เพื่อชีวิต..ใคร???

วันเสาร์, กันยายน 30, 2549

การปฏิรูปการเมืองการปกครองอย่างยั่งยืน

โดย ประมวล รุจนเสรี 28 กันยายน 2549 17:57 น.
ประเทศไทยมีการปฏิรูปการเมืองมาแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งจะมีการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ แต่มิได้แก้ไขปรับปรุงและปฏิรูปองค์ประกอบทางการเมืองด้านอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กัน ที่จะทำให้การเมืองเป็นการเมืองคุณธรรมตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ยั่งยืนและถูกต้อง การปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่นี้ควรให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการไปพร้อมกับการ ยกร่างรัฐธรรมนูญ คือ

1. การกำหนดวัตถุประสงค์ ควรกำหนดดังนี้

1.1 ให้เป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เท่านั้น

1.2 ให้เป็นการเมืองคุณธรรมที่นักการเมือง พรรคการเมือง และประชาชน ถือปฏิบัติด้วยความเสียสละ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง

1.3 ประชาชนต้องได้เรียนรู้กระบวนการทางการเมืองทุกระดับโดยถูกต้อง เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง การกำหนดนโยบาย การพัฒนา การแก้ปัญหา และการตรวจสอบควบคุมการเมืองการปกครองทุกระดับ

1.4 ให้ระบบราชการสามารถรองรับและส่งเสริมการเมืองระบบนี้

1.5 สื่อสารมวลชนของรัฐและเอกชน จะต้องสามารถทำหน้าที่อย่างเสรี สุจริต เที่ยงธรรม และครบถ้วน

2. ภารกิจที่ต้องปฏิรูป

2.1 เกี่ยวกับประชาชน ควรดำเนินการดังนี้

(1) ให้ประชาชนมีโอกาสสามารถเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมทางการเมืองในชีวิตประจำ วัน ด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง การกำหนดนโยบาย การพัฒนา การแก้ปัญหา และการตรวจสอบควบคุมการเมืองการปกครองทุกระดับ

(2) จัดให้มีการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองท้องถิ่น ทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นจุดแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนอย่างแท้ จริง โดยไม่ให้การเมืองระดับชาติลงไปยุ่งเกี่ยวโดยตรงกับการมี ถนน น้ำ ไฟฟ้า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอาชีพ การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรมประเพณีที่มีคุณภาพและพอเพียง

2.2 เกี่ยวกับพรรคการเมือง ควรดำเนินการดังนี้

(1) ป้องกันมิให้พรรคการเมืองเป็นของนายทุนผูกขาด

(2) ส่งเสริมให้เป็นพรรคการเมืองที่สมาชิกสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการ เมืองทุกระดับในการระดมทุนและส่งเสริมการเรียนรู้ และการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองการปกครองทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

2.3 เกี่ยวกับนักการเมือง ควรดำเนินการดังนี้

(1) กำหนดมาตรการไม่ให้ซื้อเสียงและกำหนดใช้เงินในการเลือกตั้งเท่าที่จำเป็น ด้วยการ กำหนดวันเลือกตั้งให้น้อยวันที่สุด กำหนดจุดติดตั้งและขนาดโปสเตอร์ แผ่นผ้าหาเสียง กำหนดจุดปราศรัยให้กระทำได้ในโรงเรือนเท่านั้น และกำหนดบทลงโทษในการฝ่าฝืนให้หนัก และตัดสิทธิทาง การเมือง

(2) ปฏิรูปพฤติกรรมของนักการเมืองที่เป็น ส.ส. ส.ว. ให้ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะงานนิติบัญญัติ งานตรวจสอบควบคุมฝ่ายบริหาร ห้ามมิให้จัดสงเคราะห์แก่ประชาชนอันเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองท้องถิ่น อนุญาตให้ปรึกษาหารือกับประชาชนได้ในการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนา เท่านั้น การฝ่าฝืนในเรื่องนี้มีบทลงโทษหนักและตัดสิทธิทางการเมือง

(ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ไม่เคยมีการปฏิรูปนักการเมืองมาก่อนเลย)

2.4 เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ระบบบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบันเป็นมรดกมาจากการปฏิรูประบบราชการในสมัย รัชกาลที่ 5 ที่ทำให้ข้าราชการอยู่ในระบอบ “อำมาตยาธิปไตย” ที่ข้าราชการเป็นเจ้าของอำนาจ เจ้าของงบประมาณ เจ้าของทรัพยากร ประชาชนเป็นผู้อาศัยพึ่งพา โดยมีเสนาบดีเป็นหัวหน้าใหญ่ เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้ว รัฐมนตรีก็มาสวมอำนาจของเสนาบดี ระบบราชการก็ยังยึดติดอยู่กับความเป็นเจ้าของอำนาจ เจ้าของงบประมาณและเจ้าของทรัพยากรตามเดิม ทัศนคติและวิธีการบริหารยังไม่พัฒนาเปลี่ยนแปลง จึงควรดำเนินการดังนี้

(1) ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินเสียใหม่ ให้ความสำคัญกับราชการบริหารท้องถิ่นมากขึ้น ลดภารกิจ อำนาจ และงบประมาณของส่วนกลางแล้วลงไปเพิ่มให้องค์กรปกครองท้องถิ่น โดยมอบภารกิจเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของประชาชนให้องค์กรปกครองท้องถิ่นรับ ผิดชอบ

(2) ส่วนกลาง รับผิดชอบในด้านการต่างประเทศ การรักษาความมั่นคง การเงินการคลัง เศรษฐกิจ การป้องกันปราบปรามยาเสพติด การป้องกันการทุจริตคิดมิชอบ ส่วนกิจการอื่น ๆ ก็ให้ส่วนกลางเป็นผู้กำหนดนโยบาย มาตรฐาน สนับสนุน ช่วยเหลือ กำกับ ตรวจสอบ ควบคุม ทั้งนี้จะต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงทัศนคติของทุก ๆ ฝ่ายด้วย

(3) ส่วนภูมิภาค ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ รวมถึงกำนันผู้ใหญ่บ้าน ให้เน้นภารกิจอยู่ที่การรักษาความมั่นคงภายใน การป้องกันปราบปรามยาเสพติด การป้องกันการทุจริตคิดมิชอบ และการกำกับตรวจสอบการทำงานขององค์กรปกครองท้องถิ่น และป้องกันปราบปรามการทุจริตคิดมิชอบในองค์กรปกครองท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด

(4) ลดอำนาจคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลง ให้อำนาจการอนุมัติ อนุญาต ตรวจสอบควบคุม เป็นภารกิจของข้าราชการประจำให้มากขึ้น รวมทั้งไม่ให้มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ มุ่งให้ฝ่ายการเมืองทำหน้าที่กำหนดนโยบาย กำกับ ติดตาม เร่งรัด มิใช่ลงมาบริหารงานเสียเอง

การนี้ต้องจัดให้มีองค์กรธรรมาภิบาลที่คอยเป็นกันชนระหว่างข้า ราชการประจำ กับ ฝ่ายการเมือง คอยให้ความเป็นธรรมแก่ข้าราชการในการแต่งตั้งโยกย้าย การให้คุณให้โทษ และเป็นหลักประกันให้นโยบายของฝ่ายการเมืองได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีจาก ข้าราชการประจำ

2.5 เกี่ยวกับการกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นหัวใจของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อให้เจ้าของอำนาจอธิปไตยเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองอย่าง ใกล้ชิด การนี้ควรได้ดำเนินการดังนี้

(1) เพิ่มอำนาจ หน้าที่ งบประมาณ บุคลากร ให้แก่องค์กรปกครองท้องถิ่น โดยยึดหลักกิจกรรมเกี่ยวกับ ถนน น้ำ ไฟฟ้า ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การอาชีพ การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรมประเพณี ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่น

(2) ยกฐานะพนักงานส่วนท้องถิ่นให้มีสิทธิและศักดิ์ศรีเท่ากับข้าราชการอื่น ๆ สามารถถ่ายโอนกันได้โดยไม่มีข้อรังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยการให้มีองค์กรบริหารงานบุคคลของข้าราชการส่วนท้องถิ่นเพียงองค์กรเดียว

(3) ปรับปรุงขนาดพื้นที่ ประชากร ของท้องถิ่นให้ใหญ่ขึ้น สามารถรองรับภารกิจได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจจะใช้มาตรการจูงใจหรือการลงประชามติ

2.6 เกี่ยวกับสื่อสารมวลชน ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องมีหลักประกันเสรีภาพไม่ให้รัฐบาลและระบบทุนครอบงำ โดยการกำหนดมาตรการทางกฎหมายและนโยบาย

3. กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติ

เพื่อให้ภารกิจในการปฏิรูปการเมืองการปกครองเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ชั่ววูบเหมือนไฟไหม้ฟาง ในช่วง 12 เดือน ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกำหนดไว้ จะต้องดำเนินการ

3.1 ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

3.2 แก้ไขปรับปรุงกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน กฎหมายปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ กฎหมายกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจ กฎหมายองค์กรปกครองท้องถิ่น กฎหมายการบริหารงานบุคคลของท้องถิ่น กฎหมายข้าราชการพลเรือน กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ส.ว. กฎหมายคณะกรรมการการเลือกตั้ง กฎหมายการสื่อสารมวลชน ฯลฯ

3.3 กระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และอื่น ๆ ต้องลงมือส่งเสริมการเรียนรู้และการปฏิบัติของประชาชนในการเข้ามามีส่วน ร่วมในการเลือกตั้งที่อยู่ในธรรมะ ไม่ขายสิทธิขายเสียง การกำหนดนโยบาย การพัฒนา การแก้ปัญหา การตรวจสอบควบคุมการเมืองการปกครองทุกระดับ ตั้งแต่ที่ใกล้ตัวที่สุด คือ องค์กรปกครองท้องถิ่น ไปจนถึงระดับชาติ

3.4 ระยะเวลา 1 ปีของรัฐบาลชุดใหม่ ต้องพัฒนาทัศนคติของข้าราชการทุกประเภท และดำเนินการกระจายคน เงิน งาน ให้แก่องค์กรปกครองท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมและให้แล้วเสร็จ

รัฐประหารกับประชาธิปไตย มุมมองทางวัฒนธรรมการเมือง

โดย ยุค ศรีอาริยะ 29 กันยายน 2549 17:34 น.
การเป็นอาจารย์ บางครั้งก็ต้องปวดหัว เพราะต้องตอบคำถามที่ไม่อยากจะตอบ และบางคำถามก็ตอบได้ยาก

วันก่อน มีนักศึกษาถามผมว่า

“อาจารย์เห็นด้วยกับการรัฐประหารหรือไม่”

เล่นเอาอาจารย์“สะอึก” เพราะถ้าตอบ “เห็นด้วย” นักศึกษาคงคิดว่าอาจารย์เป็นพวกเผด็จการ หรือถ้าตอบว่า “ไม่เห็นด้วย” ลูกศิษย์อาจจะถามต่อว่า

“อาจารย์เคยเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัย 14 ตุลา อาจารย์ไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านการรัฐประหารหรือ”

ผมได้แต่ตอบนักศึกษาคนนั้นว่า

“ผมคงตอบว่าเห็นด้วยแบบสุดจิตสุดใจ หรือไม่เห็นด้วยเลย ก็ไม่ได้”

ตอบไปแล้ว ส่วนหนึ่งก็รู้สึก “โล่งอก” นี่คงไม่ต่างจากความรู้สึกของคนไทยทั่วไปเนื่องจากรัฐประหารครั้งนี้ดำเนิน การได้อย่างนิ่มนวล และไม่ใช้ความรุนแรง ถือได้ว่าเป็นรัฐประหารที่เริ่มได้ดี

รอจนสถานการณ์สุกงอมมาก แล้วจึงดำเนินการ

อาจจะกล่าวได้ว่า นี่เป็นรัฐประหารของผู้อาวุโส เพราะบรรดาคนที่อยู่เบื้องหลังล้วนแต่เป็นคนที่มีอายุมากแล้วทั้งนั้น ท่านจึงดำเนินการได้อย่างรอบครอบ

อีกความ“โล่งอก”หนึ่ง คือ รัฐประหารครั้งนี้หมายถึงการสิ้นสุดลงของระบอบทักษิณ ที่มีคุณทักษิณเป็นผู้นำ

ผมคิดว่า หลังจากนี้ ขบวนการตุลาการภิวัตน์คงเคลื่อนตัวไปอย่างเต็มรูป ใครถูก ใครผิด ใครโกงกินบ้านเมือง จะถูกลงโทษไปตามกฎหมาย ขบวนการนี้คงส่งผลโดยตรงต่อการสกัดกระแสคอรัปชั่นทางการเมืองที่แพร่ระบาด จนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของนักการเมือง ของข้าราชการได้ในระดับหนึ่ง

แต่ในความคิดอีกด้านหนึ่ง ผมก็รู้สึก “หนักใจ”

หนักใจกับอนาคตประชาธิปไตย และบ้านเมืองไทย

แม้ว่า วิกฤติทักษิณกำลังจะก้าวผ่านไปได้ แต่ก็ยังมีวิกฤติอีกหลายลูกที่ต้องเผชิญ แต่ละปัญหานั้นมีความยุ่งยากและซ้อนทับกัน จนยากที่จะแก้ได้ง่ายๆ

มีวิกฤติลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นพร้อมๆกับการทำรัฐประหาร เนื่องจากเป็นเรื่องยากมากที่จะสร้างความชอบธรรมให้แก่การก่อรัฐประหาร ผมขอเรียกวิกฤติลูกนี้ว่า วิกฤติประชาธิปไตย วิกฤตินี้เริ่มก่อตัวแล้ว ทั้งจากภายนอก และภายในเอง

ทางด้านต่างประเทศนั้น คำว่า “รัฐประหาร” มีความหมายใกล้กับคำว่า “ป่าเถื่อน” เอามากๆ รัฐประหารครั้งนี้จึงถูกแรงเสียดอย่างรุนแรงจากประชาคมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศอเมริกา

ส่วนด้านในประเทศเอง “วิกฤติประชาธิปไตย” เริ่มก่อตัวขึ้นแล้วจากอาจารย์จำนวนหนึ่ง และนักกิจกรรม ซึ่งได้ออกมาแสดงบทบาทต่อต้านรัฐประหารครั้งนี้

ผมจึงกล่าวอย่างสรุปว่า

“การ โค่นล้มระบอบการเมืองใดลงไป ที่จริงไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่ที่ยากกว่าคือ การสร้างความชอบ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการพัฒนาประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยหลังการก่อรัฐประหาร”

รัฐประหารครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ จึงอยู่ที่ความสามารถที่จะระดมพลังทางสังคมทุกฝ่าย และการเปิดกว้างให้เกิดความมีส่วนร่วม รวมกันสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืนขึ้นมา

ถ้าไม่....หรือทำไม่สำเร็จ ....ผมก็ขอเตือนไว้ล่วงหน้าว่า

การล้มลงของระบอบทักษิณก็ไม่ต่างจากการวิ่งเวียนวนอยู่กับสิ่งเก่าๆ หากเปรียบประเทศไทยคือเรือลำหนึ่ง เรือลำนี้วิ่งวนอยู่ในอ่าง วนไป ก็วนมาจน.......จนเกิดวิบัติรอบใหม่

วันนี้ คงไม่มีใครกล้าบอกว่า รัฐประหารผิด เพราะบรรดาผู้ที่ก่อการล้วนแต่เป็นคนดี ที่รักชาติบ้านเมือง และเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติ

แต่วันนี้ ผมไม่แน่ใจ...ความเป็นคนดี ความเป็นห่วงเป็นใย และความจริงใจ...เหล่านี้ อาจจะไม่เพียงพอกับปัญหาและสภาวะบ้านเมืองที่เป็นอยู่

ในอดีตเราเคยเห็นภาพรัฐประหารครั้งหนึ่ง ที่นำโดยท่าน พล.อ. สุจินดา

ผมคิดว่า ท่านก็เป็นคนดี ที่รักชาติไม่ต่างกัน

หลังจากนั้น...ไม่นาน ท่านถูกโค่นล้มลง ในช่วงวิกฤติประชาธิปไตยในเดือนพฤษภาคม

ผมไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนั้น...เกิดขึ้น ซ้ำรอยอีก

ในทางรัฐศาสตร์ คำว่า “รัฐประหาร” กับคำว่า “ประชาธิปไตย” คือ 2 คำ และ 2 ปรากฏการณ์ที่ดูจะตรงข้ามกันอย่างยิ่ง

แต่ไม่ได้หมายความว่า การก่อรัฐประหาร กับการสร้างประชาธิปไตย จะไปด้วยกันไม่ได้เลยทีเดียว

