้อมูลที่ทราบไปบอกด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ด็อกเตอร์ทักษิณอาศัยข้อมูลที่ได้รับทราบจากโจทก์ไปทำการซื้อขายเงิน ตราในระยะเวลา 2 วัน ได้กำไร 4,000,000,000 บาท ถึง 5,000,000,000 บาท ทำให้ประชาชนน้ำตาไหล และพรรคพวกของโจทก์ได้ประโยชน์เป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมจรรยา

โดยสรุปจำเลยที่ 1 กล่าวว่าโจทก์ร่วมกันหาประโยชน์กับด็อกเตอร์ทักษิณเกี่ยวกับข้อมูลที่จะ เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาท ซึ่งเป็นการทำให้บ้านเมืองเสียหาย

ต่อมาหนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ลงพิมพ์โฆษณาพาดหัวข่าวและลงข้อความว่า โจทก์ทำกำไรเรื่องค่าเงินบาท ซึ่งข้อความที่จำเลยที่ 1 อภิปรายนั้นเป็นความเท็จ โจทก์ไม่ทราบว่าในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท โจทก์ไม่เคยติดต่อกับด็อกเตอร์ทักษิณ ทั้งไม่เคยร่วมมือกับด็อกเตอร์ทักษิณหรือบุคคลอื่นใดในการแสวงหาประโยชน์จาก ข้อมูลดังกล่าว คำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จำเลยที่ 1 ได้อภิปรายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงลดค่าเงินบาท โดยก่อนวันที่โจทก์อภิปรายได้มีสื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองที่ว่า ความลับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงลดค่าเงินบาทได้รั่วไหลไปสู่นักธุรกิจก่อน แล้ว

พลเอกชวลิตได้ออกมายืนยันว่า เรื่องนี้ได้ทำเป็นความลับและมีผู้รู้เพียง 3 คน เท่านั้น คือพลเอกชวลิต นายทนง พิทยะ ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

เหตุ ที่จำเลยที่ 1 อภิปรายเกี่ยวกับโจทก์เนื่องจากได้รับทราบข้อมูลจากนายภูษณ ปรีย์มาโนช และนายไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ ซึ่งเป็นเพื่อนของโจทก์ ทั้งได้ทราบจากนายเริงชัย มะระกานนท์ ด้วยว่า ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ไม่ได้มีบุคคลเพียง 3 คนดังกล่าวข้างต้น แต่โจทก์ได้ร่วมประชุมด้วย

ในการอภิปรายจำเลยที่ 1 ไม่เคยอภิปรายยืนยันว่า โจทก์ทุจริต จำเลยที่ 1 อภิปรายโดยตั้งข้อสงสัยในพฤติกรรมของโจทก์ว่า โจทก์จะนำความลับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงลดค่าเงินบาทไปบอกด็อกเตอร์ทักษิณ

จำเลยที่ 1 อภิปรายในฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เป็นการอภิปรายตามหน้าที่ และเป็นการติชมโดยสุจริต อันเป็นวิสัยของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติและประชาชน

*** เห็นว่า โจทก์เบิกความยืนยันว่า โจทก์ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท โจทก์ไม่เคยบอกด็อกเตอร์ทักษิณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาท โจทก์ไม่เคยร่วมมือกับด็อกเตอร์ทักษิณหรือบุคคลอื่นใดในการแสวงหาประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท

*** การอภิปรายของจำเลยที่ 1 เป็นความเท็จทั้งหมดแต่กลับได้ความจากนายเริงชัยพยานโจทก์เองว่า ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 พยานกับนายทนง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าพบพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบ รัฐบาลเพื่อที่จะปรึกษาหารือเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท โจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั่งอยู่ด้วย นายทนง พูดขึ้นว่า ที่มาพบก็เนื่องจากจะปรึกษาหารือเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท พยาน (นายเริงชัย) จึงพูดขึ้นว่า เรื่องนี้จะนำมาพูดในขณะนี้สมควรหรือไม่ เนื่องจากมีโจทก์อยู่ด้วย