งาน ชิ้นนี้ ผมพยายามเสนอว่า รัฐประหาร กับการสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน อาจจะไปด้วยกันได้ ถ้าผู้นำรัฐประหารเข้าใจ หรือมีความตั้งใจจริงที่จะสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาจริงๆ และมีฐานภาคประชาชนได้เข้ามาร่วมช่วยสร้างฐานประชาธิปไตยกันอย่างเต็มกำลัง

แต่อุปสรรคก็ยังมีหลายประการ อย่างเช่น ผู้นำรัฐประหารมาจากทหาร ทหารซึ่งมีชีวิตวัฒนธรรมอยู่ในระบบพิเศษแบบอำนาจนิยมแบบหนึ่ง ที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งเป็นหลัก

ทหารจึงมีชีวิตวัฒนธรรมที่ขาดมิติประชาธิปไตย

อุปสรรคที่ใหญ่กว่าเรื่องความเป็นทหาร คือ เรื่อง“อวิชชา” หรือความเชื่อกันอย่างผิดๆมาตลอดในเรื่องการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ตัวอย่างเช่น

ความเชื่อว่า “ประชาธิปไตย คือ รัฐธรรมนูญ” จะสร้างประชาธิปไตยได้ก็ต้องให้นักกฎหมาย(หน้าเก่าๆ) ไปช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา

ความเชื่อที่สองคือ “ประชาธิปไตย คือ การเลือกตั้ง และรัฐสภา” ถ้าจัดให้มีการเลือกตั้ง และมีสภา ก็มีประชาธิปไตยแล้ว

นี่คือ 2 ฐานคิดที่เป็นอวิชชาทั้งคู่ แต่กลับมีอิทธิพลต่อชนชั้นนำไทยสืบทอดต่อกันมา

ถ้าฐานคิดเหล่านี้ไม่ถูกรื้อทิ้ง ประชาธิปไตยไทยจะไม่มีทางได้ผุดได้เกิด

ประมาณสองวันก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ผมถูกเชิญจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ให้พูดเรื่อง “วิกฤติบ้านเมือง และทางออก”

ผมได้เสนอภาพวิกฤติประชาธิปไตย โดยชี้แยกระหว่างระบอบการเมืองที่โดยภาพภายนอกคือ ระบอบประชาธิปไตย เพราะมีการเลือกตั้ง และระบบสภา รวมทั้งได้รัฐบาลก็มาจากการเลือกตั้ง

ผมชี้ว่า ระบอบที่มีรูปแบบประชาธิปไตย ไม่จำเป็นต้องเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป โดยทั่วไปเรามักจะ “หลง”รูปแบบภายนอก ถ้ารูปแบบเป็นอะไร ก็หลงเชื่อกันว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างนั้น

เราต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องรูปแบบเท่านั้น

จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ เราต้องเข้าใจเรื่อง “วัฒนธรรมการเมือง” ซึ่งเป็นหัวใจ และพื้นฐานของระบอบการเมือง

คำว่า “วัฒนธรรมการเมือง” นี้คือ แบบแผนในการปฏิบัติทางการเมืองที่เป็นจริง รวมทั้งค่านิยม ความเชื่อ ความคิด และจิตวิญญาณของชนชั้นนำ และประชาชน ที่มีชีวิตอยู่ในระบอบการเมืองนั้นๆ

ผมขอสรุปอย่างสั้นๆ

ระบอบการเมืองไทยที่ผ่านมาดำรงอยู่ด้วย วัฒนธรรมการเมืองที่สำคัญอย่างยิ่ง 2 แบบ

แบบแรกคือ วัฒนธรรมอำนาจนิยม วัฒนธรรมนี้มีความเป็นมายาวนาน และสืบทอดแนวคิดมาจากยุครัฐโบราณ มีรากมาจากความเชื่อเรื่องการรวมศูนย์อำนาจ และการจัดการปัญหาโดยการใช้ความรุนแรง

แบบที่สองคือ วัฒนธรรมโกงกิน และความเจ้าเล่ห์(หลอกลวง)แบบศรีธนญชัย วัฒนธรรมนี้แพร่ระบาดในหมู่นักการเมือง และข้าราชการ โดยมีความเชื่อว่า การเข้ามามีอำนาจคือที่มาแห่งความร่ำรวย

วัฒนธรรมทั้งสองแบบดำรงอยู่ร่วมกัน เสริมซึ่งกันและกัน และก่อเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นที่มาของการก่อกำเนิด “กลุ่มชนชั้นนำ” ที่คนสมัยโบราณเรียกว่า “พวกขันที” หรือ “ทรราช”

จนกลายเป็นความเชื่อว่า ยุคใดที่ทรราชครอบบ้านครองเมือง บ้านเมืองจะพบกับความวิบัติ หรือกลียุค

ในช่วงโลกาภิวัตน์ วัฒนธรรมทั้ง 2 แบบนี้ถูกกระตุ้นเสริมอย่างแรงด้วยความเชื่อ และวัฒนธรรมความกระหายอยากในความมั่งคั่งที่ไร้ขอบเขตจำกัด หรือที่พูดกันว่า “ความรวยคือ ความถูกต้อง และความดีงาม”

นักการเมืองในยุคทักษิณจึงวิ่งหาความรวยกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ใครกอบได้ โกงได้ เท่าไร ก็ทำกันแบบสุดๆ

ถ้าถามผมว่า

อะไรคือ จิตวิญญาณของระบอบทักษิณ

ผมก็จะนำเอา 3 แบบวัฒนธรรมข้างต้น มาเชื่อมกับความหลงอำนาจของคุณทักษิณ

เมื่อเราเอาทั้ง 4 เรื่องมาผสมกัน เราก็จะเข้าใจชัดว่า อะไรคือ ระบอบทักษิณ ในแง่จิตวิญญาณ และวัฒนธรรม

วัน นี้ คุณทักษิณสิ้นอำนาจไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า ระบอบวัฒนธรรมทักษิณจะสิ้นสุดลง วัฒนธรรมแบบทักษิณยังคงอยู่คู่ฟ้าแผ่นดินไทย และพร้อมจะฟื้นกลับ แล้วพัฒนาขยายตัวขึ้นเมื่อไรก็ได้

ผมขอเตือนสักนิดว่า

“แม้แต่บรรดาผู้นำรัฐประหารที่ต้องการสร้างชาติให้เป็นประชาธิปไตยในวันนี้ ก็อาจจะหลงติด หลงบริโภควัฒนธรรมชุดนี้อยู่ก็ได้”

ที่กล่าวว่า เป็นวัฒนธรรมสำคัญอย่างยิ่ง ก็เพราะวัฒนธรรมสามารถพัฒนากลายเป็นความเป็นธรรมดา และเป็นความเชื่อที่ถูกผลิตซ้ำ และซ้ำอีก โดยไม่มีใครเห็นด้านลบ เพราะคนไทยทั่วไปจำนวนหนึ่งก็เชื่อว่า “เป็นเรื่องธรรมดา”

อย่างเช่น ผู้คนมักจะพูดกันว่า

“เขาโกงกันทั้งนั้น ไม่มีใครหรอก ไม่โกง ไม่กิน”

หรือไม่ก็กล่าวว่า

“ผมผิดอะไร ผมก็ทำอย่างที่คนอื่นๆ เขาทำกัน พวกเขาทำกันมากกว่าที่ผมทำอีก”

บางคนพูดถึงคุณทักษิณว่า

“จะโกงจะกินก็ไม่เห็นเป็นไร ขอให้เก่ง ก็แล้วกัน ดีกว่าพวกที่ไม่โกงไม่กิน พวกนี้ทำอะไรก็ไม่เป็น”

น่าประหลาด “คนโกง” กับ“คนฉลาด” มักจะเป็นคนคนเดียวกัน ในขณะที่ “คนโง่” กับ“คนดี” ก็มักไปด้วยกัน

วัฒนธรรมการเมืองนี้แพร่ระบาดไปทั่ว ไม่เพียงแต่ภายใต้ระบอบการเมือง หรือการปกครองเท่านั้น แม้แต่ในระบอบการศึกษา วัฒนธรรมเหล่านี้ก็แพร่ระบาดเข้าไปถึง

ผมเคยกล่าวกับลูกศิษย์ว่า

“พวกเธอก็บริโภควัฒนธรรมอำนาจนิยมอย่างเต็มเปา”

เห็นไหมว่า ตั้งแต่เราเป็นเด็กๆ เราถูกสอนให้ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังผู้นำ “เจ้าว่าดี ว่าดีไปตามเจ้า” ลูกศิษย์ต้องเชื่อฟังอาจารย์

พอโตเป็นวัวเป็นควายแล้ว เราก็ยังทำตัวเป็นศิษย์ที่ดี ทุกอย่างต้องฟังอาจารย์หมด ไม่กล้าแม้แต่จะตั้งคำถาม และนั่งเงียบกันทั้งห้อง

วัฒนธรรมแบบนี้จะให้ความสำคัญต่อผู้นำสูงสุดอย่างมากๆ

ทุกอย่างต้องโยนให้ท่านผู้นำตัดสินใจ ถ้าท่านไม่กล้าตัดสินใจ ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร

ผู้นำสูงสุดจึงกลายเป็นผู้แบกโลกนี้ไว้ทั้งใบ น่าสงสารท่านผู้นำเอามากๆ

จะเป็นนายกฯประเทศไทย ก็ต้องโคตรๆ เหนื่อย

ไม่เชื่อก็ลองไปถามคุณทักษิณดู เพราะ “ทุกอย่าง” ต้องขึ้นกับผู้นำ

ถ้าเราได้ผู้นำที่ดี ก็ดีไป ถ้าผู้นำเลว ก็เละกันทั้งประเทศ

ที่ร้ายเข้าไปอีก วัฒนธรรมแบบนี้ยังได้ไปเชื่อมต่อกับวัฒนธรรมแบบการใช้กำลัง หรือการใช้อำนาจเด็ดขาด เข้าไปแก้ปัญหา

ตัวอย่างเช่นเรื่อง ปัญหายาเสพติด ที่รัฐ(รูปแบบประชาธิปไตย)อนุญาตให้มีการฆ่ากันเพื่อจะยุติกระแสการแพร่ระบาดของยาเสพติด

ผู้คนต้องตายไปกว่า 2,000 คน

การฆ่ากันแบบนี้ สะท้อนความจริงว่า ประชาธิปไตยของไทยแบบทักษิณ มีเนื้อหาที่เป็นเผด็จการแบบสุดๆ เพราะการกระทำดังกล่าว ท้าทายการดำรงอยู่ของรัฐธรรมนูญที่ยืนยันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ เหนือสิ่งอื่นใด

ในขณะที่ผู้นำไทยจัดงานฉลองใหญ่กลางท้องสนามหลวง ฉลองการฆ่า และการตายของประชาชน 2,000 คน องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกร่วมกันประณามการกระทำดังกล่าวอย่างรุนแรง

มีลูกศิษย์ถามผมว่า

“ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ จะแก้ปัญหาได้หรือ”

ผมตอบว่า

“ยัง มีวิธีอื่นๆ อีกมาก ที่น่าสนใจศึกษาคือการแก้ปัญหายาเสพติดแบบยุโรป ซึ่งใช้วิธีทำให้ยาเสพติดเป็นสิ่งถูกกฎหมาย วิธีนี้ทำให้ราคายาตกต่ำอย่างมากๆ จนทำให้การค้ายาสิ้นสุด”

นี่คือ วิธีที่นุ่มนวลที่สุด และได้ผลที่สุด

เหตุที่ชนชั้นนำไม่เลือกวิธีนี้ อาจจะมีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งคือวัฒนธรรมอำนาจนิยมที่แพร่ระบาดอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจ

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เรื่องวิกฤติภาคใต้ แม้จะมีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุสำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งก็มาจากวัฒนธรรมอำนาจนิยม

เริ่มด้วยการถามว่า มีไอ้โจรกระจอกอยู่เท่าไหร่ คำตอบคือ มี 50 ถึง 60 คน วิธีการจัดการก็คือ คำสั่งให้อุ้ม ฆ่าทั้งหมด อุ้มฆ่าไปกว่า 100 ศพ มั่วไปหมดทั้งผู้ที่ต้องสงสัย และอื่นๆ

ผิดบ้าง ถูกบ้าง

นี่ถือว่า ท้าทายรัฐธรรมนูญอย่างยิ่ง แต่ชนชั้นนำไทยในระบอบทักษิณทำได้ และผู้นำไทยจำนวนมากก็คิดว่านี่คือความถูกต้อง เพราะการใช้ความรุนแรงคือวิถีการจัดการกับไอ้พวกกบฏได้อย่างถูกใจ และสะใจเป็นที่สุด

ถึงวันนี้ คนไทยด้วยกันเอง ต้องลุกขึ้นมาทำสงครามเข่นฆ่ากันเอง

ปัจจุบัน ชนชั้นนำจำนวนหนึ่งเริ่มตระหนักว่า วัฒนธรรมอำนาจนิยมแบบนี้ผิด และใช้ไม่ได้ แต่กว่าจะรู้ ก็สายไปแล้ว

อีกแบบหนึ่งของวัฒนธรรมอำนาจนิยม คือ ความเชื่อเรื่องการรวมศูนย์อำนาจ และความเจริญไว้ที่ศูนย์กลาง ประเทศไทยจึงกลายเป็นเพียง “กรุงเทพ” เท่านั้น

ระบอบทักษิณได้ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อสร้างกรุงเทพ และสุวรรณภูมิ ให้เป็น “อภิมหานคร” แบบนครนิวยอร์ค ของสหรัฐอเมริกา

เราไม่เคยเรียนรู้ด้านกลับของความเป็นอภิมหานครแบบนครนิวยอร์คเลย สวรรค์ที่กลายเป็นนรกของบรรดาผู้คนที่อยู่อาศัย แค่ปัญหารถติดอย่างเดียวก็ไม่มีทางแก้ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงปัญหามลภาวะ ปัญหาขยะ น้ำเสียและอื่นๆ ที่สะสมและเพิ่มขึ้นทุกวัน

เรา ไม่เคยคิดว่า ความเชื่อแบบนี้ คือฐานคิดแบบเผด็จอำนาจที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการของประเทศชาติ เพราะในเวลาเดียวกัน เป็นการสกัดกั้น โอกาสการพัฒนาของชนบทโดยทางอ้อม

ผมเดินทางไปเที่ยวยุโรป และสหรัฐอเมริกาทีไร เห็นภาพความเจริญแบบกระจายตัว และระบอบการเมืองแบบกระจายอำนาจ พอมองย้อนมาที่ประเทศไทย ก็พบว่ายิ่งพัฒนา ยิ่งรวมศูนย์ความเจริญ และความมั่งคั่ง ไว้ที่เดียว

ที่ผ่านมาชนชั้นนำไทย “หลง” ติดเรื่อง ลัทธิความมั่งคงมาก...มากจนเกินไป จนไม่กล้าสร้างสรรค์ระบอบการเมืองที่กระจายอำนาจขึ้นอย่างที่ประเทศอารยะ ทั้งหลายเขาทำกัน

ผมเดินทางไปภาคใต้ก็รู้สึกเสียดายศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของภาคใต้ ที่น่าจะพัฒนาเป็นศูนย์เศรษฐกิจการค้า และท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ ถ้าเราไม่เชื่อแบบรวมศูนย์อำนาจ และความเจริญแบบผิดๆ วันนี้ สงขลา และปัตตานี น่าจะกลายเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่า กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย

ในกรณีประเทศไทย แม้แต่พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นบนระบอบประชาธิปไตย ก็เป็นประชาธิปไตยเฉพาะหน้าตา หรือรูปแบบภายนอก เพราะไปหลงเชื่อ หรือหลงรักจิตวิญญาณอำนาจนิยม

ขอยกตัวอย่างกรณี พรรคไทยรักไทย

หลายเดือนมาแล้ว เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า

ที่ พรรคไทยรักไทย มีการนำเสนอแนวคิดทางการเมืองตะวันตกชุดหนึ่งให้นักการเมืองทุกคนได้เรียน และศึกษา เพราะถือว่า งานเล่มนี้ คืองานสุดยอดเยี่ยม เป็นคัมภีร์ทางการเมืองที่นักการเมืองทุกคนต้องอ่าน

งานชิ้นนี้คือ งานเรื่อง the Prince ของ Machiavelli

คนที่เรียนรัฐศาสตร์ทุกคน จะต้องเรียนหนังสือเล่มนี้เช่นกัน

งานเรื่องนี้เสนอว่า ผู้นำจะยิ่งใหญ่ได้ ต้องมีหน้า 2 หน้า

หน้าแรกคือ ความเป็นราชสีห์ กล่าวคือ ต้องโหดเหี้ยมสุดๆ และต้องฆ่าทุกคนที่ขวางทางของตัวเองได้

หน้าที่สองคือ ความเป็นสุนัขจิ้งจอก กล่าวคือต้องเจ้าเล่ห์สุดๆ เช่นกัน

ผมกล่าวกับเพื่อนว่า

แนวคิดทางโลกตะวันตกแบบนี้ สอดคล้องกับแนวคิดอำนาจนิยมของชนชั้นนำไทยอย่างมาก ส่วนความเชื่อเรื่อง ความปลิ้นปล้อน-เจ้าเล่ห์นั้น ก็ไปกันได้กับวัฒนธรรมแบบศรีธนญชัยของไทยอีกเช่นกัน

มาถึงตอนนี้ ผมขอขยายภาพเรื่อง วัฒนธรรมโกงกิน และปลิ้นปล้อน สักนิด

วัฒนธรรมแบบนี้แพร่ระบาดในหมู่ชนชั้นนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรดานักการเมือง และข้าราชการ ที่สำคัญ แม้แต่บรรดาพ่อค้าที่ทำมาหากินกับข้าราชการ และนักการเมืองก็มีฐานวัฒนธรรมความเชื่อแบบนี้ด้วย

ในหมู่นักการเมืองไทย “วัฒนธรรมแบบนี้” แพร่ระบาดรุนแรงที่สุด

ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสสอนความรู้ทางการเมืองแก่นักการเมืองหลายคน

มีนักการเมืองคนหนึ่งมาคุยกับผมตรงๆว่า

“พวกผมจะเรียกพวกอาจารย์ว่า พวกนักอุดมการณ์ เราต้องยอมรับความจริงว่า อุดมการณ์ และความดีนั้นทำให้คนรวยไม่ได้ ถ้าอยากรวย อยากมีอำนาจ ก็ต้องกล้าโกง กล้ากิน”

ผมกล้าพูดว่า วันนี้นักการเมืองไทยบริโภควัฒนธรรมโกงกิน จนกลายเป็นความเป็นธรรมดา

บางที แม้แต่ประชาชนไทย ก็ถูกสอนให้ยอมรับการโกงกิน

ชาวบ้านบางคนถึงกับพูดกันว่า

“มันจะโกงกินก็ช่าง ขอให้พวกเราสบาย ไม่ว่ากัน”

นี่คือ การแพร่ระบาดของวัฒนธรรมโกงกิน และปลิ้นปล้อน

ผมได้กล่าวย้ำไปนักการเมืองท่านนั้นว่า

“จาก เหตุการณ์ 14 ตุลา จนถึงปัจจุบัน เราสร้างประชาธิปไตยในเชิงรูปแบบกันมาอย่างต่อเนื่อง และคิดว่า นี่คือ ประชาธิปไตย

แท้จริง นี้คือ อวิชชาที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน”

จิตวิญญาณประชาธิปไตย

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม มีการนำเสนอเรื่องการสร้างรูปจิตสำนึกที่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็พูดกันในหมู่นักศึกษา และปัญญาชนเท่านั้น

ผมจำได้ว่า ตอนผมเป็นนักศึกษา ผมเรียนรู้ “ประชาธิปไตย” จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ที่เรียกกันว่า การสัมมนา

การสัมมนากลายเป็นการเปิดโลกประชาธิปไตยให้แก่ “นักศึกษา” เพราะทุกคนได้ถกกัน และได้ร่วมกันเสนอแนวคิด

ผิดหรือถูกไม่สำคัญ สำคัญคือได้โต้เถียงแลกเปลี่ยน และเรียนรู้คุณค่าของแนวคิดที่แตกต่างออกไป

การสัมมนามีบทบาทอย่างสำคัญ และได้กลายเป็นที่มาของการพัฒนา “ขบวนการนักศึกษา” สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้

หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา การสัมมนาแลกเปลี่ยนกันแบบประชาธิปไตยนี้ ได้แพร่ไปสู่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชนชั้นกลาง และชุมชนชาวไร่ชาวนา และคนจนอื่นๆ

ปัจจุบัน คนไทยมีการประชุมสัมมนากัน จนกลายเป็นเรื่องทั่วไป

ที่เล่าเรื่องนี้ เพื่อชี้ “ค่าประชาธิปไตย” ว่า ประชาธิปไตยมีส่วนสร้างพลัง(นักศึกษา) และประชาชนได้อย่างไร

คำว่า “ประชาธิปไตย” มีจุดเริ่มจากการเคารพ และ มองเห็นค่าความแตกต่างหลากหลาย รวมถึงความคิดแปลกๆ และเคารพความเห็นของคนส่วนน้อย

ในช่วงวิกฤติทักษิณ นอกจากประเด็นเรื่องวัฒนธรรมประชาธิปไตยแล้ว ก็ยังมีประเด็นใหม่ในแง่วัฒนธรรมเช่นกัน นั่นคือ เรื่องจริยธรรมทางการเมือง

จริยธรรมทางการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องวัฒนธรรมทางการเมือง แต่เป็นส่วนที่เกี่ยวโดยตรงต่อผู้มีอำนาจ

กล่าวอย่างง่ายๆคือ ชนชั้นนำ หรือผู้นำ ควรมีแบบแผนที่ควรปฏิบัติ(วัฒนธรรม) ที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไป อย่างเช่น

ประธานาธิบดีอเมริกาต้องมีครอบครัวเดียว และรักลูกรักเมีย

นักการเมืองต่างประเทศจะลาออกทันที ถ้าทำอะไรผิดพลาด หรือไม่รอบครอบ หรือไม่สามารถแก้ปัญหาที่สำคัญๆ ได้(ในเวลาที่แน่นอน)

นักการเมืองทุกคนต้องถือว่า การโกงกินบ้านเมืองคือ “ความเลว” ไม่ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง

เรื่องนี้ คือ เรื่องของคุณธรรม และวัฒนธรรมประจำตัวของแต่ละบุคคล ซึ่งอยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญ จะปลูกฝังขึ้นได้นั้น ก็เป็นเรื่องการสร้าง การผลิตวัฒนธรรมการเมืองที่ดีงาม และให้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป

เรื่องนี้แม้จะอยู่นอกรัฐธรรมนูญ แต่สำคัญมาก เพราะถ้าผู้นำมีจริยธรรม มีคุณธรรม มีจิตใจรักประชาธิปไตย ผู้นำคนนั้นก็จะได้รับการยกย่อง และได้รับการยอมรับนับถือจากประชาชน ซึ่งแน่นอนว่า จะดีกว่าการพยายามสร้างภาพแบบทักษิโณมิคส์ ซึ่งไม่ยั่งยืน

เรื่องวัฒนธรรมประชาธิปไตย และจริยธรรมทางการเมือง ถือได้ว่าเป็นเรื่องนามธรรมมากๆ แต่ก็สำคัญมากๆ สำหรับโลกในยุคปัจจุบัน

ในยุคโลกาภิวัตน์ เราเผชิญวิกฤติแบบซับซ้อนอย่างยิ่ง ถ้าผู้นำมีจิตสำนึกรักประชาธิปไตย ผู้นำหรือชนชั้นนำก็จะเปิดทางให้เกิด การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ และรวมพลังประชาชนทุกส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาชาติบ้านเมือง ปัญหาชาติบ้านเมือง ก็จะทุเลาลงได้

แต่ถ้าผู้นำเป็นนักรัฐประหาร เชื่อในวัฒนธรรมอำนาจนิยม คิดว่าข้าเก่ง ข้าดี อยู่คนเดียว หรือกลุ่มเดียว ก็จะรวมศูนย์การคิดและการตัดสินใจ หรือไว้ใจเฉพาะคนกลุ่มเล็กๆ ให้ความสำคัญเฉพาะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และพรรคพวกเท่านั้น ทุกอย่างก็คงจะจบลงแบบเดิมๆอีก

ครั้งหนึ่ง ผมพูดถึงความสำคัญของการสร้างประชาธิปไตยทางจิตใจ

นักศึกษาท่านหนึ่งถามขึ้นว่า

“เราจะทำให้คนเป็นคนดี มีจริยธรรม รัก และเชื่อในวัฒนธรรมประชาธิปไตยได้ หรือ”

นักศึกษาอีกท่านหนึ่งสวนขึ้นมาว่า

“คงหนีไม่พ้นเรื่องการศึกษาอีก ซิ ...........จะทำได้ก็แค่สอนเด็กๆเท่านั้น”

อีกคนก็สวนขึ้นแบบบ่นๆว่า

“อีกนานเท่านาน เมืองไทยถึงจะเป็นประชาธิปไตย”

ผมตอบว่า

“ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน ทุกกลุ่มชน ต้องร่วมกันสร้างสรรค์ประชาธิปไตยขึ้นมา”

วันก่อนได้ข่าวว่ากลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยประกาศสลายตัว ผมรู้สึกเสียดาย

ทักษิณ.......ออกไปแล้ว ก็จริง แต่เรายังไม่เป็นประชาธิปไตยเลย จะสลายตัวได้อย่างไร

ถ้าประกาศสลายตัว ก็แสดงว่าเราใช้คำว่า ประชาธิปไตย เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าเท่านั้น

นี่คือ ความอนาถน่าสงสารของคำว่า “ประชาธิปไตย”

บางคนถึงกับเชื่อว่า “ประชาธิปไตย” ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย เป็นของตะวันตก ดังนั้นจะไปแคร์อะไรมากกับคำว่า ประชาธิปไตย

ผมขอแย้งว่า ประชาธิปไตย คือฐานรากของวัฒนธรรมไทย ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ตั้งแต่สังคมไทยยังคงเป็นชุมชนมาจนถึงยุคที่เป็นเมือง

ทุกชุมชนโบราณตามลุ่มน้ำทั่วโลก มีการปกครองแบบประชาธิปไตยกันมาตลอด

ย้อนไปยุคกรุงสุโขทัย

มีคำจารึกกล่าวไว้ว่า

“ใครใคร่ค้าช้าง ค้า ใครใคร่ค้าม้า ค้า”

กษัตริย์ หรือพ่อขุนมีฐานะเป็นพ่อที่ต้องคอยดูแลบรรดาลูกๆอย่างใกล้ชิด รัฐเล็กๆของไทยโบราณวางอยู่บนฐานความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างพ่อกับลูก ไม่ใช่ระหว่างผู้ปกครอง กับผู้ถูกปกครอง

ในเมื่อเราถือว่า ประชาชนเป็นลูก ลูกก็ต้องมีบทบาทช่วยพ่อ ไม่ใช่ให้พ่อทำทุกอย่าง

ยิ่งพ่ออายุมากแล้ว บรรดาลูกๆก็ต้องแสดงบทบาทช่วยกัน ไม่ใช่ปล่อยให้พ่อหนักอก หนักใจอยู่คนเดียว

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก จึงเป็นความสัมพันธ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย แบบหนึ่ง

พุทธศาสนาเองก็สอนชาวไทยให้รู้ค่าประชาธิปไตย แต่ในขอบเขตที่กว้างกว่าเรื่องของการปกครองเท่านั้น

หลักหัวใจของพุทธ คือเรื่อง “อนัตตา”

ถ้าถามว่า อะไรคือ อนัตตา

อนัตตา คือ ความเชื่อพื้นฐานว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างในโลกธรรมชาติ ล้วนแต่คือ องค์ประกอบของสิ่งอื่นๆ ไม่ได้มีตัวมีตน(ตัวกู ของกู) ที่เป็นอิสระดำรงอยู่ได้โดยลำพัง

อธิบายง่ายๆ คือ ไม่มีคำว่า A man และ A table อย่างที่ชาวฝรั่งเข้าใจ

คำว่า A หรือ แปลว่า หนึ่ง นั้น คือที่มาของคำว่าอวิชชา หรือพูดว่า โลกธรรมชาติไม่อาจจะแยกเป็นส่วนๆ ออกจากกันเป็นตัวเป็นตนได้

นอกจากนี้ หลักอนัตตา ถือว่าทุกสิ่งในธรรมชาติ ล้วนแต่เป็นองค์ประกอบแห่งชีวิต ทุกอย่างที่ประกอบกันล้วนแต่มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น

ต้นหญ้า กับมนุษย์ ก็ล้วนมีค่าเท่ากัน

พระเซนจึงไหว้ต้นไม้ที่ผุพัง เพราะไม้ผุพังนั้นมีค่ายิ่ง เป็นที่มาของชีวิตจอมปลวกนับร้อยๆ ชีวิต

พุทธจึงสอนให้เราเคารพ รักผู้อื่นๆ และรักธรรมชาติ ฟังความเห็นของผู้อื่นๆ รู้ค่าทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว

เวลาดูหนังจีนกำลังภายใน มีคนไปหาพระที่วัดเส้าหลิน พระในวัดรวมทั้งเจ้าอาวาสจะยกมือพนมไหว้คนที่มาหา ก่อนที่จะเจอคนที่มาหา ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร

ก่อนจะกล่าววาจาอะไรกับใคร พระก็จะยกมือพนมไหว้คนที่ท่านพูดด้วยก่อนเสมอ

การยกมือไหว้ผู้อื่น ก็คือ การฝึกจิตใจ ให้มีจิตใจที่นอบน้อม ถ่อมตัวอย่างยิ่งตลอดเวลา

การไหว้ได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมไทยแต่โบราณ คนไทยไหว้ผู้อื่นด้วยใจ จึงไหว้ได้งดงาม เพราะเราเคารพรักคนที่เราไหว้จริงๆ

ในช่วงที่เจ้าชายรูปหล่อ แห่งภูฐานมาเยือนไทย คนไทยมากมายก็หลงรักท่าน เพราะท่านเป็นพุทธที่อ่อมน้อม ถ่อมตน

ก่อนจะเข้านอน ท่านต้องเดินไปยกมือไหว้ และกล่าวขอบคุณต่อบรรดาคนที่มารักษาดูแล และเฝ้ายามทุกคืน

พุทธสอนให้เราเห็นค่าคนทุกคน ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีชนชั้นวรรณะ เช่นไร

ผู้ใหญ่ต่างหากต้องไหว้ผู้น้อยก่อน ไม่ใช่รอให้ผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ก่อน

พุทธสอนให้เรามีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ซึ่งมีค่ามากกว่าประชาธิปไตยในทางรูปแบบแบบตะวันตกเสียอีก

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเคยเป็นศูนย์แห่งพุทธศาสตร์ในยุคโบราณ และมีส่วนทำให้พุทธแพร่ไปทั่วโลก ความยิ่งใหญ่ของมหาวิทยาลัยนี้ ก็ก่อเกิดขึ้นบนฐานคิดแบบประชาธิปไตย นั่นคือ “การรับฟังซึ่งกัน” หรือที่เราเรียกว่า “ปุจฉา วิสัชนา” หรือ “การถกธรรม”

ธรรมไม่ใช่เรื่อง ตายตัว หยุดนิ่ง และไม่พัฒนา

การถกธรรม ก็คือ การแลกเปลี่ยน โต้เถียง เถียงกันด้วยใจที่เคารพรักซึ่งกันและกัน

ไม่มีถูก ไม่มีผิด

ในผิดก็มีถูก ในถูกก็มีผิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอุดมด้วยคุณค่าทั้งนั้น “ผิด” ก็มีค่ายิ่ง เพราะผิดสอนเราว่าอะไรถูก

วิกฤติ และทางออก

ตอนเกิดรัฐประหาร เพื่อนๆบางคนถึงกับร้องไห้ เขาบ่งชี้ว่า บ้านเมืองเรากำลังถอยหลังเข้าคลอง

ผมตอบว่า

“ใช่ ......ส่วนหนึ่ง”
ผมขยายเพิ่มว่า

“รัฐประหาร แม้จะเป็นวิธีที่ล้าสมัย ถูกมองว่า “ผิด” แต่ผิดก็แปรเปลี่ยนเป็นถูกได้ ถ้าผู้ก่อรัฐประหารรู้และตระหนักรู้ว่ามีจุดอ่อนตรงไหน อย่างไร และควรจะก้าวต่อไปอย่างไร”

ในตอนต้นบทความชิ้นนี้ ผมเรียกรัฐประหารครั้งนี้ว่าเป็นการก่อรัฐประหารของผู้สูงอายุ เพราะผู้ก่อรัฐประหาร ล้วนแต่อายุมากๆ ด้วยกันทั้งนั้น ข้อดีของคนที่มีอายุมากๆคือ ท่านจะทำอะไรที ท่านก็จะคิดแล้ว...คิดอีก

หลักยุทธศาสตร์ที่ท่านใช้คือ รอให้มะม่วงสุกแล้วจึงสอยกิน

หลักการแบบนี้ส่งผลทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปแบบธรรมชาติ ไม่ฝืนกระแส และคนส่วนใหญ่จึงรับได้

ชาวเต๋าเรียกว่า

“ไหลเคลื่อนไปกับกระแสคลื่นลม” นี่คือ ยุทธศาสตร์สำคัญที่เราต้องเรียน และใช้ในช่วงกลียุค ซึ่งตรงกันข้ามกับศาสตร์ตะวันตก ที่ใช้การเข้าไปจัดการให้ทุกอย่างเป็นไปตามต้องการ(โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ)