นายกรัฐมนตรี ก็พูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรให้โจทก์อยู่ด้วยได้ และรับทราบได้ ดังนั้น นายทนงซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้รายงานผลสรุปของคณะ กรรมการที่ได้เสนอต่อพยาน (นายเริงชัย) โดยจะต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัว

นอกจากนี้ นายทนง พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า ในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา พยาน(นายทนง)ได้ไปพบนายกรัฐมนตรีเพื่อร่วมปรึกษาหารือทางด้านเศรษฐกิจ นายเริงชัยได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีพร้อมกับพยาน และโจทก์ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ซึ่งมีบางตอนที่นายกรัฐมนตรีถามที่ประชุมว่า หากประชาชนมีคำถามเกี่ยวกับนโยบายการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน จะให้ตอบอย่างไร นายเริงชัยได้ให้คำแนะนำว่า ให้นายกรัฐมนตรีปฏิเสธว่า ยังไม่มีการดำเนินการอย่างใด

*** ดังนี้ เห็นได้ว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวข้างต้นแตกต่างขัดแย้งกับคำเบิก ความของโจทก์โดยสิ้นเชิง พยานโจทก์ทั้งสองปาก (นายเริงชัยและนายทนง) ดังกล่าวเป็นประจักษ์พยานที่อยู่ในเหตุการณ์วันที่ 29 มิถุนายน 2540 และไม่มีส่วนได้เสียในคดี ทั้งเป็นพยานที่โจทก์อ้าง จึงเชื่อว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากเบิกความไปตามความจริง ซึ่งสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลยที่ 1

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ขณะที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมประชุมกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท โจทก์ได้ร่วมประชุมอยู่ด้วย

นอกจากนี้ นายเริงชัย ยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่า ตามประเพณีปฏิบัติเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาทจะรู้กันเพียง 3 คน เท่านั้น คือ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายกรัฐมนตรี

เหตุที่เป็นความลับเนื่องจากว่า หากบุคคลภายนอกซึ่งไม่เกี่ยวข้องล่วงรู้จะนำไปหาประโยชน์โดยแสวงหากำไร พยานจึงท้วงติงนายกรัฐมนตรีว่า ควรที่จะพูดเรื่องลดค่าเงินบาทในขณะนั้นหรือไม่เพราะมีโจทก์อยู่ด้วย เนื่องจากโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลก เปลี่ยน

*** ดังนี้ จึงเห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรว่า โจทก์ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่สมควรจะไปนั่งอยู่ด้วยในการประชุม ตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะให้ค่าเงินบาทลอยตัวนั้น ไม่ใช่ข้อความอันเป็นเท็จหรือฝ่าฝืนต่อความจริง ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้ต่างหากที่ฝ่าฝืนต่อความจริง

ส่วนที่จำเลยที่ 1 อภิปรายต่อไปว่า จำเลยที่ 1 สงสัยว่า โจทก์เป็นคนบอกความลับเรื่องนี้แก่ด็อกเตอร์ทักษิณนั้น

ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิและหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพล เอกชวลิตได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 มาตรา 148 ถึงมาตรา 150 ส่วนโจทก์ซึ่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกชวลิตเป็น บุคคลที่ต้องรับการตรวจสอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับมอบหมายจากพรรคประชาธิปัตย์ให้ร่วมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้ วางใจพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรี ได้อภิปรายถึงการทำงานของพลเอกชวลิตว่ามีข้อบกพร่องและไม่ถูกต้องอย่างไร นั้นเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 กำหนดไว้

*** และการกระทำของพลเอกชวลิตที่ยอมให้โจทก์ได้ร่วมรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท อันเป็นเรื่องความลับที่สุดซึ่งเกี่ยวกับประโยชน์และส่วนได้เสียของประเทศ และประชาชนจำนวนมากเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540 ก่อนวันประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ถึง 3 วันทั้งๆ ที่โจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องหรือควรรับรู้ถึงการปรึกษาหารือและการตัดสิน ใจในครั้งนี้เลย

และหลังจากนั้น ยังยืนยันในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชนมาโดยตลอดว่า มีผู้รู้ถึงการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเพียง 3 คนเท่านั้น คือ ตัวพลเอกชวลิต นายทนง และนายเริงชัย เป็นข้อพิรุธสำคัญ