ทักษิโณมิคส์ชอบใช้ยุทธศาสตร์แบบใจร้อน ไม่ดูตาม้า ตาเรือ

จึงไปเดินทับตาม้า ตาเรือเข้า (คาร์บอมส์) และเปิดเกมรุกแบบท้ารบแบบสุดๆตัว ผลที่ตามมาคือ ม้า กับเรือ ได้โอกาสออกศึก หรือรัฐประหาร

บางครั้งเวลาผมวิเคราะห์ “วิกฤติทักษิณ” ผมชอบบอกว่า สงครามครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่อง ชอบ หรือไม่ชอบทักษิณ เท่านั้น แต่เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม และยุทธศาสตร์ที่ต่างกันอย่างยิ่ง

ชนชั้นนำกลุ่มหนึ่ง เสนอฐานวัฒนธรรมแบบตะวันออก อย่างเช่นเรื่อง ความยั่งยืน หรือ ความเพียงพอ และไม่วิ่งตามกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะตามมา

ชนชั้นนำอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่า เราต้องวิ่งให้ทันกระแสโลกาภิวัตน์ ไม่เช่นนั้น เราจะตกกระแส จึงพยายามปั่นเศรษฐกิจแบบสุดๆ ตัว ใช้ยุทธศาสตร์ท้ารบแบบอเมริกา เปิดศึกทุกด้าน รบแบบเกมหมากรุกตะวันตก จึงก่อและสร้างศัตรูแบบทั่วทิศ แม้แต่บรรดามิตรเก่าๆก็กลายเป็นศัตรู

คนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่งเดินเกมแบบเกมหมากล้อม ค่อยๆล้อม และแยกสลาย ทีละด้าน ทีละด้าน โอบล้อมจนกระทั่ง ขุนอีกฝ่ายหนึ่ง ตีบตันทางไปหมด

สงคราม หรือการเผชิญหน้าครั้งนี้ จึงเป็นสงครามทางวัฒนธรรมระหว่างยุคสมัย และรุ่นอายุของผู้คนที่แตกต่างกัน

ในช่วงเกิดวิกฤติ เพื่อนคนหนึ่งโทรมา ขอให้ผมวิเคราะห์รากของวิกฤติทักษิโณมิคส์ก่อนเกิดรัฐประหาร

เพื่อนถามว่า

“จริงหรือไม่ ที่กล่าวว่า ได้เกิดการปะทะกันระหว่าง ทุนศักดินา กับทุนใหม่ และเราต้องยืนข้างทุนใหม่ที่ก้าวหน้ากว่า”

ผมเริ่มวิเคราะห์ว่า

สงครามครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้าระหว่าง 3 ฝ่าย ไม่ใช่ 2 ฝ่าย อย่างบทวิเคราะห์ทั่วไปที่เราได้ยินกัน

ทั้ง 3 ฝ่าย สะท้อนภาพสามกลุ่มพลังทางการเมืองที่ก่อเกิดขึ้นในยุคสมัยประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน

ฝ่ายแรก คือ ตัวแทนของวัฒนธรรมความเป็นตะวันออก โบราณนิดๆ ข้าราชการมากสักหน่อย ทำธุรกิจที่ทำการผลิตจริง ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แต่ส่วนใหญ่ เป็นคนดีที่รักชาติรักบ้านเมือง

ฝ่ายที่สอง คือ พลังของวัฒนธรรมแบบบ้าโลกาภิวัตน์ ชอบสร้างภาพ ไม่ได้ทำการผลิตจริง ปั่นทุกอย่าง อย่างเช่น ปั่นหุ้น และอสังหาริมทรัพย์ ทำธุรกิจแบบฟองสบู่ นิยมวัฒนธรรมคาวบอยแบบอเมริกัน จึงชอบจัดการปัญหาแบบอำนาจนิยม

ฝ่ายที่สาม คือ พลังใหม่สุด ศูนย์หลักคือ พลังสื่อ ที่เชื่อมติดกับบรรดาอาจารย์ และนักวิชาการ รวมทั้งชนชั้นกลางในเมือง

กล่าวอีกแบบหนึ่ง ภาพ ทั้งหมด คือการเผชิญหน้าระหว่าง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นสงครามหรือการเผชิญหน้ากันระหว่างสามชุดวัฒนธรรม บนฐานยุคสมัยประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันอย่างมาก

นักคิดบางท่านก็เสนอว่า นี่คือ การสู้กันระหว่าง ทุนเก่าแบบศักดินา กับทุนใหม่แบบโลกาภิวัตน์ ดังนั้น จึงมีบทสรุปว่า เราต้องสนับสนุนทุนโลกาภิวัตน์ เพราะคิดกันง่ายๆว่า “ทุนใหม่” ต้องดีกว่า

เราลืมไปว่า ระบบโลกวิวัฒน์แบบพลิกผันไม่เป็นเส้นตรง

หรือกล่าวง่ายๆ โลก และสังคมเคลื่อนตัวแบบ Chaotic มีสภาวะเกิดกับดับเป็นฐานของการเคลื่อนตัว

ระบบ ทุนนิยมที่ยิ่งใหญ่(เคยยิ่งใหญ่) ที่กำลังเคลื่อนตัวไปสู่ความตาย การเกิดขึ้นของโลกาภิวัตน์ ก็คือจุดเริ่มแรกแห่งความตายของทุนนิยม

เพราะ ทุนโลกาภิวัตน์ และทุนทักษิโณมิคส์ คือ ทุนกาฝาก ที่ มีขนาดใหญ่มากๆ และมีขอบเขตไร้พรมแดน ที่พร้อมจะเข้าทำลาย และกลืนกิน “ทุนจริง” ทั้งหมดลงไป ในขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ระบบเศรษฐกิจการเมืองทั้งหมดต้องขึ้นต่อทุนโลกาภิวัตน์ด้วย

ดังนั้น สงครามระหว่างทุนเก่า กับทุนใหม่ จึงหลีกเลี่ยงได้ยาก

และในที่สุด ทุนโลกาภิวัตน์ ที่ไร้พรมแดน และมีศูนย์อยู่กับตลาดเงิน ตลาดหุ้น น่าจะเป็นฝ่ายชนะ

ความเหนือกว่าอย่างยิ่ง สะท้อนภาพได้จากการที่คุณทักษิณสามารถซื้อประเทศ ทั้งประเทศไทย ซื้อนักการเมืองได้ ซื้อข้าราชการได้จำนวนมาก

ใช้อำนาจเงิน ซื้อทุกอย่างได้

แต่ในช่วงที่เกิดกระแสโลกาภิวัตน์ ได้ก่อเกิด “อำนาจใหม่” ที่ท้าทายอำนาจเงินได้ นั่นคือ “อำนาจของสื่อ และวัฒนธรรม”

ความยิ่งใหญ่ของ บุช และรัฐมหาอำนาจอเมริกา ต้องพังพาบเพราะอำนาจของสื่อโลกที่ช่วยกันเปิดโปงความชั่วร้ายของพวก Neo-con (ขวาจัดในอเมริกา)

สื่อไทยเองก็แสดงบทบาทนำในช่วงวิกฤติทักษิโณมิคส์อย่างสำคัญ จนกล่าวได้ว่า คุณทักษิณพังพาบแบบไม่เป็นท่า เพราะความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของนักรบสารสนเทศ ซึ่งนำโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ประสานกับการเคลื่อนตัวครั้งประวัติศาสตร์ของบรรดาครูบาอาจารย์ และชั้นชนกลางทั่วประเทศ

ในช่วงวิกฤติทักษิณ พลังสื่อ และวัฒนธรรม แทรกเข้าไปได้ในทุกมิติชีวิตของคนไทย จนคนไทยจำนวนหนึ่งออกมาบ่นว่า เดี๋ยวนี้ คนในครอบครัวเดียวกัน เช่น ผัวกับเมียตีกัน เพราะคนหนึ่งชอบทักษิณ อีกคนหนึ่งเกลียดทักษิณ

อำนาจของสื่อดังกล่าวได้จัดตั้งโรงเรียนทางการเมืองที่ไร้พรมแดนขึ้น และสามารถยกระดับความรับรู้ทางการเมืองของคนไทยทั้งประเทศ ครั้งประวัติศาสตร์

เปิดสงครามหน้าประวัติศาสตร์ของ Net การเมือง ถกกันตั้งแต่เช้ายันเย็น

ใครถูก ใครผิด ถกเถียงกันทั้งประเทศ

ที่สุด คนไทยส่วนใหญ่ก็ตัดสินใจได้ว่า ควรจะอยู่ข้างใด

โลกของการสื่อสารไร้พรมแดน จึงกลายเป็น “เวทีประชาธิปไตย” ที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุด เท่าที่เคยมีมา

แต่ถึงอย่างไร โลกข่าวสารก็มีจุดอ่อน เพราะเต็มไปด้วย ข่าวปล่อย ข่าวหลอก และข้อมูลมั่วๆ ซึ่งเป็นธรรมดาอย่างยิ่ง

โลก Net จึงกลายเป็นโลกที่เราต้องเฝ้ามอง ติดตาม และวิเคราะห์ด้วยปัญญา

นักวิชาการตะวันตกจะเตือนเราเสมอว่า

ข้อมูลข่าวสารจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง กับความเข้าใจจริง(ปัญญา)

ปัญญานั้นเกิดจากการวิเคราะห์จนสามารถเห็นภาพทั้งหมด (the Whole) หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ อย่าเชื่อ “ข้อมูล และข่าวสารที่ได้ยิน แม้แต่ข่าวเดียว”

วิเคราะห์แล้ว วิเคราะห์อีก คิดแล้วก็คิดอีก ก่อนที่จะวิจารณ์ เพราะทุกข่าวอาจจะเป็นเพียงข่าวปล่อย ที่มีเจตนาหลอกลวงให้คนเชื่อได้

ที่สำคัญ “อย่าคิดคนเดียว” เพราะข่าวสารมีจำนวนมากมายมหาศาล มากกว่าความสามารถของคนคนเดียว

เราต้องรู้จักวิเคราะห์ข่าว และถกเถียงปัญหากับบรรดาเพื่อนๆ จับกลุ่มกัน จัดสัมมนาแลกเปลี่ยน และใช้จิตวิญญาณประชาธิปไตยให้เป็นประโยชน์

ผลได้ตามมาคือ การก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่า ชุมชนแห่งปัญญา (Knowledge Community) ขึ้น

ชุมชนแห่งปัญญา นี้คือ ฐานพลังที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด นี่คือ พลังแห่งโลกอนาคต

ผมเคยถูกนักข่าวบางท่านถามว่า

“ทางออกของประเทศไทยอยู่ที่ไหน”

ผมตอบว่า

“ก็อยู่ที่พวกคุณ และการสร้างสรรค์ชุมชน และวัฒนธรรมแห่งปัญญา”

สื่อ และวัฒนธรรม คือ พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งใหญ่และก้าวหน้ากว่าอำนาจเงินตรา

ผมขอขยายความสักนิดหนึ่ง

“ระบบโลกเคลื่อนไปตามยุคสมัย เรามีชีวิตประวัติศาสตร์ผ่านมา 3 ยุคแล้ว

ยุคแรก คือ ยุคชุมชนเป็นใหญ่

ยุคที่สอง คือ ยุค Empire หรือยุคที่การเมือง(รวมทั้งศาสนา)เป็นใหญ่

ยุคที่สาม คือ ยุคเศรษฐกิจเป็นใหญ่(ทุนนิยม และสังคมนิยม)

ช่วงนี้คือ ช่วงที่เรากำลังก้าวสู่ ยุคที่สี่ คือ ยุควัฒนธรรม และความงาม เป็นยุคที่สื่อ และความรู้(ปัญญา) เป็นใหญ่

แต่ต้องตระหนักว่า พลังอำนาจของสื่อสารเป็นพลังที่ก้าวหน้า แต่ก็อันตรายสุดๆ เช่นกัน เพราะเป็นพลังที่สามารถล้างสมองมนุษย์ในโลกได้ สามารถขังจิตวิญญาณของมนุษย์ให้ “หลง” “คลั่ง” หรือ “ติด” ได้ เช่น การบ้าดารา ติดเกมส์ เป็นต้น

พลังสื่อ และวัฒนธรรมจึง มี 2 ด้าน บวก และลบ ตรงข้ามกันอย่างยิ่ง

ด้านแรก คือ ที่สุดแห่งมายา

ด้านที่สอง คือ ที่สุดแห่งปัญญา

ถ้าเราปล่อยให้พลังมายาสุดๆ คุมประเทศไทย ตัวอย่างเช่น ปล่อยให้ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง ๗ ช่อง 9 และ ITV ดำเนินรายการอย่างที่เคยทำ วัฒนธรรมน้ำเน่า เกมโชว์ และบริโภคนิยม ก็จะทำให้ผู้คนทั้งประเทศ “โง่ดักดาน” กันทั้งประเทศ

แต่ถ้าเราปฏิวัติสื่อและวัฒนธรรมกันทั้งระบบ การปฏิวัติครั้งนี้ก็จะช่วยอภิวัฒน์จิตวิญญาณและยกระดับภูมิปัญญาของคนทั้งชาติ

ที่สำคัญ “พลังสื่อ” สามารถสร้างจิตวิญญาณ และวัฒนธรรมประชาธิปไตยได้

ผมกล่าวแบบสรุปให้เพื่อนๆฟังว่า

สาเหตุหลักที่ฝ่ายทักษิโณมิคส์พ่ายสงครามครั้งนี้อย่างหมดรูป เพราะพลังสื่อและชุมชนทางปัญญาเปิดสงครามกับฝ่ายทักษิโณมิคส์ และในเวลาเดียวกัน พลังสื่อและชุมชนทางปัญญาได้หันไปจับมือกับพลังเก่า(ที่อนุรักษ์นิยม) เพราะมีจุดเชื่อมหลายจุด

จุดเชื่อมใหญ่คือ แนวคิดเรื่องการพัฒนาแบบยั่งยืน

ความเป็นอนุรักษ์นิยมของทุนเก่ามีส่วนทำให้ทุนเก่าเห็นอันตรายของ การเคลื่อนตัวไปสู่กระแสโลกาภิวัตน์อย่างสุดโต่ง และหันไปสนใจเรื่อง สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาที่ยั่งยืน เรื่องนี้กลายเป็นกระแสโลกใหม่

นี่คือ การเคลื่อนตัวไปอย่างพลิกผัน “เก่า” กลายเป็น “ใหม่” “ใหม่” กลายเป็น “เก่า”

เพื่อนถามย้ำว่า

“อะไรใหม่ อะไรเก่า”

ผมสรุปอย่างสั้นๆว่า

“ปัจจุบัน กระแสโลกาภิวัตน์ได้กลายเป็นสิ่งเก่าและล้าหลังไปแล้ว เพราะได้เกิดกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ไปทั่วโลก การต่อสู้ของคนไทยต้านระบอบทักษิณก็คือส่วนหนึ่งของกระแสต้านโลกา ภิวัตน์ที่ก่อตัวขึ้นในประเทศไทย

โลกกำลังเคลื่อนไปสู่ ยุควัฒนธรรมและสื่อสาร(ปัญญา) และในเวลาเดียวกัน โลกกำลังเคลื่อนอย่างสุดตัวไปสู่การอภิวัฒน์พลังงานโลกใหม่(สู่พลังงานที่ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม) และ การสร้างเศรษฐกิจใหม่ ที่เรียกว่า นิเวศเศรษฐศาสตร์ หรือบางทีก็เรียกว่า การพัฒนาแบบยั่งยืน หรือที่คนไทยเข้าใจกันว่าคือ เศรษฐกิจพอเพียง”

บทสรุป

รัฐประหารครั้งนี้อาจจะก่อเกิดคุณูประการแก่ประเทศชาติได้ ถ้าผู้นำรู้ว่า “จะนำชาติไปในทิศทางใด”

ที่สำคัญรัฐประหารครั้งนี้ จะไม่เป็นเผด็จการ ถ้าผู้นำรัฐประหารตระหนักรู้และมีจิตสำนึกแบบประชาธิปไตย และตระหนักว่า พลังสื่อ หรือข่าวสาร รวมทั้ง พลังอาจารย์ และนักวิชาการ และชนชั้นกลาง มีค่าอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์อนาคตของประเทศไทย และของโลก

ฝ่ายรัฐประหารควรเลือกที่จะผนึกพลังกับสื่อ อาจารย์นักวิชาการ และชนชั้นกลางให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ช่วยกันสร้างชุมชนทางปัญญา และสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยขึ้นมา ระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน ทั้งด้านรูปแบบ และเนื้อหาก็จะเกิดขึ้น

รัฐประหาร กับ ประชาธิปไตย จะพัฒนาควบคู่กันได้

แต่ถ้าไม่........ ไม่นานนัก เราก็คงต้องเผชิญ “สงครามการเมืองรอบสอง” อย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ทุกอย่างล้วนแต่มีอนาคตอยู่แล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่า เราจะเลือกเส้นทางใด

ในโลกที่กลียุค กฎแห่งอนิจจัง คือกฎแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ หายนะ และความยิ่งใหญ่มักจะยืนคู่กัน

วันหนึ่ง คุณทักษิณ ยิ่งใหญ่ล้นฟ้า วันนี้ไม่เหลืออะไร

อย่าคิดว่า กฎ นี้จะใช้สำหรับบุคคลที่ชื่อ ทักษิณ เท่านั้น ทุกคนที่มีอำนาจกำลังเผชิญกฎนี้

ความยิ่งใหญ่ และชัยชนะวันนี้ ก็พลิกเป็นความพ่ายแพ้ได้

แม้แต่ “เหตุการณ์เล็กๆ” ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาจจะก่อความพลิกผันได้ นี่คือ หลักผีเสื้อกระพือปีกของทฤษฎี Chaos

ผู้ก่อรัฐประหารจะต้องใช้ “อำนาจ” อย่างระมัดระวัง

แต่ถึงอย่างไร ในความพลิกผัน ก็มีกฎที่แน่นอน ดำรงอยู่

เราต้องตระหนักรู้ว่า กระแสประวัติศาสตร์โลกกำลังเคลื่อนไปทางไหน และมีจังหวะอย่างไร

โลกกำลังเคลื่อนสู่การสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืน บนฐานแห่งการก่อเกิดชุมชนทางปัญญาที่เข้มแข็ง

นี่คือ ประวัติศาสตร์อนาคต

สุดท้ายคงอยากจะฝากเพื่อนๆ ที่รักประชาธิปไตยว่า

ประชาธิปไตยจริงๆ นั้นซ่อนลึกอยู่ “ภายใน”ใจของเราเอง

ผู้คนจำนวนมากที่พูดถึงคำว่า ประชาธิปไตย แต่ลึกลงในใจกลับเป็นฝ่ายเผด็จการ

ยิ่งคนที่มีอัตตาสูง อย่างเช่น คุณทักษิณ ก็จะเผด็จการสูง

การสร้างสรรค์ประชาธิปไตยยั่งยืน จึงต้องสร้างทั้งทางรูปแบบและเนื้อหาในเวลาเดียวกัน

ในทางรูปแบบคือการร่างรัฐธรรมนูญที่คำนึงถึงหลักสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และเปิดให้ประชาชนได้มีบทบาททางการเมืองมากที่สุด

ในทางเนื้อหานั้น เราต้องช่วยกันขับเคลื่อน และสร้างกระแสวัฒนธรรมประชาธิปไตยนี้ ขึ้นมา

และในการนี้ การอภิวัฒน์สื่อทีวี หนังสือพิมพ์ ข่าวสาร และผลิตวัฒนธรรมประชาธิปไตยประเภทต่างๆ มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ในช่วงวิกฤติทักษิโณมิคส์ การก่อเกิดของชุมชนทางปัญญาขึ้นมากมายผ่านโลก net ที่ไร้พรมแดนก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะถ้าชุมชนนี้พัฒนาไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็นฐานรากของ พลังประชาธิปไตย(ทางปัญญา และจิตวิญญาณ) ของสังคมไทยในอนาคต

ถ้าทุกภาคฝ่าย และทุกกลุ่มชนเห็นความสำคัญ ช่วยกันผลิตวัฒนธรรมและจิตวิญญาณประชาธิปไตย และสร้างสังคมชุมชนทางปัญญาให้มีเครือข่ายทั่วประเทศ วัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ยั่งยืนจะก่อตัวขึ้นทุกหนทุกแห่ง

วัฏจักรที่วนไป เวียนมา ไม่สิ้นสุด ระหว่าง “รัฐประหาร” กับ “ระบอบเลือกตั้ง” ก็จะสิ้นสุดลง

จนกว่าจะพบกันใหม่
ยุค ศรีอาริยะ

"จุดเปลี่ยนประเทศไทย"

การปฏิวัติรัฐประหารในค่ำคืนของวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้ชีวิตทางการเมืองของ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จบแล้วหรือยัง? เป็นคำถามท้าทายความอยากรู้และชวนให้หาคำตอบ แต่ทว่าเป็นคำถามที่หลงประเด็นและเสียเวลาเปล่า ที่ว่าหลงประเด็นก็เพราะให้ความสำคัญกับชีวิตของคุณทักษิณมากมายจนเกินเหตุ ชีวิตของคุณทักษิณไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ชีวิตของประเทศต่างหากที่สำคัญ คำถามที่ควรถามมากที่สุดขณะนี้ก็คือ ต่อจากนี้ประเทศไทยจะก้าวเดินไปในทิศทางไหนและอย่างไร? และที่ว่าเสียเวลาเปล่าก็เพราะว่า หากเราสามารถตอบคำถามหลังได้อย่างชัดเจนถูกต้องแล้ว คำถามแรกก็จะถูกตอบไปพร้อมกันโดยปริยาย

ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยกับการใช้กำลังทหารเข้าทำการเปลี่ยนแปลงทางการ เมืองครั้งนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้

(1) ได้มาด้วยราคาแสนแพง เพราะนอกจากพี่น้องทหารหาญต้องเอาตำแหน่งหน้าที่การงาน ตลอดจนชีวิตของตัวเองเข้าเสี่ยงแล้ว พี่น้องประชาชนยังต้องออกมารอนแรมนอนกลางดินกินกลางทราย ตั้งแต่บริเวณท้องสนามหลวงยันหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อประท้วงต่อสู้มาแรมปี

(2) เกิดในช่วงเวลาพิเศษที่เป็นมหามงคล เพราะปี 2549 เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี และปี 2550 เป็นปีที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา

(3) มีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศชาติ ถ้าเลือกสับรางได้ถูกทางก็จะนำประเทศไปสู่ความวัฒนาสถาพรนับอีกสิบๆ ปี แต่ถ้าเลือกพลาดก็เสียหายมากมายครือกัน

(4) เป็นโอกาสที่หายากยิ่ง เพราะเป็นช่วงปลอดจากการเมืองปกติ ทำให้สามารถทำสิ่งที่ดีพิเศษให้กับชาติบ้านเมือง ที่ทำไม่ได้ในช่วงรัฐบาลภายใต้พรรคการเมือง หากปล่อยให้ผ่านไปก็อาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก

(5) เสร็จแค่ครึ่งเดียว เพราะแม้จะสามารถล้มอำนาจอดีตนายกทักษิณลงได้ แต่ยังไม่ได้ขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณซึ่งได้แผ่ซ่านในสังคมไทยอย่างกว้าง ขวาง และยังไม่ได้วางรากฐานให้ระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมที่ดีกว่าได้วางหลักปักฐานในสังคมไทย และ

(6) ครึ่งหลังยากกว่าครึ่งแรก

จากการจัดเสวนาประชาชนกว่า 20 ครั้งในช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา สถาบันสหสวรรษได้รวบรวมและเรียบเรียงความคิดเห็นจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ หลายหลากและผู้เข้าร่วมเสวนาจำนวนมากมาย ซึ่งพอสรุปเป็นภารกิจสำคัญของประเทศชาติในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ได้ 6 ภารกิจ โดยมีเค้าโครงพอสังเขปดังต่อไปนี้

1. ปฏิรูปการเมือง

1.1 ร่างรัฐธรรมนูญ
1.2 ทำองค์กรอิสระให้อิสระ
1.3 สนับสนุนการเมืองภาคประชาชน
1.4 ปลดแอกพรรคการเมืองจากนายทุน

2. ปรับแนวทางเศรษฐกิจ

2.1 ทวงสมบัติสาธารณะคืนประชาชน
2.2 ทบทวนกฎหมายการค้าเสรี
2.3 ปรับแก้โครงการประชานิยม
2.4 สร้างชุมชนพึ่งตนเอง

3. ดับไฟใต้

4. เช็คบิลคอร์รัปชั่น

5. ปฏิรูปสื่อ

6. เสนอแนวทางปฏิรูประบบอื่นๆ

ทั้งนี้ หากนับจากวันที่ล้มรัฐบาลทักษิณในเดือนกันยายน 2549 ไปจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งสมมติว่าตกประมาณกลางหรือปลายเดือนธันวาคม 2550 หลังจากวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว รัฐบาลเฉพาะกาลก็จะมีเวลาทั้งสิ้นประมาณ 15 เดือน เพื่อปฏิบัติภารกิจข้างต้นให้สำเร็จลุล่วง ขณะที่ช่องไฟทางการเมืองนี้ยังเปิดอยู่ ยกเว้นแต่ภารกิจประการสุดท้ายซึ่งเป็นเรื่องระยะกลางถึงยาวและต่อเนื่องนั้น คงทำได้เพียงจัดทำข้อเสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับพรรคการเมืองต่างๆ หรือรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะพิจารณานำเอาไปใช้

1. ปฏิรูปการเมือง

การปฏิรูปการเมือง คือข้อเรียกร้องที่ดังและชัดที่สุดในระหว่างการต่อสู้เพื่อล้มระบอบทักษิณ ปัญหาของบ้านเมืองไม่ว่าปัญหาใด เมื่อสาวย้อนกลับไปก็มักจะพบว่าล้วนเกิดจากการเมืองแทบทั้งสิ้น การแกะปมปลดล็อคปัญหาการเมืองนั้นไม่ง่าย เพราะมีความสลับซับซ้อนทั้งในด้านเนื้อหาสาระและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ภารกิจปฏิรูปการเมืองนี้ประกอบไปด้วยงานที่เกี่ยวข้องมากมายกว้างขวาง แต่จะเสนอเพียง 4 งานสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับตารางเวลาอันจำกัดของรัฐบาลเฉพาะกาล อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะชี้แจงขยายความเกี่ยวกับงานทั้งสี่ จะขอกล่าวถึงแนวคิดและที่มาที่ไปของข้อเสนอดังกล่าวเสียก่อนรวม 3 ประเด็น ดังต่อไปนี้

(1) โจทย์สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญคราวนี้ต่างจากคราวที่แล้วโดยสิ้นเชิง ปัญหาการเมืองที่อยู่ในใจของประชาชนในเวลานั้นคือ เรื่องเผด็จการทหารและเสถียรภาพของรัฐบาล ดังนั้น จึงมุ่งเน้นสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาล จนทำให้เกิดปัญหาและกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองในที่สุด

ทว่าปัญหาหลักในวันนี้คือการทับซ้อนของอำนาจรัฐและอำนาจทุน การเมืองไทยในปัจจุบันอยู่ในอุ้งมือของกลุ่มเศรษฐีนักการเมือง ที่ด้านหนึ่งมีผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ขณะเดียวกันก็เข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ จึงสามารถเอาผลประโยชน์ของรัฐไปแจกจ่ายให้ธุรกิจของครอบครัวและพวกพ้องได้ อย่างสะดวกง่ายดาย ทั้งในรูปของสัมปทาน อำนาจผูกขาด และสิทธิพิเศษต่างๆ ซึ่งอาจเรียกรวมๆ กันได้ว่าเป็นเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” หรือ “คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย”

(2) ปัญหาของประชาธิปไตยไทยแท้จริงไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ รัฐบาล รัฐสภา หรือองค์กรอิสระ แต่เกิดจากความอ่อนแอของการเมืองภาคประชาชน ไม่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 จะได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เกิดมรรคเกิดผลจริงจัง เพราะการเมืองภาคประชาชนยังเตาะแตะตั้งไข่อยู่ ความจริงการสร้างความเข้มแข็งให้กับการเมืองของประชาชนก็หนีไม่พ้นการลงทุน ลงแรงของประชาชนเอง แต่การสนับสนุนจากรัฐบาลจะช่วยผ่อนแรงและร่นระยะเวลาของการพัฒนาการเมือง ภาคประชาชนได้อย่างเห็นทันตา

(2) หัวใจของระบอบประชาธิปไตยมิได้อยู่ที่ลายลักษณ์อักษรของรัฐธรรมนูญและ กฎหมายลูก แต่ทว่าสะท้อนออกมาในรูปของวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนคนไทยทุกผู้ทุกนาม พฤติกรรมและวุฒิภาวะทางการเมืองของคนไทยนี้เอง คือเป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนาทางการเมือง มากกว่าการมีรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นอย่างโก้หรู นี่แหละคือแก่นแท้ของความเป็นประชาธิปไตยของชาติ

ภารกิจแรกนี้สามารถแยกแยะตามแนวคิดข้างต้นได้เป็น 4 งานด้วยกันโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1.1 ร่างรัฐธรรมนูญ

ในทางปฏิบัติการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้คงจะเริ่มด้วยการเอาฉบับ เดิมเป็นแบบ แล้วค่อยแก้ไขปรับเปลี่ยนในประเด็นที่ก่อปัญหาทางการเมืองที่ผ่านมา เนื้อหาสาระที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขนั้นมีมากมายหลายหลาก แต่ในเนื้อที่จำกัดนี้ขอเสนอเพียง 6 ประเด็นดังนี้

(1) รัฐธรรมนูญควรสั้นและมีจำนวนมาตราน้อย ส่วนรายละเอียดควรเอาไปขยายความในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือที่เรียกว่า “กฎหมายลูก”

(2) รัฐบาลเฉพาะกาลซึ่งเป็นคนกลางควรเป็นผู้ร่างกฎหมายลูกเสียเอง ไม่ปล่อยให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งที่มาจากพรรคการเมืองเอาไปร่าง เพราะจะเกิดปัญหาตามมาเหมือนครั้งที่แล้ว

(3) การลงคะแนนเลือกตั้งควรเป็นสิทธิไม่ใช่หน้าที่

(4) ไม่ควรบังคับให้ สส. เขต ต้องสังกัดพรรคและไม่ควรจำกัดสิทธิผู้ไม่จบปริญญาตรีไม่ให้ลงสมัคร สส.

(5) ลดจำนวนรวมของ สส. ลง พร้อมปรับเพิ่มสัดส่วน สส. บัญชีรายชื่อ

(6) ให้กระทรวงหนึ่งมีรัฐมนตรีเพียงคนเดียวเพื่อลดขนาดของ ครม. ส่วนผู้ช่วยรัฐมนตรีนั้นให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงแต่งตั้งและรับผิดชอบเอง

1.2 ทำองค์กรอิสระให้อิสระ

เนื่องจากถูกแทรกแซงอย่างหนักโดยรัฐบาล องค์กรอิสระจึงได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ชำรุดและบ่อยครั้งถูก ใช้เป็นอาวุธไว้ปราบศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล จึงควรแก้ไขหรือยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ในช่วงรัฐบาลเฉพาะกาลนี้ เพราะที่ผ่านมากฎหมายลูกเหล่านี้ถูกร่างโดยนักการเมืองเป็นหลัก

นอกจากนั้น ควรรื้อกระบวนการสรรหากรรมการขององค์กรอิสระ กลับมานิยามบทบาทหน้าที่ของบางองค์กรเสียใหม่ หรืออาจต้องยุบเลิกบางองค์กร ตัวอย่างเช่น เสนอให้เปลี่ยนวิธีการได้มาของวุฒิสมาชิก หรือให้ยุบเลิกวุฒิสภาไปเลย บ้างเสนอให้จำกัดบทบาทของ กกต. โดยให้บริหารการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว การตัดสินความถูกผิดของผู้สมัครควรยกไปเป็นอำนาจของศาล เป็นต้น

1.3 สนับสนุนการเมืองภาคประชาชน

จริงอยู่ที่การเมืองภาคประชาชนจะเข้มแข็งได้ต้องอาศัยน้ำพักน้ำแรง ของประชาชนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องไม่ทำตัวเป็นอุปสรรคเสียเอง พร้อมทั้งช่วยส่งเสริมการเมืองภาคประชาชนในเรื่องต่อไปนี้

(1) ปรับปรุงกระบวนการทำประชาพิจารณ์ ประชามติ ตลอดจนกระบวนการเสนอกฎหมายโดยประชาชน 50,000 ชื่อ ให้สะดวกสำหรับประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมือง

(2) ผลักดันให้ พรบ. ข้อมูลข่าวสาร เกิดผลจริงในทางปฏิบัติ

(3) แก้ไขกฎหมายจัดตั้งองค์กรภาคประชาชนให้เป็นไปโดยสะดวกรวดเร็ว และอนุญาตให้จัดตั้งองค์กรที่ดำเนินการด้านการเมืองภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับเหตุบ้านการเมืองและ นโยบายสาธารณะ

(4) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างและโยกย้ายผู้บริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อป้องกันมิให้รัฐบาลหรือนักการเมืองเอาตำรวจมารังแกประชาชน ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองตามสิทธิและเสรีภาพแห่งรัฐธรรมนูญ