*** ประกอบกับพันตำรวจโททักษิณซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการค้ารายใหญ่ไม่ได้รับผล กระทบเสียหายรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างผู้ ประกอบธุรกิจการค้าใหญ่รายอื่นที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศที่ต่าง ประสบความเสียหายอย่างรุนแรง ย่อมเป็นมูลเหตุเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายตั้งข้อสงสัยโจทก์ได้

จำเลยที่ 1 เพียงแต่ตั้งข้อสงสัยว่าโจทก์เป็นผู้นำเอาความลับที่สุดดังกล่าวที่รู้มาโดย ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและไม่ควรจะรู้ไปบอกพันตำรวจโททักษิณ ไม่ได้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง

การตั้งข้อสงสัยดังกล่าวของจำเลยที่ 1 จึงมีมูลเหตุเพียงพอที่จะให้ตั้งข้อสงสัยเช่นนั้นได้ ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยอย่างเลื่อยลอย อันจะทำให้เห็นเจตนาร้ายของจำเลยที่ 1 ที่จงใจฉวยโอกาสในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎพรรคฝ่ายค้าน ให้ร้ายโจทก์โดยปราศจากเหตุอันสมควร

การอภิปรายของจำเลยที่ 1 ที่พาดพิงถึงโจทก์นั้นยังอยู่ในขอบเขตของการปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของพลเอกชวลิตนายกรัฐมนตรีเพื่อผล ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน อันเป็นวิสัยที่พึงกระทำคำอภิปรายของจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงไม่จำต้องวินิยฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป

///////////////////////////

** “ทักษิณ” ยอมรับรู้ล่วงหน้าลดค่าบาท

สำนักข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ตรวจสอบรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการอภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กรณีลดค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายสงสัยว่านายโภคินจะนำความลับเรื่องการลดค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ไปบอกพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ได้ประโยชน์จากการลดค่าเงิน

จากการตรวจสอบรายงานการประชุมสภาผู้แทนฯชุดที่ 20 ปีที่ 1 ครั้งที่ 25-26 ( สมัยสามัญครั้งที่ 2 เล่ม 21 พ.ศ. 2540 ) หน้า 179 -181 พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นตอบนายสุเทพซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมรับว่ารู้เรื่องการประชุมเรื่องการลดค่าเงินบาทที่ทำเนียบรัฐบาลเพราะมี คนแจ้งไป ดังนี้

" เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม ( 2540 ) กลางคืนวันนั้น บังเอิญผมทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่ผมนับถือร่วมกับนักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนหนึ่ง ประมาณ 4 ทุ่ม มีคนโทรมาบอกผมว่า ได้มีการพบปะกันอย่างซีเรียสมากที่ทำเนียบ มีคน 4 คนคือ นายกฯ ( พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ), นายเริงชัย มะระกานนท์ ( ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยขณะนั้น ), นายทนง พิทยะ และ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ( รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ) เพราะผมรู้ว่า นายชัยวัฒน์ เป็นผู้จัดการกองทุนรักษาระดับ

ผม เลยเดาแล้วยังบอกกับผู้ใหญ่คนนั้นกับนัก นสพ. อาวุโส ว่า สงสัยจะมีการลดค่าเงินบาทแน่ เพราะถ้ามีผู้จัดการทุนรักษาระดับเข้าไปร่วมด้วยในการพิจารณาซีเรียสอย่าง นั้น ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือคือ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ครับ ผมอยู่กับท่านวันที่ 1 กรกฏาคม ตอน 4 ทุ่ม"

สำนักข่าวอิศรา ตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยพูดเลยว่า ทำอย่างไรต่อไปหลังรู้ข้อมูลดังกล่าวและบุคคลที่โทรศัพท์มาบอกเขาเป็นใคร

อ่านเรื่องเกี่ยวเนื่อง
-ถอด รหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ - ตอนที่ 1 : เวลา 4 ทุ่ม กับคืนที่ทักษิณรู้ข่าวลดค่าเงินบาท

mgr online