1.4 ปลดแอกพรรคการเมืองจากนายทุน

คอร์รัปชั่นไม่ว่ารูปแบบใดล้วนเป็นผลสืบเนื่องจากการอุปถัมภ์ทางการ เงินโดยนายทุนพรรค ซึ่งมักเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ทำมาหากินกับธุรกิจที่แอบอิงอำนาจรัฐ จึงเกิดการลงทุนถอนทุนทางการเมืองกันอย่างเป็นระบบ

หากต้องการทำลายระบบธนกิจการเมืองนี้ รัฐบาลเฉพาะกาลควรออกกฎหมายอนุญาตให้ผู้เสียภาษีอากรมีสิทธิเอาเงินภาษีของ เขาส่วนหนึ่ง (เช่น 1% ของยอดภาษีแต่ไม่เกินคนละ 500 บาท เป็นต้น) บริจาคโดยตรงแก่พรรคการเมืองใดก็ได้ตามความประสงค์ของเขา วิธีนี้จะช่วยให้พรรคการเมืองทั้งระบบได้รับเงินสนับสนุนนับพันล้านโดยตรง จากผู้เสียภาษีอากร แทนที่จะต้องไปขอพึ่งจากนายทุนพรรค แล้วกลายเป็นหนี้บุญคุณกันภายหลัง วิธีนี้จะพลิกโฉมวิถีทางการเมืองโดยสิ้นเชิง แทนที่นักการเมืองจะต้องจ่ายประชาชนเพื่อให้เลือกตน กลับกลายเป็นประชาชนเป็นผู้จ่ายเงินให้นักการเมืองที่ตนเห็นว่าดีให้มารับ ใช้บ้านเมือง วิธีนี้จะช่วยให้พรรคการเมืองใหม่ๆ ที่ประกอบด้วยบุคคลที่มีคุณงามความดีและเป็นที่ยอมรับของสังคม สามารถแจ้งเกิดทางการเมืองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความเมตตาจากนายทุนพรรคอีก ต่อไป

2. ปรับแนวทางเศรษฐกิจ

หัวข้อนี้ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางไม่น้อยกว่าเรื่องปฏิรูปการเมือง แต่เพื่อให้สามารถจัดการให้เกิดมรรคผลได้ภายในกรอบเวลาอันจำกัดของรัฐบาล เฉพาะกาล จึงเสนอเฉพาะงานสำคัญเร่งด่วนเพียง 4 งานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะชี้แจงรายละเอียดของแต่ละงาน จะขอกล่าวถึงแนวความคิดที่เป็นรากฐานของข้อเสนอดังกล่าวทั้งหมด 3 ประเด็น ดังนี้

(1) การปฏิเสธแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบทุนนิยม กลไกตลาด การค้าเสรี และกระแสโลกาภิวัตน์ นั้นเป็นไปไม่ได้ และถึงแม้จะทำได้ก็ไม่เป็นคุณอยู่ดี ทว่าในทางตรงกันข้าม การรับระบบทุนเสรีอย่างอ้าซ่าโดยไม่ลืมหูลืมตาก็เป็นโทษไม่แพ้กัน ดังได้ประสบแล้วในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ดังนั้น โจทย์ของประเทศจึงไม่ใช่การเลือกจากสองแนวทางที่สุดโต่ง แต่เป็นการประสมประสานระหว่างแนวทางทั้งสองอย่างเลือกเฟ้น ซึ่งจะขอเรียกแนวคิดเช่นนี้ว่า “แนวโลกาภิวัตน์แบบกลั่นกรอง” หรือ “filtered globalization” ในภาษาอังกฤษ

(2) ให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ อี เอฟ
ชูเมคเกอร์ (E.F. Schumacher) นักเศรษฐศาสตร์ชื่อกระฉ่อนโลก แนวคิดนี้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันจากโรคภัยทางเศรษฐกิจให้กับประเทศชาติได้ เป็นอย่างดี เพราะเน้นการดูแลทุกข์สุขตามอัตภาพของประชาชนและความสงบสุขของสังคมมากกว่า ดุลการค้าหรือดัชนีตลาดหุ้น

(3) ปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ เกิดจากการทับซ้อนของอำนาจรัฐและอำนาจทุนดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อปฏิรูปการ เมือง จนทำให้อำนาจรัฐถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองในการขูดรีดประชาชน โดยทั่วไป

กรอบแนวคิดข้างต้นได้สะท้อนออกมาเป็นข้อเสนอสำหรับรัฐบาลเฉพาะกาลภายใต้หัวข้อนี้ 4 งานหลักด้วยกัน ดังต่อไปนี้

2.1 เอาสมบัติสาธารณะคืนประชาชน

เนื่องจากสมบัติสาธารณะของประเทศชาติจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสัมปทานหรือสิทธิพิเศษ ได้ถูกนักการเมืองนำมาแจกจ่ายให้กับธุรกิจของตนและพวกพ้อง ข้อเสนอนี้ก็ชัดเจนตรงไปตรงมา กล่าวคือ นำเอาสัมปทานและสิทธิพิเศษดังกล่าว กลับมาทบทวนซึ่งอาจนำไปสู่การเจรจาตกลงเงื่อนไขใหม่ หรืออาจถึงการยึดกลับมาเพื่อใช้เป็นบริการประชาชน

สมบัติสาธารณะนี้ครอบคลุมตั้งแต่ ช่องสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ความถี่ของโทรศัพท์เคลื่อนที่โครงข่ายโทรศัพท์และอินเตอร์เนต ทางด่วน ขนส่งมวลชน สนามบิน ท่าเรือ วงโคจรดาวเทียม เส้นทางการบิน ประปา รวมถึงโครงข่ายระบบไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลทักษิณพยายามจะขายทอดตลาดแต่ไม่สำเร็จ ตลอดจน ปตท. ที่ได้ขายเป็นหุ้นเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว และได้กลายเป็นปมขัดแย้งทางการเมืองที่บาดลึกระหว่างประชาชนและรัฐบาลทักษิณ

2.2 ทบทวนกฎหมายการค้าเสรี

การเปิดประเทศแบบไม่ยั้งมือของรัฐบาลทักษิณด้วยการเซ็นสัญญาเขตการ ค้าเสรี (FTA) กับต่างประเทศอย่างเงียบเชียบและน่าสงสัย น่าจะถูกสอบทานอีกครั้งถึงความถูกต้อง ทั้งในเชิงเนื้อหาสาระ กระบวนการ และอำนาจของผู้ลงนาม ส่วนกฎหมายเขตการปกครองพิเศษที่จะนำมาใช้กับที่รอบสนามบินสุวรรณภูมิ ก็น่าจะถูกยกเลิกหรือทบทวนเช่นกัน

นอกจากนั้น กฎหมาย 11 ฉบับที่ประชาชนมักเรียกกันจนติดปากว่า “กฎหมายขายชาติ” ซึ่งรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้ออกไว้ในช่วงปี 2540-2543 และพรรคไทยรักไทยได้เคยสัญญาว่าจะยกเลิกเมื่อได้เป็นรัฐบาล ก็ควรที่จะได้รับการทบทวนเช่นเดียวกันด้วย

2.3 ทบทวนโครงการประชานิยม

หากศึกษาโครงการประชานิยมของรัฐบาลทักษิณอย่างถ่องแท้จะเห็นว่า ส่วนมากเป็นโครงการหาเสียง มิได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งตามความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ประชานิยม” แต่ทว่าเอาประชาชนมาเป็นเครื่องมือและอาวุธสำหรับต่อสู้ทางการเมือง โครงการประชานิยมหลายโครงการ ตัวอย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และโครงการพัฒนาศักยภาพชุมชนชนบท (SML) ควรได้รับการแก้ไข โดยนำงบประมาณและทรัพยากรมาใช้ในแนวทางใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในลักษณะที่ยั่งยืน โดยอาจนำไปรวมกับแนวทางที่จะเสนอในหัวข้อเรื่อง “การสร้างชุมชนพึ่งตนเอง” ต่อไป

2.4 สร้างชุมชนพึ่งตนเอง

ข้อเสนอภายใต้หัวข้อนี้ เป็นการนำแนวพระราชดำริเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประยุกต์ใช้ในระดับชุมชนขนาดใหญ่ เพราะเชื่อว่าจะสามารถสร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับสังคมไทย และเป็นทางเลือกใหม่ของสังคมชนบทไทย ทำให้เราสามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพายึดติดกับเศรษฐกิจโลกา ภิวัตน์แบบไม่มีทางเลือก ทั้งยังเป็นคำตอบระยะยาวในการแก้ไขปัญหาความยากจนของคนไทยได้อย่างแท้จริง และถาวรอีกด้วย

วิธีการสร้างชุมชนพึ่งตนเองนี้จะเริ่มด้วยการเอาพื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้และป่าเสื่อมโทรมที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมป่า ไม้ มาจัดแบ่งออกเป็นชิ้นขนาดเขื่องๆ ชิ้นละประมาณ 10,000 ไร่ สำหรับนำมาพัฒนาและบริหารเพื่อเลี้ยงดูคนไทยประมาณ 600 ครอบครัว

ในขั้นแรก นำที่ 10,000 ไร่นี้ มาแบ่งออกเป็นส่วนๆ โดยนำเอาเนื้อที่ประมาณ 3,000-4,000 ไร่ มาปลูกให้เป็นป่าถาวรเพื่อการอนุรักษ์ป่าไม้ ส่วนอีก 3,000-4,000 ไร่ ก็นำมาใช้เป็นป่าเศรษฐกิจด้วยการปลูกไม้โตเร็ว เพื่อให้ได้เยื่อไม้และท่อนไม้สำหรับขาย และใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงหาอาหาร

สำหรับพื้นที่ส่วนที่เหลือจากข้างต้น นอกจากจะจัดสรรสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนประมาณ 400-500 ไร่แล้ว ก็อาจจะนำอีก 800-1,000 ไร่ มาใช้สำหรับปลูกพืชผักผลไม้ไว้เป็นอาหารเลี้ยงชุมชน อีกสัก 400-500 ไร่ ไว้สำหรับเลี้ยงหมูเห็ดเป็ดไก่และปศุสัตว์เพื่อเป็นอาหารอีกเช่นกัน พร้อมทั้งเว้นที่ไว้ 500-1,000 ไร่ สำหรับเป็นบึงใหญ่เพื่อเก็บน้ำไว้บริโภค เลี้ยงสัตว์ และรดน้ำผัก อีกทั้งเป็นที่เลี้ยงกุ้งหอยปูปลาเพื่อเลี้ยงดูชาวชุมชน หากต้องการแต่งเติมสีสันและเพิ่มชีวิตชีวาให้กับชุมชนนี้ ก็อาจเก็บที่ริมบึงใหญ่สัก 50-100 ไร่ ไว้สร้างรีสอร์ทสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อเป็นการหารายได้เสริมให้กับชุมชน

ผลลัพธ์ก็คือ เราสามารถใช้ที่ดินประมาณ 10,000 ไร่ดูแลคนไทยราว 600 ครอบครัวให้อิ่มหนำสำราญและมีความสุขตามอัตภาพได้ อีกทั้งทำให้เกิดผลดีด้านนิเวศวิทยา เพราะแทนที่จะต้องหักร้างถางพงเพื่อเลี้ยงดูประชากรของประเทศ วิธีนี้กลับจะช่วยให้ประเทศชาติได้ป่ามากขึ้น นอกจากนั้น ยังจะช่วยลดปัญหาสังคมได้อย่างจริงจัง เพราะทำให้ครอบครัวไม่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เพื่อมาหาอาชีพและขายแรงงานในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ ทั้งยังจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีความมั่นคง เพราะสามารถพึ่งตนเองได้เกือบสมบูรณ์ ไม่ต้องพึ่งพาและผันผวนตามเศรษฐกิจโลกอย่างสิ้นเชิง

ในปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าที่เข้าเกณฑ์ข้างต้นประมาณ 5,000 เท่าของแปลงสมมุติ ซึ่งหมายความว่าเราสามารถใช้พื้นที่จำนวนนี้เลี้ยงดูคนไทยได้อย่างพอเพียง ถึง 3 ล้านครอบครัว (5,000 x 600 = 3,000,000) หรือถึง 15 ล้านคน (คิดจาก 5 คนต่อครอบครัว) หรือเท่ากับ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอข้างต้นมิได้มีเจตนาจะตัดประเทศไทยออกจากระบบสังคมและเศรษฐกิจโลก แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการเสนอให้เราเปิดระบบเศรษฐกิจทางเลือกให้กับสังคมไทย ทำให้คนไทย 1 คนในทุก 4 คนมีสิทธิ์ที่จะเลือกอยู่ในระบบเศรษฐกิจนี้ได้หากต้องการ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจให้กับสังคมไทย เมื่อถึงวันนั้น ไม่ว่ากระแสการเงินโลก การเคลื่อนไหวของเงินทุนเสรี อัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราต่างประเทศ และดัชนีตลาดหุ้นสำคัญของโลก จะผวนผันหรือปั่นป่วนเพียงใดก็ตามที คนไทย 1 ใน 4 คนก็ยังจะสามารถดำเนินชีวิตของเขาอยู่ได้อย่างปกติสุข และอาจเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนไทยอีก 3 คนที่เหลือในยามวิกฤตก็ได้

3. ดับไฟใต้

ปัญหาความรุนแรงในเขตสามจังหวัดภาคใต้นั้น พอสรุปได้ว่าเกิดความผิดพลาดในเชิงนโยบายจากส่วนกลางของรัฐบาลทักษิณ แม้ว่าความขัดแย้งทางความคิดและความรุนแรงนั้นมีอยู่เดิมอย่างต่อเนื่องและ ยาวนาน แต่การบริหารจัดการที่ผิดพลาดได้โหมกระพือไฟที่ลามเลียใกล้มอดให้ลุกโชน กลายเป็นเพลิงพิโรธกองใหญ่ จากการรวบรวมความคิดเห็นของผู้รู้หลากหลายพอสรุปแนวทางกว้างๆ ในการแก้ไขปัญหาไฟใต้ได้ดังนี้

(1) นำตัวผู้กระทำผิดไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร หรือตำรวจที่ได้กลั่นแกล้งรังแกอุ้มฆ่าประชาชนโดยผิดกฎหมายมาลงโทษ

(2) ชี้แจงอธิบายตลอดจนขอโทษต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย ในเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ พร้อมทั้งชดเชยช่วยเหลือตามเหมาะสมของแต่ละกรณี

(3) รื้อฟื้นแนวทางการบริหารแบบ ศอ.บต. พร้อมโยกย้ายข้าราชการที่เลวร้ายเกเรออกจากพื้นที่ เปลี่ยนเอาผู้ที่ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” มาประจำการแทน

(4) เปิดโอกาสให้ชาวไทยที่นับถือศาสนามุสลิมได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วม ในการบริหารราชการ และกิจกรรมทางสังคมและการเมืองมากขึ้น

(5) รณรงค์ปรับเปลี่ยนทัศนคติของชาวไทยทั้งประเทศให้ละทิ้งความรุนแรง โดยเอาเชื้อชาติเผ่าพันธุ์หรือศาสนาของตนเป็นศูนย์กลางและที่ตั้ง และหันมาสู่แนวคิดอหิงสาที่เน้นและยอมรับความหลากหลายของสังคมมนุษย์ ทั้งในด้านชาติพันธุ์และความคิด เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน

4. เช็คบิลคอร์รัปชั่น

การทุจริตคอร์รัปชั่นโดยรวมในช่วงของรัฐบาลทักษิณ มักเป็นการเอาอำนาจรัฐมาใช้เพื่อหาประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวและพวก พ้อง ขนาดของความเสียหายนั้นคงยากจะประเมินได้อย่างแม่นยำ แต่คาดว่าคงอยู่ในหลักหลายแสนล้าน จึงจำเป็นที่จะต้องติดตามเอาเงินคืน พร้อมลงโทษทางกฎหมายเพื่อให้หราบจำและเป็นเยี่ยงอย่างแก่นักการเมืองอื่นใน อนาคต แนวทางการจัดการในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมามี 3 ขั้นตอนดังนี้

(1) ประกาศอายัดทรัพย์ของนักการเมืองทั้งหลายที่เกี่ยวข้องอย่างสำคัญในรัฐบาล ทักษิณเป็นการชั่วคราวโดยทันที จนกว่าจะเสร็จสิ้นคดีความ

(2) ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจสัก 5-7 คน แยกต่างหากจาก ปปช. โดยนำบุคคลที่มีความสามารถเหมาะสมกับภารกิจและเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น คุณกล้านรงค์ จันทิก มาเป็นประธาน เพื่อดำเนินการศึกษา ติดตาม หาเบาะแส เตรียมสำนวนฟ้องร้องบุคคลเหล่านั้น

(3) ให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการ เมือง และติดตามจนคดีความสิ้นสุด หรือถ่ายโอนคดีให้ ปปช. รับไปดำเนินการต่อ

5. ปฏิรูปสื่อ

โดยผิวเผินอาจดูเหมือนเป็นแค่หัวข้อเล็กๆ หัวข้อเดียวในหลายๆ ระบบที่ต้องปฏิรูป แต่เนื่องจากสื่อมีหลากหลายแง่มุม หลายมิติ หลายวัตถุประสงค์ ตั้งแต่การค้า โฆษณา ข่าวสาร บันเทิง และบริการประชาชน การปฏิรูปสื่อจึงเข้าไปเกี่ยวข้องและโยงใยไปกับการปฏิรูปอื่นๆ อย่างแทบไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปการเมือง การศึกษา จริยธรรม หรือเศรษฐกิจ เนื่องจากความหลากหลายนี้เอง การจัดความสมดุลจึงเป็นหัวใจของการปฏิรูปสื่อทีเดียว ภายใต้หัวข้อนี้มีข้อเสนอกว้างๆ รวม 5 ข้อด้วยกัน

(1) เอาสัญญาสัมปทานคลื่นวิทยุโทรทัศน์ รวมถึงวงโคจรดาวเทียมมาทบทวนเพื่อจัดสรรใหม่ตามแนวทาง “เอาสมบัติสาธารณะคืนประชาชน” ภายใต้ภารกิจปรับแนวทางเศรษฐกิจ

(2) ทบทวนกฎหมายการสื่อสารที่ร่างขึ้นสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ให้สอดคล้องกับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ภายใต้ภารกิจปฏิรูปการเมือง

(3) ปรับผังรายการวิทยุโทรทัศน์เสียใหม่ โดยลดส่วนของรายการการค้า โฆษณา บันเทิง และทดแทนด้วยรายการที่ให้การศึกษาและความรู้ เสริมสร้างจริยธรรม ตลอดจนการให้ข่าวสารและความคิดอ่านทางการเมืองแก่สังคมให้มากขึ้น

(4) จัดตั้งกองทุนสนับสนุนการผลิตรายการที่มีคุณค่าทางสังคมสูง แต่มูลค่าเชิงพาณิชย์ต่ำ พร้อมทั้งผลักดันการทำ “เรตติ้ง” รายการวิทยุโทรทัศน์ ในลักษณะที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่จำนวนคนดูหรือมูลค่าของโฆษณา แต่เน้นประเด็นคุณค่าของรายการต่อสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา สารคดี จริยธรรม การเมือง เพื่อช่วยในการพิจารณาเงินสนับสนุนรายการจากกองทุนดังกล่าว

(5) สร้างเคเบิลทีวีแห่งชาติ เพื่อส่งกระจายรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมถึงประชาชนและธุรกิจเคเบิลทีวี ท้องถิ่นอย่างทั่วถึงโดยไม่คิดมูลค่า ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์รายย่อยสามารถมี ช่องสถานีออกอากาศของตนเอง ตราบเท่าที่ไม่ผลิตรายการที่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมจรรยา ซึ่งจะเป็นการลดอำนาจผูกขาดทางช่องสัญญาณของสถานีโทรทัศน์หลัก (ช่อง 3-5-7-9-11 และ ITV) และจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันการผลิตรายการที่มีคุณภาพและสาระประโยชน์แก่ สาธารณะ

6. เสนอแนวทางปฏิรูประบบอื่นๆ

ภารกิจชาติหัวข้อสุดท้ายนี้ต่างจาก 5 ภารกิจข้างต้นตรงที่เป็นภารกิจระยะกลางถึงยาว คงไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงในช่วงของรัฐบาลเฉพาะกาลได้ แต่การจัดให้มีการศึกษาอย่างจริงจังและจัดทำแนวทางข้อเสนอ ก็จะช่วยวางแนวทางของประเทศชาติภายหลังรัฐบาลเฉพาะกาลเสร็จภารกิจแล้ว พรรคการเมืองที่เห็นด้วยกับแนวทางก็สามารถนำเอาไปใช้เป็นวาระในการหาเสียง ของพรรคตนในการเลือกตั้งที่จะถึง หรืออาจนำเอาไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารประเทศเมื่อชนะการเลือกตั้งได้เป็น รัฐบาลก็ได้ ระบบที่มีความสลักสำคัญที่น่าจะนำมาศึกษาและเสนอแนวทางในการปฏิรูปอย่าง จริงจังมี 4 ระบบด้วยกันคือ

(1) ปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็น แต่ได้ถูกละเลยอย่างมากในรัฐบาลทักษิณ ส่วนรัฐบาลประชาธิปัตย์ก่อนหน้านั้นได้ออก พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งได้สร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนว่า การศึกษาของชาติได้รับการแก้ไขเยียวยาแล้ว แต่แท้จริง พรบ. ดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานของหน่วยงานของรัฐที่ เกี่ยวข้องกับการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการศึกษาเลย

(2) ปฏิรูปสาธารณสุข ระบบสาธารณสุขของไทยนั้นยังไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขอย่างเป็นเรื่องเป็น ราว แต่ถูกฉาบเคลือบด้วย “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนวิธีการเงินการคลังและการเกลี่ยงบประมาณแบบ ใหม่เท่านั้น โครงสร้างของระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานพยาบาลของรัฐยังล้าหลังและ ถูกละเลยมานาน

(3) ปฏิรูปราชการ ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่าได้มีการปฏิรูประบบราชการโดยรัฐบาลทักษิณแล้ว แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงการแยกกองและรวมกองของหน่วยงานระดับกรมเสียใหม่ เท่านั้นเอง ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีสาระประโยชน์ต่อระบบราชการแต่อย่างใด นอกจากจะเอาไว้ใช้เป็นข้ออ้างสำหรับปลด สับเปลี่ยน และสังหารหมู่ทางการเมืองของข้าราชการระดับสูงที่ดื้อดึง

(4) ปฏิรูปศาสนาและจริยธรรม ปัญหาด้านศาสนาและจริยธรรมนั้นแท้จริงก็คือรากเหง้าของปัญหาทั้งปวง ถ้าตรองดูจะพบว่า ประเด็นหลักของการต่อสู้ระหว่างประชาชนและรัฐบาลทักษิณเกือบหนึ่งปีที่ผ่าน มา คือเรื่องการขาดจริยธรรมของผู้นำประเทศนั่นเอง การรณรงค์ให้เกิดวัฒนธรรมทางการเมืองที่ “จริยธรรมนำการเมือง” ได้นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ใช้เวลาและความพยายามมหาศาลจากทุกวงการและภาคส่วนของสังคม

แม้ต้องจะมีความแตกต่างในด้านเทคนิคและเนื้อหาสาระมากมาย แต่แนวทางและกระบวน การปฏิรูปของทั้งสี่ระบบควรมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ดังต่อไปนี้

(1) กระบวนการต้องเปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม มีการเอาบุคคลจากหลากหลายพื้นเพมาร่วมแสดงความคิดเห็น ไม่จำกัดอยู่เพียงในกลุ่มของเทคโนแครตหรือผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในการปฏิรูปการศึกษา ไม่ควรเน้นรับฟังแต่ความเห็นของนักการศึกษา หรือไม่ควรเอาข้าราชการหรืออดีตข้าราชการมาเป็นกรรมการส่วนใหญ่ในการปฏิรูป ระบบราชการ เป็นต้น

(2) รัฐบาลเฉพาะกาลไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของคณะกรรมการ แต่ควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการเงิน บุคลาการ ข้อมูล และการประสานงาน

(3) เป้าหมายและแนวทางของการปฏิรูปทุกระบบควรสอดคล้องกับแนวทางหลักหรือยุทธศาสตร์ของประเทศตามภารกิจข้ออื่นๆ ด้วย

สรุป

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น เมื่อค่ำคืนของวันอังคารที่ 19 กันยายน 2549 นั้น ได้มาด้วยราคาแพง เสี่ยงทั้งชีวิตของทหารหาญ สร้างความยากลำบากของประชาชนที่ได้ทำการต่อสู้กับรัฐบาลทักษิณมายาวนาน ทั้งเกิดในช่วงปีมหามงคล และเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศชาติ จนอาจถือได้ว่า “จุดเปลี่ยนประเทศไทย” หากบริหารจัดการไปในทิศทางที่ถูกต้องก็จะสร้างคุณูปการให้แก่ประเทศชาติอีก นับสิบๆ ปี

คำถามที่สำคัญที่สุดขณะนี้ก็คือ “แล้วจะทำอะไรกันต่อไป?” หนังสือเล่มน้อยนี้คือข้อเสนอของสถาบันสหสวรรษ ที่ได้รวบรวมเรียบเรียงจากความคิดเห็นของวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เข้า ร่วมแสดงความคิดเห็น ในรายการเสวนาประชาชนของสถาบันตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา

ข่าวดีก็คือ งานของชาติเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งด้วยการล้มรัฐบาลทักษิณ อีกครึ่งหนึ่งคือการล้างบ้านล้างเมือง ส่วนข่าวร้ายก็คือ ครึ่งหลังยากกว่าครึ่งแรก







วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์


ดร. วุฒิพงษ์ ได้ต่อสู้ร่วมกับประชาชน เพื่อล้มระบอบทักษิณตั้งแต่เริ่มต้นและมาโดยตลอด โดยได้เคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ เช่น ขึ้นปราศัย บรรยาย ให้ความเห็น จัดเสวนาประชาชน จัดทำใบปลิว พิมพ์หนังสือ ผลิตซีดี สิ่งที่ปรากฏเด่นชัดก็คือ ดร. วุฒิพงษ์ มิได้เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ระบอบทักษิณเท่านั้น แต่จะเสนอแนวทางออกสำหรับบ้านเมืองอยู่เสมอ

ด้านหน้าที่การงาน ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้อำนวยการของสถาบันสหสวรรษ ในอดีตเคยร่วมก่อตั้งและเป็นกรรมการผู้จัดการคนแรกของ บริษัท ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส) ระหว่างปี 2536 ถึง 2541 ก่อนหน้านั้นเคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายแผนงาน ธนาคารกรุงเทพ

ทางด้านวิชาการ เคยเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลน่า (University of North Carolina) ผู้ช่วยศาสตราจารย์และผู้อำนวยการศูนย์ศึกษารัฐวิสาหกิจ สังกัดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทางด้านการศึกษา เคยสอบได้ที่หนึ่งของประเทศไทย แผนกวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2512 ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง พ.ศ. 2513 และทุนร็อคกี้เฟลเลอร์ พ.ศ. 2520 จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมโยธา จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสสาชูเสตต์ (Massachusetts Institute of Technology, MIT) ปริญญาโทสาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ และปริญญาเอกทางด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago)



หมายเหตุ-บท ความชุด "จุดเปลี่ยนประเทศไทย" ตีพิมพ์เป็นเล่มขนาดสี่สีสวยงาม ผู้สนใจติดต่อขอรับฟรีที่ อาคารอนุรักษ์ บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ ในเวลาทำงานปกติ

วันศุกร์, กันยายน 01, 2549

ไม่น่าเชื่อว่าทักษิณจะสุดสารเลวได้ขนาดนี้

โกงชาติ โกงภาษี เรียกว่าสุดอับปี
----------

ไม่น่าเชื่อว่าทักษิณจะสุดสารเลวได้ขนาดนี้

ล่าสุดทรราชเหลี่ยมกอบกรรมชั่วเพิ่มขึ้นจึง Update เพิ่มเติมความชั่วเพิ่ม ดั่งข้อ 68 และ 69

----------------
1. สี่ปีแรกเอาเงินคลังมาแจกแถมสร้างภาพ สี่ปีหลังยึดสมบัติต้นทุนของชาติเข้าตลาดหุ้นแปรรูปมาเป็นสมบัติของพรรคพวกตนที่ถือหุ้น

2. ประชานิยม แจกแถมไม่มีงานยั่งยืน จนเงินหมดคงคลังแล้ว มีแต่ตัวเลขลวงชาวบ้านไปวันๆเบี้ยวแม้เงินเสี่ยงภัยของครู 3 จ.ใต้อย่างน่าอดสู

3. ห้ามประชาชนและสภาคิดอ่านคิดร่วมงานบริหารประเทศ “คิดเองแทนให้ทุกเรื่อง” เพราะเห็นตนเองฉลาดอยู่คนเดียวนอกนี้โง่หมด

4. เมียหัวหน้าพรรค"จ่ายให้หมด"แก่ผู้สมัครทุกคน เมื่อได้เข้าสภาให้ "ห้ามพูด ห้ามติติง ยกมือให้" อย่างเดียว คนในตระกูลเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริงหาใช่พรรคมหาชนแม้แต่น้อย ส.ส.-ส.ว.-ครม. ในคอก คือลูกจ้างทำตามนายสั่งอย่างเดียว ถูกครอบงำสิ้น กินทั้งเงินเดือนสภาและเงินเดือนหัวหน้าพรรค เป็นชุดบริหารและเป็นสภาอัปยศที่สุดในประวัติศาสตร์สภาไทย จึงมีกระแสให้ปฏิรูปรัฐธรรมนูญใหม่รอบสอง

5. ผู้นำที่เป็นนักลงทุนข้ามชาติ ย่อมไม่มีความเป็นชาตินิยมได้ เพราะต้องร่วมสมผลประโยชน์ทำธุรกิจกับต่างชาติ เอาผลประโยชน์แผ่นดินมาแลกกับผลประโยชน์ธุรกิจตน

6. คนผีๆ ทรยศได้กับทุกคนที่เคยเป็นกัลยาณมิตร ปัจจุบันเลี้ยงสมุนด้วยเงินแต่ไม่มีใครจริงใจด้วยสักคน ต่างรู้ไร้จริยธรรม คนดีๆ เมธี ปัญญาชน ล้วนขับไล่ไสส่งให้ออกไป

7. สร้างภาพไม่ให้ขายบุหรี่เปิดเผย แต่อนุมัติเงิน 18,000 ล้านบาทสร้างโรงงานยาสูบสุดแพงที่เชียงใหม่ นายหน้าที่ดินเครื่องจักรเป็นใคร ?

8. วงศาคณาญาติพวกพ้องยิ่งมั่งคั่ง แต่เงินคลังประเทศถังแตก ต้องกู้เป็นแสนๆล้านจะตามมาอีกหลายงวด ล่าสุดกู้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆทั้งๆที่เงินกู้ออมสินถึงวาระยังไม่มีจ่ายต้อง ผลัดส่งเลย

9. ครอบงำและทำลายองค์กรอิสระจนเป็นง่อยเปลี้ย ขาดความสมดุลการตรวจสอบ

10. ครอบงำทีวี ทั้ง 6 ช่อง บงการเป็นกระบอกเสียงของตน เสนอข่าวด้านเดียว คุกคามสื่อทุกรูปแบบ ใครพูดเรื่องคอร์รัปชั่นโดนปลดรายการ จ้างชมพู่และหน้าจืดคนที่รับใช้เผด็จการทรราชมาทุกยุคทุกสมัย เหมือนสถานีทีวีเป็นสมบัติส่วนตัวของพวกโกงกันทั้งโคตรหรือไง มันคิดว่าทรัพย์สาธารณะ สภา ทำเนียบของประชาชนเป็นสมบัติของบริษัทมันทั้งสิ้น

11. แปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ทรัพย์สินมีมูลค่าซ่อนเร้นนับล้านๆบาท จะทำกำไรมหาศาลแก่ผู้ถือหุ้น ได้ของแถมสายนำสัญญาณใยแก้ว 24 เส้นแบนด์วิซสูงบนสายไฟแรงสูงมูลค่าแสนล้านฟรีๆ เป็นการเอาสมบัติต้นทุนของแผ่นดินมาแปรรูปเป็นสมบัตินายทุนหุ้น กำไรที่เคยเข้าคลังกลายเป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่แทนทันทีและแก้กฎหมายให้ต่าง ชาติมาถือหุ้นได้มากขึ้น

12. พยายามปลดคุณหญิงตงฉิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แล้วส่งรายชื่อคนของตนเองขึ้นไปทั้ง สตง.และ ปปช. แต่ถูกตีกลับแล้วยังไม่รู้ตัวว่ากระทำมิควร ไม่ยอมลาออกแสดงสปิริตแม้แต่คนเดียว

13. กว้านซื้อโรงพยาบาลเอกชนอย่างหนักหลังจากได้อำนาจครบ 4 ปี

14. กว้านซื้อธนาคารและสถาบันการเงินอย่างหนักหลังจากได้อำนาจครบ 4 ปี

15. ข้าวแกง ก๋วยเตียวขึ้นราคาชามละ 5บาท แต่ค่าแรงกรรมกรขยับแค่ 1-6 บาทในเพียง 16 จ. นอกนั้นไม่ขึ้นให้เลย ไหนค่าเล่าเรียนของลูกๆอีกที่เบิกไม่ได้เลย เขาอยู่กันอย่างไรในยามข้าวยากหมากแพงเช่นนี้

16. รัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน รัฐบาลไม่มีความสามารถพัฒนาให้มีกำไรได้ แต่กลับเก่งขายรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรให้ต่างชาติและพรรคพวกตนกว้านซื้อหุ้น รวยกันเละ

17. กลิ่นเหม็นสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่าก่อสร้างหนึ่งแสนหกหมื่นล้านบาท ยุบยับคอรัปชั่นฮั้วเหมางานทุกตารางนิ้ว ญาติพี่น้องมามั่วกันครบเครื่อง

18. กำไรจำหน่ายสลากกินแบ่งเคยเข้าคลังเข้ารัฐ ปัจจุบันไม่เข้าคลัง รัฐบาลเอาไปแจกจ่ายใครกันอย่างไรเปิดเผยเสียที

19. เปิดเสรีเต็มประตูทะเลเพราะตนเองก็เป็นนักลงทุนข้ามชาติ เกรงใจบุชแห่งอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง ร้านค้าย่อยคนไทยทยอยปิดกิจการ ห้างต่างชาติพากันขนเงินกำไรไหลออกเข้าบริษัทแม่ที่ต่างชาติ เลือดไทยไหลออกทุกวัน

20. รถไฟไทยขาดทุน ไม่เคยมีผู้บริหารเก่ง สามารถพัฒนาให้ดีมีกำไรได้สักคน แต่เก่งขายรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรอยู่แล้วเข้าตลาดหุ้นแล้วพรรคพวกตนเองก็ กว้านซื้อทำกำไรให้ตนเองมหาศาล

21. พยายามผลักดันให้ กชท. ทำหน้าที่แทน กสช. เอื้อผลประโยชน์เครือข่ายการสื่อสารให้ตนเองและพรรคพวก

22. อุ้มฆ่าชาวบ้านอย่างหนัก สร้างเงื่อนไขสงคราม บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติอย่างไม่เคยมีมาก่อน

23. ชุมชนง่อยเป็นเปลี้ย รอแต่เงินรัฐบาลโยนมารอบแล้วรอบเล่า ไม่พัฒนาตนเองได้เพราะ ร้าน SME ที่รัฐบาลให้เงินมาได้ปิดกิจการหมดแล้ว แข่งขันกับห้างต่างชาติไม่ได้ นโยบายผลาญงบแผ่นดิน ไม่เคยมีนโยบายให้พึ่งตนเองได้อย่างถาวรสักโครงการ

24. ใช้เวลาเพียง 5 ปี เท่านั้น รัฐวิสาหกิจ การสื่อสาร คมนาคม ดาวเทียม สถาบันการเงิน โรงพยาบาล สินเชื่อ สื่อ อยู่ในกำมือตนสิ้น ขายธุรกิจตนเองไม่จริง แฝงซื้ออยู่ในกองทุนต่างชาติ เพื่อหลบหนีภาษีและหลบลี้ภัยตามยึดไม่ได้ภายหลังหมดอำนาจ

25. รถยนต์แห่งชาติ กาแฟแห่งชาติ เทคโนโลยีแห่งชาติ อาวุธแห่งชาติ สินค้าแบรนด์เนมไทยไม่มีโอกาสได้เกิด เพราะพวก“นายหน้าทุนต่างชาติ” เข้ามาร่วมบริหารอยู่ในรัฐบาลต้องรักษาผลประโยชน์แห่งตนไว้ก่อน

26. ประเทศไทยยังมีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มาก เช่น ภาคอีสานจากการ สำรวจพบว่ามี แร่ทองแดงและโพแทสเซียม สมบูรณ์ที่สุดในโลก ร่างพ.ร.บ.เสียเปรียบให้ต่างชาติเข้าครอบครองในการทำเหมืองดังกล่าวสิ้น

27. ชาวบ้านรากหญ้ามีแต่หนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ เปิดโครงการให้กู้เงินอีกสถาบันมาล้างหนี้อีกสถาบันยิ่งเสียดอกมากขึ้น คนจนจะไม่มีอีกต่อไป เพราะอดตายกันหมดแล้ว

28. โกงลำไยแห้ง โกงโรงบำบัดน้ำเสียคลองด่านหลายหมื่นล้าน เอาตัวเล็กๆมาเป็นแพะ ตัวใหญ่ลอยนวลเพราะอยู่ใกล้ตัว

29. ปลอมวุฒิการศึกษา คาร์ปาร์คสุดอื้อฉาว ทุจริตกล้ายางก็เงียบฉี่

30. ต่ออายุราชการให้น้องเขยครั้งแล้วครั้งเล่าอีกแล้วครับท่าน

31. ให้ฝรั่งมังค่าเข้ามาประมูลประเทศถึงทำเนียบโดยสภาพัฒน์และนายคลังยังไม่ รู้นโยบายประเทศของตนเองเลยว่า “มีแบบนี้ด้วยเหรอ” แต่ไม่มีโครงการที่จะเอาฝรั่งที่ชำนาญการปราบคอรัปชั่นเข้ามาด้วย เพราะตอนนี้ประชาระทมโดนโกงกันจนคลัง “ถังแตก” แล้วครับ

32. คอมมิชชั่นเครื่องบิน SU-30 MK กำลังจะเข้าปากหมา พวกกัลยาณมิตรกลับใจไม่น่ามาขวางเลย

33. ที่แท้พรรคพวกได้ผลประโยชน์ข้างเคียงก่อสร้างไนท์ซาฟารี

34. ให้คนแกล้งหมอพรทิพย์เพราะต้องการเอาคนของตัวเองเข้าไปแทน

35. เอาวัตถุทั้งรถและบ้านมายั่วแจกให้แท็กซี่ไปฟังตนปราศรัย แล้วยังมีหน้าพูดจายั่วยุคนที่คิดเห็นต่างตนว่ารับจ้าง

36. เหยื่อสึนามิ ไม่ได้รับการช่วยเหลือทั่วถึงแต่อย่างใด สื่อรัฐเสนอแต่ส่วนที่ช่วยแล้วได้ออกทีวี ปกปิดข้อเท็จจริง

37. ห้ามทีวีออกรายการช่วยน้ำท่วมภาคใต้ แบ่งแยกดินแดนชัดๆ

38. เซ็นสัญญา FTA โดยไทยเสียเปรียบมาก ไทยขาดการวิจัยและผลิตยา 20 กว่าชนิดเป็นเวลา 25 ปี และไม่ให้ปลูกข้าวหอมมะลิสองสายพันธุ์ ต่างชาติอ้างถือสิทธิบัตร รวมถึงการเกษตรให้เสรีนำเข้าตีภาคผลิตของคนไทย ทุนนิยมสุดโต่ง

39. ทำลายความเชื่อถือความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ ข้าราชการ, เจ้าหน้าที่รัฐ บ้าอำนาจใช้พระเดชปกครอง ขู่เข็ญ สร้างเงื่อนไขให้ข้าราชการให้รับใช้สอพลอตนถ้าแสดงออกได้ดีจะได้รับตำแหน่ง ข้ามหัวเพื่อน

40. ยุทธ ตู้เย็น ขี้ขลาดตาขาว ยิงตายายเกือบตายถ้าไม่ถูกตู้เย็นพรุนเสียก่อน วันนี้มันจ้างคนงานชั่วคราวป่าไม้มาก่อกวนการเสวนาตามระบอบประชาธิปไตยถึง กรุงเทพ ฯ

41. ผู้นำและครม.หลายคนขับรถจักรยานยนต์ในอำเภออาจสามารถที่หมอดูสั่งให้ไปนอน ให้ครบ 4 คืน มิฉะนั้นจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ทำผิดกฎหมายไม่ใส่หมวกกันน๊อค ซ้อนท้าย 3 คนไม่เปิดไฟไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ออกกฎหมายบนถนนว่าถนนรองไม่ต้องใส่หมวก

42. ไปสิงคโปร์ 4 วันเพื่อบรรลุข้อตกลงให้ต่างชาติซื้อหุ้นได้เงินเกือบแสนล้าน แท้จริงเป็นการโยกหุ้นไปอยู่ในกองทุนต่างชาติเพื่อหลบหนีภาษีและป้องกันการ ถูกยึดในภายหลังหมดอำนาจ แอบตั้งบริษัทที่ไม่รักชาติ เพื่อซุกซ่อนสมบัติ เลี่ยงภาษีที่เกาะหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น

43. มีจิตใจอาฆาตต่อราษฎรและไร้เมตตาธรรมต่อผู้ที่คิดเห็นต่างตน แม้ 19 ล้านเสียงก็ขว้างเกือกคืนให้แล้วยังมีหน้าเอามาอ้างอีก

44. ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่ตระกูลที่รวมหัวกับต่างชาติปั่นทำกำไร

45. ศักดิ์ศรีประเทศไทยอยู่ตรงไหน ต่อการขายสมบัติของแผ่นดินไปให้ต่างชาติแถมกำไรเข้ากระเป๋านักการเมือง เขาซื้อเราขาย ใครเป็นมหาอำนาจ ใจเป็นขี้ข้าหมดทรัพย์ หนังคนละเรื่องกันเลย

46. ไม่เคยมียุคใดสมัยไหนที่คณะผู้บริหารชาติบ้านเมืองคิดพิเรนทร์ ขนาดจะขายแผ่นดินไทยเหมือนยุคสมัยแห่งรัฐบาลนี้อีกแล้ว เตรียมออกกฎหมายที่ดิน เพื่อเปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถ “ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน” ของประเทศไทยได้ พอดีมีเรื่องขับไล่เสียก่อน

47. ชาวบ้านตั้งคำถาม 50 ข้อ ไม่เคยตอบแม้แต่ข้อเดียว กลับยุบสภาหนีคำถาม เก่งแต่ฟ้องร้องแก้เกี้ยว เมธี ปัญญาชนถูกฟ้องไปทั่ว

48. จ้างผู้สมัครพรรคอื่นให้ลงสมัคร ส.ส. เพื่อหาความชอบธรรมในสภา มหาโจรหน้าเหลี่ยมใช้สภาและอาศัยอาศัยรูปแบบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือใน การปล้นชาติกินเมือง

49. ตระบัตสัตย์ กระล่อน โมฆะบุรุษ ไม่มียางอาย เคยให้สินบน "ทรราชสุจินดา" สุจินดาจึงเชียร์มันสุดๆ
50 ไม่มีคนดีๆ ไม่มีปัญญาชนคนไหนชื่นชอบ ล้วนขับไล่ไสส่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน

51 ขี้นค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา น้ำมัน และต้องไปจ่ายเองที่ออฟฟิต ต้องเสียค่าธรรมเนียมที่มินิมาร์ท การที่ผู้บริโภคต้องใช้รถราไปจ่ายเองต้องเสียค่าน้ำมันเพิ่มทุกครัวเรือน ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่หุ้นน้ำมันก็คือเจ้าของระบอบชั่วนี้

52 ตั้งบริษัทนอมินีให้เครือญาติมาเกี่ยวข้องงานราชการ ฮั้วประมูลงาน รวยล้นฟ้าภายในห้าปี แต่ละเครือรวยกันจริงๆแบบไม่กลัวบาปกรรมแม้แต่น้อย

53 ไปเจ็ดประเทศไปบังคับฑูตให้ติดต่อผู้นำดังกล่าวอย่างเสียมารยาท ทั้งเหมาลำนั่งกันสองคน ใช้เงินภาษีราชการ เศรษฐีขี้เหนียว มันสารเลวจริงๆ มีแต่ปูตินของรัสเซียให้พบเพราะอยากถามเรื่องซื้อเครื่องบินจะว่าไง

54 นางแว่น กลิ่นเหม็นคอมมิชชั่นเครื่องคอมฯ พวกหมอพวกพยาบาลเกลียดหนักหนา ไม่รู้รวยมาจากไหนเอาเงินกว้านซื้อที่ดินตามเกาะต่างๆทั้งในอ่าวไทยและอัน ดามันหลายร้อยแปลง รวมพันล้านบาท แล้วให้ ครม.งุบงิบแอบออกกฎหมายขายชาติ เตรียมขายที่ดินที่พรรคพวกตนกว้านซื้อขายต่อฟาดกำไรให้ชาวต่างชาติจาก กฎหมายขายชาติดังกล่าว (รายละเอียดฟังได้ที่นี่ mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/JurmsakTalk_160306_H.wmv )

55 น้ำท่วมไฟลุกทั้งแผ่นดินเพราะคนตระบัตสัตย์คนโกงคนไร้จริธรรมเข้าทำเนียบ

56 เป็นผู้นำคนเดียวในโลกที่มีคนแต่งเพลงไล่ให้ออกไป 200 กว่าเพลง แหล่ กลอนกวี การ์ตูน ด่าไล่เป็นจังไรมากที่สุดในโลก

57 ไม่เคยตอบคำถามที่ชาวบ้านถาม มันกลับฟ้องแก้เกี้ยวรกเต็มศาล ทั้งปัญญาชน เมธี คนรักชาติถูกมันฟ้องเรียกค่าเสียหายไปทั่วเมือง ล่าสุดเรียก 1 พันล้านบาท เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็ยังเคยถูกมันฟ้องเรียก 400 ล้านบาท แสดงว่ามันยังรวยไม่พอ อย่างนี้จะให้มันอยู่ในทำเนียบอีกหรือ? ออกไป๊...ยิ่งรวยยิ่งโกง

58 ทั่วโลกบอยคอตรัฐบาลเผด็จการพม่าที่กักขังนางอองซูจี ไม่ช่วยเหลือใดๆ แต่มันกลับเอาเงินเอ็กซิมแบ็งก์ให้พม่ากู้ 5หมื่นกว่าล้าน แลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวขายสัญญาณดาวเทียม

59 ยุคนี้บริษัทใหญ่ๆของนักการเมืองและเครือญาติหลีกเลี่ยงภาษีกันอย่างหนัก เพราะมันควบคุมกลไกของรัฐไปทุกหย่อมหญ้าเบ็ดเสร็จ

60 ล่าฆ่าปิดปากชิปปิ้งหมู ที่ออกมาเปิดเผยจากลักลอบเอาชุดดาวเทียมหนีภาษีเข้าประเทศเป็นมูล่าหลายพันล้านบาท

61 งานประมูล งานรับเหมาของรัฐ ยุคนี้ วนเวียนอยู่แต่ในบริษัทนอมินีของนักการเมืองทั้งสิ้น ไม่มีการกระจายอย่างกว้างขวางไปให้บริษัทอื่นๆบ้างเหมือนดังที่ผ่านๆมา

62 ครม.ทั้งชุดคือลูกจ้างของบริษัทเหลี่ยมดาวเทียม ไม่ไปไหนเงินดีงานดี หนา ยิ่งกว่าวาสหนา

63 จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง กลายเป็นคนจ้างไม่ผิดแต่คนมีรูปถ่ายเป็นหลักฐานผิด กล้องถ่ายรูปผิด เหมือนตากใบ คนจับชาวบ้านมัดมือไพร่หลังแล้วเตะคาง เตะก้านคอ ทับกันตาย คนทำทารุณกรรมไมผิด กลายเป็นวีซีดีผิด! บ้ากันใหญ่แล้วยุคทรราชเหลี่ยมครองเมือง

64 เมียทรราชและนายหญิงทั้งหลายกว้านซื้อที่รอบๆสนามบินแล้วรีบออกกฎหมายปั่นที่ดินหวังเทขาย หวังรวยติดอันดับโลก

65 ปากทรราชพูดจะเจริญรอยตามนโยบายเศราฐกิจเพียงพอแต่พฤติกรรมมัน"ให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำธุรกิจไทยหมดสิ้น"

66 มันพูดแต่คำว่า "กติกาประชาธิปไตย" โดยมันซื้อยกพรรค ซื้อยกหมู่บ้าน ประชาธิปไตยภาษาพ่อมัน

67 น้องสาวมันปลอมวุฒิการศึกษา เดี๋ยวนี้รวยเป็นพันๆล้านกว้านซื้อที่ดินซื้อหมู่บ้านได้มากมาย

68 วางระเบิดบ้านคนไล่มันหลายแห่งตำรวจจับไม่ได้สักแห่ง แต่มันวางเองไม่ระเบิดดันจับได้ งงกันทั้งเมือง คนเชียร์ทรราชวางระเบิดทรราชเอง?

69 ตำรวจสอพลอ ทรราช สืบ. 6 ให้พรรคพวกกุ้ยค้ายาเสพติดทั้งแก็งก์มาทุบตีชาวบ้าน ไม่มีการสั่งพักราชการหรือสอบเอาผิดจริงจังแต่อย่างใด โจรในเครื่องแบบครองเมืองประชาชนจะอยู่กันอย่างไร